NovelToon NovelToon

กลบทซ่อนกล

บทนำ

 “เมื่อความทรงจำหล่นหาย

เหลือเพียงเงาใจคล้ายกุญแจ

กวีเก่าเล่าความในวรรคแปร

กลบทแท้ร้อยรัดชะตากาล”

 

 

 

เรื่องราวนี้มิใช่เพียงการสืบสวน หากแต่เป็นการเดินทางของเด็กหนุ่มผู้ไร้ความทรงจำสองปีหลัง ผู้ตื่นขึ้นมาในโลกที่กวีนิพนธ์กลายเป็นความจริง ทุกบทกลอนคือปริศนา ทุกถ้อยคำคือด่านทดสอบ และทุกการเลือก…คือเส้นทางสู่การพบเจอหรือสูญเสียตลอดกาล

 

 

---

 

การตื่น

 

กฤตสะดุ้งตื่นขึ้นกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังลานหญ้า เสียงแมลงกลางคืนดังประสานราววงดนตรีจากผืนป่า กลิ่นดินชื้นคละเคล้ากับกลิ่นดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักอบอวลในอากาศ

 

“ที่นี่…ที่ไหนกัน” เสียงเขาแผ่วพร่า

 

สายตาของเด็กหนุ่มทอดมองไปรอบกาย — ไม่มีตึกสูง ไม่มีถนน ไม่มีแสงไฟ มีเพียงทุ่งกว้างทอดยาวและหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่สร้างด้วยไม้ไผ่และหญ้าคาอยู่ไม่ไกล แสงตะเกียงน้ำมันสลัว ๆ ส่องไหวในความมืด ราวกับเชื้อไฟจากอีกยุคหนึ่ง

 

กฤตเอื้อมแตะขมับ ความเจ็บแล่นวาบขึ้นมา ภาพความทรงจำพร่าเลือน เขาจำได้เพียงว่า…เขาอายุ 17 แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีก่อนหน้ากลับว่างเปล่า ราวกับถูกใครลบหายไปจากกระดาษชีวิต

 

เพียงสิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ในใจเขาคือ “สร้อยฟ้า” — ชื่อของพี่สาวที่เขารักยิ่ง เสียงเรียกของเธอดังก้องอยู่ในห้วงฝันก่อนตื่น

 

“กฤต…ตามหาพี่ให้พบ”

 

 

 

หัวใจเขากระตุกแรง ร่างกายสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่ผสมระหว่างหวาดกลัวและโหยหา

 

เด็กหนุ่มก้าวเดินช้า ๆ เข้าไปในหมู่บ้าน เสียงหมาเห่าตามราวกับเตือนผู้มาเยือน แต่บ้านทุกหลังกลับเงียบสงัด ไร้ผู้คน มีเพียงเงาตะเกียงที่ยังส่องแสงอยู่

 

กฤตรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะพบหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งชื่อ แม่สาย ที่ยืนรออยู่หน้าศาลาเล็ก เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่หลับใหล

 

“ท่าน…ไม่ใช่คนที่นี่ใช่หรือไม่” น้ำเสียงของเธอเบาหวิว คล้ายกลัวจะรบกวนความเงียบรอบข้าง

 

กฤตพยักหน้า “ข้ามาไม่รู้จากที่ใด…แต่พี่สาวของข้า—เธอหายไป ข้าต้องหาตัวเธอให้พบ”

 

แววตาของแม่สายเต็มไปด้วยแววสงสารปนสับสน ก่อนเธอจะก้มลงและพูดด้วยเสียงแผ่วว่า

 

“ท่านอาจเป็นผู้ที่กลอนทำนายกล่าวไว้…ผู้จะไขกลบทที่พันธนาคนทั้งหมู่บ้านให้ฝันร้าย”

 

คำพูดนั้นทำให้กฤตสะดุ้ง ใจเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง เพราะในเงียบสงัดของหมู่บ้าน เขาเริ่มสัมผัสได้ถึง “ความผิดปกติบางอย่าง” ที่ซ่อนอยู่

แม่สายพากฤตเข้าสู่ศาลากลางหมู่บ้าน ภายในมีเพียงแสงตะเกียงส่องสลัว เฟอร์นิเจอร์ไม้เรียบง่าย และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัดราวกับทุกสิ่งถูกกดทับด้วยมือที่มองไม่เห็น

 

เธอเอ่ยช้า ๆ เสียงสั่นคล้ายเกรงกลัวบางสิ่ง

 

“คนทั้งหมู่บ้าน…ตั้งแต่เดือนก่อน ทุกคืนพวกเขาจะฝันร้ายเหมือนกันหมด”

 

กฤตนิ่งฟัง หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อแม่สายเล่าต่อ

 

“ทุกคนเห็นเงาสัตว์ยักษ์ในฝัน—ลำตัวดำสนิท ดวงตาสีเงินแวววาว มันกรีดร้องและบอกว่า จงส่งผู้ที่ท่านรักที่สุดมาเป็นบูชา หากใครขัดขืน ตื่นขึ้นมาก็จะล้มป่วยเรื่อย ๆ และค่อย ๆ ดับสิ้น”

 

เสียงเธอสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า “จนบัดนี้ ชาวบ้านไปแล้วเกือบครึ่ง”

 

กฤตรู้สึกเลือดในกายเย็นวาบ มันไม่ใช่เพียงคดีเล็ก ๆ แต่คือความตายที่คืบคลาน

 

เขาก้าวเข้าไปใกล้โต๊ะกลางศาลา บนโต๊ะมีแผ่นกระดาษใบหนึ่ง วางอยู่ใต้ตะเกียงเล็ก ตัวอักษรเขียนด้วยหมึกสีเข้มบิดเบี้ยวแต่จัดเรียงเป็นกลอน

 

"กลางรัตติกาลเงา

ผู้คนต้องสิ้นใจ

หากใครกล้าไขใจ

มังกรจะเผยตน"

 

 

 

กฤตอ่านซ้ำสองรอบ ใบหน้าขมวดคิ้ว ความหมายคลุมเครือแต่สัมผัสได้ถึงสิ่งสำคัญ—นี่ไม่ใช่แค่คำขู่ แต่คือ “กลบทปริศนา”

 

เขาหันไปหาแม่สาย “นี่คือสิ่งที่พวกท่านได้มาทุกคืนหรือ”

 

หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ ทุกคราเพียงเสียงก้องในฝัน…แต่เพิ่งคืนนี้ที่แผ่นนี้ปรากฏตรงศาลา ไม่มีใครกล้าแตะต้อง”

 

กฤตหลับตาลง รู้สึกว่าหัวใจตนเองถูกบังคับให้เลือก เขาไม่รู้ว่าเหตุใด แต่กลอนตรงหน้ากลับส่องแสงบางเบาในความคิด เหมือนมันกำลังทดสอบเขาโดยเฉพาะ

 

เสียงหนึ่งก้องในใจเขา — เสียงหญิงสาวที่คุ้นเคย “กฤต…เจ้าต้องกล้าเถิด”

 

เด็กหนุ่มหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำตอบออกมาเป็นกลอนเช่นกัน

 

"หากมังกรอยู่ในเงา

จงส่องใจให้กระจ่าง

ไร้ซึ่งความลับซ่อนพลาง

เงานั้นจะมลายไป"

 

 

 

ทันทีที่เสียงเขาจบลง แผ่นกระดาษสั่นสะเทือน เปลวไฟตะเกียงพลันโหมแรงขึ้นทั้งศาลา ลมแรงพัดโบกเข้ามาราวกับโลกกำลังพลิกผัน

 

แม่สายร้องลั่น “ท่านทำอะไรลงไป!”

 

แต่กฤตยืนมั่น เขารู้ว่าต้องทำให้ถึงที่สุด

 

กลางหมู่บ้าน เสียงคำรามดังก้องจากใต้ดิน—คล้ายสัตว์ยักษ์กำลังตื่นจากพันธนาการ แผ่นดินสะเทือนจนเสาไม้สั่นสะท้าน

 

และในหมอกที่ก่อตัวขึ้นนั้น… ร่างดำสนิทขนาดมหึมาของ “ม้านิลมังกร” ค่อย ๆ ปรากฏ

เงาหมอกคลี่คลายกลางลานหมู่บ้าน เปลวไฟตะเกียงดับสิ้น ราตรีสลัวเหลือเพียงแสงจันทร์เย็นเยียบส่องเหนือผืนดินที่สั่นสะเทือน

 

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้านั้น—มิใช่ปีศาจน่ากลัว หากแต่เป็นสัตว์แห่งตำนาน ม้านิลมังกร

 

เกล็ดสีดำแววสลับประกายเงินปกคลุมลำตัวอันแข็งแกร่ง ปีกกว้างดุจม่านฟ้า ดวงตาคู่ใหญ่ส่องประกายดุจโลหะหลอมละลาย ทว่าสายตาเต็มไปด้วยปริศนา มิใช่เพียงความดุร้าย

 

ชาวบ้านที่ยังเหลืออยู่ต่างพากันหวีดร้อง บ้างทรุดตัวคุกเข่า บ้างวิ่งหนีเข้าเรือน แต่กฤตกลับยืนนิ่ง สายตาจับจ้องสัตว์มหึมาราวถูกดึงดูดด้วยแรงลึกลับ

 

เสียงก้องทุ้มดังขึ้นโดยไม่ต้องขยับปากของมัน—ราวกับสื่อสารตรงสู่จิตใจ

 

“ผู้ใด…กล้าไขกลอน

ผู้ใด…กล้าสบตาเงามังกร

ชะตานั้นจะผูกพัน

ไม่อาจหลีกเร้นได้อีก”

 

 

 

กฤตก้าวขึ้นข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว หัวใจสั่นสะท้าน แต่กลับแฝงด้วยแรงดึงดูดประหลาด ราวกับเขารู้จักสิ่งมีชีวิตตรงหน้ามานานแล้ว

 

แม่สายตะโกนห้าม “อย่า! มันคือสัตว์ที่มาจากฝันร้าย!”

 

แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้า—เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่ต่างไปจากคำบอกเล่า

 

เขาพูดออกมาเป็นถ้อยคำกึ่งกลอน เสียงสั่นแต่มั่นคง

 

“เจ้ามาเพื่อลองใจ

หรือมาเพื่อทวงพราก

หากเป็นเพียงศัตรูร้าย

เหตุใดใจข้าสั่นสะท้านดุจคิดถึงใคร”

 

 

 

ดวงตาม้านิลมังกรสั่นไหวเล็กน้อยราวกับเข้าใจ มันลดศีรษะต่ำ ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นออกมาไล่หมอกจนกระจายหายไปจากลาน

 

จากนั้น เสียงก้องกังวานดังขึ้นอีกครั้ง—ชัดเจนแต่ไม่ใช่คำขู่

 

“มิใช่เจ้าของข้า

แต่ข้ามิอาจหันเห

เสียงหนึ่งส่งข้ามาให้

เพื่อคุ้มครอง…ผู้ที่ถูกกำหนดไว้”

 

 

 

กฤตใจสะท้าน—เสียงหนึ่ง? ใครกันที่ส่งม้านิลมังกรมาให้?

 

เขารู้สึกได้เพียงแผ่วเบา…แววตาในความทรงจำที่พร่าเลือน เงารอยยิ้มอบอุ่นของใครคนหนึ่ง ซึ่งเขารู้จักดีแต่กลับเอื้อมไม่ถึง

 

“สร้อยฟ้า…” เขาพึมพำในใจ

 

แต่ไม่มีใครเอ่ยเฉลย—แม้แต่ม้านิลมังกรเองก็เพียงส่ายศีรษะช้า ๆ ราวกับมันก็ไม่รู้จักนามนี้เช่นกัน

กฤตยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าม้านิลมังกร หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก เขาไม่รู้ว่าควรหวาดกลัวหรือควรเชื่อใจ แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ…นี่ไม่ใช่เพียงสัตว์ในฝันร้าย หากแต่เป็นคำตอบบางอย่างที่เขาตามหา

 

แม่สายก้าวเข้ามาดึงแขนเขา “อย่าเข้าใกล้! เจ้าจะตายเสียเปล่า”

 

เด็กหนุ่มเหลียวมองเธอ พลันเอ่ยช้า ๆ เป็นถ้อยคำกึ่งกวี

 

“หากไม่ก้าว ข้าย่อมไม่รู้

หากไม่ลอง ข้าย่อมไม่เห็น

เงามืดในใจย่อมไม่สว่าง

ข้าจะเลือกเผชิญ…ไม่ใช่หนี”

 

 

 

เขาสะบัดแขนเบา ๆ แล้วก้าวตรงไปยังสัตว์มหึมานั้น

 

ม้านิลมังกรก้มศีรษะต่ำลงอีก ลมหายใจแรงดุจพายุพัดผ่าน แต่กลับมิได้ทำร้าย ราวกับรอคำตอบบางสิ่งจากเด็กหนุ่มตรงหน้า

 

กฤตยกมือขึ้นสั่นเทา—แล้วแตะลงบนเกล็ดแข็งเย็นของมัน

 

ทันใดนั้น แสงสีเงินพลันแผ่จากร่างม้านิลมังกร พุ่งกระจายคลุมร่างกฤตทั้งตัว ราวกับสัญญาที่ผูกพันระหว่าง “ผู้ขี่” และ “มังกร”

 

เสียงก้องดังขึ้นอีกครั้งในใจเขา

 

“เจ้าคือผู้ถูกเลือก

มิใช่ด้วยกำลัง…แต่ด้วยเงาแห่งหัวใจ

ผู้หนึ่งส่งข้ามาให้เจ้า

และเส้นทางนี้จะนำไปหาความจริง”

 

 

 

กฤตกัดฟัน พึมพำเพียงเบา ๆ “สร้อยฟ้า…ใช่หรือไม่”

 

แต่เสียงก้องนั้นเงียบลง เหลือเพียงความอุ่นวาบในอก และม้านิลมังกรที่ยืนนิ่งเฝ้าข้างเขา

 

แม่สายมองด้วยแววตาตะลึงพรึงเพริด “เจ้าทำได้อย่างไร…สัตว์แห่งฝันร้ายกลับไม่ฆ่าเจ้า แต่ยอมสยบ!”

 

กฤตหันมองหญิงสาว และตอบเพียงสั้น ๆ

 

“บางที…มันไม่ใช่ฝันร้าย แต่เป็นคำตอบ”

 

 

 

สายลมกลางคืนพัดผ่าน ลานหมู่บ้านกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ผู้คนที่หลบซ่อนค่อย ๆ โผล่ออกมา มองดูเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดที่ยืนเคียงข้างสัตว์ในตำนาน ราวกับเขาเป็นตัวละครจากกลอนโบราณที่มีชีวิตจริง

 

แต่ในใจของกฤต เขารู้เพียงว่า—นี่เป็นเพียงก้าวแรกเล็ก ๆ บนเส้นทางยาวไกลที่เต็มไปด้วยปริศนา และทุกย่างก้าวล้วนพาเขาเข้าใกล้เงาของ สร้อยฟ้า ที่รออยู่ในความมืด

กลบทแห่งจันทร์

 

รุ่งอรุณแรกหลังคืนที่กฤตได้พบกับม้านิลมังกร หมู่บ้านไม้ไผ่เล็ก ๆ ริมห้วยกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม ทุกสายตามุ่งมายังเขา ผู้มาเยือนที่ปรากฏตัวพร้อมกับสัตว์ในตำนานราวกับเทพสถิต

 

บางคนมองด้วยความเลื่อมใส บางคนกลับสั่นกลัว และอีกหลายคนกระซิบกระซาบว่าความวิบัติของหมู่บ้านเริ่มต้นตั้งแต่เด็กหนุ่มคนนี้ก้าวเข้ามา

 

 “เมื่อคืนแผ่นดินสั่นสะเทือน

เงามังกรก้าวเหยียบเวิ้งฟ้า

นั่นมิใช่ลางหายนะหรอกหรือ”

 

 

 

กฤตยืนนิ่ง ฟังเสียงซุบซิบเหล่านั้นโดยไม่อาจเอ่ยแย้ง เขารู้เพียงว่าความจริงเกี่ยวกับพี่สาวยังคงซ่อนอยู่ และหากเขายอมถอยในวันนี้ เขาอาจไม่พบเธออีกเลย

 

แม่สายเป็นเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ข้างเขา เธอถือขันน้ำมาให้ พลางมองไปยังทุ่งหญ้าที่ตอนนี้เหลือเพียงรอยเท้าใหญ่ลึกจมดิน ซึ่งเป็นหลักฐานว่าม้านิลมังกรเมื่อคืนหาใช่ความฝัน

 

“กฤต” แม่สายพูดแผ่ว “ชาวบ้านหวาดกลัว แต่ข้าคิดว่าท่านคือผู้เดียวที่จะไขปริศนานี้ได้”

 

เด็กหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ เขายังไม่รู้ว่าอะไรผลักดันตนให้เดินต่อ แต่ในห้วงใจ กลับได้ยินเสียงสะท้อนเหมือนคำกระซิบ “เจ้าต้องแข็งแรงกว่านี้…พี่รออยู่”

 

เขาเงยหน้ามองฟ้า — ดวงจันทร์ยังจางไม่สิ้น แม้พระอาทิตย์จะเริ่มทอแสง

และนั่น…คือสัญญาณว่า กลบทใหม่กำลังจะปรากฏอีกครั้ง

ศาลากลางหมู่บ้านในยามเช้าเงียบงัน แต่แผ่นไม้เก่าที่ผนังกลับส่องแสงสีเงินบางเบา คล้ายหมึกสว่างค่อย ๆ เขียนอักษรขึ้นเองต่อหน้าต่อตา ชาวบ้านต่างแตกตื่น พากันมามุงดู

 

กฤตก้าวเข้าไปใกล้ ข้อความที่ปรากฏคือกลอนใหม่ที่งดงามแต่แฝงเงื่อนงำ

 

 “เงาจันทร์หลงเงาตะวัน

ใครไขมันจักเห็นทาง

แต่ผู้ใดหาญก้าวย่าง

หากใจพร่างจักมืดมิด”

 

 

 

เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที ชาวบ้านต่างถอยห่างราวกับอักษรเหล่านั้นคือคำสาป กฤตกลับก้าวเข้าไปใกล้ขึ้น รู้สึกเหมือนหัวใจถูกดึงดูดโดยพลังบางอย่าง

 

แม่สายเอ่ยเสียงสั่น “ทุกครั้งที่กลบทใหม่ปรากฏ คนในหมู่บ้านมักหายตัวไปหนึ่งคน…หากเจ้าคิดไข ก็จงระวังให้ดี”

 

กฤตสูดลมหายใจลึก แม้ความกลัวแผ่วเบาจะกรีดใจ แต่ภาพใบหน้าของสร้อยฟ้าก็ผุดขึ้นมาทุกครั้งที่เขาหลับตา เขารู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เพียงการช่วยหมู่บ้านเท่านั้น แต่คือการเข้าใกล้เงื่อนงำของพี่สาว

 

เขาลองอ่านกลอนนั้นซ้ำ เสียงเขาเปล่งออกมาเป็นจังหวะทำนองเหมือนบทขับลำนำ:

 

 “หากจันทร์ดับเมื่ออรุณมา

แสงฟ้ายังพาพี่สู่ทาง

ข้าจะไม่ปล่อยให้มืดบัง

แม้ใจพร่างก็จักมั่น”

 

 

 

เมื่อสิ้นคำ แผ่นไม้สั่นสะเทือน เสียงเหมือนระฆังโบราณดังขึ้นสามครั้ง ก่อนพื้นศาลาจะเผยเส้นแสงเป็นสัญลักษณ์รูปเสี้ยวจันทร์ แสงนั้นทอดยาวไปสู่ป่าลึกทางทิศตะวันตก

 

แต่ก่อนที่กฤตจะก้าวตามสัญลักษณ์นั้น ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งในหมู่บ้านก็ก้าวออกมาขวางหน้า แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

 

หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงห้วน

“เจ้าคือผู้เรียกมังกร…เจ้าคือเคราะห์ร้ายที่หมู่บ้านไม่อาจรับได้”

เสียงคำกล่าวหาของชายหนุ่มทำให้บรรยากาศในศาลากลางตึงเครียดทันที

กฤตมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้า มีอยู่สี่คน ร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำจากการทำไร่ไถนา และดวงตาแข็งกร้าวราวคนที่เคยเผชิญทุกข์ยากมามาก พวกเขาคือ "พี่ใหญ่แห่งหมู่บ้าน" ที่ชาวบ้านยกให้เป็นผู้นำยามเกิดเหตุร้าย

 

“เจ้ามาที่นี่เพียงไม่กี่วัน แต่หมู่บ้านของเราต้องเผชิญทั้งฝันร้ายและอาถรรพ์ใหม่”

ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางพูดเสียงดุดัน

“เมื่อคืนเจ้าคือผู้เดียวที่อยู่กับมังกร ใครจะรับประกันได้ว่าเจ้าไม่ได้ชักนำมันมา”

 

ชาวบ้านที่ยืนรายรอบเริ่มกระซิบสนับสนุน เสียงลือดังขึ้นราวคลื่นทะเล กฤตรู้สึกว่าพื้นที่รอบตัวค่อย ๆ หดแคบลง

 

แม่สายก้าวออกมายืนเคียงข้างเขา เอ่ยสวนกลับด้วยน้ำเสียงแข็ง

“หากไม่ใช่เขา เราคงถูกเผาเป็นจุณไปแล้ว เจ้ามิได้เห็นหรือว่ามังกรยอมสยบแทนที่จะทำลาย!”

 

แต่คำพูดนั้นกลับยิ่งกระพือความไม่พอใจ

ชายอีกคนตะโกนลั่น “สัตว์ร้ายจะยอมสยบได้เช่นไรหากมิใช่เพราะมันกับเด็กหนุ่มผู้นี้สมรู้ร่วมคิด!”

 

เสียงโห่ร้องดังขึ้น กฤตรู้สึกเลือดสูบฉีด แต่เขาก็พยายามไม่ตอบโต้ เขาหลับตาสูดลมหายใจลึก และเลือกใช้ถ้อยคำที่เป็นกวีมากกว่ากำปั้น

 

 “ข้ามิใช่ผู้เรียกเคราะห์

ข้ามิใช่ผู้ก่อภัย

หากมิเดินตามเงื่อนงำนี้

แล้วใครจักกล้าไข?”

 

 

 

ถ้อยคำก้องกังวานไปทั่วศาลา เงียบงันลงชั่วขณะ แต่ไม่นาน ความแค้นในดวงตาของชายหนุ่มเหล่านั้นก็ยังไม่จางหาย

 

หัวหน้ากลุ่มก้าวเข้าใกล้กฤต จนแทบชิด “หากเจ้ากล้าพูดเช่นนั้น จงพิสูจน์ด้วยการไขกลบทนี้ให้ได้ และจงกลับมาโดยไม่พาหายนะมาสู่เราอีก”

 

เขาผลักอกกฤตแรงจนเด็กหนุ่มเซถอยหลัง แม่สายรีบประคอง กฤตเงยหน้ามองชายคนนั้นด้วยแววตาที่ไม่ยอมแพ้

 

แม้ยังไม่รู้วิธีพิสูจน์ แต่ในใจเขาเต็มไปด้วยแรงผลักดันใหม่—

แรงผลักดันที่มากกว่าความอยากพบพี่สาว

นั่นคือความเชื่อว่า สร้อยฟ้า…กำลังตกอยู่ในอันตราย

กฤตก้าวออกจากศาลากลาง หมู่บ้านเบื้องหลังยังเต็มไปด้วยเสียงกระซิบซ่อนแววระแวง แต่เขาไม่หันกลับไปอีก แสงเสี้ยวจันทร์ที่ทอดจากพื้นศาลาพาดผ่านทุ่งหญ้าเข้าสู่ป่าลึกยังคงส่องนำทาง

 

ม้านิลมังกรที่หายไปตั้งแต่รุ่งอรุณ ปรากฏตัวอีกครั้งที่ชายป่า ดวงตาสีดำวาวลึกจับจ้องเขาราวกับรอคอยอยู่แล้ว กฤตรู้สึกถึงสายสัมพันธ์ประหลาด มันไม่ใช่สัตว์ร้าย แต่ก็ไม่ใช่เพื่อนแท้ หากเป็นสิ่งที่ถูกส่งมาเพื่อทดสอบเส้นทางของเขา

 

เขาก้าวเข้าใกล้ ม้านิลมังกรขยับศีรษะลงต่ำประหนึ่งเชิญขึ้นขี่ แต่กฤตยังลังเล ใจหนึ่งอยากจะลอง แต่อีกใจยังไม่แน่ใจว่าตนคู่ควรหรือไม่

 

ในห้วงวินาทีนั้น แสงเสี้ยวจันทร์บนพื้นดินสว่างวาบ กลายเป็นอักษรเร้นลับเพียงกฤตเท่านั้นที่มองเห็น

 

 “ฟ้าสร้อยถูกผูกพันธนา

กายาพันธนียังไม่สิ้น

ผู้หาญไขบทกลอนถิ่น

จักได้ยินเสียงเรียกหา”

 

 

 

กฤตอ่านแล้วหัวใจเต้นแรง คำว่า “ฟ้าสร้อย” ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ

จะเป็นไปได้หรือไม่ว่านั่นคือเบาะแสของ สร้อยฟ้า พี่สาวของเขา?

 

ทันใดนั้นสายลมแรงพัดใบไม้ปลิวว่อน ราวกับมีเสียงหญิงสาวแว่วผ่านปลายหู “น้องชาย…จงรีบมา”

เสียงนั้นแผ่วเบา แต่ชัดเจนพอจะทำให้ดวงตาของกฤตสั่นระริก

 

เขากำหมัดแน่น

“หากพี่อยู่ในอันตรายจริง…ข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้ให้ได้”

 

เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจก้าวขึ้นบนหลังม้านิลมังกร แม้ร่างกายยังไม่คุ้นชิน แต่ดวงใจกลับแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม

เมื่อกฤตนั่งมั่นแล้ว ม้านิลมังกรแผดเสียงคำรามก้อง ปีกสีดำสะท้อนแสงเงินแห่งจันทร์ แผ่ไอร้อนราวเปลวเพลิง ก่อนทะยานขึ้นฟ้า

 

บนฟากฟ้าเบื้องสูง กฤตรู้ว่าหนทางสู่เมืองอื่น ๆ และการฝึกฝนทั้งกายและใจเพิ่งเริ่มต้น—

และทุกก้าวจะนำเขาเข้าใกล้ความจริงเกี่ยวกับพี่สาวผู้เป็นดั่งดวงใจของเขามากขึ้นทุกที

เกล็ดนาคา

ตอนที่ 3 : เส้นทางแห่งเกล็ดนาคา

รุ่งอรุณวันใหม่ แสงแดดสีทองสาดผ่านยอดไม้ ทุ่งหญ้าที่หมู่บ้านคุ้นเคยค่อย ๆ เลือนหายไปเบื้องหลัง กฤตนั่งบนหลังม้านิลมังกร แม้ท่าทางยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่แววตามุ่งมั่นกว่าเดิม มังกรหนุ่มพาเขาโผบินเหนือผืนป่า เงาของมันทอดทาบลงบนผืนดินราวรอยปากกาเขียนบทใหม่แห่งโชคชะตา

ระหว่างที่บิน กฤตรู้สึกว่าลมหายใจของตนเองไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้อแขนและขาตึงเกร็งจากการประคองตัว เขาพยายามฝืนแต่ก็แทบหลุดร่วงลงมา

ม้านิลมังกรหันตาสีดำลึกกลับมา มันเอ่ยเสียงทุ้มต่ำราวก้องมาจากโพรงหิน—

“ขี่ม้าใช่เรื่องง่าย

ขี่มังกรยิ่งยากยิ่ง

หากเจ้าจิตไม่จริง

จะถึงถิ่นได้อย่างไร”

กฤตพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกเหมือนถูกม้านิลมังกรทดสอบในทุกฝีก้าว ไม่ใช่เพียงกำลังแขนขา แต่รวมถึงความมั่นคงในใจด้วย

“ข้า…จะไม่ปล่อยให้ล้มลงก่อนถึงทางของพี่สาว”

เขาพึมพำเสียงสั่น แต่ก็ยิ่งขืนกายให้มั่นคงขึ้นทีละน้อย

ม้านิลมังกรพากฤตโผบินข้ามป่ากว้าง ก่อนจะลดระดับลงสู่ลำน้ำใหญ่ที่ทอดตัดกลางหุบเขา

สายน้ำนั้นใสจนสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ แต่ยิ่งเพ่งมองยิ่งเห็นว่ากระแสน้ำเชี่ยวกราก และใต้ผืนน้ำเหมือนมีเงาดำเลื้อยวนราวเกล็ดเงิน

ทันใดนั้น ม้านิลมังกรหยุดกึกกลางฟ้าแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง—

“สายน้ำนี้คือเขตแดน

ก่อนถึงแคว้นแห่งนาคา

เจ้าจักต้องฝึกกายา

จึงผ่านฟ้ามุ่งฝั่งไป”

กฤตมองลงไป เห็นหินผาโผล่ขึ้นจากกลางน้ำราวคันศรเรียงราย

เขาเพิ่งเข้าใจ—นี่คือบททดสอบแรก เขาจะต้องขี่ม้านิลมังกรโผบินลงต่ำ ควบคุมตัวเองไม่ให้ตกหล่น และต้องผ่านช่องหินผาแคบที่ขวางอยู่โดยไม่กระแทก

หัวใจเต้นแรง แต่ภาพเงาพี่สาวกลับแล่นเข้ามาในใจทันที

เขากำมือแน่น เอ่ยตอบเป็นกลอนสั้น ๆ แม้เสียงสั่นแต่เด็ดเดี่ยว—

“แม้กายข้ายังอ่อนแรง

แม้แข้งขาแทบสั่นไหว

แต่เพื่อพี่ที่อยู่ไกล

ข้ายอมฝึกจนกล้าแทน”

ม้านิลมังกรแผดเสียงราวรับคำ ก่อนดิ่งตัวลง กระแสลมแรงปะทะจนใบหน้าของกฤตราวกับถูกมีดคมเฉือน

เขากัดฟันแน่น พยายามประคองร่างไม่ให้ปลิวตามแรงเหวี่ยง

เสียงน้ำเชี่ยวก้องประสานกับเสียงหัวใจเต้นรัว

หินผาเรียงรายเบื้องหน้าเหมือนประตูแห่งชะตา กฤตรู้สึกว่าทุกเสี้ยววินาทีคือความเป็นความตาย

เมื่อม้านิลมังกรพากฤตฝ่าโถงหินผา ช่องแคบแต่ละชั้นยิ่งบีบเข้ามาเหมือนจะกดดันให้หลุดร่วง กฤตหอบหายใจ เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก แต่เขายังคงเกาะแผงคอมังกรแน่นไม่ยอมแพ้

ทันใดนั้น—

สายน้ำเบื้องล่างพลันแตกกระจาย เงาดำมหึมาพุ่งขึ้นมา ฟุ่บ! กระเซ็นน้ำสูงราวสายฝน เผยให้เห็นเศียรนาคาเงาทะมึนดวงตาเรืองแสงสีมรกต

เสียงนาคาก้องสะท้อนราวฟ้าผ่า—

“ผู้ใดกล้ามาล่วงแดน

แห่งเกล็ดแก้วสายน้ำศักดิ์

หากไร้ใจและไร้หลัก

จักถูกหักจมวารี”

กฤตตัวสั่นเล็กน้อย แต่เขารู้ว่าต้องตอบ มิฉะนั้นคงถูกสายน้ำกลืนไปแน่

เขาสูดลมหายใจลึก หยิบความกล้าที่เหลือออกมา แล้วกล่าวเป็นกลอนตอบ—

“ข้าเป็นเพียงผู้เดินทาง

ใจอ้างว้างตามหาพี่

แม้นอ่อนด้อยไร้ฤทธี

แต่จริงนี้คือศรัทธา”

เงานาคาเลื้อยวนรอบ ๆ ตัวมังกร ดวงตาจับจ้องเด็กหนุ่มราววัดใจ

กระแสน้ำเชี่ยวกลายเป็นเกลียวหมุน ม้านิลมังกรคำรามต่ำ เสมือนเร่งให้กฤตยึดมั่นไม่หวั่นไหว

กฤตหลับตาลงชั่วขณะ ปล่อยให้ลมหายใจเข้าจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจ

แม้เงานาคาจะน่าครั่นคร้าม แต่เขารู้ว่า—นี่ไม่ใช่การต่อสู้ด้วยกำลัง หากเป็นการทดสอบความแน่วแน่ในใจ

 

เสียงเงานาคาร้องก้องอีกครั้ง น้ำทั้งลำน้ำปั่นป่วนราวจะกลืนทุกสิ่ง แต่ทันใดนั้น เกล็ดนิลของม้านิลมังกรส่องแสงประกายสีเงิน มันโผทะยานฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวที่โหมซัด เหมือนแหวกม่านแห่งความกลัว

กฤตไม่กรีดร้อง ไม่สั่นสะท้าน เขาเพียงแต่กอดแน่น สูดลมหายใจสม่ำเสมอ ดวงใจเต้นตรงกับจังหวะก้าวย่างของมังกรหนุ่ม ร่างกายที่อ่อนแรงกลับเริ่มรับรู้ถึงความมั่นคงภายใน

เมื่อผ่านประตูหินผาออกมา เงานาคาใหญ่ค่อย ๆ ลดเลือน กลายเป็นร่างโปร่งใสครึ่งคนนาคราช เสียงทุ้มต่ำเปลี่ยนเป็นแผ่วก้องกลางลำน้ำ—

“เจ้ายังเยาว์ แต่ใจไม่ไหวเอน

แม้นไร้ฤทธิ์ ก็มีใจไม่แพ้

หนทางที่จักตามพี่แท้

เต็มอันตรายและมายา”

นาคราชยกหัตถ์ขึ้นเหนือสายน้ำ คลื่นสงบลงทันตา ก่อนจะกลายเป็นอักษรกลบทเรืองรองกลางห้วงวารี

“สร้อยฟ้าถูกกักในหอวังใต้

ผู้ใดอ่อนใจย่อมไม่เห็นหน้า

ผู้กล้าไร้กลศรัทธา

จักมีทางสู่แดนจริง”

กฤตเบิกตากว้าง เมื่อได้ยินชื่อพี่สาวจากปากสิ่งมีชีวิตเหนือโลกนี้

เขากัดฟันแน่น ความหวังผสานกับความกลัวจนกลายเป็นแรงฮึดขึ้นในอก

“ข้าจะไปให้ถึง ไม่ว่ายากเย็นเพียงใด”

เสียงเด็กหนุ่มก้องกังวานกลางหุบเขา

นาคราชหัวเราะแผ่ว น้ำแตกกระจายเป็นเกล็ดแก้ว แล้วร่างค่อย ๆ จางหายไป

เหลือเพียงความเงียบสงัด และเส้นทางสู่ “เมืองนาคา” ที่ทอดยาวไปข้างหน้า

ม้านิลมังกรเอียงศีรษะประหนึ่งพอใจ พลางก้าวต่อไปพร้อมเจ้าของใหม่—

ก้าวแรกของการเดินทางที่ทั้งกายและใจต้องถูกขัดเกลา เพื่อจะมีพลังมากพอไปถึงพี่สาวที่กำลังรออยู่ในเงามืด

 

 

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!