หมู่บ้านดงตาลตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของเขาหลววงตระหง่านมานานนับศตวรรษ แต่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ร่มเงาที่เคยให้ความคุ้มครองได้แปรเปลี่ยนเป็นม่านแห่งความมืดมิดและภัยคุกคาม เสียงร้องไห้ของผู้หญิงและเด็กได้กลายเป็นทำนองหลักของชีวิตประจำวัน ผืนดินที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับแห้งแล้งและแตกระแหงจากการรุกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเหล่าอสูรกายและสัตว์ป่าหิมพานต์ที่เหี้ยมโหด ชาวบ้านดงตาลต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส พวกเขาไม่ใช่คนขลาด แต่พวกเขาก็ไม่มีอาวุธหรือความสามารถที่จะต่อกรกับอำนาจมืดเหล่านั้นได้
ในความมืดมิดที่ไร้สิ้นสุดนี้ ยังมีแสงเทียนเล่มเล็ก ๆ ที่คอยส่องนำทาง นั่นคือ หลวงพ่อบุญ อดีตหัวหน้าหมู่บ้านผู้สละชีวิตและวิญญาณเพื่อกลายเป็น "ผีเฝ้าหมู่บ้าน" ตามความเชื่อโบราณ วิญญาณของท่านยังคงวนเวียนอยู่ คอยใช้พลังสุดท้ายที่เหลืออยู่สร้างเกราะป้องกันหมู่บ้านที่เปราะบางไว้ แม้เกราะนั้นจะเต็มไปด้วยรอยร้าวและรอยปริ แต่ก็ยังคงต้านทานการโจมตีเล็ก ๆ น้อย ๆ จากสัตว์อสูรระดับล่างได้ ความสงบสุขที่ยืมมานี้เป็นเพียงการรอเวลาเท่านั้น
ท่ามกลางความแร้นแค้น มีเด็กชายไร้สัญชาติและกำพร้าคนหนึ่งชื่อ โชติ เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความหิวโหยและความโดดเดี่ยว ร่างกายของเขาผอมแห้งอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากความอดอยากที่กัดกินชีวิตในดงตาล แต่นัยน์ตาของเขากลับเต็มไปด้วยประกายไฟที่ไม่ยอมดับ เป็นประกายไฟแห่งความอดทนและความพยายามที่ไม่มีใครเทียบได้ โชติไม่มีพรสวรรค์ใด ๆ ที่โดดเด่น เขาไม่ใช่เด็กที่ฉลาดเป็นกรด ไม่ได้มีพละกำลังมหาศาล แต่เขามีสิ่งที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด คือ ความทรหด และ ความมุ่งมั่น ที่สามารถบดขยี้หินได้ทั้งก้อน เขาเรียนรู้ที่จะอยู่รอดในโลกที่โหดร้ายนี้ด้วยการเป็นคนเงียบขรึมและเก็บความรู้สึก เขาภายนอกดูเย็นชา ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา แต่ภายในจิตใจของเขามีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเขามักจะซ่อนไว้ภายใต้ท่าที "ซึนเดเระ" ของเขา
เพื่อนสนิทที่สุดและเป็นเหมือนสายใยเดียวที่ยึดเขาไว้กับโลกคือ วิวร เธอเป็นเด็กสาวที่แปลกแยกในสายตาของชาวบ้านดงตาล ผิวของเธอขาวซีดและผมเป็นสีขาวราวหิมะอันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถหาสาเหตุได้ ซึ่งทำให้เธอถูกรังเกียจและถูกมองอย่างหวาดระแวงจากคนในหมู่บ้าน แต่วิวรกลับมีบุคลิกที่แตกต่างออกไป เธอมีใบหน้าที่สวยงามในแบบที่คนทั่วไปจะมองว่า "หล่อ" มีลุคที่เท่และทะมัดทะแมงราวกับผู้ชาย ทำให้คนอื่น ๆ มักสับสนและมองว่าเธอคล้าย "ทอม" เธอเป็นคนลุย ไม่กลัวสิ่งใด และมักจะเป็นคนเดียวที่กล้าเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมที่โชติมักจะโดนจากเด็กคนอื่น ๆ ความผูกพันระหว่างโชติกับวิวรไม่ใช่แค่เพื่อน แต่มันคือ ความรัก ในระดับที่ลึกซึ้งและบริสุทธิ์ เป็นความรักที่เขายังไม่กล้าเรียกมันว่าอะไรนอกจาก "มิตรภาพที่สำคัญที่สุดในชีวิต"
เช้าวันหนึ่งที่ดงตาลล ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดกาล ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานยามเช้าที่น่าสะพรึงกลัวแทนที่จะเป็นสีทองอบอุ่น เสียงคำรามที่กึกก้องดังสนั่นจากทิศตะวันออกไกลทำให้แผ่นดินสะเทือนขวัญ หลวงพ่อบุญ ผู้สละวิญญาณได้พยายามรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อยับยั้งภัยคุกคาม แต่พลังของท่านนั้นไม่เพียงพอ
พญายักษ์ตนหนึ่งที่สูงตระหง่านราวภูผาและมีผิวสีดำสนิทราวถ่านถูกจุด นามว่า ทศกัณฐ์ดำ (เป็นเพียงชื่อที่ชาวบ้านเดากันไปเอง) ได้ปรากฏตัวขึ้น ยักษ์ตนนี้เป็นระดับ อสูรขุนพล ที่ทรงพลังเกินกว่าที่วิญญาณที่อ่อนแอของหลวงพ่อบุญจะต้านทานได้ มันเหยียบย่ำเข้ามาในหมู่บ้านด้วยฝีเท้าหนักหน่วง ทุบทำลายเกราะวิญญาณของหลวงพ่อบุญด้วยการคำรามเพียงครั้งเดียว
ครืนนนนน!
เกราะวิญญาณแตกสลายเป็นผุยผง กลิ่นสาบสางของความตายกระจายไปทั่วอากาศ หลวงพ่อบุญปรากฏตัวขึ้นในรูปของเงาจาง ๆ และพยายามเข้าต่อสู้ แต่ยักษ์ตนนั้นเพียงแค่สะบัดมือเบา ๆ วิญญาณของหลวงพ่อบุญก็ถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสลายหายไปในอากาศ
"หนีไป โชติ! หนีไป!" วิวรตะโกนด้วยน้ำเสียงที่แตกพร่า ขณะที่เธอกำลังพยายามดึงโชติให้วิ่งหนีจากซากปรักหักพัง แต่โชติกลับยืนนิ่งราวกับรากไม้ที่ถูกฝังลงในพื้นดิน ดวงตาของเขามองภาพการทำลายล้างที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเย็นชา แม้ภายในใจกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
พญายักษ์เริ่มการทำลายล้างอย่างบ้าคลั่ง บ้านเรือนพังทลาย ผู้คนล้มตายเหมือนใบไม้ร่วงในฤดูหนาว เสียงร้องขอความช่วยเหลือผสมปนเปกับเสียงหัวเราะเยาะของยักษ์นั้น
ทันใดนั้น แสงสีทองสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลังโรงเรียนเก่าที่กำลังจะพังทลาย หลวงพ่ออินทร์ พระชราผู้เคร่งครัดในศีลธรรม ซึ่งเคยเป็น นักมวยหลวง และ ขุนศึกมังกรดำ ในอดีตได้ก้าวออกมาจากเงามืด ร่างกายของท่านสูงใหญ่กำยำ แม้จะอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ก็ยังเห็นได้ถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง รอยสักโบราณมากมายเต็มเรือนร่างของท่านบ่งบอกถึงอดีตที่เต็มไปด้วยการต่อสู้และสงคราม รอยสักเหล่านี้คือ ยันต์รบ ที่เก็บวิญญาณของเหล่าสัตว์ในตำนานไทยไว้ แต่ความชราและบาดแผลจากสงครามในอดีตทำให้ท่านอ่อนแอลงไปมากแล้ว
"ยักษ์ร้าย! เจ้าไม่ควรมายุ่งกับที่นี่!" หลวงพ่ออินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นราวเสียงระฆังเก่า
พญายักษ์หัวเราะอย่างดูถูก "ไอ้พระแก่! แกจะทำอะไรข้าได้! แค่เศษเถ้าธุลีที่รอวันดับสูญ"
การต่อสู้เริ่มขึ้น หลวงพ่ออินทร์ใช้ มวยโคตรสาร กระบวนท่าที่หนักหน่วงและรุนแรงราวกับช้างสารที่บ้าคลั่ง แม้จะแก่ชรา แต่ทุกหมัดและทุกศอกที่ส่งออกไปกลับมีพลังที่สามารถสยบยักษ์เล็ก ๆ ได้อย่างง่ายดาย ท่านสามารถเปลี่ยนลายสักที่แขนให้กลายเป็น เกราะ ที่แข็งแกร่งคล้ายงาช้างสารป้องกันตัวได้อย่างรวดเร็ว
แต่พลังของทศกัณฐ์ดำนั้นเหนือกว่า หลวงพ่ออินทร์เริ่มอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด บาดแผลเก่า ๆ เริ่มปริแตกและมีเลือดไหลซึมออกมา
"โชติ! มานี่!" หลวงพ่ออินทร์ตะโกนเรียกเด็กชายที่ยืนมองเหตุการณ์อย่างตื่นตระหนก ท่านร่ายมนต์โบราณบทหนึ่งอย่างรวดเร็ว และผลักโชติเข้าไปในวงล้อมของพลังเวทมนตร์สีทอง
"จงรอดชีวิต! จงจำไว้ว่าแกต้องแข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนที่แกรัก!"
ก่อนที่หลวงพ่ออินทร์จะถูกยักษ์ซัดกระเด็น โชติเห็นภาพสุดท้าย... วิวรถูกยักษ์ร้ายจับตัวไป พลังเวทมนตร์สีทองของหลวงพ่อได้พาโชติให้รอดพ้นจากอันตรายไปได้ แต่ความสิ้นหวังและความรู้สึกผิดได้ฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเขา
เมื่อพลังเวทมนตร์จางหายไป โชติพบว่าตัวเองอยู่ห่างจากหมู่บ้านที่ถูกทำลายหลายสิบกิโลเมตร เขากำลังนั่งอยู่บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยความมืดมิด
ข้างกายเขาคือร่างของ หลวงพ่ออินทร์ ที่กำลังรวยริน ท่านหายใจอย่างอ่อนแรงและเลือดไหลอาบไปทั่วร่างกาย ท่านได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยให้โชติรอด
"โชติ...ลูก... ฟังพ่อให้ดี..." เสียงของหลวงพ่ออินทร์แหบพร่าราวกับกระดาษทราย "แกไม่มีพรสวรรค์... แต่แกมี ความพยายาม และ ความอดทน ที่แม้แต่ข้าก็ยังต้องทึ่ง... นี่คือ สมบัติ ที่มีค่ากว่าทุกสิ่ง..."
หลวงพ่ออินทร์ยกมือที่สั่นเทาขึ้นมา และถอด ไองั่ง วัตถุทางไสยศาสตร์โบราณที่ทำจากโลหะสีดำเงาที่ห้อยอยู่กับสายประคำของท่านออก และผูกมันไว้ที่เอวของโชติ
"นี่... ไองั่ง... จะคุ้มครองแกจากภูตผีปีศาจระดับต่ำได้... ใช้มันให้เป็นประโยชน์..."
จากนั้น หลวงพ่ออินทร์ก็หยิบ แผ่นจารึกโบราณ ที่ทำจากหินสีดำแกะสลักอย่างประณีตส่งให้โชติ จารึกนั้นไม่สามารถอ่านออกได้ แต่โชติสังเกตเห็นว่ามันคือภาพวาดลายเส้นของ ท่วงท่ามวยไทย ที่ดูแปลกตาและซับซ้อน
"จารึกนี่... เป็น ตำรากระบวนท่ามวยโบราณ ที่สืบทอดกันมา... ข้าเคยใช้มันเมื่อครั้งเป็นขุนศึก... แกยังอ่านไม่ออก... แต่จง จดจำ มันไว้ในหัวใจ..."
หลวงพ่ออินทร์หอบหายใจอย่างหนักก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด:
"โชติ... ออกเดินทางไป... สี่ทิศ ของไทย... ฝึกฝนฝีมือให้แข็งแกร่ง... เพื่อปกป้องคนที่แกรัก... จงแข็งแกร่งขึ้น... เพื่อตามหาเพื่อนของแก... วิวร..."
ก่อนที่แสงสว่างสุดท้ายจะดับลงจากดวงตาของหลวงพ่ออินทร์ ท่านได้กระซิบคำสุดท้ายที่โชติแทบจะไม่ได้ยิน: "จงแบกรับ ภาระ ที่ยิ่งใหญ่นี้..."
ทันใดนั้น...
หลวงพ่ออินทร์ได้เอื้อมมือที่เต็มไปด้วยรอยสักโบราณมาจับที่หัวไหล่ของโชติ รอยสักบนแขนของท่านเกิดการเรืองแสงสีทองสลับกับสีดำมืดมิด แสงนั้นเริ่มไหลเข้าสู่ร่างกายของโชติอย่างรวดเร็ว มันคือ ลายสักยันต์แรก ที่กำลังถูกถ่ายทอดสู่ร่างกายของโชติ
ความเจ็บปวดที่โชติได้รับมันรุนแรงจนเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะทนได้ มันไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดทางกาย แต่เป็นความเจ็บปวดทางจิตวิญญาณราวกับถูก ฉีกทึ้ง และ เผาไหม้ พร้อมกัน วิญญาณที่แข็งแกร่งราวภูผาที่กำลังถูกถ่ายทอดนั้นคือ ท้าววิรูปักษ์ หนึ่งในจตุโลกบาลผู้พิทักษ์ทิศตะวันตกและเป็นพญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่ วิญญาณของท่านถูกหลวงพ่ออินทร์ผนึกไว้ในสมัยสงครามปราบอสูร แม้แต่นักมวยระดับสูงที่มีประสบการณ์ยังไม่อาจทนรับวิญญาณระดับนี้ได้โดยไม่เสียสติ
"อ๊า... กรรรรร..." โชติกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างกายผอมแห้งของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เหงื่อและเลือดซึมออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างกาย แต่นัยน์ตาของเขากลับไม่ยอมปิดลง เขาใช้ ความอดทน และ ความมุ่งมั่น ที่ไร้สิ้นสุดของเขาในการต่อสู้กับความเจ็บปวดนั้น
หลวงพ่ออินทร์ใช้พลังเฮือกสุดท้ายควบคุมการถ่ายทอด
"ทนไว้ โชติ... ทนไว้! แกต้องทนให้ได้... เพื่อเธอ..."
ไม่นาน... ความเจ็บปวดนั้นก็สงบลง โชติหมดสติไปทันที ร่างกายของเขามีลายสักสีดำเข้มรูป พญานาคราชเกล็ดดำ ที่ดูน่าเกรงขามปกคลุมอยู่บนแผ่นหลังของเขาอย่างสมบูรณ์ ลายสักนั้นเรืองแสงจาง ๆ ก่อนจะมืดลงเป็นสีดำสนิท
เมื่อโชติฟื้นขึ้นมา หลวงพ่ออินทร์ก็ได้สิ้นลมไปแล้ว แต่ท่านจากไปพร้อมรอยยิ้มที่สงบเสงี่ยมบนใบหน้า โชติยืนขึ้นมองซากปรักหักพังของดงตาล... หมู่บ้านของเขา... บ้านของเขา... และเพื่อนที่เขารัก...
เขาได้สูญเสียทุกสิ่ง... สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือ ภาระ ที่ต้องแบกรับ... ไองั่ง ที่เอว... แผ่นจารึก ในมือ... และ ลายสักนาคราช ที่แผ่นหลัง...
ดวงตาของโชติที่เคยเต็มไปด้วยความเย็นชาได้ถูกแทนที่ด้วย ความมุ่งมั่นอันแรงกล้า เขาตัดสินใจแล้ว... เขาจะทำตามคำสั่งของหลวงพ่ออินทร์... เขาจะแข็งแกร่งขึ้น... เพื่อช่วยวิวรให้ได้...
การเดินทางและเสียงกระซิบ
โชติเริ่มต้นการเดินทางของเขาด้วยความเงียบงันและความโดดเดี่ยว เขาแบกความสิ้นหวังและความเจ็บปวดไว้บนบ่า เขาเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยัง ทิศเหนือ ตามคำสั่งของหลวงพ่ออินทร์ เพราะหลวงพ่ออินทร์เคยกล่าวว่า ป่าหิมพานต์ อันเป็นแหล่งรวมของสัตว์ในตำนานไทยส่วนใหญ่อยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักร
สัปดาห์แรกของการเดินทางคือการดำรงชีวิตที่แสนทรมาน ร่างกายผอมแห้งของเขาแทบจะพยุงตัวไม่ไหว ความหิวโหยและความอ่อนเพลียทำให้ทุกย่างก้าวเป็นเหมือนการเดินผ่านกองไฟ เขาพยายามฝึกกระบวนท่าจาก แผ่นจารึก แต่เนื่องจากมันเป็นภาพวาดลายเส้นที่ซับซ้อนและไม่มีคำอธิบายใด ๆ เลย โชติจึงไม่สามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมด เขาทำได้เพียงเลียนแบบท่าทางเหล่านั้นอย่างช้า ๆ และผิด ๆ ถูก ๆ เท่านั้น
ในช่วงเวลานี้เองที่ ลายสักนาคราชเกล็ดดำ ที่อยู่บนหลังของเขาเริ่มมีการตอบสนอง วิญญาณของ ท้าววิรูปักษ์ ถูกผนึกพลังส่วนใหญ่ไว้เนื่องจากความแข็งแกร่งที่เกินระดับที่ร่างกายของโชติจะรับไหว เขาจึงสามารถใช้พลังได้เพียง เล็กน้อย เท่านั้น ซึ่งพลังนี้จะแสดงออกมาในรูปของ ไอเย็นยะเยือก ที่สามารถทำให้ศัตรูระดับต่ำช้าลงได้เพียงเล็กน้อย
แต่สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือ จิตสำนึก ของวิญญาณนาคราชที่ยังคงอยู่ แม้จะเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเกิดกับวิญญาณที่ถูกผนึกไว้
"เจ้าเด็กโง่! ท่าทางอย่างนั้นมันผิดตั้งแต่ฐานแล้ว! เข่าต้องตั้งฉากกับพื้น! หลังต้องตรงราวกับไม้บรรทัด!"
เสียงที่ดุดันและทรงพลังราวเสียงคำรามของพญานาคราชดังขึ้นในห้วงความคิดของโชติโดยไม่มีที่มาที่ไป โชติสะดุ้งสุดตัวและมองไปรอบ ๆ แต่ไม่พบใครเลย
"เจ้ามองหาอะไรไอ้หนู! ข้าอยู่บนหลังของเจ้า! ข้าคือ ท้าววิรูปักษ์! จงทำตามที่ข้าสั่ง! มิฉะนั้นข้าจะยึดร่างของเจ้าแล้วไปล้างแค้นพวกอสูรเสียเอง!" เสียงนั้นก้องกังวานอยู่ในหัวของโชติ ทำให้เขาต้องรีบปรับท่าทางของตัวเองทันที
นับตั้งแต่วันนั้น ท้าววิรูปักษ์ ก็กลายเป็น ครู ที่ดุดันและไม่เคยปรานีของโชติ นาคราชตนนี้ไม่เคยให้กำลังใจ มีแต่คำด่าทอที่เชือดเฉือนและคำสั่งที่ไร้ความปรานี แต่ทุกคำสั่งของท้าววิรูปักษ์กลับเป็นกุญแจสำคัญในการไขรหัส กระบวนท่ามวยโบราณ ที่อยู่บนแผ่นจารึก
ท้าววิรูปักษ์: ผู้ปกครองแห่งนาค ผู้มีเกล็ดสีดำสนิทและดวงตาสีเลือด มีความแค้นอันฝังลึกต่อเหล่าอสูรที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นาคของท่านจนเกือบหมดสิ้น ท่านต้องการใช้ร่างของโชติเพื่อล้างแค้น แต่การผนึกของหลวงพ่ออินทร์นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่ท่านจะฝ่าได้ง่าย ๆ สิ่งเดียวที่ท่านทำได้คือการ สอนสั่ง และ บงการ เพื่อให้โชติแข็งแกร่งขึ้น จนถึงวันที่โชติไม่สามารถควบคุมพลังของท่านได้อีกต่อไป
ครูที่ไร้ความเมตตา
"ช้า! ช้าเกินไป! ช้าเหมือนเต่าคลาน! ถ้าเจ้าช้าขนาดนี้ ต่อให้มดตะนอยมันก็วิ่งหนีเจ้าได้ทัน!" เสียงของท้าววิรูปักษ์ดังก้องอยู่ในหัวของโชติขณะที่เขากำลังฝึก ศอกสะบัดกลับ
โชติล้มลงบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหินและใบไม้แห้ง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการฝึกที่หนักหน่วง ร่างกายที่ผอมแห้งของเขาต้องแบกรับแรงกดดันที่ไม่ธรรมดา
"ข้าไม่ไหวแล้ว... ท่านนาคราช..." โชติกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
"ไม่ไหว? ความอ่อนแอมันไม่เคยช่วยให้ใครอยู่รอดได้ในโลกใบนี้! เจ้าอยากช่วยเพื่อนของเจ้าไหม! เจ้าอยากจะแข็งแกร่งไหม! จำไว้สิ! ความทรหดของเจ้าคืออาวุธเดียวที่เจ้ามี! ลุกขึ้น! ลุกขึ้นมาไอ้หนู! ถ้าเจ้าไม่ลุก... ข้าจะยึดร่างของเจ้าแล้วกระชากเส้นเอ็นของเจ้าให้ขาดทีละเส้น!"
คำพูดที่เย็นชาและไร้ความเมตตาของท้าววิรูปักษ์กลับเป็นแรงผลักดันที่รุนแรงที่สุดสำหรับโชติ เขาจำภาพของวิวรที่ถูกยักษ์จับตัวไปได้ ความรู้สึกผิดและความรักที่ต้องเก็บไว้ได้แปรเปลี่ยนเป็น ความมุ่งมั่นอันเป็นนิรันดร์
โชติ ไม่ได้เก่งกาจ แต่เขา ไม่เคยยอมแพ้
เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยร่างกายที่สั่นเทาและฝึกฝนต่อ ภายใต้การควบคุมของท้าววิรูปักษ์ โชติได้เรียนรู้ที่จะควบคุม พลังยันต์แรก ที่เป็นพลังเย็นยะเยือกของท้าววิรูปักษ์ได้อย่างจำกัด เมื่อโชติใช้กระบวนท่ามวยไทย กระแสไอเย็นยะเยือกจะไหลไปตามหมัดและศอกของเขา ทำให้การโจมตีของเขามีพลังในการ แช่แข็ง และ ชะลอ การเคลื่อนไหวของศัตรูได้เล็กน้อย
ท้าววิรูปักษ์ยังได้สอนเกี่ยวกับ โลกของนักมวย ที่โชติกำลังจะก้าวเข้าไป
"โลกนี้มี นักมวย ที่แข็งแกร่งอยู่ 12 ระดับ! แบ่งตามความแข็งแกร่งของวิญญาณที่ถูกเก็บไว้ในลายสัก! พวกเจ้าที่อยู่ระดับต่ำ ๆ สามารถเก็บวิญญาณได้แค่ ไม่กี่ตน เท่านั้น! แต่ข้าน่ะ... ข้าคือวิญญาณที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่เด็กอย่างเจ้าจะรับไหว! เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น! แข็งแกร่งขึ้น! จนกว่าจะถึงระดับที่เหมาะสมที่จะปลดผนึกพลังของข้า!"
ระดับของนักมวย:
นักมวยฝึกหัด (Apprentice)
นักมวยท้องถิ่น (Local Contender)
นักมวยพเนจร (Wandering Boxer)
นักมวยสนาม (Ring Fighter)
นักมวยวังหลวง (Royal Guard)
นักมวยขุนศึก (Warlord)
นักมวยผู้พิทักษ์ (Protector)
นักมวยอวตาร (Incarnate)
นักมวยครุฑา (Garuda)
นักมวยเทพ (Deity)
นักมวยมหาเทพ (Great Deity)
นักมวยอมตะ (Immortal)
ท้าววิรูปักษ์บอกโชติว่า การเป็น นักมวย ไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่คือการ ล่าวิญญาณ ของสัตว์ในตำนานไทยเพื่อนำมา สัก เป็น ลายยันต์ ที่จะช่วยให้ร่างกายของนักมวยแข็งแกร่งขึ้นและสามารถเปลี่ยนลายสักนั้นเป็น ชุดเกราะรบ ได้ในยามคับขัน
ชุดเกราะรบ: จะแบ่งออกเป็น 8 ส่วนตามอาวุธของมวยไทย: ศีรษะ (มงคล), แขน (เกราะป้องกัน), ข้อมือ (นวม), ลำตัว (เกราะ), ขา (สนับแข้ง), หัวเข่า, ข้อเท้า และส่วนสุดท้ายคือ หมัด (พลังโจมตี) เมื่อโชติยังอ่อนแอ เขาสามารถใช้พลังของท้าววิรูปักษ์ได้แค่ เกราะป้องกัน ที่แขนเท่านั้น
การพบกันครั้งแรกกับพรายพยัคฆ์
หลังจากการฝึกที่ทรมานมาเกือบสามเดือน โชติที่ผอมแห้งเริ่มมีมัดกล้ามเนื้อที่คมชัดขึ้นจากการฝึกมวยโบราณ เขาสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้แม่นยำขึ้นมาก ความแข็งแกร่งของเขาเทียบเท่ากับ นักมวยฝึกหัด ระดับปลาย ๆ
โชติได้เดินทางมาถึงบริเวณชายป่าหิมพานต์ที่เต็มไปด้วยหมอกและต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ดูน่าเกรงขาม
คืนหนึ่ง ขณะที่โชตินั่งสมาธิอยู่บนต้นไม้ตามคำสั่งของท้าววิรูปักษ์เพื่อพัฒนา จิตวิญญาณนักมวย ของเขา เขาก็ได้ยินเสียงคำรามที่ฟังดูเหมือน เสือโคร่ง แต่มีคลื่นเสียงที่รุนแรงกว่าปกติมาก
"ระวัง! นั่นคือ พรายพยัคฆ์! สัตว์อสูรระดับต่ำที่น่ารังเกียจ! มันแข็งแกร่งพอที่จะเป็น วิญญาณที่สอง ของเจ้าได้!" ท้าววิรูปักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโลภ
พรายพยัคฆ์ปรากฏตัว มันมีขนาดเท่าเสือโคร่งทั่วไป แต่ผิวหนังของมันเป็นสีดำสนิท มีเส้นสีแดงเรืองแสงอยู่ทั่วตัว มันกำลังไล่ล่า พรานป่า คนหนึ่งที่เข้ามาหาของป่าในเขตหวงห้าม
โชติในฐานะที่เป็นคนเย็นชาแต่จิตใจดีงามอย่างแท้จริง ไม่สามารถทนดูคนถูกทำร้ายได้
"หยุดนะ!" โชติตะโกนออกไป
พรายพยัคฆ์หันมามองโชติด้วยดวงตาสีอำพันที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือด มันทิ้งพรานป่าที่บาดเจ็บและวิ่งเข้าใส่โชติอย่างรวดเร็ว
โชติไม่รอช้า เขาเข้าสู่กระบวนท่า มวยไชยาโบราณ ที่ถูกสอนโดยท้าววิรูปักษ์ เขาใช้ หมัดโค่นต้น ที่ถูกเคลือบด้วยไอเย็นยะเยือกของท้าววิรูปักษ์เพื่อเข้าปะทะกับพรายพยัคฆ์
ปั่ก!
หมัดของโชติพุ่งเข้าปะทะกับหน้าผากของพรายพยัคฆ์อย่างจัง แต่พรายพยัคฆ์เป็นสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งทางกายภาพสูงมาก โชติถูกซัดกระเด็นไปไกลจนกระแทกกับต้นไม้อย่างรุนแรง
"โง่เง่า! การโจมตีตรง ๆ มันไม่ได้ผล! ใช้ ศิลปะการป้องกัน สิวะ! และใช้พลังไอเย็นของข้าให้เกิดประโยชน์!" ท้าววิรูปักษ์ดุด่าอย่างรุนแรง
โชติลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่างกาย เขาใช้ ศอกกลับหลัง และ เข่าผ่าครุฑ เข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว แต่พรายพยัคฆ์ก็ว่องไวมากจนยากจะจับทางได้
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด โชติใช้ ความอดทน ที่ไม่มีใครเทียบได้ของเขาในการหลีกเลี่ยงการโจมตีที่รุนแรงของพรายพยัคฆ์ และค่อย ๆ สะสมความเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการใช้ ไอเย็น จากลายสักเพื่อชะลอการเคลื่อนไหวของมัน
พรายพยัคฆ์เริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด และร่างกายของมันเริ่มมีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่บางส่วน
โชติเห็นโอกาส เขาใช้ เกราะป้องกัน ที่แขนที่ถูกสร้างขึ้นจากลายสักนาคราช (ซึ่งยังคงเป็นรูปเกล็ดนาคจาง ๆ) เพื่อป้องกันการขย้ำของพรายพยัคฆ์ และใช้ หมัดโคตรสาร ที่มีน้ำหนักที่สุดที่เขาทำได้ซัดเข้าไปที่ใต้คางของมัน
พลั่ก!
พรายพยัคฆ์ล้มลงด้วยความเจ็บปวด มันกระอักเลือดสีดำออกมาและเริ่มสลายเป็น ดวงวิญญาณสีแดงเข้ม ที่เรืองแสงขึ้นมา
"ยอดเยี่ยม! รีบจับวิญญาณมันซะ! จำไว้! เจ้าต้องใช้ พลังจิต และ สมาธิ เพื่อดึงมันเข้าสู่ลายสัก!" ท้าววิรูปักษ์กล่าวอย่างตื่นเต้น
โชติใช้สมาธิทั้งหมดที่เขามี มุ่งเน้นไปที่ลายสักนาคราชที่หลัง ดวงวิญญาณสีแดงเข้มของพรายพยัคฆ์เริ่มไหลเข้าสู่ลายสักนาคราชอย่างช้า ๆ และในที่สุด มันก็ถูก ดูดกลืน เข้าไปอย่างสมบูรณ์
ความรู้สึกที่โชติได้รับหลังการดูดกลืนวิญญาณของพรายพยัคฆ์นั้นต่างจากตอนที่ได้รับวิญญาณของท้าววิรูปักษ์อย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่เป็น พลัง ที่พุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกายของเขา!
จุดเปลี่ยน: การพัฒนาของวิญญาณ
เมื่อโชติลืมตาขึ้น ลายสักบนหลังของเขาได้ เปลี่ยนแปลง ไปแล้ว ลายสักนาคราชเกล็ดดำยังคงอยู่ แต่มี รอยสักรูปเสือโคร่ง สีแดงเข้มขนาดเล็ก ๆ ปรากฏอยู่บน ไหล่ซ้าย ของเขาอย่างชัดเจน และ ไองั่ง ที่เอวของเขาก็เรืองแสงจาง ๆ ก่อนจะดับลง
"ยินดีด้วย! เจ้าได้ก้าวขึ้นสู่ นักมวยท้องถิ่น ระดับ 2 แล้ว! วิญญาณของพรายพยัคฆ์ได้ถูกเก็บไว้ในลายสักของเจ้าอย่างสมบูรณ์! และพลังของมันได้ถูกรวมเข้ากับร่างกายของเจ้า!" ท้าววิรูปักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่พอใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
โชติรู้สึกถึง พละกำลัง ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และการเคลื่อนไหวของเขาก็ว่องไวขึ้นราวกับ เสือ ร่างกายที่เคยผอมแห้งเริ่มมีกล้ามเนื้อที่หนาแน่นขึ้นตามธรรมชาติของนักมวย
นอกจากนี้เขายังสามารถเรียกใช้ เกราะรบ จากวิญญาณของพรายพยัคฆ์ได้แล้ว! โชติลองใช้พลังจิตของเขา และลายสักรูปเสือโคร่งบนไหล่ซ้ายก็เรืองแสงขึ้นก่อนจะกลายเป็น สนับไหล่ สีแดงดำที่ดูดุดันและแข็งแกร่งราวกับกระดูกของเสือ
"จงจำไว้! การดูดกลืนวิญญาณไม่ได้แค่ทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น! มันยังทำให้ วิญญาณเก่า แข็งแกร่งขึ้นด้วย! วันนี้พลังของข้าได้ถูกปลดผนึกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย! การโจมตีด้วยไอเย็นของเจ้าจะรุนแรงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว!"
โชติมองไปที่ พรานป่า ที่ยังคงนอนบาดเจ็บอยู่ เขาแสดงสีหน้าเย็นชาภายนอก แต่ภายในจิตใจเขากำลังกังวลถึงความปลอดภัยของชายคนนั้น โชติฉีกผ้าบางส่วนจากเสื้อของตัวเองและนำไปพันแผลให้พรานป่าอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะทิ้งสมุนไพรบางชนิดไว้ให้
เขาไม่รอคำขอบคุณ โชติเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ และมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าหิมพานต์ที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและอันตราย
การผจญภัยเพื่อตามหาวิถีแห่งความแข็งแกร่ง... และ การช่วยวิวร ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว!
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!