แสงแดดยามเช้าทอดส่องลงมาต้องใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งนามว่าอาราเพิล เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พลางก้าวลงจากรถม้าด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นเต้นดุจปีกของนกตัวเล็ก ๆ ที่กำลังจะโบยบินสู่โลกกว้าง เบื้องหน้าเธอคืออาคารหินโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาจนดูเหมือนผืนป่าทึบ มันคือโรงเรียนเวทมนตร์อาร์คาเนีย ที่ที่เด็กทุกคนในอาณาจักรใฝ่ฝันอยากจะเข้าไปศึกษา ที่ที่เต็มไปด้วยความรู้และศาสตร์แห่งเวทมนตร์มากมาย
“อาราเพิล!” เสียงเรียกชื่อดังมาจากด้านหลัง ทำให้อาราเพิลหันไปมอง เธอเห็นพ่อและแม่ยืนยิ้มให้ด้วยแววตาภาคภูมิใจ ดวงตาของแม่มีน้ำตาคลอเล็กน้อย แต่รอยยิ้มที่มอบให้นั้นเต็มไปด้วยความรักและความหวัง
“แม่จะไปแล้วนะลูก ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ” แม่กอดเธอแน่น น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาพ่อกับแม่บ่อย ๆ นะ”
“ค่ะคุณแม่” อาราเพิลตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เธอเองก็รู้สึกตื้นตันไม่ต่างกัน เธอกอดลาพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินเข้าสู่ประตูโรงเรียนอย่างกล้าหาญ เสียงก้าวเท้าของเธอแผ่วเบา แต่ในใจนั้นเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจ
หญิงสาวตัวน้อยในชุดเสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนก้าวเดินไปข้างหน้าต่อด้วยหัวใจที่เต้นรัวเหมือนกลองในงานเทศกาล ดวงตากลมโตเป็นประกายดั่งดวงดาวในยามค่ำคืน ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ เส้นผมสีชมพูอ่อนที่ไล่เฉดสีไปจนถึงปลายผมสีแดงราวกับกลีบดอกไม้แรกแย้มปลิวไสวไปตามสายลม เธอคืออาราเพิล เด็กสาววัย 12 ปีที่ในที่สุดก็ได้เดินทางมาถึงโรงเรียนเวทมนตร์อันเป็นความใฝ่ฝันสูงสุดในชีวิต
เบื้องหน้าของเธอคือประตูไม้โอ๊คขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านราวกับประตูสู่ดินแดนมหัศจรรย์ อาราเพิลแหงนหน้ามองอาคารหินที่เก่าแก่และขลังอย่างไม่รู้เบื่อ เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเวทมนตร์โบราณที่อบอวลอยู่ในอากาศ ราวกับว่าอาคารแห่งนี้มีชีวิตและกำลังกระซิบเรื่องราวในอดีตให้เธอฟัง
อาราเพิลหลงใหลในเรื่องราวตำนาน สัตว์วิเศษ และศาสตร์แห่งเวทมนตร์มาตั้งแต่เด็ก เธอใช้เวลาหลายชั่วโมงในห้องสมุดของหมู่บ้านเพื่ออ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้เธอมีความรู้มากมายเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน บางครั้งเธอจินตนาการว่าตัวเองกำลังขี่มังกรในตำนาน หรือกำลังฝึกร่ายเวทมนตร์อันทรงพลังเพื่อปกป้องผู้คน
ถึงแม้ภายนอกอาราเพิลจะดูเป็นเด็กสาวที่น่ารักและอ่อนโยน แต่ภายในจิตใจของเธอนั้นแข็งแกร่งกว่าที่ใครจะคาดคิด เธอเคยผ่านเรื่องราวที่ยากลำบากมาแล้วหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ อาราเพิลเชื่อว่าความเข้มแข็งไม่ได้อยู่ที่พลังเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ แต่อยู่ที่หัวใจที่ไม่ยอมแพ้และพร้อมจะเผชิญหน้ากับอุปสรรคทุกอย่าง
ในตอนที่อาราเพิลก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามาในอาณาเขตของอะคาเดมี่ ภาพที่เห็นทำให้เธอต้องหยุดชะงักราวกับต้องมนตร์สะกด มันไม่ใช่แค่ความตระการตา แต่เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งอย่างแท้จริง
เพดานที่สูงลิ่วไม่ใช่แค่เพดานธรรมดา แต่มันคือผืนฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวนับล้านดวง แต่ละดวงเปล่งประกายระยิบระยับ และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือดวงดาวเหล่านั้นไม่ได้หยุดนิ่ง แต่เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต บางดวงลากเส้นแสงเป็นทางยาวคล้ายดาวตกก่อนจะเลือนหายไป บางกลุ่มก่อตัวเป็นกลุ่มดาวที่ดูคุ้นตาแล้วค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างไปอย่างช้าๆ อาราเพิลแหงนมองภาพเบื้องบนอย่างหลงใหลจนลืมตัวไปชั่วขณะ
โถงทางเดินกว้างใหญ่ที่ทอดตัวยาวไปข้างหน้าปูด้วยหินอ่อนสีขาวนวลที่สะท้อนแสงจากดวงดาวบนเพดานให้ส่องสว่างขึ้นไปอีกสองเท่า บนผนังทั้งสองข้างประดับด้วยรูปปั้นขนาดเท่าคนจริงของเหล่าจอมเวทในตำนาน แต่ละองค์มีรายละเอียดที่งดงามราวกับมีชีวิต รูปปั้นบางองค์ยืนสงบนิ่งพร้อมคทาคู่กาย บางองค์กำลังกางแขนออกคล้ายกำลังร่ายเวทมนตร์อันทรงพลัง และบางองค์ก็กำลังโอบอุ้มมังกรตัวจิ๋วไว้ในอ้อมแขน รูปปั้นแต่ละองค์ดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องราวความยิ่งใหญ่ในอดีตที่อาราเพิลเคยได้ยินแต่ในนิทานให้มีชีวิตขึ้นมาตรงหน้า
“ตามมาทางนี้เลยทุกคน” เสียงของนักเรียนรุ่นพี่คนหนึ่งดังขึ้น ทำให้อาราเพิลได้สติ เธอยิ้มเจื่อนๆ ให้รุ่นพี่แล้วรีบก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว ความตื่นเต้นในใจพุ่งสูงขึ้นราวกับมีพลังเวทพลุ่งพล่านอยู่ในกาย
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่ ประตูไม้โอ๊คขนาดมหึมาเปิดออก เผยให้เห็นภายในที่กว้างขวางจนมองไม่เห็นสุดปลายตา ภายในห้องเต็มไปด้วยนักเรียนใหม่มากมายจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังระงมไปทั่ว บ้างก็เป็นมนุษย์ที่ดูเงียบขรึม บ้างก็เป็นเอลฟ์ผู้สูงศักดิ์ที่กำลังพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น บ้างก็เป็นคนแคระตัวเล็กๆ ที่กำลังมองสำรวจไปรอบๆ อย่างสนใจ
อาราเพิลยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ และสัมผัสได้ถึงพลังเวทอันมหาศาลที่แผ่กระจายไปทั่วห้องโถง พลังงานเหล่านี้ไม่ใช่พลังเวทของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นพลังของทุกคนที่มารวมกันที่นี่ ณ ตอนนี้ ที่นี่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ การผจญภัยที่น่าตื่นเต้น และการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเหล่าผู้ที่ถูกเลือก
ขณะที่อาราเพิลกำลังมองหาที่ว่างเพื่อยืนอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นข้างๆ “ไม่คิดเลยว่าจะได้เข้ามาที่นี่จริงๆ นะเนี่ย” หญิงสาวคนนั้นหันมามองอาราเพิลพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร อาราเพิลส่งยิ้มตอบกลับไป หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหวังและความตื่นเต้น อะคาเดมี่แห่งนี้จะเป็นบ้านหลังที่สองของเธอ และการผจญภัยครั้งใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“เงียบ!” น้ำเสียงทรงพลังดังขึ้น ทำให้นักเรียนทุกคนเงียบลงในทันที
“ยินดีต้อนรับนักเรียนใหม่ทุกคน” อาจารย์ใหญ่ปรากฏตัวขึ้นบนเวที
“ข้าคือเอลดริด ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้ พวกเจ้าทุกคนมาที่แห่งนี้เพื่อเรียนรู้ศาสตร์แห่งเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ และเพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องอาณาจักรแห่งนี้”
หลังจากอาจารย์ใหญ่กล่าวต้อนรับขณะที่นักเรียนใหม่กลุ่มใหญ่ยืนรออย่างใจจดใจจ่ออยู่ในห้องโถงใหญ่ เสียงประกาศก้องกังวานก็ดังขึ้นเพื่อขานชื่อของพวกเขาแต่ละคน
วันแรกของการเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์อาร์คาเนียไม่ใช่แค่การรับฟังพิธีเปิดอันแสนน่าเบื่อ แต่เป็นการรับชุดนักเรียนที่จะเปลี่ยนชีวิตของนักเรียนใหม่ทุกคนไปตลอดกาล
เมื่ออาราเพิลก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของสมุนไพรและกลิ่นหนังสือเก่าๆ ผสมผสานกันอย่างลงตัว
ตรงกลางห้องมีกล่องไม้แกะสลักวางอยู่บนแท่นหินอ่อน แต่ละกล่องมีชื่อของนักเรียนใหม่สลักอยู่ด้านบน และกล่องที่มีชื่อของอาราเพิลก็อยู่ในนั้นเช่นกัน
ชื่อแล้วชื่อเล่าถูกเรียกขานดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง แต่ละคนก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้นระคนประหม่าเพื่อรับมอบชุดนักเรียนที่ตัดเย็บอย่างประณีตและอุปกรณ์เวทมนตร์ของตนเอง บางคนอาจได้ไม้กายสิทธิ์เล่มใหม่ หรือไม่ก็หนังสือเวทมนตร์โบราณที่ดูมีมนตร์ขลัง
บางคนเดินตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยไปรับของ บางคนก็ก้าวไปอย่างเขินอาย แต่ใบหน้าของทุกคนล้วนฉายแววถึงอนาคตที่กำลังจะมาถึง อุปกรณ์แต่ละชิ้นที่ได้รับล้วนเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นบทใหม่ในชีวิตของพวกเขาในฐานะพ่อมดแม่มด
นักเรียนคนแล้วคนเล่าถูกเรียกชื่อเพื่อไปรับชุดนักเรียนและอุปกรณ์เวทมนตร์ของตนเอง จนถึงคิวของเธอ
“อาราเพิล ฟอนเทน” ชื่อของอาราเพิลถูกเรียกขึ้น
ทันทีที่ชื่อของอาราเพิลถูกขาน เธอรู้สึกราวกับหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ ความประหม่าเข้าครอบงำจนก้าวขาแทบไม่ออก แต่ด้วยกำลังใจจากตัวเอง เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ และหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ใหญ่
อาจารย์ใหญ่ผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นยื่นกล่องไม้ขนาดเล็กที่สลักเสลาอย่างสวยงามให้แก่เธอ
"ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังใหม่ของเจ้า อาราเพิล" เสียงอันนุ่มนวลกล่าวขึ้น
เธอเปิดฝากล่องขึ้นช้าๆ ภายในบรรจุชุดนักเรียนที่พับไว้อย่างเรียบร้อย อาราเพิลค่อยๆ หยิบชุดออกมาด้วยความประหลาดใจ ชุดคลุมแม่มดสีดำสนิทประดับด้วยลวดลายด้ายสีทองที่เปล่งประกายคล้ายกลุ่มดาวบนฟากฟ้ายามราตรี ชายเสื้อคลุมถูกตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยอัญมณีสีครามที่สะท้อนแสงอ่อนๆ ยามเคลื่อนไหว ภายใต้เสื้อคลุมคือเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเข้มที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาและเนกไทสีดำผูกเป็นโบว์อย่างเรียบร้อย กระโปรงบานสั้นสีแดงเข้มที่พริ้วไหวรับกับทุกย่างก้าวช่วยเสริมให้ชุดโดยรวมดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
จากนั้นเธอก็หยิบหมวกแม่มดทรงสูงที่ประดับด้วยจี้ทองคำเล็กๆ ห้อยระย้าอยู่ด้านข้าง มันดูเหมือนจะเป็นของวิเศษที่ผ่านเรื่องราวในอดีตมาอย่างยาวนาน ปิดท้ายด้วยรองเท้าบูทสีดำสนิทและผ้าพันข้อเท้าสีแดงเข้มที่เข้าชุดกันอย่างลงตัว
อาราเพิลลองสวมชุดดู ชุดนี้พอดีกับเธออย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับมันถูกสร้างมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ เมื่อสวมชุดนี้แล้ว อาราเพิลรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแม่มดอย่างเต็มตัว พร้อมที่จะเริ่มต้นการผจญภัยในโลกแห่งเวทมนตร์ที่เธอใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต
สวมชุดเสร็จอาราเพิลจึงเห็นของภายในกล่องไม้ ซึ่งมีอุปกรณ์สามชิ้นที่ดูเรียบง่ายแต่มนตร์ขลังที่ถูกวางทับด้วยชุดก่อนหน้านี้
ชิ้นแรกคือ ไม้กายสิทธิ์ มันเป็นไม้โอ๊คสีน้ำตาลเข้ม ดูหนักแน่นมั่นคง แต่เมื่อเธอจับมันกลับรู้สึกเบาราวขนนก ปลายไม้มีประกายแสงสีเขียวอ่อน ๆ ลอยอยู่เบาบาง
ชิ้นที่สองคือ เข็มกลัดโลหะรูปภูติพราย มันเป็นเข็มกลัดเงินขนาดเล็กที่มีปีกโปร่งแสงระยิบระยับ เมื่อติดลงบนชุดนักเรียน เข็มกลัดก็เปล่งประกายสีเงินอ่อน ๆ สว่างไสวขึ้นมา
ชิ้นสุดท้ายคือ สมุดบันทึกหนัง หน้าปกของมันดูเก่าแก่เหมือนผ่านกาลเวลามานานหลายศตวรรษ แต่ภายในกลับเป็นกระดาษสีขาวสะอาดที่รอคอยการจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ
อาราเพิลรับของวิเศษทั้งสามชิ้นมาถือไว้ในมือด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุด ของเหล่านี้ไม่เพียงเป็นเพียงอุปกรณ์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตบทใหม่ในฐานะพ่อมดแม่มดอย่างเต็มตัว
หลังการคัดสรรอันน่าตื่นเต้นสิ้นสุดลง เธอก็ถูกนำทางผ่านทางเดินที่สลับซับซ้อนของโรงเรียนไปยังหอพักสำหรับนักเรียนใหม่ ซึ่งตั้งอยู่แยกตัวออกมาจากอาคารหลัก
หอพักของเธอชื่อว่า หอพักภูติพราย เป็นอาคารหินขนาดเล็กที่ดูเหมือนจะซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ หอพักแห่งนี้มีบรรยากาศที่เงียบสงบและดูเก่าแก่ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของป่ามานานแล้ว
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องพัก อาราเพิลพบกับห้องเล็ก ๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงสิ่งของจำเป็นอย่างเตียงนอนที่ปูผ้าห่มสีเข้ม โต๊ะเขียนหนังสือไม้เนื้อแข็งที่ตั้งชิดผนัง และชั้นวางหนังสือที่ดูเหมือนจะรอคอยให้มีหนังสือมาเติมเต็ม
เธอวางกระเป๋าลงบนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างบานเล็กที่เผยให้เห็นภาพป่าที่เขียวขจีทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เสียงนกร้องที่แว่วมาตามสายลมเย็น ๆ ช่วยปลอบประโลมจิตใจที่ตื่นเต้นและกังวลของเธอได้ไม่น้อย ทำให้เธอลืมความวุ่นวายที่ผ่านมา และเริ่มรู้สึกว่าที่นี่อาจจะเป็นบ้านหลังใหม่ของเธอได้จริง ๆ
ขณะที่อาราเพิลกำลังเพลิดเพลินอยู่กับความเงียบสงบในห้องพัก เสียงใส ๆ ก็ดังขึ้นจากประตู ทำให้เธอหันไปมองทันที
"ฮัลโหล! เธอคงจะเป็นเพื่อนใหม่ข้างห้องสินะ" เด็กหญิงผมสีทองยาวสลวยยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า
"เราชื่อ ลิเลีย ยินดีที่ได้รู้จักนะ!"
อาราเพิลรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มที่เป็นมิตร เธอยิ้มตอบอย่างเขิน ๆ
"เราชื่อ อาราเพิล ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ลิเลีย"
บทสนทนาของทั้งสองเป็นไปอย่างราบรื่นราวกับรู้จักกันมานาน ลิเลียเล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับโรงเรียนด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทั้งเรื่องห้องโถงใหญ่ที่เพดานสามารถเปลี่ยนเป็นภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ และเรื่องสวนสมุนไพรที่เต็มไปด้วยพืชวิเศษมากมาย
"ห้องสมุดที่นี่ใหญ่มหัศจรรย์มากเลยนะ! มีหนังสือเวทมนตร์ทุกแขนงเท่าที่เธอจะจินตนาการได้เลย" ลิเลียพูดด้วยแววตาเป็นประกาย
"เราอยากไปดูหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์รักษาโรคมากๆ เลยล่ะ"
"ว้าว ฟังดูน่าสนใจมากเลย" อาราเพิลกล่าว
"เราอยากรู้เรื่องของสัตว์วิเศษมากเลย ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีหนังสือเกี่ยวกับพวกนั้นรึเปล่า"
"ต้องมีแน่นอน!" ลิเลียตอบอย่างมั่นใจ
"ที่นี่มีทุกอย่างที่เธออยากรู้เลยล่ะ แล้วนี่…เธอมาจากไหนเหรอ เราไม่คุ้นหน้าเธอเลย"อาราเพิลยิ้มจางๆ
"เรามาจากหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ในป่าน่ะ ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่หรอก"
"ไม่เป็นไรน่า! ตอนนี้เธออยู่ที่นี่แล้ว" ลิเลียจับมืออาราเพิลเบาๆ
"เราดีใจนะที่ได้อยู่ห้องข้างๆ เธอ"
บทสนทนาของทั้งสองดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง พวกเธอแลกเปลี่ยนเรื่องราวส่วนตัวและความฝันในอนาคต ลิเลียพูดถึงความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักปรุงยา ส่วนอาราเพิลเล่าถึงความรู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองสามารถร่ายเวทมนตร์ได้ ทั้งสองพบว่าพวกเขามีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน
"ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ไปสำรวจห้องสมุดด้วยกันเลยไหมล่ะ" ลิเลียชวนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"เราจะได้หาหนังสือที่เราอยากอ่านกันไง!"
"ไปสิ!" อาราเพิลพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น เธอรู้สึกราวกับได้พบกับเพื่อนแท้คนแรกในที่แห่งนี้ ลิเลียทำให้ความกังวลที่เธอมีก่อนหน้านี้เลือนหายไปจนหมดสิ้น และแทนที่ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้สำรวจโลกเวทมนตร์อันกว้างใหญ่ไปพร้อมกับเพื่อนคนใหม่ของเธอ
เมื่อบานประตูไม้โอ๊คขนาดมหึมาของห้องสมุดโรงเรียนอาร์คาเนียเปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้อาราเพิลและลิเลียถึงกับต้องหยุดชะงักราวกับต้องมนตร์สะกด ไม่ใช่แค่ห้องสมุดทั่วไป แต่ที่นี่คืออาณาจักรของหนังสือที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพดานที่สูงลิบลิ่วจนแทบจะมองไม่เห็นยอดประดับด้วยโคมไฟระย้าที่เปล่งแสงสีทองสลัวๆ ลงมา ส่องให้เห็นถึงชั้นหนังสือที่สูงเสียดฟ้า เรียงรายกันเป็นแถวเหมือนกำแพงสูงใหญ่ที่สร้างจากความรู้ หนังสือแต่ละเล่มปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาบ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านไปอย่างยาวนาน กลิ่นกระดาษเก่าๆ และกลิ่นหมึกพิมพ์โบราณอบอวลอยู่ในอากาศ สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและขลังอย่างน่าประหลาด
“ว้าว...นี่มันยิ่งกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก” อาราเพิลอุทานด้วยความทึ่ง สายตาของเธอเป็นประกายระยิบระยับเมื่อมองสำรวจไปรอบๆ ราวกับเด็กที่ได้เข้ามาในร้านขนมที่ใฝ่ฝัน
“ฉันว่าฉันจะใช้เวลาทั้งชีวิตที่นี่ก็ยังอ่านไม่ครบเลย”
“ใช่ไหมล่ะ!” ลิเลียหัวเราะเบาๆ
“ที่นี่มีหนังสือทุกประเภทเลย อยากได้อะไรก็ขอให้อยากจะหาเจอก็พอ” ลิเลียพูดพลางเดินเข้าไปในส่วนของหนังสือเวทมนตร์รักษา
“ฉันไปดูตรงนั้นก่อนนะ อาราเพิลอยากไปดูอะไรก็ไปเลย”
“อืม...ได้เลย” อาราเพิลตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เธอเดินไปตามทางเดินแคบๆ ที่คั่นระหว่างชั้นหนังสือสูงๆ สองชั้น รู้สึกราวกับตัวเองเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ ในโลกอันกว้างใหญ่ของความรู้ เธอลูบไล้ปกหนังสือที่เก่าแก่ด้วยความรู้สึกเคารพ ในใจนึกถึงเรื่องราวและตำนานมากมายที่ซ่อนอยู่ในแต่ละหน้ากระดาษ
ทุกๆ ย่างก้าวที่เดินไปในห้องสมุดนี้ ราวกับเธอกำลังเดินทางผ่านอุโมงค์แห่งกาลเวลาที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ความลับ และเวทมนตร์ที่รอให้เธอค้นพบ
อาราเพิลเดินสำรวจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงมุมที่เงียบสงบที่สุดในห้องสมุด ที่นี่เป็นที่ที่แสงสว่างเข้าถึงน้อยที่สุด มีเพียงแสงสีทองสลัวๆ จากโคมไฟที่ส่องลงมาต้องกองหนังสือที่วางซ้อนกันจนแทบจะปิดบังทางเดินได้หมด กลิ่นกระดาษเก่าๆ และฝุ่นฟุ้งกระจายในอากาศจนเธอต้องยกมือขึ้นมาปัดป่ายเบาๆ
ในบรรดาหนังสือที่ดูเก่าคร่ำครึเหล่านั้น สายตาของอาราเพิลก็สะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่ง มันถูกวางซ้อนอยู่ใต้กองหนังสือเล่มอื่นราวกับจงใจจะซ่อนมันไว้ มันเป็นหนังสือปกสีน้ำตาลเข้มที่ดูเก่าแก่จนหน้ากระดาษเหลืองกรอบ มีลวดลายแปลกๆ ที่ดูคล้ายต้นไม้หรือรากไม้ที่พัวพันกันสลักอยู่บนปกอย่างประณีต และมีชื่อที่เขียนด้วยอักษรสีทองจางๆ ที่แทบจะเลือนหายไปแล้วว่า “ตำนานภูตที่สาบสูญ”
ด้วยความอยากรู้ อาราเพิลเอื้อมมือไปหยิบมันออกมาอย่างเบามือ สัมผัสถึงความเย็นชื้นและความเก่าแก่ของกระดาษที่กรอบจนแทบจะแตกสลายเมื่อแตะต้อง เธอค่อยๆ เปิดหน้าแรกอย่างระมัดระวัง ภายในนั้นไม่ใช่ตัวอักษรที่อัดแน่น แต่เป็นภาพวาดของสิ่งมีชีวิตในจินตนาการที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์ผสมกับมนุษย์ บางตัวมีปีกโปร่งใสคล้ายแมลงปอ บางตัวมีหูแหลมยาวและใบหน้าสงบเยือกเย็น และบางตัวก็มีปีกกว้างใหญ่ดุจนกอินทรี แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือพลังวิเศษที่พวกเขามี และความสัมพันธ์อันยาวนานที่เคยมีกับมนุษย์
อาราเพิลอ่านบรรทัดแรกอย่างตั้งใจ:
“ในอดีตกาล มนุษย์และภูตเคยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุด ภูตเป็นผู้มอบพลังเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ให้กับมนุษย์ แต่ด้วยความโลภของมนุษย์ ทำให้ภูตตัดสินใจยุติการทำสัญญาและหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้”
เรื่องราวนี้แตกต่างจากทุกสิ่งที่เธอเคยได้ยินมา หนังสือเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์มักจะกล่าวถึงเวทมนตร์ว่าเป็นพลังที่มนุษย์สร้างขึ้นเองเพื่อความก้าวหน้าของอาณาจักร แต่หนังสือเล่มนี้กลับบอกว่าเวทมนตร์เป็นของขวัญที่ได้รับมาจากเผ่าพันธุ์อื่น อาราเพิลอ่านอย่างตั้งใจ สายตาของเธอเลื่อนลงมายังย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับพิธีกรรมการอัญเชิญภูต
“มีเพียงมนุษย์ที่มีหัวใจบริสุทธิ์และปราศจากความโลภเท่านั้นที่จะสามารถทำพิธีอัญเชิญภูตได้อีกครั้ง และจะมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่ภูตจะปรากฏตัวให้เห็น”
ข้อความนี้ทำให้หัวใจของอาราเพิลเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น มันเป็นความรู้ที่แตกต่างจากทุกสิ่งที่เธอเคยเรียนมาในโรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้ ซึ่งเน้นไปที่การใช้พลังเวทมนตร์เพื่อประโยชน์ส่วนตนและความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรเท่านั้น ความคิดที่จะได้ทำสัญญากับภูตที่หายสาบสูญไปแล้ว ทำให้เธอรู้สึกราวกับได้ค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกใบนี้
ขณะที่อาราเพิลกำลังจดจ่ออยู่กับหนังสืออยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางเดิน
“อาราเพิล! เจอแล้วหรอ? กลับหอพักกันเถอะ” ลิเลียตะโกนเรียกเสียงดังพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ฉันหิวจนไส้จะขาดแล้วนะ!”
“อืม...เจอแล้วจ้ะ” อาราเพิลรีบซ่อนหนังสือเล่มนั้นไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบเนียน ใบหน้าฉายแววร้อนรนเล็กน้อย เธอเดินไปหาลิเลียพร้อมกับความคิดที่เต็มไปด้วยความลับและความสงสัยในใจ เธออยากจะกลับไปที่ห้องพักและอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นหนังสือต้องห้ามที่อาจนำพาอันตรายมาให้ เธอจะทำอย่างไรดีกับหนังสือลึกลับเล่มนี้ที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ?
อาจารย์หญิงผู้สอนวิชาการควบคุมธาตุมีชื่อว่า อาจารย์เอลร่า เธอเป็นแม่มดผู้สง่างามในชุดคลุมยาวสีเขียวมรกตที่ปักลวดลายต้นไม้แห่งชีวิต เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเธอมักจะถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูจริงจังและเด็ดขาด แววตาของเธอเฉียบคมราวกับเหยี่ยว และดูเหมือนจะสามารถมองทะลุเข้าไปในจิตใจของทุกคนได้
ในขณะที่นักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นเรียนกำลังตั้งใจเรียนรู้เกี่ยวกับการร่ายคาถาพื้นฐานเพื่อควบคุมธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ลูกไฟลอยได้ หรือการเสกสายลมให้พัดไปตามทิศทางที่ต้องการ อาราเพิลกลับไม่ได้สนใจบทเรียนที่อาจารย์หญิงกำลังบรรยายเลยแม้แต่น้อย เธอแอบซ่อนหนังสือ “ตำนานภูตที่สาบสูญ” ไว้ใต้โต๊ะเรียน และใช้เวลาในชั่วโมงเรียนแอบอ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างเงียบๆ
“อาราเพิล เธอฟังอาจารย์อยู่หรือเปล่า?” เสียงของอาจารย์หญิงผู้สอนวิชาการควบคุมธาตุดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดุดันเล็กน้อย ทำให้หัวใจของอาราเพิลกระตุก เธอรีบเงยหน้าขึ้นจากหนังสืออย่างรวดเร็วและเก็บมันกลับเข้าไปในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว
“คะ? ขอโทษค่ะอาจารย์” อาราเพิลตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
อาจารย์หญิงเดินเข้ามาใกล้ๆ โต๊ะของเธอ
“เธอต้องตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ การควบคุมธาตุเป็นพื้นฐานที่สำคัญของนักเวททุกคน ถ้าเธอไม่ตั้งใจเรียน เธอจะไม่มีวันเป็นนักเวทที่เก่งกาจได้” อาจารย์หญิงพูดต่อด้วยสีหน้าที่จริงจัง อาจารย์เอลร่าขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่เข้มงวดที่สุดในโรงเรียน เธอเชื่อว่าเวทมนตร์เป็นสิ่งที่มีระเบียบแบบแผน และนักเรียนทุกคนต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอให้ความสำคัญกับพื้นฐานเป็นอย่างมาก และไม่เคยปล่อยผ่านความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของนักเรียนเลยแม้แต่น้อย
อาราเพิลก้มหน้าสำนึกผิด แต่ในใจของเธอเธอกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ในสายตาของอาราเพิล การเรียนรู้เรื่องการควบคุมธาตุเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและจำเจ แม้มันจะสำคัญแต่เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจเท่ากับการอัญเชิญภูตที่เธอได้อ่านเจอในหนังสือเลยสักนิด
“เธอสนใจอะไรถึงขนาดไม่สนใจบทเรียนของฉันเลยล่ะ?” อาจารย์หญิงถามต่อด้วยความสงสัย
“หนู...หนูแค่รู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจเท่าไหร่ค่ะ” อาราเพิลตอบไปตามตรง เธอไม่รู้ว่าจะต้องโกหกไปทำไม ในเมื่อความจริงก็คือเธอไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้จริงๆ
อาจารย์หญิงมองมาที่อาราเพิลด้วยแววตาประหลาดใจ “ไม่น่าสนใจงั้นหรอ? การควบคุมธาตุเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของนักเวทเลยนะ ถ้าเธอไม่มีพื้นฐาน เธอจะใช้เวทมนตร์ขั้นสูงได้ยังไง?”
“หนูรู้ค่ะ” อาราเพิลตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่หนูเชื่อว่ายังมีศาสตร์เวทมนตร์อื่นๆ อีกมากมายที่น่าสนใจกว่านี้”
“เช่นอะไร?” อาจารย์หญิงถาม
อาราเพิลเงียบไปครู่หนึ่ง เธอมองไปที่หนังสือในกระเป๋าของเธอ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและพูดว่า
“การอัญเชิญภูตค่ะ”
คำพูดของอาราเพิลทำให้บรรยากาศในห้องเรียนเงียบสงัดลงทันที เพื่อนนักเรียนทุกคนหันมามองเธอด้วยสายตาที่สงสัยและประหลาดใจ บางคนถึงกับกระซิบกระซาบกัน
“อัญเชิญภูต...?” อาจารย์หญิงหัวเราะเบาๆ
“เธอคงอ่านนิยายมากเกินไปแล้วอาราเพิล ภูตเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น มันไม่มีอยู่จริงหรอก”
“แต่ในหนังสือเล่มนี้บอกว่า...” อาราเพิลพูดขึ้น
“หนังสือ? หนังสือเล่มไหน?” อาจารย์หญิงถาม
อาราเพิลลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบหนังสือ “ตำนานภูตที่สาบสูญ” ออกมาจากกระเป๋า
“หนูเจอหนังสือเล่มนี้ในห้องสมุดค่ะ”
อาจารย์หญิงรับหนังสือไปดู และเมื่อเห็นชื่อหนังสือ ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
“นี่มันหนังสืออะไรน่ะอาราเพิล! เธอไปเอามาจากไหน?” อาจารย์หญิงถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“หนูเจอในห้องสมุดค่ะ” อาราเพิลตอบด้วยความสงสัยในน้ำเสียงของอาจารย์
“มันเป็นหนังสือในโซนต้องห้าม! รีบเอาไปคืนเดี๋ยวนี้!” อาจารย์หญิงตะโกนเสียงดังจนนักเรียนทุกคนในห้องสะดุ้ง
“และต่อไปนี้ ห้ามเธออ่านหนังสือเล่มนี้อีกเด็ดขาด!”
อาราเพิลรู้สึกสับสนและงุนงงในคำสั่งของอาจารย์หญิง แต่ในขณะเดียวกันความอยากรู้อยากเห็นของเธอก็เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ หนังสือเล่มนี้ต้องมีบางอย่างที่สำคัญซ่อนอยู่แน่นอน ถึงทำให้อาจารย์หญิงมีท่าทีแบบนี้
“ทำไมคะอาจารย์?” อาราเพิลถามด้วยความสงสัย
“มันเป็นสิ่งที่อันตรายเกินกว่าที่เธอจะเข้าใจ รีบเอาไปคืนเดี๋ยวนี้ และลืมเรื่องนี้ซะ” อาจารย์หญิงตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
ถึงแม้จะดูเข้มงวดและน่าเกรงขาม แต่ภายในใจของอาจารย์เอลร่าก็ยังคงมีความเป็นห่วงเป็นใยในตัวนักเรียนทุกคน เธอทำทุกอย่างเพื่อให้นักเรียนของเธอแข็งแกร่งและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ความเชื่อที่ว่า "เวทมนตร์คือศาสตร์ที่มีแบบแผน" ของเธอก็เป็นสิ่งที่ทำให้อาจารย์เอลร่าไม่เชื่อในเรื่องราวที่ดูเหมือนจะอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ ภูตหน่ะเหรอ คือสิ่งที่ไม่มีบนโลกนี้มานานมากแล้ว และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอต่อต้านหนังสือ "ตำนานภูตที่สาบสูญ" อย่างรุนแรง เพราะมันเป็นสิ่งที่ขัดกับความเชื่อของเธอทั้งหมด
อาราเพิลไม่กล้าเถียง เธอรับหนังสือคืนมาและเดินกลับไปที่โต๊ะเรียนด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจและเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“ทำไมถึงเป็นสิ่งที่อันตราย? มันมีอะไรซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนี้กันแน่?” อาราเพิลคิดในใจ
ในขณะที่นักเรียนคนอื่นๆ กลับไปตั้งใจเรียน อาราเพิลกลับคิดถึงแต่เรื่องหนังสือ “ตำนานภูตที่สาบสูญ” เธอรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าแค่ตำนานที่เล่าขานกันมา เธอจะหาทางเรียนรู้วิธีการอัญเชิญภูตให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องแอบเรียนรู้ก็ตาม
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!