เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทั้งจวนหลี่ กลิ่นคาวเลือดอบอวลจนแทบหายใจไม่ออก เปลวไฟลุกโชนเผาอาคารเรือนใหญ่ให้กลายเป็นทะเลเพลิง แสงสีแดงฉานสะท้อนบนผนังห้องที่พังทลาย
หลี่หมิงจู ยืนอยู่ท่ามกลางความโกลาหล ดวงตาสั่นระริก น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาด ร่างบิดาของนาง—ท่านหลี่อี้เหวิน ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ถูกกระบี่เสียบทะลุคอหอยล้มลงตรงหน้า ส่วนมารดาและพี่ชายทั้งสองก็ถูกทหารลากออกไปเชือดคออย่างไร้ความปรานี
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! ไม่! ได้โปรดอย่าทำอะไรพวกเขา!” เสียงหวีดร้องของหมิงจูขาดห้วง ร่างเล็กวิ่งเข้าไปหาครอบครัว แต่ก็ถูกผลักจนล้มคว่ำบนพื้นหินเย็นเฉียบ
ทหารในชุดเกราะสีดำห้อมล้อมรอบกาย กักขังนางไว้ในวงล้อมเช่นสัตว์ป่าในกรง
> และตรงนั้นเอง—เขาก็ปรากฏกาย
ชายหนุ่มผู้ที่นางเคยหลงรักสุดหัวใจ อ๋องเฉิงหง ในชุดอาภรณ์สีครามหรูหรา ก้าวเดินออกมาจากเงามืดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่นางเคยเชื่อมั่น แต่ยามนี้กลับบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“หมิงจู…” เสียงของเขาแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยพิษร้าย “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าทั้งหมดนี้คือชะตาของตระกูลหลี่ เจ้าคิดหรือว่าความงามเล็กน้อยของเจ้าจะทำให้ข้าหลงจนยอมแลกทุกอย่าง?”
หมิงจูตัวสั่น ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “ท่าน…ท่านบอกว่ารักข้า ท่านสาบานต่อหน้าบรรพชนว่าจะปกป้องข้าและตระกูลหลี่มิใช่หรือ? เหตุใดจึง…”
เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังขึ้น เฉิงหงยกกระบี่ขึ้นวาดในอากาศ เลือดหยดสุดท้ายจากปลายคมกระบี่หยดลงบนพื้นหิน
“ความรัก? ฮึ ความรักของเจ้ามีค่าอันใดต่อข้าเล่า… ตระกูลหลี่มั่งคั่ง มีอำนาจ ข้าเพียงต้องการใช้เจ้าเป็นสะพานเหยียบขึ้นสู่อำนาจสูงสุด ตอนนี้เมื่อทุกอย่างอยู่ในมือข้าแล้ว ตระกูลหลี่ก็หมดประโยชน์!”
คำพูดนั้นเฉือนลึกลงไปในหัวใจของหมิงจูดุจคมมีดนับพันเล่ม นางแทบหายใจไม่ออก ทั้งร่างทรุดฮวบลงกับพื้น
ไฟลุกโหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ เสียงกรีดร้องของคนในจวนค่อย ๆ เงียบหายทีละคนสองคน เหลือเพียงความเงียบงันและกลิ่นไหม้ที่ปกคลุมไปทั่ว
ดวงตาของหมิงจูพร่ามัว ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง เลือดจากบาดแผลไหลรินจนเสื้อผ้าเปรอะเปื้อน นางรู้ว่าตนเองกำลังจะตาย—ตายไปพร้อมกับครอบครัว ตายไปพร้อมกับความไว้วางใจอันโง่เขลา
แต่ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะดับลง นางกัดฟันกรอด น้ำตาไหลอาบแก้ม พลางเปล่งเสียงสุดท้ายออกมาด้วยแรงแค้นที่กัดกินวิญญาณ
> “สวรรค์ หากท่านยังเมตตา… ขอโปรดให้หมิงจูมีชีวิตอีกครั้ง! ข้าขอสาบาน… ชาตินี้หากได้หวนคืน ข้าจะลุกขึ้นมาล้างแค้นให้ตระกูลหลี่ จะทำลายผู้ทรยศและผู้สมรู้ร่วมคิดให้สิ้น!”
ทันใดนั้น—ท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ท้องฟ้าด้านบนกลับแลบสายฟ้าแปลบปลาบ ฟาดลงมากลางลานจวนสว่างวาบดุจกลางวัน
พลังบางอย่างราวกับดึงวิญญาณของหมิงจูออกจากร่างที่สิ้นหวัง สติเลือนหายไปในห้วงมืด ก่อนที่นางจะรับรู้ได้ถึงแสงอุ่นประหลาดที่ห่อหุ้มดวงวิญญาณเอาไว้
เมื่อหมิงจูลืมตาขึ้นอีกครั้ง…
สิ่งแรกที่นางเห็นไม่ใช่เปลวเพลิง ไม่ใช่เลือด หรือรอยยิ้มเย็นชาของอ๋องเฉิงหง หากแต่เป็นเพดานไม้เรียบง่ายของห้องหอที่คุ้นตา เสียงประทัดดังจากนอกหน้าต่าง และกลิ่นหอมของดอกเหมยที่ลอยมากับสายลม
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง หัวใจเต้นระรัว
นี่คือวันก่อนพิธีแต่งงาน… วันที่นางถูกส่งตัวไปยังจวนอ๋องเฉิงหง!
น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด—หากแต่เป็นเพราะสวรรค์ได้ยินคำอธิษฐานของนาง
หมิงจูค่อย ๆ ยกมือขึ้นแตะใบหน้าของตน มันอ่อนเยาว์ สดใส ร่างกายยังไร้บาดแผล ทุกสิ่งเหมือนย้อนกลับไปยังวัยสิบหกปีอีกครั้ง
> “ข้า… ได้เกิดใหม่จริง ๆ”
ในห้วงใจของนาง ไฟแห่งความแค้นถูกจุดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพียงหญิงสาวผู้บริสุทธิ์และอ่อนแออีกต่อไป แต่เป็นวิญญาณฟีนิกซ์ที่พร้อมเผาผลาญทุกคนที่หักหลัง
> “อ๋องเฉิงหง… เจ้าจงรอข้าเถิด”
เสียงประทัดดังสนั่นจากนอกจวน ปลุกให้หลี่หมิงจูหลุดออกจากภวังค์ความทรงจำ ดวงตาของนางยังแดงก่ำเพราะน้ำตาเมื่อครู่ แต่มุมปากกลับยกยิ้มเย็นชา
ครั้งหนึ่งนางเคยตื่นขึ้นมาในห้องนี้ด้วยหัวใจพองโต เต็มไปด้วยความคาดหวังต่อพิธีวิวาห์ที่ใกล้จะมาถึง แต่บัดนี้หัวใจของหมิงจูกลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สุมอยู่ในอก
> “ในเมื่อสวรรค์ให้โอกาส… ข้าจะไม่ยอมเดินซ้ำรอยชะตาเดิมอีกต่อไป”
ประตูห้องเปิดออก อวี้หลาน บ่าวสาวผู้ติดตามนางมาตั้งแต่วัยเยาว์เดินเข้ามา ใบหน้ายิ้มแย้มเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“คุณหนู! อีกเพียงหนึ่งวันก็จะถึงพิธีแต่งงานแล้วเจ้าค่ะ ทุกคนต่างอิจฉาท่านนัก เพราะท่านกำลังจะได้เป็นพระชายาของอ๋องเฉิงหง ท่านอ๋องมีวาสนาสูงส่ง ทั้งยังอ่อนโยนต่อท่าน…”
หมิงจูมองอวี้หลานเงียบ ๆ หัวใจของนางเจ็บจี๊ดเมื่อได้ยินคำว่า “อ่อนโยน” คำนี้ในชาติก่อนคือภาพลวงตาที่มอมเมานางจนตาบอด แต่บัดนี้…มันกลับเป็นมีดที่กรีดลึกลงไปในบาดแผลเดิม
นางสูดลมหายใจลึก กลบความเกรี้ยวกราดในอก ก่อนตอบเสียงนุ่ม “ใช่แล้ว อวี้หลาน… อ๋องเฉิงหงเป็นบุรุษที่เลอเลิศที่สุดในใต้หล้า ข้ามีวาสนาเหลือเกินที่ได้แต่งกับเขา”
คำพูดนั้นทำให้อวี้หลานยิ่งยิ้มกว้าง โดยไม่รู้เลยว่าในแววตาของคุณหนูตนตอนนี้ซ่อนความเย็นชาดุจน้ำแข็ง
> “อ๋องเฉิงหง… ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสความอ่อนโยนที่เจ้ามอบให้ข้าในชาติก่อนกลับคืนไปเป็นพันเท่า”
ยามบ่ายวันนั้น จวนหลี่ครึกครื้นด้วยการเตรียมงาน บ่าวไพร่ขะมักเขม้นตกแต่งห้องหอ แขกเหรื่อทยอยส่งของขวัญมาร่วมยินดี บิดาของนาง—ท่านหลี่อี้เหวิน กำลังยืนสนทนากับแขกผู้ใหญ่ด้วยใบหน้าภาคภูมิ
หมิงจูยืนมองบิดาอยู่ห่าง ๆ หัวใจแหลกสลายเมื่อนึกถึงภาพในชาติที่แล้ว—บิดาที่ล้มลงกลางลานจวน เลือดสาดกระเซ็นเต็มพื้น
น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นางกดกลั้นเอาไว้ ไม่ยอมให้ใครเห็น
“ท่านพ่อ… โปรดวางใจเถิด ครั้งนี้ลูกจะปกป้องท่านและทุกคนให้ได้”
ค่ำคืนก่อนวันแต่งงาน ฟ้าสีหม่นหมอง ลมหนาวพัดแรงจนโคมไฟสั่นไหว หมิงจูนั่งอยู่เพียงลำพังในห้องหอ ดวงตาจับจ้องไปยังตะเกียงน้ำมันที่เปลวไฟไหววูบ
เสียงในหัวดังก้องไม่หยุด—ภาพความตายในชาติที่แล้ว ภาพครอบครัวถูกฆ่า ภาพรอยยิ้มเย้ยหยันของอ๋องเฉิงหง
> “หากอยากเอาชนะเจ้า ข้าจำเป็นต้องรู้จักเจ้ามากกว่าเดิม”
หมิงจูวางแผนอย่างเงียบงัน นางรู้ดีว่าเพียงแรงแค้นอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะเอาชนะอ๋องผู้มีทั้งอำนาจและไพร่พล นางจำเป็นต้องหาพันธมิตร ต้องหาผู้ที่แข็งแกร่งพอจะช่วยนางโค่นคนทรยศ
ในยามนั้นเอง เสียงเกือกม้าดังมาจากหน้าจวน บ่าววิ่งเข้ามารายงานว่า “คุณหนูเจ้าคะ! มีขบวนเสด็จของฮ่องเต้เสด็จผ่านทางเมืองนี้ บังเอิญหยุดพักที่ศาลาริมน้ำข้างจวนของเรา!”
คำว่า ฮ่องเต้ ทำให้หมิงจูสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นทันที
สวีเหลี่ยนหยาง… พระจักรพรรดิหนุ่มผู้ปกครองแผ่นดินด้วยความเด็ดขาด ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่วว่าเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม เย็นชา และไร้คู่เปรียบในสนามรบ
หมิงจูนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนมุมปากจะยกยิ้มเย็นบาง ๆ
> “สวรรค์… หรือท่านกำลังเปิดเส้นทางให้ข้าแล้ว?”
รุ่งอรุณแรกของวันวิวาห์ เสียงกลองมงคลดังสนั่นไปทั่วเมือง ธงสีแดงถูกประดับประดาเต็มสองข้างทาง ชาวบ้านต่างออกมายืนดูขบวนเจ้าบ่าวด้วยความตื่นเต้น
ภายในจวนหลี่ บ่าวไพร่วุ่นวายกับการจัดเตรียมพิธี บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นบาน ทุกคนต่างเชื่อว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดของตระกูลที่คุณหนูหลี่หมิงจูได้แต่งเข้าสู่จวนอ๋องผู้ทรงอำนาจ
ทว่าท่ามกลางความยินดีเหล่านั้น มีเพียงหมิงจูที่นั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองในห้องหอ ดวงตาสีดำขลับจับจ้องใบหน้าของตนเองในชุดเจ้าสาวสีแดงสด
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเย็นเชียบ—รอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดมองออกว่าซ่อนความแค้นราวไฟนรกเอาไว้
> “พิธีวิวาห์ในวันนี้… หากเป็นชาติก่อน ข้าคงเปี่ยมด้วยความหวัง ทว่าชาตินี้ มันคือเวทีแห่งการลวงคืน”
เสียงบ่าวสาวร้องเรียกอยู่ด้านนอก
“คุณหนูเจ้าขา ถึงเวลาสวมผ้าคลุมหน้าแล้วเจ้าค่ะ!”
อวี้หลานเข้ามาช่วยจัดผ้าคลุมปักดิ้นทองลงบนศีรษะหมิงจู ขณะเดียวกันก็พึมพำด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณหนูเจ้าขา นี่คือวันสำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน โปรดอย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ…”
หมิงจูหันไปมองบ่าวสาวที่ซื่อสัตย์คนนั้น แววตาอ่อนลงเล็กน้อย นางเอื้อมมือแตะไหล่เบา ๆ
“อวี้หลาน เจ้าจงจำคำข้าดี ๆ ไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น…จงอยู่ให้ห่างจากอ๋องเฉิงหง”
อวี้หลานชะงัก ก่อนจะยิ้มละไมโดยไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งในคำเตือนนั้น
เสียงฆ้องกลองดังขึ้นอีกครั้ง ขบวนเจ้าบ่าวมาถึงจวนหลี่แล้ว
อ๋องเฉิงหงในชุดมงคลสีแดงทอง ก้าวลงจากหลังม้า ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้คน ใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มอ่อนโยนในแบบที่ครั้งหนึ่งเคยมอมเมาหมิงจูจนตาบอด
แต่คราวนี้…หมิงจูเพียงก้มศีรษะ ซ่อนรอยยิ้มเหยียดที่มุมปากไว้ใต้ผ้าคลุมหน้า
> “เฉิงหง… ในที่สุดก็ถึงวันของเจ้า แต่เจ้าหาได้รู้ไม่ ว่าวันนี้มิใช่ชัยชนะของเจ้า หากแต่เป็นวันเริ่มต้นของการสูญสิ้น”
พิธีแต่งงานดำเนินไปตามธรรมเนียม—เจ้าสาวถูกพาเข้าสู่เกี้ยวมังกร ขบวนแห่เคลื่อนไปตามถนน เสียงกลองแตรขลุ่ยดังสนั่น ผู้คนต่างโบกมือแสดงความยินดี
ทว่าเมื่อขบวนเคลื่อนผ่านศาลาริมน้ำที่อยู่นอกเมือง กลับปรากฏขบวนเสด็จของฮ่องเต้ประทับอยู่ที่นั่นโดยบังเอิญ
สวีเหลี่ยนหยาง จักรพรรดิผู้สูงส่ง ประทับบนรถม้าสีดำเรียบหรู รายล้อมด้วยองครักษ์ในชุดเกราะดำเป็นแถวราวกำแพงเหล็ก บรรยากาศรอบกายของพระองค์เงียบสงัดจนแม้แต่ลมหนาวยังดูเกรงกลัว
เพียงแค่สายตาคมกริบที่ทอดมามอง…หมิงจูก็รู้สึกเหมือนถูกอ่านทะลุถึงก้นบึ้งหัวใจ
ในชั่วขณะที่ขบวนเจ้าบ่าวหยุดนิ่งตามธรรมเนียมถวายความเคารพ หมิงจูภายใต้ผ้าคลุมหน้าก็หันสายตาขึ้นสบกับฮ่องเต้โดยไม่ตั้งใจ
หัวใจนางเต้นแรง—สายตานั้นมิใช่เพียงสายตาของผู้ปกครองแผ่นดิน แต่เหมือนสายตาที่กำลังประเมินและจับตามองเป้าหมายบางอย่าง
> “สวรรค์… ข้าจะถือว่านี่คือสัญญาณ… ข้าต้องหาทางเข้าถึงเขาให้ได้”
เมื่อถึงจวนอ๋อง พิธีไหว้ฟ้าดินและบรรพชนเริ่มต้นขึ้น บ่าวไพร่และแขกเหรื่อมากมายต่างส่งเสียงอวยพร
อ๋องเฉิงหงจับมือหมิงจูแน่น พาไปคำนับต่อหน้าแท่นบูชา เสียงเขานุ่มนวลชวนให้หญิงสาวหลงใหล
“หมิงจู… จากนี้ไปเจ้าคือภรรยาของข้า เป็นผู้หญิงของข้าเพียงผู้เดียว”
หมิงจูยิ้มอ่อนใต้ผ้าคลุมหน้า แต่ในใจกลับหัวเราะเยาะเยียบ
> “ภรรยา? เพียงอีกไม่นาน เจ้าจะได้ลิ้มรสว่าการมีภรรยาผู้รู้ความจริงและถือดวงใจแค้นอยู่ในอกนั้น…คือหายนะเช่นไร”
---
ค่ำคืนนั้น เมื่อแขกเหรื่อทยอยกลับ และห้องหอถูกจุดโคมแดงสว่างไสว อ๋องเฉิงหงเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความพึงใจ
เขาเอื้อมมือจะเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก…
แต่ทันใดนั้น—เสียงฆ้องยามดังขึ้นอย่างกะทันหันจากนอกจวน ตามมาด้วยเสียงองครักษ์ตะโกนลั่น
“ฮ่องเต้เสด็จ!”
ทั้งจวนอ๋องสั่นสะเทือนด้วยความโกลาหล อ๋องเฉิงหงชะงัก ใบหน้าเปลี่ยนสีไปชั่วขณะ ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วหันไปต้อนรับ
หมิงจูใต้ผ้าคลุมหน้าก้มศีรษะ… แต่ริมฝีปากกลับโค้งยิ้มเย็น
> “สวีเหลี่ยนหยาง… เจ้าเลือกเวลามาได้เหมาะนัก”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!