.
.
.
**โชคชะตา**
คงเป็นคำคุ้นหูที่ทุกคนคงเคยได้ยินบ่อยๆใช่มั้ยหล่ะครับ และคงรู้ถึงความหมายของมันดี หรือถ้าใครที่ไม่รู้ความหมายของมันจริงๆ หรือตีความออกมาไม่แตกฉาน ผมก็จะบอกให้ฟังถึงความหมายของมันเอง
ซึ่งคำนี้สามารถอธิบายได้แบบง่ายๆ ฉบับตามความเข้าใจของผม มันคือเส้นเวลาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และไม่รู้ว่าจะมาตอนไหนหรือเมื่อไหร่ เราไม่สามารถรู้ได้เลย
เพราะมันอาจจะมาในตอนที่เราต้องการหรือไม่ต้องการก็ได้ราวกับปฏิหาริย์ อย่างเช่นกับประโยคที่ว่า
'อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด'
ซึ่งผมก็เจอเข้ากับตัวมาเหมือนกันแบบจังๆตรงหน้าเลยหล่ะ ไม่นานนี้ เมื่อตอนค่ำของเย็นวันนี้ ถ้าให้ย้อนกลับไปหล่ะก็นะ
.
.
.
20:30
"ไว้มาใช้บริการใหม่นะครับ"
'กริ๊ง'
และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของวัน ที่กล่าวเชิญไล่หลังลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านไปในตอนดึก ก่อนที่ผมจะสาวเท้าเดินตรงไปพลิกป้ายพร้อมกับปิดร้านลงอย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรตื่นเต้นหวือหวาหรือน่าสนใจเฉกเช่นปกติอย่างทุกวัน
เพราะหลังจากปิดร้านเสร็จผมก็จำต้องลากสังขารอันอ่อนล้าของตัวเองที่ทำงานตลอดมาทั้งวันขึ้นไปบนชั้น2ของตัวร้าน อันเปรียบเหมือนบ้านของผม เพื่อที่ผมจะได้ทำธุระส่วนตัวและพักผ่อน
ซึ่งจะเรียกว่าพักผ่อนมันก็ได้อยู่แหล่ะ แต่ไอ้การพักผ่อนที่ผมหมายถึงคือการมานั่งอ่านหนังสือชิวๆใต้เบาะรองนั่งนิ่มๆโดยไร้สิ่งรบกวน ภายใต้แสงเรืองรองสวยจากโคมไฟตัวเก่ง ทั้งยังมีหนังสือล้อมรอบกายอีกเป็นกอง สร้างความอภิรมย์ใจอย่างถึงที่สุด เหมือนกับว่าผมได้ชาร์จพลังงานให้ตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
" มีความสุขจัง"
ผมพูดพลางยกยิ้มมุมปากขณะกวาดสายตามองไปรอบร้านของผมอย่างมีความสุข ใช่รอบร้านหนังสือธัญญ์นาราของผมเอง มันเป็นของผม ร้านหนังสือที่มีหนังสือมากมายรอให้ผู้คนมาเปิดอ่าน
ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวผมเองก็ตาม ที่ปรารถนาจะอ่านมัน
อ่า มันนานมากแล้ว ที่ผมฝันที่จะมีร้านหนังสือแบบนี้ และผมก็ได้มันมาจริงๆ ร้านหนังสือธัญญ์นาราของผม ถึงแม้มันจะเป็นร้านหนังสือเล็กๆภายในตัวจังหวัดที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองพอสมควรแต่มันก็เป็นร้านแบบที่ผมใฝ่ฝัน
เพราะหลังจากเก็บเงินได้มากพอจะซื้อมัน ผมก็ตัดสินใจเอามันมาครอบครอง ทั้งยังตกแต่งจนร้านนี้กลายเป็นแบบปัจจุบัน
โดยที่โซนข้างล่างกลายเป็นร้านหนังสือแบบทั่วไป มีหนังสือให้เลือกสรรเหมือนปกติ มีที่นั่งคอย หรือจะเป็นที่อ่านแบบเบาะรองนั่งผมก็มี ทั้งยังซื้อและเช่าได้ตามเรทราคา เป็นฟิลเหมือนร้านหนังสือทั่วไป
ทว่าโซนชั้นบนกลับพิเศษกว่าเพราะผมดัดแปลงมันเป็นบ้าน มีห้องน้ำ ห้องครัว และห้องนอน แสนน่ารักอย่างละห้องอยู่อย่างครบครัน พร้อมทั้งข้าวของเครื่องใช้แสนสะดวกสบายในการดำรงชีวิต
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังชอบมาขลุกตัวอยู่ข้างล่างตรงมุมโปรดของผมอยู่ดี อาจจะเป็นเพราะมันสบายใจดี ผมคิดพลางเปิดอ่านหนังสือเล่มหนาไปด้วยอย่างมีความสุขจนค่อยๆผล็อยหลับไปด้วยความง่วงและเพลีย
ทว่าไม่นานผมก็จำต้องกลับลืมตาสะดุ้งขึ้นตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยความจำเป็นเมื่อครั้นได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากทางด้านหลังเคาน์เตอร์คิดเงินของผม
"อือ " เสียงอะไร?
มันเป็นเสียงแปลกๆคล้ายเสียงคลื่นความถี่ดังครืนครานๆสวบสาบๆข้างหู ดูไม่น่าไว้ใจ
ไม่รอช้าพลันร่างกายไปเร็วกว่าสมอง ทำให้ธัญรีบวิ่งมาดูพร้อมอาวุธคู่ใจอย่างไม้เบสบอลหนัก 1กิโลภายในมือ พร้อมออกรบทันทีที่เหวี่ยงไป
เพราะสิ่งที่คิดเขาคิดอาจเป็นขโมยก็ได้ใครจะไปรู้ ก็คิดดูสิว่าใครจะมาเดินในกลางค่ำกลางคืนดึกๆดื่นๆหลงร้านปิดแบบนี้ แถมแถวนี้ชาวบ้านเขา นอนกันเร็วจะตายแค่สองทุ่มก็สลบไสลกันจนแทบไม่มีเสียงอะไรแล้ว ยกเว้นเพียงเสียงหมาเห่าหล่ะนะที่ยังคงมีอยู่ทุกวันจนดูน่ารำคาญ
แต่พอมาคิดดูแล้ว ร้านหนังสือเล็กๆแบบนี้จะมีโจรมาขโมยด้วยหรอ ยิ่งคิดยิ่งไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด หากแต่ผมได้ยินเสียงนั่นจริงๆนะ
แถมสัญชาตญาณยังบอกอีกว่ามีคนมาจริงๆ ผมพลางคิดในใจก่อนเสียงจะเริ่มดังขึ้นอีกย้ำเตือนถึงความผิดปกตินี้
'เปรี๊ยะ!!!'
นั่นไง ว่าแล้วไง เสียงนั่นจริงๆด้วย แต่ว่าทำไมมันอยู่ใกล้จังหล่ะวะ เสียงมันเหมือนอยู่ตรงหน้าผมเลย
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
คล้ายเสียงปริแตกของแก้วอย่างไรอย่างนั้น เสียงนี้ชักแปลกขึ้นไปทุกที
ผมได้แค่สงสัย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากสอดส่องสายตาไปตามความมืด ที่ยังคงมีไฟสลัวๆเบาบางจากแสงไฟที่ผมเปิดเป็นบางจุดเพื่อมองเห็นถึงความผิดปกตินั่น
แต่ความสงสัยก็อยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อเสียงนั่นได้หยุดลง พร้อมกับเสียงคล้ายแก้วแตกดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งร้าน ก่อนจะมีวงคล้ายหลุมดำขนาดย่อมโผล่ออกมาพร้อมทั้งมีประกายจากเศษกลุ่มแก๊สกาแล็กซี่หลากหลายสี
หมุนวนเป็นเกลียวคลื่นอย่างพิศวงดูน่าประหลาดทว่าก็ดูสวยงามในคราวเดียวกัน จนผมได้แต่ตะลึงงึงงันไม่ขยับไปไหน
`เพล้ง!!!`
ไม่ใช่ไม่ขยับไปไหนแต่ผมขยับไม่ได้จริงๆต่างหาก มันเป็นเพราะผมยังคงตกใจกับหลุมดำปริศนาที่จู่ๆก็โผล่มากลางร้านอย่างกระทันหัน ทำให้ขาแข็งชั่วขณะ และทันใดนั้น
'ตึก ตึก ตึก`
หลุมดำขนาดย่อมตรงหน้าเริ่มมีปฎิกิริยาบางอย่างเกิดขึ้น เป็นอะไรที่ผมไม่อาจคาดเดาได้ เพียงแต่นี่ไม่ใช่เวลามามองอย่างเดียว เพราะเหมือนจะมีบางอย่างหลุดออกมาจากมันด้วย
และดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ซะด้วย ดูได้จากเงา ที่ค่อยๆคืบคลานใกล้เข้ามา ทำให้ความมั่นใจของผมเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น
"อั๊ก"
แต่ไม่ทันไรผมก็ต้องเจ็บตัวอีกรอบ จากเจ้าสิ่งนั้นข้างในนั้น ในหลุมทึบดำอันน่าพิศวงค์นั่น เพราะสิ่งนั้นดูเหมือนจะถูกแรงโน้มถ่วงจากหลุมเหวี่ยงมาโดนผมเข้าแบบเต็มๆ จนจุกไปหมดแทบลุกไม่ขึ้น
และเมื่อสิ่งนั้นหลุดออกมาได้ เจ้าหลุมดำขนาดย่อมนั้นมันก็ได้สลายหายไปราวกับไม่มีอยู่จริง อย่างกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่จู่ๆก็เกิดจู่ๆก็ดับ คาดเดาไม่ได้แถมยังไม่รู้ว่าจะเป็นอัตรายรึเปล่า แต่ก็นั่นแหละคิดมากไปก็แค่นั้น เมื่อคิดได้ดังนั้นมันก็ทำให้ผมหันกลับมาโฟกัสกับสิ่งที่กระเด็นมาโดนจนผมอยู่ในสภาพแบบนี้
พอครั้นมองดูดีๆกลับกลายเป็นเด็กผู้ชาย สวมชุดสีขาวทั้งตัวคล้ายผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ดูเหมือนจะมีไข้สูง เพราะตอนที่เขากระเด็นมาโดนตัวผมนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของเด็กคนนี้ ที่สูงกว่ามนุษย์ปกติไปโข
ทำให้ผมมีทางเลือกไม่กี่อย่าง ต้องจำใจลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ เดินตัวงอไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับชามเล็กๆเอาไปใส่น้ำวางไว้ พลางคิดในใจว่าถึงแม้เด็กมอมแมมตรงหน้าจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี ซึ่งผมที่เป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่อาจทิ้งเขาให้อยู่ในสภาพนี้ได้
ก่อนธัญจะรีบเดินมาลากตัวเด็กผู้ชายคนนั้นขึ้นนอนบนโซฟาอย่างเบามือ พร้อมทั้งบิดผ้าเช็ดตัวผืนน้อยไปด้วย คอยถูคอยเช็ดร่างกายให้จนอาการคงที่ ผมถึงได้พักผ่อนสักที
แต่ไม่แคล้ว ผมก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งด้วยความเพลียกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนนอนสลบข้างๆโซฟาอย่างไม่รู้ตัว
.
.
.
อีกด้านหนึ่ง ภายในแลปวิจัยแห่งหนึ่งเกิดได้เรื่องขึ้นในระหว่างที่กำลังทำการทดลองการเคลื่อนตัวไปยังโลกคู่ขนานอยู่นั้น ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
โดยตัวทดลอง040หายไปด้วยแรงระเบิดจากตัวเครื่อง เล่นเอาทั้งห้องทดลองทั้งคนพังเละแบบไม่เป็นท่าแถมตัวทดลองชั้นดียังหายไปอีก ทำให้ดาเนียลหัวหน้าแผนกการทดลองนี้
โกรธเป็นฟืน เป็นไฟโมโหอาละวาดไปทั่วจนทุกคนได้แต่กลัวหัวหดก้มหน้างุดไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว
"ทำงานไม่ได้เรื่องกันจริงๆเลยไอ้พวกนี้เดี๋ยวก็ไล่ออกซะให้หมดหรอก!!!" ดาเนียลตะคอกด้วยความไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น
"ข ขออภัยครับหัวหน้า จะไม่ให้เกิดแบบนี้อีกขึ้นแน่นอนครับ"
"มันต้องแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องไม่มีผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่2!!!"
"ครับ แล้วทางเราจะทำยังไงกันต่อดีครับ"
"ที่ถามเนี่ยกวนตีนฉันใช่มั้ยห๊ะ ถ้ามีสมองก็หัดคิดเองบ้างสิ ไม่ใช่รอให้เอาแต่สั่งๆๆๆแล้วให้ทำตามหน่ะ "
"ค ครับ เข้าใจแล้วครับ-"
"ช่างแม่งเถอะ แต่ตอนนี้รีบไปหาตัวทดลอง040ก่อน เดี๋ยวนี้เลยหรือไม่งั้นฉันจะเอาแกไปทดลองเองเข้าใจมั้ย!!!"
____________________________
เย้ เรื่องใหม่มาแล้วแต่เป็นตอนสั้นนะคะ ยังไม่ยาวมากนะคะ อยากลองแต่งให้จบดูก่อนหน่ะค่ะ ไว้มาตามอ่านกันเยอะๆน้า ถ้าชอบ กดคอมเม้น กดใจ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ บายค่ะ🥰
.
.
.
ก็นั่นแหละคือเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากเมื่อคืนวาน ที่ผมยังคิดไม่ตก และยังคงต้องเฝ้าไข้เจ้าเด็กประหลาดนี่จนกว่าจะฟื้นด้วย โดยที่ผมก็ยังคงสะลึมสะลือง่วงนอนไม่หายจากเมื่อคืนเลยด้วยซ้ำ
เห้อ แล้วเมื่อไหร่จะตื่นเนี่ยไอ้หนูผมเองก็เพลียเหมือนกันนะ อยากพักผ่อนโว๊ย!!! แต่จะให้ทำไงได้ ผมจะทำใจทิ้งเด็กผู้ชายประหลาดตรงหน้านี้ไม่ได้ซะด้วย แล้วจะมาเป็นพ่อพระอะไรตอนนี้วะตัวกู เห้อ ปลง
"อือ~"
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ธัญก็ได้แต่หลับตาลงพลางนั่งคิดสัพเพเหระกับตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ก่อนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ขยับยุกยิกซ่อกแซ่กอยู่ตรงหน้า จนคนโตกว่าต้องลืมตาตื่นขึ้นมาดูอย่างช่วยไม่ได้
'พรึ่บ'
!!!
ผลปรากฏว่าสิ่งที่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงหน้านั้น เป็นเด็กผู้ชายปริศนาที่ธัญญ์นั้นได้ช่วยเอาไว้ เขาเหมือนจะตื่นขึ้นมาด้วยสภาพอิดโรย สภาพดูไม่ได้ นั่งคุดคู้ขยับถอยห่างออกจากผมไปอย่างอัตโนมัติ จนแทบจะตกเตียง ตัวสั่นหงึกด้วยความหนาวจากพิษไข้หรือว่าด้วยความกลัวคนแปลกหน้าอย่างผมก็ไม่อาจทราบได้
แต่ดูๆแล้วน่าสงสารไม่หยอกจนผมต้องขยับไปใกล้ด้วยเพราะผมจะได้ดูอาการเด็กน้อยตรงหน้าว่าปลอดภัยดีรึเปล่า ผมจะได้ยกข้าวยกยามาให้เขากินแล้วพาเขาเข้าพักผ่อนได้
แต่เอาไงดีวะ
ทั้งชีวิตนี้ผมปฏิสัมพันธ์ค่อนข้างติดลบเรียกได้ว่าถ้าไม่ใช่คนที่คุ้นเคยผมแทบไม่กล้าปริปาก แล้วยิ่งกับเด็กน้อยอีกต่างหาก ตาย ตาย ตาย เอาไงต่อดี
ผมคิดไม่ตกพลางมองเด็กน้อยบนเตียงไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่สื่อทางแววตา ทว่าภายในสายตาที่มองไปกลับหม่นแสงลงฉายชัดถึงความกังวลต่อเด็กน้อยตรงหน้าที่ยังคงมีท่าทีสั่นกลัวอยู่เนืองๆ ด้วยความจนปัญญา
และด้วยความไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง ผมเลยได้แต่นั่งอยู่กับที่ มือไม้ขยับยุกยิกไปมาอย่างลนๆลาน ก่อนจะตัดสินใจยื่นมือโบกออกไปยิกๆเพื่อทักทายถึงความจริงใจที่ผมมีต่อเขาและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่อาจจะมีหล่ะมั้ง
"ห. . .หวัดดี ว่าไงเธอชื่ออะไรหรอ? " ธัญญ์พยายามพูดด้วยอารมณ์ร่าเริง แม้ปากกับมือจะสั่นอย่างช่วยไม่ได้จากการไม่ได้พูดคุยกับใครมานาน
". . . " ไม่มีเสียงตอบกลับมา
"เอ่อ หรือว่าเธอพูดไม่ได้หรอ ไม่เป็นไรนะงั้นเธอเขียนหรือว่าพยักหน้าให้ฉันแทนได้มั้ยได้มั้ย"
". . . "
แม้ผมจะถามไปมากเท่าไหร่ แต่ทว่าสุดท้ายทุกคำถามก็มีเพียงความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น แถมไม่พอเด็กน้อยตรงหน้าก็ไม่ยอมเงยหน้าเข้ามาใกล้ผมเลย มันยิ่งเลยทำให้บรรยากาศตรงหน้าดูอึมครึมเต็มไปหมดด้วยความอึดอัด
ซึ่งผมก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อแล้ว ถ้าไม่บังเอิญได้ยินเสียงท้องร้องโครมครามของเด็กน้อยตรงหน้าเสียก่อนหล่ะก็นะ
เด็กแปลก
"โคร๊ก~ "
"เธอหิวรึเปล่า"
ยังคงมีความเงียบตอบกลับมา แต่คราวนี้กลับต่างออกไปเมื่อจู่ๆ เด็กชายตัวเล็กตรงหน้าดันหันมาและพยักหน้าลงหงึกๆแม้จะมีผมปิดบังใบหน้าอยู่ตาม แต่นั่นกลับสร้างความน่าเอ็นดูและความฉงนใจอย่างมากให้แก่ผมในเวลาเดียวกันเมื่อได้รับปฏิกิริยานี้
อย่างไรก็ตามพอเห็นเขาพยักหน้าให้ ผมก็ไม่รอช้ารีบไปหยิบซีเรียลกล่องใหญ่หลากสีสันกับนมในตู้เย็นมาให้ขวดหนึ่งด้วยความคิดที่มันทานง่ายและติดในตู้เย็นพอดีทว่ากลับไม่มีคุณค่าทางอาหารเอาซะเลย
แต่ผมก็ต้องจำใจให้เด็กคนนี้กิน เพราะตอนนี้มันดึกเกินกว่าจะมีใครขายของอีกทั้งพวกซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือเซเว่นต่างก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเดินทางไปได้
ทำให้ผมมีทางเลือกไม่มากนักแต่โดยรวมก็ถือว่าดีระดับหนึ่งที่เด็กน้อยตรงหน้าไม่เรื่องมาก กินง่ายแถมยังกินอย่างอร่อยอีกต่างหาก แค่นั้นผมก็ดีใจมากแล้ว
แต่ติดอยู่เรื่องเดียวคือเขายังคงไม่พูดกับผมอยู่ดี คงกลัวคนแปลกหน้าแหละมั้ง เรื่องปกติของเด็กๆ ที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมาแหล่ะ อืม ไว้พรุ่งนี้ค่อยพาไปตรวจสุขภาพจิตดูก็แล้วกัน หวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ สาธุ
เพราะดูท่าจะไม่ใช่เด็กของโลกนี้ซะด้วย ไม่รู้ว่าการรักษาจะเหมือนกันรึเปล่า
ผมคิดพลางชำเลืองตามองอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วงอยู่ห่างๆ เพราะไม่อยากจะขัดขวางการกินของแกสักเท่าไหร่ แต่จะเรียกว่ากินก็ไม่ถูกซะทีเดียวเรียกว่ายัดเลยดีกว่า
เพราะเหมือนเด็กน้อยตรงหน้าจะหิวโซมากซะจนกินซีเรียลหมดไปทั้งกล่องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช้อนเชิ้นไม่สนจุ่มหน้าลงไปเลยทีเดียว ก่อนจะเหลียวหน้ามองผมด้วยความอาวรณ์อยากกินอีก
และถ้าถามว่าผมรู้ได้ไงหน่ะหรอ ก็ดูได้จากสายตาเป็นประกายด้วยความหวัง ถ้วยที่ยกขึ้นจนไม่เหลือแม้แต่หยดนมสักหยดเดียว พร้อมทั้งเศษซีเรียลก็ไม่มีเหลือเรียกความเอ็นดูจากผมไม่หยอกจนต้องหยิบมาเติมเพิ่มให้อีกกล่องหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
โชคยังดีนะเนี่ยที่ซื้อเก็บไว้เป็นโหล ไม่งั้นล่ะก็ไม่เหลือแน่
และถึงแม้มันจะมีเยอะแค่ไหนแต่เด็กๆ แบบเขาก็ไม่ควรกินของแบบนั้นเยอะอยู่ดี ไม่งั้นเสียสุขภาพแย่ ผมจึงต้องมีมาตรการสักหน่อย
" เติมให้อีกแค่กล่องเดียวนะ หลังจากนั้นเธอต้องกินยานี่แล้วเข้านอนทันที เข้าใจมั้ยครับ "
เด็กตรงหน้าพยักตอบอย่างเข้าใจก่อนที่ผมจะเทให้อีกกล่อง และเป็นอีกครั้งที่เขาก็กินหมดเช่นเคย สร้างความประหลาดใจให้แก่ผมอย่างมาก
ซึ่งหลังกินหมดเจ้าเด็กตรงหน้าก็ทำตามที่ผมขอไว้หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เขาเก็บถ้วยเก็บช้อนทั้งหมด กินยาที่ผมเตรียมไว้ให้ด้วยความทุลักทุเลนิดหน่อยแต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดี
"เก่งมาก"
"มา จับมือฉัน เดี๋ยวจะพาเธอไปนอนที่นอนนุ่มๆเอง ปะ คร่อกฟี้กัน แบบนี้ไปกัน"
ไม่วายผมพยายามหลอกล่อเด็กตรงหน้าอย่างสุดฤทธิ์พร้อมทั้งยื่นมือไปหาก็ไม่เป็นผล จนสุดท้ายผมก็ต้องบอกให้เขาตามมาห่างๆ
"เอ่อ ลืมไปเธอคงกลัวคนแปลกหน้าใช่มั้ย แต่ไม่เป็นไรฉันไม่บังคับเธอให้จับมือฉันหรอก ฉันแค่อยากให้เธอเดินตามฉันมาก็พอแล้ว โอเคมั้ย ถ้าโอเคให้เธอพยักหน้าลงนะ ฉันจะได้รู้ว่าเธอต้องการอะไรหรือไม่ต้องการอะไร"
ผมยกยิ้มขึ้นอย่างดีใจเมื่อเขาทำตามที่ผมขอโดยไม่กลัวผมไปมากกว่านี้ ซึ่งนั่นอาจดีเกินไปเมื่อขึ้นห้องมาเขาก็เข้าไปนอนในเตียงนอนโดยทันที ห่มผ้าห่มแล้วหลับไปเมื่อหัวถึงหมอน โดยที่ผมไม่ทันได้บอกฝันดีซะด้วยซ้ำ
เห้อ~ ช่างเป็นเด็กที่แปลกโดยแท้ แต่ก็ไม่น่าอึดอัดใจเท่าเด็กที่เคยเจอมาหล่ะนะ พวกเด็กแสบพวกนั้นฝันร้ายเลยหล่ะ
"ฝันดี"
_________________________________
จบไปแล้วกับตอนที่1นะคะ มีอะไรติชมคอมเมนต์ได้นะคะ มาคุยมาอ่านเด็กน้อยกับพี่ใจดีกันเยอะๆ น้า ขอบคุณที่มาอ่านกันนะคะ ขอฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจรีดเดอร์ทุกคนเลยนะคะ ฝากเอ็นดูเด็กแปลกคนนี้ด้วยค่า บาย
.
.
.
ยามตะวันต้องแสงสอดส่องลงมายังพื้นโลก ปลุกเรียกสรรพสิ่งให้ฟื้นคืนจากราตรีอันมืดมิด ปลุกเรียกทุกสิ่งไม่เว้นแม้กระทั่งธัญญ์เองก็ตามที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างเสียไม่ได้ แม้คนบนเตียงจะไม่อยากลุกขึ้นเลยก็ตาม
“ห๊าว~”
ไม่รอช้าหลังตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจได้สักพัก ธัญญ์ก็ลุกขึ้นไปทำกิจวัตรประจำวันอย่างที่เคยทำทุกวันก่อนจะแต่งตัวออกไปจ่ายตลาดยามเช้าโดยการขับจักรยานคู่เก่งสีฟ้าคันโปรดออกไป
และเพียงไม่นานจักรยานคันโปรดก็โล่นแล่นสู่ท้องถนนลาดยาง สองข้างทางเต็มไปด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์และบ้านเรือนไม้หลังใหญ่หลายหลังตามสองข้างทาง
ดูสวยงามรื่นรมย์ใจไม่น้อยอีกทั้งถนนแถวนี้ก็ยังมีรถยนต์น้อยจนแทบจะไม่เจอ ทำให้การปั่นจักรยานในเช้านี้ดูจะปลอดภัยไม่น้อยเลยทีเดียว
ธัญญ์ปั่นจักรยานอย่างนั้นจนไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็มาถึงยังที่หมายทันที ไม่รอช้าเมื่อเห็นปลายทางอยู่ตรงหน้าเขาก็รีบลงจากจักยานก่อนจะจอดมันไว้หน้าตลาดแล้วเดินลงมาเลือกซื้อของอย่างเช่นเคย
แต่ดูเหมือนการมาตลาดคราวนี้สงสัยธัญญ์คงต้องซื้อของสดไปเยอะสักหน่อย เพราะตอนนี้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน และดูท่าคงจะกินจุไม่น้อย
ทำให้ผมอดนึกถึงกล่องซีเรียลเมื่อวานไม่ได้ที่เขากินไปตั้ง3กล่องในมื้อเดียว เจริญอาหารซะจริงตัวแค่นี้แต่ซื้อไปตุนเยอะๆหน่อยก็ดี เผื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาดจริงมั้ย
“หวัดดีครับ วันนี้จะเอาอะไรดีครับพี่ธัญญ์คนสวย”
ไม่ทันได้คิดอะไรต่อพลันเสียงไอ้ตาลหรือลูกตาล หนุ่มน้อยตัวจี๊ดวัยมัธยมปลายแสนแสบก็รั้งเรียกผมไว้ยังแผงขายผักสดของเด็กมัน
“หืม พี่สวยหรอ พี่ว่าพี่หล่อนะ” ผมตอบโต้เด็กมันไปด้วยความเอ็นดูปนหมั่นไส้
“โถ่ พี่ยอมรับความจริงเหอะว่าพี่สวย ผมพูดจริงนะ ทั้งขนตาทั้งผม ผิวพรรณดูยังไงก็ไม่เหมือนผู้ชายอ่ะ สวย- ”แต่ไม่วายเด็กมันโต้กลับแบบไม่มีช่องว่างให้ผมพูด
“โอเคๆ พี่ยอมรับก็ได้ว่าสวย พอใจยัง” เถียงเด็กมันไม่ได้เลยได้แต่ยอมๆมันไป
“ครับ แล้วจะรับอะไรดีครับพี่คนสวย”
“งั้นเอาต้นหอมผักชี กระเทียม ไข่ บลาๆ“
ผมไล่ลิสต์ของที่อยากได้มาเรื่อยๆจนครบ ก่อนที่เจ้าลูกตาลจะคิดเงินใส่ถุงให้แบบรวดเร็ว
“โห วันนี้ทำไมซื้อเยอะจังเลยครับพี่ธัญญ์ มีคนมาเพิ่มหรอครับ” ตาลถามด้วยความสงสัยเพราะปกติพี่แกซื้อแค่ไม่กี่อย่างเพื่อเอาไปทำกินเอง ทว่าวันนี้พี่ธัญญ์กลับสั่งเยอะเกินลิมิตที่ควรจะเป็นเลยทำให้ลูกตาลอยากใส่ใจ
“อืม พอดีมีเพิ่มหน่ะ”ผมยิ้มรับกับท่าทางตื่นเต้นของเด็กน้อยตรงหน้า
“เอ หวานใจพี่หรอครับถึงได้จัดชุดใหญ่ขนาดนี้“
หวานใจ?
“เอ พี่ว่าดูเหมือนจะมีคนเข้าใจผิดนะ”
“อ้าว ไม่ใช่แฟนพี่หรอ” ขอแก้ข่าวด่วนพี่ยังไม่ได้พูดเลยนะตาลเอามาจากไห๊น ใครมันเป็นคนปล่อยข่าว
“ฮึ ไม่ใช่ครับลูกตาล เขาเป็น. . เอ่อ. เป็นลูกญาติเพื่อนพี่เอง พอดีเขาต้องไปทำงานกะทันหันเลยเอามาฝากพี่ไว้หน่ะ”
“อ่อ โทษทีนะพี่ผมคิดว่าจะมีข่าวดีซะอีก” ลูกตาลพูดอย่างเสียดายเมื่อไม่เป็นดังหวัง
“ข่าวดีอะไรหล่ะไอ้เด็กแก่แดดเอ๊ย ไปได้ยินข่าวมาจากไหน หืม”
“โถ่ ผมไม่ได้แก่แดดสักหน่อยแค่อยากรู้หนิว่าพี่จะมีคนในใจรึยัง“
“หืม พี่ว่าอยู่คนเดียวก็ดีออกนะ ไม่คิดงั้นหรอน้ำตาล”
“ลูกตาลครับ อย่าเรียกผิดสิ”
ผมหัวเราะเมื่อแกล้งเจ้าเด็กตรงหน้าได้ “จ้า ลูกตาลก็ลูกตาลอย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะว่าเราแอบไปรับจ้างจีบพี่มา พี่เห็นนะ แล้วคราวนี้ใครอีกหล่ะพี่รู้จักรึเปล่า”
“ฮิ ก็คนเดิมนั่นแหละครับ พี่ชิน รายนั้นตามจีบพี่มาเป็นปีแล้วพี่ไม่คิดจะเปิดใจให้พี่ชินหน่อยหรอครับ”
“ก็บอกแล้วไงว่าอยู่คนเดียวสบายใจกว่า ฝากกลับไปบอกด้วยนะว่าไม่สนใจ”
“ครับๆ” ตาลตอบรับเอื่อยๆเมื่อถูกจับได้
“ดีมาก”
ผมพูดพร้อมยกมือขึ้นมาลูบหัวส่วนมืออีกข้างก็หยิบลูกอมที่พกติดตัวมาให้เจ้าตัวสามเม็ด พร้อมกับขอของที่สั่งไว้
“อ่ะ พี่ให้ แล้วขอของที่สั่งไว้ด้วยครับ”
“ขอบคุณครับพี่ธัญญ์คนสวย นี่ของพี่ครับ”เจ้าลูกตาลน้อย ยิ้มรับพร้อมตาเป็นประกายยามรับลูกอมสามห่อและเงินจากธัญญ์พลันรีบหยิบยกถุงให้อย่างเร็วรี่
“ไปหล่ะ ขายของดีๆอย่าไปซนที่ไหนให้เจ็บตัวหล่ะ”
“คร๊าบพี่ธัญญ์คนสวย”
เสียงจากเด็กชายลูกตาลตะโกนไล่หลังมาจางๆเมื่อผมเดินมาไกลเรื่อยๆ พลางเดินดูจับจ่ายใช้สอยไปทั่วทั้งตลาด ออกร้านนู้นเข้าร้านนี้จนได้ของมาครบตามใจแล้วถึงจะยอมกลับออกมา
ซึ่งตอนที่กลับออกมาจากตลาดท้องฟ้าก็จ้าแสงขึ้นมากกว่าเดิมแสงแดดแผดรังสีแรงขึ้นทำให้ผมต้องรีบปั่นจักรยานกลับทันทีก่อนจะสายไปกว่านี้ด้วยความกลัวว่าเจ้าเด็กน้อยที่รออยู่ที่บ้านจะหิวจนหน้ามืดไปซะก่อน
ไม่นานนักผมก็ปั่นจักรยานมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย เนื่องด้วยระยะทางระหว่างร้านธัญญ์นารากับตลาดไม่ค่อยห่างกันมากเสียเท่าไหร่ ทำให้เช้าวันนี้ดูเร็วขึ้นอย่างทันตาเห็น
ไม่รอช้าเมื่อมาถึงคนตัวบางก็รีบลงจากรถจักรยานคันโปรด เดินอาดๆเข้าห้องครัวไปด้วยความสุขภายในใจแลความเป็นห่วงเด็กน้อยในปกครอง พร้อมตั้งมั่นเอาไว้ว่าพอทานอาหารเช้าเสร็จผมจะพาเขาไปตรวจร่างกายอย่างที่หมายมั่นไว้เมื่อคืน
แอ๊ด
ทว่าในระหว่างที่ผมทำอาหารนั้นจู่ๆก็มีเสียงแง้มประตูดังขึ้นอย่างเบาๆท่ามกลางห้องครัวอันเงียบสงบ ซึ่งผมก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเด็กน้อยในปกครองของผมเองที่หิวจนตามกลิ่นข้าวต้มมาติดๆอย่างกับลูกหมาที่ตามกลิ่นอาหารมาแหน่ะ
ดูท่าคงจะหิวมาก เกาะประตูไม่ห่างเลย น่าเอ็นดูจริงๆเลย
“หิวแล้วรึยังเราหน่ะ พอดีฉันทำข้าวต้มไว้ให้ไม่รู้จะถูกปากเธอรึเปล่า มากินเร็ว”
ผมพูดขึ้นมาลอยๆพยายามไม่หันไปสบตาเจ้าตัวเล็กที่กำลังเกาะประตูยืนทำน้ำลายยืด พร้อมตักข้าวต้มหอมกรุ่นลงบนถ้วยเซรามิกสีสวยนำมาวางไว้ตรงโต๊ะทานข้าวเบื้องหน้า
“กินเลยนะ มากินเร็ว กินตอนร้อนๆนี่แหละอร่อยที่สุดแล้ว แต่ระวังลวกปากหล่ะขอเตือนไว้ก่อน”
คราวนี้ผมหันไปหาเจ้าตัวขณะกำลังตักข้าวต้มของตัวเองลงถ้วยพร้อมกล่าวเตือนด้วยรอยยิ้มหวาน ทว่าเจ้าเด็กกลับแข็งทื่อ
“. . .” รอยยิ้มผมน่ากลัวหรอเด็กตรงหน้าถึงไม่ยอมตอบผมสักคำแถมยังเกร็งตัวอีกต่างหาก
“หืม ไม่หิวหรอ?”
ดูยังไงก็หิวชัดๆ สงสัยคงยังระแวงอยู่มั้งถึงได้ไม่ยอมกินข้าวต้มลงไป โถ่ น่าสงสารซะจริง
ต้องอดทนอดกลั้นไม่ยอมกินของอร่อยตรงหน้าทั้งๆที่น้ำลายไหลจนเกือบถึงคางแล้วนั่น
“อ่ะ นี่ฉันจะกินให้ดู มันกินอย่างนี้นะ ตักขึ้นมาเป่าฟู่ฟู่ให้ไม่ลวกลิ้นแล้วใส่ปากแบบนี้ อื้ม อร่อย“
ธัญญ์พูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบคล้ายกับตอนที่เขาเคยสอนป้อนข้าวให้กับมะเหมี่ยว ลูกสาววัย2ขวบของเพื่อนเขาเอง
แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กตรงหน้าจะยังคงลังเลเม้มปากซีดเซียวของเจ้าตัวแน่นอย่างชั่งใจ ทว่าอาจจะด้วยความหิวและท้องที่ร้องโครมครามแหละมั้ง
เจ้าเด็กเลยรีบเดินมาคว้าช้อนตักลงไปก่อนจะเอาเข้าปากในทันทีแบบไม่รอให้เย็น ทำให้ผมต้องรีบเอ่ยห้าม พูดตักเตือนออกไป
“ อย่านะ ขอช้อนคืนด้วยครับ” เจ้าเด็กตรงหน้าหงอยลงทันที ประสานกำมือแน่นอย่างกับลูกหมาทำความผิดทำให้ใจของธัญญ์ยิ่งอ่อนยวบลง
“ไม่ได้จะดุครับ แค่จะเตือนว่าเวลาเอาของร้อนเข้าปากถ้าไม่เป่าก่อนมันจะลวกลิ้นจนทำให้มันพอง พอมันพองแล้วมันจะกินข้าวไม่อร่อยแค่นั้นเอง เข้าใจตรงกันนะ”
หงึกๆ
เจ้าเด็กพยักหน้าคล้ายเข้าใจ จนผมทำใจว่าไม่ลงอีกได้แต่หยิบช้อนมาป้อนให้เด็กมอมแมมตรงหน้า
“เดี๋ยวฉันป้อนให้เอง ฟู่ อ้าปากนะ อ้าม”
เจ้าเด็กทำตามแต่โดยดี อีกทั้งยังรู้สึกว่าเจ้าเด็กดูมีความสุขดีและเข้าใกล้เขามากกว่าวันที่แล้ว
“อีกคำนะ อ้าม”
ไม่นานผมกับเด็กน้อยตรงหน้าก็กินข้าวเช้าเสร็จ โดยผมก็ทำการเก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วถึงมาแต่งตัว ก่อนจะเตรียมตัวไปโรงพยาบาลเพื่อพา
เขาไปตรวจเพราะถึงแม้ไข้จะหายแล้ว ผมก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเขาจะหายสนิทดี
“เตรียมตัวให้พร้อมนะ ฉันจะพาเธอไปที่ๆหนึ่ง”
“. . .”
.
.
.
“รับอะไรดีครับ”
“เอาซอฟต์เสิร์ฟวานิลลาสองอันครับ”
ถึงอย่างนั้นก่อนจะพาเขาไปโรงพยาบาล ในสถานที่ๆเขาไม่คุ้นเคยเราก็ควรจะให้เจ้าเด็กกินของหวานคลายเครียดกันก่อน เครียดก็ต้องกิน
ด้วยเหตุนั้นตอนนี้ผมกับเจ้าเด็กเลยมาจอดรถซื้อไอศกรีมกันอยู่และผมก็ให้เจ้าเด็กนั่งอยู่บนรถส่วนผมลงมาซื้อพลางหันไปดูอย่างเป็นห่วง
เด็กน้อยตรงหน้าดูมึนงงหลังผมพาเขาขึ้นรถมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะหมุนหน้าไปทางหน้าต่างที่มีกระจกกั้นอย่างสงสัยพลางจิ้มๆแหย่ๆกระจกรถอย่างสนใจ
ผมมองได้ไม่นานนักพนักงานก็เรียกผมให้มารับของทันที
“ทั้งหมด40บาทครับ”
“นี่ครับ” ผมยื่นแบงก์20ให้สองใบแก่พนักงานแล้วจึงยื่นมือไปรับไอศกรีมแสนอร่อยมาถือก่อนเดินออกจากร้านไปเพื่อกลับมายังรถที่ได้จอดไว้
“. . .”
ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเช่นเดิมมีเพียงแววตาแห่งความตะกละเท่านั้นที่ส่งมาให้ราวกับรู้ว่าที่ถืออยู่ในมือผมนั้นเป็นของกินที่แสนอร่อย
“อยากกินมั้ย”
หงึกๆ
เด็กตรงหน้าพยักหน้าลงทันทีเมื่อได้ยินคำถาม
ผมยกยิ้ม “โอเคเด็กตะกละ ระวังผมด้วยหล่ะ”
แล้วผมก็ยื่นไอศกรีมส่งไปให้ซึ่งเด็กน้อยตรงหน้าก็รีบยื่นมือมารับอย่างไวพร้อมละเลียดชิมอย่างละน้อยด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ชิมไปก็ตาโตไป ด้วยสัมผัสเนื้อสีขาวหวานฉ่ำแสนอร่อย
“กินเยอะๆนะ” ว่าพลางก็ช่วยปัดผมสีดำยาวออกจากใบหน้า
“อ. . .”
หือ เมื่อกี้เหมือนจะได้ยินว่าเขาพูดหรือว่าผมหูผมฝาด
ธัญญ์คิดอย่างติดตลกในใจทั้งๆที่ความจริงแล้วเด็กตรงหน้าอย่าง040กลับอยากจะพูดออกมาจริงๆ
เพียงแวบเดียวไอติมแสนอร่อยทั้งสองโคนก็หายไปทิ้งไว้เพียงรสชาติหวานอร่อยในปากจน040อดยู่ปากอยากกินอีกไม่ไหว ธัญญ์ที่เห็นดังนั้นจึงยื่นข้อเสนอให้ทันที
“ทำหน้าอย่างนั้นอยากกินอีกหรอ”
ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นอย่างนั้นเพราะไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าเด็กก็พยักหน้าลงมาอีกครั้ง
“อืม ถ้าอยากกินอีกครั้งเธอก็ต้องสัญญาก่อนว่าจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซนและจะไม่อาละวาดให้ฉันปวดหัวหน่ะโอเคมั้ย”
040พยักหน้าลงอีกทีเพื่อให้ธัญญ์รับรู้ว่าเขาเข้าใจถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเด็กดีคืออะไรก็ตาม
“เก่งมาก”
สิ้นสุดคำชม ธัญญ์ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบผมสีดำขลับยาวสวยเหมือนกับขนของปีกกา
อือ น่ารัก~
ผมจมไปกับความน่ารักของเจ้าเด็กอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าสุดท้ายผมก็ต้องจำใจยกมือออกเพื่อพาเขาไปพบแพทย์อยู่ดี
“สัญญานะว่าจะไม่ดื้อ”
“. . .”
สิ้นคำพูดเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจรถยนต์สีเทาดำคันสวยของธัญญ์ก็เลื่อนตัวมาจอดภายในโรงพยาบาลตามที่เขาได้ตั้งเป้าหมายไว้
แอ๊ด
“ถึงแล้วหล่ะ” ธัญญ์ยกยิ้มให้เจ้าเด็กอีกรอบก่อนจะลงมาเปิดประตูให้
ส่วน040ก็ค่อยๆก้าวลงมาช้าๆอย่างระมัดระวังกับความไม่คุ้นชินของตัวรถ
“จับมือมั้ย”
“. . .” 040ลังเลกับคำถาม
จับมือกับคนคนนั้น ม มือ จับมือได้จริงๆหรอ เรามันแค่หนูทดลองนะ
040 ชั่งใจเม้มริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองแน่นจนมันห้อเลือดขึ้นมาซึ่งธัญญ์ก็สังเกตเห็นอาการนี้ด้วยเหมือนกัน
“ง งั้นถ้าเธอยังไม่มั่นใจที่จะจับมือกับฉันเธอก็เดินห่างๆก็ได้-”
ไม่นะ!!!
จับสิ!!!
040กระวนกระวายรีบจับมือคนตรงหน้าทันทีก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจเล่นทำเอาธัญญ์งงไปพักหนึ่ง
“อ๋อ เธอเป็นเด็กขี้อายนี่เอง อยากจับก็บอกกันตรงๆได้ฉันไม่ว่าหรอกนะ”
040ทำตาโตเบิกกว้างคล้ายกับว่าสิ่งที่ธัญญ์พูดคือเรื่องใช่มั้ย จนธัญญ์ได้แต่กลั้นหัวเราะ
“ก็เธอน่ารักขนาดนี้ใครจะโกรธลงหล่ะเนอะ”
น่ารัก?
คุณมองว่าผมน่ารักจริงๆหรอ
เราเนี่ยนะน่ารักถ้าน่าเกลียดก็ว่าไปอย่างสิ
ไม่วายมืออีกข้างก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวทุยๆนั่น ก่อนจะจับจูงเจ้าเด็กของเขาเข้าสู่โรงพยาบาล
“เข้าไปกันเถอะ อ๊ะ-”
ไม่ทันที่ธัญญ์จะผลักประตูออกไปให้สุดบานเจ้าเด็กที่ตอนแรกเดินตามมาต้อยๆคล้ายเด็กดีไม่มีทีท่าต่อต้าน กลับฝืนแรงสะบัดมือดึงตัวกลับออกไปจากธัญญ์แบบร้อนรน คล้ายหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
________________________
จะเป็นยังไงก็รอติดตามตอนต่อไปนะคะ เป็นฟิลแนวชีวิตประจำวันค่ะ สบายๆค่อยเป็นค่อยไป ถ้าชอบยังไงก็ฝากคอมเม้น กดใจ กดเข้าชั้นด้วยนะคะ บาย
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!