NovelToon NovelToon

เขมจิราต้องรอด

บทที่1

พอใกล้วันปิดเทอมเขมจึงย้ายข้าวของมาในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งซึ่งราคาเช่าถูกมากซึ่งแลกกับระยะทางที่ห่างจากมหาวิทยาลัยพอสมควรแต่นั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขมที่มักจะใช้วิธีเดินไปไหนมาไหนมากกว่าการขับรถหรือนั่งรถหากระยะทางไม่ได้ไกลจนเดินไม่ไหวล่ะนะ เวลาจะไปเรียนก็แค่ต้องตื่นเช้าเผื่อเวลาเดินสักหน่อยก็เท่านั้น

อาจจะสงสัยเขามาเรียนที่กรุงเทพฯคนเดียว ไม่มีเพื่อนสักคน

มาเรียนด้วยหรอ

คำตอบคือเขมเคยมีเพื่อน เพราะเรื่องคำสาปในตระกูลของเขาที่อาศัยอยู่กันในชนบท แถวนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้ เลยไม่มีใครกล้ามายุ่งกับเขาเพราะกลัวตัวเองจะโชคร้ายไปด้วย

ซึ่งเขมก็เข้าใจดีใครๆ ก็รักชีวิตตัวเองกันทั้งนั้น

ถ้าเป็นเขาเขาก็ทำแบบเดียวกันนั้นแหละ

แต่ก็ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งหรือบอยคอตเขาหรอกนะ เราพูดคุยกันได้ปกติ แต่ไม่ได้สนิทสนมกันจนสามารถเรียกอีกฝ่ายว่าเพื่อนได้เต็มปากก็เท่านั้น

เป็นหนึ่งเหตุผลที่เขมอยากมาเรียนกรุงเทพฯ

เขมอยากมีเพื่อน อยากมีสังคมใหม่ๆ

พอจัดของเสร็จแล้วก็ลงไปหาอะไรกินข้างล่างอพาร์ทเมนท์ ที่นอกจากราคาดีแล้ว

ยังอยู่ใกล้กับตลาดอีกด้วย ไม่ต้องห่วงว่าจะอดตายเลย อ่า ผัดไทยร้านนี้น่าอร่อยแฮะ

เขมได้กลิ่นผัดไทยหอมๆ ก็หยุดกึก จากที่ตั้งใจจะเดินผ่าน ก็หยุดสั่งทันที

"ผัดไทยห่อหนึ่งคนรับป้า"

"เอาห่อเดียวเหรอลูก"

"ครับ"

"อีกคนไม่เอาเหรอ?" เขมชะงักค่อยๆหันรอบตัวก่อนจะถาม

"หมายถึงใครเหรอครับป้า?"

เป๊ง!

แม่ค้าผัดไทยเผลอทำตะหลิวหลุดมือ ใบหน้าซีดลง ถนัดตาก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ส่งมาให้

"อะ เอ่อ ป้าตาฝาดนะลูก ไม่มีอะไรๆ เอ้านี่ยี่สิบบาทจ้ะ" เขมรับมาแล้วจ่ายเงินแบบงงๆ

ระหว่างที่กำลังจะเดินข้ามถนน เขมเผลอเหยียบเชือกรองเท้าผ้าใบของตัวเองจนสดุดลงไปบนถนนก่อนจะรีบถอยกลับขึ้นมา ตั้งใจจะก้มลงไปผูกเชือกรองเท้า

เอี๊ยดดด

โครมม!!

ไม่ทันได้ย่อตัวลงเขมก็ได้ยินเสียงดังสนั่นอยู่ใกล้ๆ

จนต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะเบิกโตขึ้น เมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์พุ่งมาด้วยความเร็วเสียบอยู่ใต้ท้องรถเมล์ ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร

...อยู่ตรงหน้าเขาพอดิบพอดี

ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที

เมื่อครู่นี้ถ้าเขาไม่กลับขึ้นมาผูกเชือกรองเท้าละก็...

เขมนึกถึงเรื่องคำสาปของตระกูลขึ้นมา

ก่อนจะสะบัดศีรษะพยายามคิดในแง่ดีเพื่อปลอบใจตัวเอง

ก็แค่บังเอิญน่า ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย

ไม่รู้ว่าเผลอยกมือขึ้นมากำตระกรุดที่ห้อยอยู่คอตอนไหน เขมถอยออกมาจากความชุลมุนวุ่นวาย แล้ววิ่งกลับห้องของตัวเองทันที

...

วันต่อมา เหตุการณ์เมื่อวานก็ได้เป็นข่าวออกโทรทัศน์ เขมที่กำลังเดินผ่านล็อบบี้เพื่อกลับห้องพักชะงักเท้าตัวเอง เพื่อหยุดแหงนหน้ามองโทรทัศน์ของส่วนกลางทีากำลังฉ่ายภาพที่เกิดเหตุ

'เกิดเหตุการณ์สลดขึ้นเมื่อวานนี้ค่ะ คนขับบิ๊กไบค์ หมายเลข ทะเบียน กข XXX พุ่งชนกับท้ายรถเมล์ที่กำลังจอดรอรับผู้โดยสารเสียชีวิตคาที่ที่ถนน... เบื้องต้นพบว่าผู้เสียชีวิตเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัย...พึ่งกลับจากงานกินเลี้ยงสังสรรค์กันกับบรรดาเพื่อนๆ'

เขมหัวใจหล่นวูบเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตคาที่ สองแขนกอดขวดน้ำที่พึ่งเอาลงมา

กรอกไว้แน่น ราวกับจะใช้มันเป็นที่พึ่งทางใจ เผลอคิดไม่ได้ว่าถ้าเชือกรองเท้าไม่หลุดตอนนั้น เหตุการณ์นี้อาจจะไม่ได้มีแค่ศพเดียวก็เป็นได้...

เหลือเวลาอีกอาทิตย์กว่าๆ ก่อนจะถึงวันเปิดเรียน หลังจากวันนั้นเขมก็พยายามใช้ชีวิตตามปกติ ถึงภาพเหตุการณ์วินาทีชีวิตนั้นจะยังคอยตามหาลอกหลอน แต่หากมีวแต่คิดกังวลก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี

เขมคิดแต่ว่าต่อแต่นี้ต้อวมีสติระมัดระวังตัวให้มากกว่าเดิมก็เท่านั้น

"เรียบร้อย" เขมกล่าวกับตัวเอง หลังจากที่ซื้อของมาตกแต่งห้องใหม่เพื่อทำให้ห้องดูเป็นสัดส่วนสบายตาและน่าอยู่มากกว่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นของมือสองที่คนอื่นไม่ใช้แล้วนั่นแหละนะ

เขมปาดเหงือไปหนึ่งที นาฬิกาบอกเวลาเกือบๆ สองทุ่ม 'ได้เวลาอ่านหนังสือแล้ว'เขมคิดในใจก่อนจะรีบกวาดขยะใส่ถุงดำเพื่อจะเอาลงไปทิ้งข้างล่าง

อย่างกับฉากในหนังผี

บรรยากาศที่น่ากลัวนี้ทำให้เขม มองซ้าวมองขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะรีบโยนถุงดำในมือลงถังขยะไป แต่จังหวะที่กำลังหมุนตัวเดินออกมา หางตากลับมองเห็นบางสิ่งที่ทำให้สองขาหยุดชะงัก สมองประมวลผลอย่างหนักว่าสิ่งนั้นคืออะไร

เขมตัดสินใจเหลือบตาไปมองด้วยความอยากรู้ ภาพที่เห็นเป็นร่างของเด็กที่ไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายใส่เสื้อขาวดูสกปรกมอมแมม

นั่งยองก้มหน้ามองพื้นอยู่ข้างถังขยะใบใหญ่

เขมมั่นใจว่าไม่ใช่คนแน่ๆ พอตอนเดินมาถึง เขมไม่เห็นว่าจะมีใครนั่งอยู่ตรงนั้นเลยสักคน

ขนอ่อนบนร่างกายค่อยๆ ลุกชัน

คนดีๆ ที่ไหนจะมานั่งอยู่ข้างถังขยะ

ในซอยเปลี่ยวตอนมืดๆ ค่ำๆ แบบนี้

"อึก" ชายหนุ่มกลืนน้ำลายก่อนจะถอนสายตาออกมา สองขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน เรียกได้ว่าวัยตีนแตก

นั่นน่ะเหรอผี เกิดมาสิบเก้าปี เขมพึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก

ในวินาทีที่เขมกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปนั้น

วิญญาณของเด็กผู้ชายคนนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

ปากของมันค่อยๆ ฉีกยิ้ม ก่อนที่ร่าง

กะหร่องของมันจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินโซเซตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป

...

หลังจากวันนั้นมาเขมก็เริ่มเจอเรื่องแปลกๆ มากขึ้น

อย่างแรกคือเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขาถึงสามครั้งภายในหนึ่งอาทิตย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างเดินอยู่ดีๆ ก็สะดุดล้ม หนักสุดก็เกือบตกบันไดยี่สิบขั้น โชคดีที่วันนั้นคว้าราวจับเอาไว้แน่น ไม่งั้นแย่แน่ๆ

อย่างที่สองคือเขมเริ่มเห็นวิญญาณบ่อยขึ้น...

อย่างเช่นตอนนี้

เขมสูดหายใจเข้าลึก ทำเป็นไม่เห็นวิญญาณเรือนร่างของหญิงสาวในชุดพนักงานออฟฟิศที่ยืนก้มหน้าอยู่หน้าประตูห้องข้างๆ

เธอยืนอยู่แบบนี้มาสามวันแล้ว

ห้องข้างๆ เขมเป็นผู้ชายวัยทำงานคนหนึ่ง ที่อยู่กับลูกชายเพียงสองคน

ตอนแรกที่เห็นเธอเขมเกือบจะทักออกไปแล้วว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ทำไมถึงไม่ยอมเข้าไปในห้อง แต่ตาดันเห็นเธอนั้นไม่มีเท้า... เขมจึงรีบปิดประตูเข้าห้องไปทันที

เขมคิดว่าเธอควจะเป็นภรรยาของเจ้าของห้องนี้ คงจะยังเป็นห่วงไม่ยอมไปเกิด

"อย่..า...ทำ...ลูก...ก...กู

เสียงที่ฟังดูกระท่อนกระแทก ทะว่าเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกดังขึ้นมาให้ได้ยิน เขมใจหล่นวูบ มือที่กำลังไขกุญแจห้องสั่นจนควบคุมไม่อยู่ กว่าจะเปิดประตูห้องเข้ามาได้ก็ฉี่แทบราด

เด็กหนุ่มขาอ่อนลงกับพื้น กระบอกตาร้อนผ่าว

เมื่อครู่นี้เธอบอกว่าอย่าทำลูกกูหรือเปล่า?

หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชายของเธอ

คืนนั้นเขมนอนแทบไม่หลับเพราะเอาแต่คิดถึงสิ่งที่วิญญาณสาวตนนั้นพูด ใจนึ่งก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเพราะเรื่องของตัวเองยังเอาไม่รอด

แต่อีกใจก็เป็นห่วงกลัวเกิดเรื่องไม่ดีกับเด็ก

เช้าวันต่อมา ช่วงเวลาแปดโมงเช้า

หลังจากที่ชายข้างห้องออกไปทำงาน เขมก็เดิสมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องของอีกฝ่าย ชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูห้อง

วิญญาณสาวออฟฟิศยังคงยืนอยู่ที่เดิม ข้างๆ เขม ทว่าคราวนี้ใกล้จนเสียไหลแทบจะแตะกัน

ประตูค่อยๆ เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นร่างของเด็กชายตัวเล็กๆ อายุราวๆ หกถึงเจ็ดขวบ แต่เพราะมีโซ่คล้องประตูอยู่จึงเปิดออกได้เพียงเล็กน้อย พอให้มองเห็นหน้าของเด็กชาย

"สวัสดีครับ" เขมยิ้มแล้วย่อตัวลวไปให้เสมอกับเจ้าตัว "พี่ชื่อเขมนะ พึ่งย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ หนู" เด็กน้อยไม่ตอบกลับ แต่พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ

เขมลอบมองผ่านช่องว่างเข้าไปอย่างถือวิสาสะ เห็นขวดเบียร์วางเรียงกันหลายขวด ข้าวของระเกะระกะไม่เป็นที่เป็นทาง

อะไรวะเนี่ย

"หนูกินอะไรหรือยังครับ?" คราวนี้เด็กชายส่ายหน้า เขมหนังตากระตุกขึ้นมาทันที

พ่อออกไปทำงานทั้งที่ลูกยังไม่ได้กินข้าวเนี้ยนะ...

ขณะเดียวกันเขมก็ขนลุกซู่ ความเย็นสายหนึ่ง ลามเลียแผ่นหลังของเขาทำให้รู้สึกกดดัน

"ไปกินข้าวกับพี่เขมมั้ยครับ พี่เขมเลี้ยง กินเสร็จเดี๋ยวพี่เขมมาส่ง" เด็กชายส่ายหน้าหนักกว่าเดิม

นาทีนั้นเขมพึ่งได้สังเกตเห็นว่า ที่ข้อเท้าของเด็กมีโซ่เส้นเล็กรัดเอาไว้แน่นจนผิวขาวเป็นรอยช้ำจนน่ากลัว

เขมค่อยๆ ขยับรอยยิ้ม แล้วกล่าวกับเด็กชายว่า

"งั้นหนู รอพี่เขมแป๊บนึ่งนะ"

เขมลงไปข้างล่าง ซื้อข้าวต้มกับน้ำและขนมให้เด็กชายกิน

เด็กชายลังเลไม่กล้ารับ แต่เหมือนจะทนความหิวไม่ไหวจึงยื่นมือออกไปรับมาในที่สุด

"ยะ อย่าบอกพ่อนะครับว่าผมกินข้าวของพี่" เด็กชายกล่าวด้วยใบหน้าวิงวอน จนเขมรู้สึกทั้งปวดใจ ทั้งโมโห แต่ก็พยักหน้ารับ

"ได้ครับ พี่ไม่บอก"

เย็นวันนั้น หลังจากที่เขมแจ้งไปที่เจ้าของห้องพัก ตำรวจก็บุกเข้ามาจับผู้ชายข้างห้อง ที่อยู่ในสภาพเมามายและกำลังทุบตีลูกชายได้คาหนังคาเขา

สอบปากคำเจ้าตัวก็ได้ความว่าเด็กชายเป็นลูกติดของแฟนสาวที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว ปัจจุบันอีกฝ่ายเป็นหนี้ก้อนโต พอแฟนสาวเสียไป จึงไม่มีใครช่วยใล้หนี้แถมยังทิ้งภาระไว้ให้อีก จึงเกิดเป็นความเครียดแล้วบันดาลโทสะใส่เด็กชาย

อีกฝ่ายได้รับโทษยังไงบ้างเขมไม่รู้ รู้เพียงแค่เด็กชายไปอยู่ในความดูแลของญาติฝั่งมารดาเรียบร้อยแล้ว

หวังว่าต่อไปจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ

ในตอนที่เขมจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงมากระซิบที่ข้างหู แต่เพราะง่วงมากจึงไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้น

"ขอบคุณนะ"

"..."

"**ระวังตัวด้วย**"

บทที่2

ในที่สุดมหาวิทยาลัยก็เปิดเทอมเสียที

เขมมองดูตัวเองที่ใส่ชุดนักศึกษาปีหนึ่งที่หน้ากระจกด้วยสีหน้าภูมิใจ ก่อนจะหยิบกระเป๋า ผ้าขึ้นมาสะพายไหล่แล้วก้าวขาออกจากห้อง

เขมใช้เวลาเดินออกจากอพาร์ตเมนต์มาจนถึงมหาวิทยาลัยหนึ่งชั่วโมงเป๊ะ เหนื่อยจนต้องแวะซื้อน้ำเปล่าที่ซุ้มขางตึกเรียนดื่ม ยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะถึงคาบเรียน

"หลอดไม่ต้องก็ได้ครับ" เขมกล่าวกับแม่ค้าที่กำลังยื่นหลอดพลาสติกมาให้ หากไม่ใช่หลอดที่ย่อยสลายได้เขมจะไม่ค่อยใช้เท่าไหร่ เห็นแบบนี้เขาก็เป็นพวกใส่ใจสิ่งแวดล้อมอยู่เหมือนกันนะ

เขมขยับมายืนข้างซุ้ม ในจังหวะที่กำลังยกขวดน้ำดื่มดวงกลับมองเห็นก้นของกระถางต้นไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงมาพอดี

'ฉิบหายแล้วไง'

"ระวัง!"

เเขมได้ยินเสียงใครสักคนร้องเตือน ทว่าอยากจะหลบแค่ไหนแต่ร่างกายไม่ยอมขยับราวกับถูกตรึงเอาไว้กับที่ ในเสี้ยววินาทีที่มันกำลังจะลวมาแตกใส่หัว ใครบางคนก็พุ่งเข้ามาชนจนเราล้มคู่กลิ้งไปด้วยกันบนพื้นปูน

เพล้ง!

"กรี๊ดดดด!"

เสียงของกระถางต้นไม้แตกกับเสียงคนกรีดร้องโวยวายดังตามมา

"เป็นอะไรไหม!?" ชายคนที่วิ่งเข้ามาช่วยเขมเอาไว้กล่าวด้วยสีหน้าตื่นๆ อีกฝ่ายเป็นผู้ชายสีน้ำผึ้ง ย้อมผมสีทอง มีที่คาดผมสีดำอันเล็กคาดอยู่บนหัว

เขมหันมองไปยังกระถางต้นไม้ด้วยใบหน้าซีดเซียว

"ขะ ขอบคุณนะที่เข้ามาช่วย" พอหายคกใจก็รีบกล่าวก่อนจะร้องออกมาเบาๆ เมื่อถูกดึงให้เดินตาม

"เดี๋ยวๆ จะพาเราไปไหน" เขมถามอย่างตกใจ จะขืนตัวอีกฝ่ายก้ทไหน้าจริงจังใส่ เขมกลัวเลยยอมตามไปแต่โดยดี กระทั่งมาหยุดที่ใต้ต้นลีลาวดีหลังตึกเรียนที่ค่อนข้างปลอดคน

อีกฝ่ายมองซ้ายมองขวาก่อนจะกลับมาจ้องหน้าเขมแล้วเอ่ยขึ้น

"นายน่ะ ถูกผีตามรังควานอยู่"

"..."

"ถ้าปล่อยไว้ไม่ทำอะไรนายตายแน่" เขมอ้าปากค้าง จู่ๆ โดนคนที่ไม่รู้จักมาพูดแบบนี้ใส่ใครจะไม่ตกใจบ้าง และด้วยความสงสัยเลยขมวดคิ้วถามออกไป

"นายรู้ได้ยังไง?"

"เมื่อกี้ตอนกระถางต้นไม้ตกลงมา ฉันเห็นมันอยู่บนชั้นสาม ฝีมือมันนั่นแหละ" เขมยังไม่อยากปักใจเชื่อ แม้ใจหนึ่งจะยอมรับไปแล้วก็ตาม

ดูเรื่องที่เขาเจอแต่ละอย่างตั้งแต่มานี่สิ

"ไม่เชื่อก็ไม่ว่าหรอกนะ แค่อยากเตือนเอาไว้ให้ระวังตัว" เขมอึกอักทันทีก่อนจะถอนหายใจ

"เปล่า ไม่มช่ว่าไม่เชื่อหรอก แค่ไม่อยากยอมรับเฉยๆ น่ะ" ประโยคท้ายเหมือนเขมพูดกับตัวเองมากกว่า "แต่ยังไงก็ขอบใจนะ ถ้านายไม่เข้ามาช่วยเราต้องเจ็บตัวแน่ๆ"

อีกฝ่ายหยักไหล่

"ไม่เป็นไร ฉันชื่อเขต ชื่อจริงเจตนา นายล่ะ?"

"ชื่อเขม...เขมจิราน่ะ" เจตพอได้ยินชื่อเขาก็กระพริบตาปริบ ก่อนจะมองสำรวจเขาเล็กน้อย

เขมยิ้มเจื่อน

"แม่เราตั้งให้เหมือนผู้หญิงเพื่อแก้เคล็ดน่ะ" เจตหน้าเหวอก่อนจะเกาหัวแก้เก้อ

"โทษทีเห็นหน้าหวานๆ นึกว่าเป็นผู้หญิง"

"ไม่เป็นไรๆ ตอนเด็กๆ เราเหมือนกว่านี้อีก" เจตพยักหน้าประมาณว่า'ฉันก็ว่างั้น' ก่อนจะถาม

"แล้วนี่อยู่คณะไหน?"

"ศิลปกรรมอะ"

"เฮ้ย เหมือนกันเลย ปีหนึ่งใช่ป่ะ?" เขมตาโตรีบพยักหน้า

"ชะ ใช่" เจตหัวเราะออกมากับความบังเอิญของเราสองคน"ดีๆ มาเป็นเพื่อนกัน ก่อนอื่นขอไลน์หน่อย" เขมตื่นเต้นดีใจ รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเพิ่มเพื่อนอีกฝ่ายทันที

"เข้าเรียนก่อน เรื่องของนายเดี๋ยวไว้คุยกันทีหลัง" เขมเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

....

เรามีเรียนจนถึงบ่ายสามโมง เรียนเสร็จเขตก็พาเขมมานั่งที่โต๊ะไม้หินอ่อนหลังตึก จุดเดียวกับที่คุยกันเมื่อเช้า

"เอางี้มึงรู้ตัวหรือเปล่าว่าโดนผีตามเป็นโยงแบบนี้" เจตเอ่ยขึ้นมาตรงๆไม่รอให้เขมได้ตั้งตัว ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายขอพูดกูมึงกับเขาเพราะถนัดปากมากกว่า แล้วมันดูสนิทสนมกันมากกว่าฉันกับนาย ซึ่งเขมก็เห็นด้วย ถึงเขามจะขอแทนตัวเองว่าเราเหมือนเดิมเพราะถนัดแบบนี้ก็เถอะ

เขมอ้อมแอ้มตอบ

"ไม่รู้สิ...แต่ก็มีหลายครั้งที่รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว"

"...."

"อีกอย่าง หลังๆ มานี้เวลาไปไหนมาไหนเราชอบมองเห็นอะไรแปลกๆ"

"ผีเหรอ" เขมอ้าปากค้างกับความตรงไหนตรงมาของเจต ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ ทำให้เจตเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

"คือมึงเห็นผีที่อื่น แต่ที่อยู่ใกล้ๆ ตัวมึงมองไม่เห็น

เหรอ?"เขมเบิกตาอย่างตกใจ

"เจตเห็นเหรอ?"

"กูเห็นแต่ไม่ชัด บางทีก็เห็นเป็นควันสีเทาๆ บางทีก็เป็นเงาดำๆ"

"...."

"อย่างตอนแรกที่กูเห็นมึงนะ มีทั้งควัน ทั้งเงาดำ ยั้วเยี้ยเต็มหลังมึงไปหมด"

"..."

"กูถามมึงจริง ๆ นะมึงไปทำอะไรมาวะ"เขมกลืนน้ำลายลงคอ ถ้าตอบว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลยก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก เขมเลยตัดสินใจเล่าเรื่องคำสาปของตระกูลให้เจตฟัง อีกฝ่ายพอได้ฟังก็ถึงกับเงียบไปทันที เขมเห็นแบบนั้นก็เสียใจ

"ขอโทษนะที่เราไม่ได้บอกตั้งแต่แรก"

"...."

"เจตจะเลิกคบเราเป็นเพื่อนก็ได้นะ โอ้ย!" เขมยกมือกุมหัวเพราะโดนเขก ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายกับทำตัวไม่ถูก

"ไร้สาระ ใครจะเลิกคบเพื่อนตัวเองด้วยเหตุผลงี่เง่าพรรค์นี้" เจตขมวดคิ้วกล่าว เขมเลยนึกถึงเพื่อนสมัยมัธยมของตัวเองขึ้นมา ในใจว่า 'เยอะแยะ่ แต่ไม่พูด

เขมยิ้ม

"ขอบใจนะเขต"

"ถ้ากูไม่คบมึงเป็นเพื่อนก็คงไม่มีใครคบกูเป็นเพื่อนแล้วอะ"

"ถุย เจต เราเกือบซึ้ง"

"ฮ่าๆ หน้ามึงตลกสัด" เขมหน้าบึ้ง

"พูดต่อได้ยัง"

"มึงนั่นแหละพากูนอกเรื่อง เออ เอาเป็นว่ามีผีตามมึงอยู่เยอะด้วย" เขมขนลุกซู่ขึ้นมาอีกรอบ

"ตอนนี้ด้วยหรอ?" เขมขมวดคิ้วมองไปรอบตัว"

"อืมแต่มันหลบอยู่ไม่ได้เข้ามาใกล้" เขมเม้มปากแน่น ในใจรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมา

"เหมือนมึงจะมีของดีติดตัวอยู่นะ ไม่ก็มีบางอย่างปกป้องคุ้มครองมึงอยู่ พวกมันเลยทำอะไรไม่ได้มาก" เขมปลดกระดุมบนก่อนจะรูดเนกไทลงเล็กน้อย ล้วงมือเข้าไปหยิบตระกรุดออกมาโชว์

"เรามีนี่อะ ใส่มาตั้งแต่เด็ก ๆ เลย" เจตชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ ท่าทางสนอกสนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับ

"ของดีจริง แต่อาคมเสื่อมหมดแล้ว"

"หา?" เขมอ้าปากค้าง "เจตรู้ได้ยังไง?"

"รู้ดีเลยแหละ กูโตมากับอะไรแบบนี้" ยิ่งได้ฟังเขมก็ยิ่งเครียด เพราะอาคมตะกรุดเสื่อมเหรอ เขมถึงเริ่มเจอเรื่องแปลกไป มากขึ้นทุกวัน

"แล้วเราจะทำยังไงดี?"

"ใจเย็นๆ มึงไม่ต้องเครียด เอาชื่อจริง นามสกุล วันเดือน ปีเกิด กับของที่มึงใช้อยู่เป็นประจำมาให้กู"

"อะไรก็ได้หรอ?"

"ยกเว้นกางเกงใน" เขมหน้าแดง แต่เห็นสีหน้าจริงจังของเพื่อนก็คิดว่าอีกฝ่ายคงหมายความแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้แกล้ง

เขมหยิบสมุดกับปากกาขึ้นมาเขียนตามที่เขตบอก พร้อมกับผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ปักชื่อตัวเองขึ้นมาส่งให้

เป็นผ้าเช็ดที่แม่ปักให้เราก่อนท่านจะเสีย

"โอเค อ้อ ทีหลังมึงอย่าให้อะไรแบบนี้กับใครง่ายๆ นะ" เจตบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้เขมบมวดคิ้ว

"ก็ขอเองไม่ใช่รึไง?"

"มึงจะแต่ใจได้ไงว่ากูจะไม่เอาไปทำอะไรไม่ดี"

"อ่าว"

"กูแค่สมมุติ กับกูมึงไว้ใจได้ แต่คนอื่นไม่แน่ กูแค่อยากเตือนมึงไว้ โดนทำของใส่ขึ้นมาจะเป็นเรื่อง" เขมหน้าซีด รีบพยักหน้ารับทันที

"ดี เดี๋ยววันหยุดกูจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด จะเอาเรื่องของมึงไปปรึกษาพ่อครูดูว่าจะช่วยอะไรได้ไหม"

"ขอบใจนะเขต"

"เออ มึงตายขึ้นมา กูไม่มีเพื่อนคบพอดี" เขมอยากหาอะไรมาปามัน

"ไอ้เจต หลายทีแล้วนะมึง"

"ฮ่าๆ ไอ้เหี้ย ถึงกับพูดคำหยาบกับกูเลยเลยดิ!" เขามุ่ยหน้า

"กวนตีน คนยิ่งเครียดๆอยู่"

"โอ๋ ๆ ไป ๆ กูพาไปกินปังเย็น เห็นคนบอกว่าร้านหน้ามออร่อย เขมยอมตามน้ำ ลุกเดินตามเจต

ต้อย ๆ เหมือนลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่แม้จะยังงอน ๆ อยู่

สับสนนิดหน่อยว่าเราสองคนสนิทกับเร็วเกินไปไหม

ทั้งที่พึ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงหนึ่งวัน แต่รู้สึกอย่างกับเป็นเพื่อนกันมานานอย่างนั้นแหละ

เขมเชื่อสนิทใจแล้วว่าตัวเองมีวิญญาณตามติดอยู่จริงๆ

เพราะเจตบอกว่าเวลาที่เจตอยู่ด้วยพวกผีจะไม่เข้ามาใกล้เขม ด้วยเพราะเจตมีของขลังติดตัวช่วยคุ้มครอง หลังจากวันนั้นมา เขมก็ตัวติดอยู่กับเจต ไปไหนไปกันตลอด จะมีแค่ตอนกลับหอพักเท่านั้นที่ไม่ได้เจอกัน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

หมายถึงก็พอมีปัญหากวนใจเขมอยู่ อย่างการมองเห็นอะไรผ่านตาแวบไปแวบมาอยู่บ่อยๆ ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กหรือเสียงของหล่น แต่ก็ไม่ได้หนักหนาถึงขั้นทนไม่ได้

เขมพยายามหาอะไรทำอยู่ตลอด อย่างดูหนัง ไม่ก็อ่านหนังสือ

วันนี้เขมอ่านหนังสือเสร็จในเวลาเกือบๆ สามทุ่ม ก่อนจะขยับเคลื่อนเก้าอี้มาตรงขาตั้งไม้สำหรับวางกระดานวาดรูป การเรียนการสอนในคาบต่อไปคือการวัดระดับความสามารถ โดยตัดสินจากรูปวาดแบบสเกตซ์ ในหัวข้ออะไรก็ได้ที่เราถนัด ไม่ว่าจะเป็นวิวทิวทัศน์ คน สัตว์ หรือสิ่งของ

เขม ถนัดวาดตัวคน และตั้งใจวาดภาพของมารดาที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุดตามหัวข้อของอาจารย์ที่ให้มา

มือบางจับดินสอบีขึ้นมาตั้งฉากกับกระดาษหรี่ตาเพื่อกะระยะก่อนจะเริ่มร่างโครงหน้าเป็นเส้นบางๆ

เขมฝึกวาดใบหน้าของแม่มาตลอด คนวามทรงจำที่มีร่วมกับมารดาสลักอยู่ในหัวใจของเขม นึกถึงกี่ครั้งก็รู้สึกอบอุ่นอยู่เสมอ เพราะแบบนั้นเขมจึฃสามารถวาดใบหน้าของแม่ออกมาได้เพียงแค่นึกภาพ ไม่จำเป็นต้องดูแบบเลย

"คิดถึง" เขมยิ้มแล้วพึมพำออกมาเบาๆ กับใบหน้าของแม่ที่กำลังแย้มยิ้ม ในขั้นตอนการเก็บรายละเอียด แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาจนต้องปิดปากหาว

อ่า อย่าพึ่งง่วงสิอีกนิดเดียวก็ใกล้จะเสร็จแล้ว

เขมบอกตัวเองและพยายามฝืนลืใตาเอาไว้ความง่วงกัดกินสมองจนมือเริ่มตกลง และสุดท้ายก็ทนไม่ไหว

เขมหลับไปทั้งแบบนั้น

เขมเผลอหลับและสดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หันมองนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าเป็นเวลาตีสองกว่าๆ ส่ายหัวไปมาให้กับตัวเองแล้วตั้งใจจะยกขาตั้งรูปไปเก็บ

"เชี่ย!"เขมลุกพรวดจากเก้าอี้แล้วถอยกรูดจนนสะโพดกระแทกกับโต๊ะด้านหลัง

ภาพสเก็ตช์ของแม่ที่เคยยิ้มแย้ม กลับกลายเป็นผู้หญิงที่มีเพียงตาสีดำไรสีขาว จากปากที่ยิ้มเพียงเล็กน้อยกลับฉีกกว้างไปถึงใบหู

บทที่3

เข็มขาสั้นจนสุดลงกับพื้น จังหวะนั้นโทรศัพท์ก็เกิดสั่นขึ้นมาทันที จึงหยิบออกจากกระเป๋ากางเกงมากดรับสาย ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ

[เขมมึงวาด..]

"เจต ช่วยเราด้วย!"

[เฮ้ยทำไม เกิดอะไรขึ้น]

"มะ มาหาเราหน่อยเจต ฮึก ฮือ"

เจตที่กำลังเช็ดผมอยู่ในขณะนั้นเบิกตาโพลง รีบทิ้งผ้าขนหนูแล้วคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ออกจากห้องไปทันที

"กูกำลังออก มึงตั้งสติไว้ไม่ ต้องวางสายนะ!"

"เขม กูเจตนะมึงได้ยิน!" กูไหมจากเคาะก็เริ่มกลายเป็นทุบ พร้อมกับใช้มืออีกข้างบิดลูกบิดประตูไปมาอย่างบ้าคลั่ง

แกรก

จู่ๆ ประตูที่ล็อคจากด้านในก็สามารถเปิดออกได้ เจตไม่รอช้ารีบเปิดเข้าไปในทันที

"ไอ้เขม เจต พบว่าเพื่อนตัวน้อยสลบอยู่บนพื้นตรงข้ามกันมีแท่นรองกระดาษวาดรูปตั้งอยู่

"เหี้ย..."ภาพใบหน้าที่ดูน่ากลัวของผู้หญิงคนหนึ่งทำเอาเจ็บขนลุก รีบเดินไปฉีกมันออกมาขยำทิ้งทันที

เจตพยายามปลุกเขมิยู่สองสามครั้ง แต่เจ้าตัวไม่ยอมตื่นจึงจำต้องแบกมันออกมาจาก ห้องตั้งใจจะพาไปค้างที่ห้องของตัวเองก่อน

เจตพักอยู่คอนโดมิเนียมที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญฐานะทางบ้านเจต ค่อนข้างร่ำรวย พ่อและแม่ล้วนเป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งใหญ่โต

สรุปคืนนั้นเข็มถึงกับไข้ขึ้นจนไปเรียนไม่ไหว เจตเลยต้องไปเรียนคนเดียวเพื่อจดเลคเชอร์มาให้เขมพอพักเที่ยงก็เข้ามาดูแลให้เขมกินข้าวกินยา ก่อนจะกลับเข้าไปเรียนคาบบ่ายต่อ

"เขม เย็นนี้กูจะกลับบ้าน มึงอยู่นี่ไปก่อนนะ" เจตกล่าวกับเขมที่นอนแปะแผ่นเจลลดไข้อยู่บนเตียงความจริงก็อยากพามันไปด้วย แต่กลัวมันจะช็อคตายระหว่างทางเสียก่อน

"เจตกลับวันไหน" เข็มถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

"กูกลับวันอาทิตย์" เจตตอบกลับ

"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเจ๊ดูแลให้"เจ๊'เจน'หรือก็คือพี่สาวแท้ๆ ของเจตกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานหยดขณะยืนกอดอกพิงขอบประตูมองพวกเขาอยู่

เจ๊เจนเป็นสาวออฟฟิศวัยทำงาน อายุห่างกับเจตห้าปีนานๆ ทีอีกฝ่ายจะเข้ามานอนค้างที่นี่ ครั้งนี้เจตโทรเรียกเธอให้มาอยู่ดูแลเขมแทนในช่วงเสาร์อาทิตย์ระหว่างที่เจตกับบ้านที่ต่างจังหวัด แน่นอนว่าของฟรีไม่มีในโลก เจตต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าลิปสติกออกใหม่ราคาหลายพันบาทเป็นค่าจ้าง

"ฝากด้วยนะเจ๊" เจนที่เงินเดือนเดือนนี้ยังอยู่ครบยิ้มหวานตอบกลับ

"ได้จ้า"

......

เจตนั่งเครื่องบินกลับบ้านต่างจังหวัดที่อุบลราชธานี ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงกว่าๆช่วงสายของวันรุ่งขึ้น เจตเดินทางมาหาพ่อครู 'ภรัณ' หมอผีที่ตนนับถือเป็นอาจารย์ พ่อครูอาศัยอยู่ที่บ้านเรือนไทยหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างกับชาวบ้าน คนอื่นๆมากพอสมควรอีกนิดก็จะเข้าไปอยู่ในป่าแล้ว

เป็นที่รู้กันดีภายในหมู่บ้านว่าพ่อครูภรัณเก่งเรื่องการถอนของ รักษาโรคลมเพลมพัด มีลูกศิษย์ติดตามอยู่หลายคน ปัจจุบันนั่งๆ นอนๆ รอให้คนมาหา ส่วนใหญ่จะเป็นคนดวงตก โดนของ ไม่ก็ถูกผีตามรังควานชีวิตจนอยู่ไม่ได้ เวลาว่างก็ปลุกเสก

ของขลังขายเพื่อเลี้ยงชีพ

มีสองอย่างที่พ่อครูไม่ทำคือทำคุณไสยเสกของใส่คนอื่น กับยุ่งเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร

ชายหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ เดินออกมาจากที่ไหนสักที่ ก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งประจำที่ครูด้วยพรมสีทุกด้านหลังเป็นโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูปมี บายศรี

ฉัตรเงิน ฉัตรทอง ของประดับเหมือนกับสำนักร่างทรงหมอผีทั่วๆ ไป แต่ก็พ่อครูเป็นไสยขาวบนแท่นบูชาเลยมีแต่พระ ไม่มีผี

เจตยิ้มประจบ รีบยกมือไหว้ท่วมหัว เพราะว่ายังไม่ทันได้อ้าปากพูด พ่อครูก็แทรกขึ้นมาเสียงแข็ง

"ไอ้เจต มึงเอาอะไรเข้ามาในบ้านกูอีกแล้ว" เจตที่ประนมมืออยู่ถึงกับขนลุกไปทั้งร่าง ก่อนจะยิ้มแหย

"แหะๆ" สมกับเป็นพ่อครูที่ผมเคารพนับถือ นี่ครับ"รีบเอาผ้าเช็ดหน้าของเขมออกมาจากกระเป๋าวางลงบนพานทองด้านข้าง พร้อมกับแนบกระดาษชื่อจริงนามสกุลกับวันเดือนปีเกิดของไอ้เขมติดไปด้วยก่อนจะยกมาวางตรงหน้าพ่อครู

"พ่อครูช่วยดูให้หน่อยสิครับว่าพอจะช่วยอะไรได้ไหม"หลังจากนั้นเจตจึงเล่าเรื่องของเขมให้พ่อครูฟัง

ภรัณนึกอยากจะยกขาถีบไอ้ตัวชอบแต่หาเรื่องมาให้ให้มันกลิ้งตกจากเรือนไป แต่พอกินหอมอ่อนๆผ้าเช็ดหน้าดึงดูดให้ก้มลงหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ

เป็นกลิ่นหอมก็ดี แต่บางทีกลับมีกลิ่นสาบของผีสางปะปนอยู่ด้วย ซึ่งมีมากกว่าหนึ่ง ตนและหนึ่งในนั้นเป็นผีที่มีฤทธิ์มากทีเดียว

ภรัณวางมันลงที่เดิมก่อนจะดึงกระดาษที่เขียนชื่อวันเดือนปีเกิดของใครบางคนออกมาอ่าน

'เขมจิรา จันทราพิสุทธิ์' ชายหนุ่มขมวดคิ้ม

เขมจิรา?

แปลก เขารู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้อยากบอกไม่ถูกแต่เมื่อนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหนก็เลิกนึก อ่านวันเดือนปีเกิดของเจ้าของชื่อ แล้วหยิบสมุดกับปากกาตัวเองออกมา เขียนตัวเลขวันเดือนปีเกิดแล้วทำการคำนวณ

ผ่านไปหลายนาทีจึงเสร็จ พบว่าตัวเลขที่ได้มานั้นน่าตกใจอยู่ไม่น้อย

"มันเป็นใคร" ภรัณเอ่ยถามขณะที่ตายังมองทบทวนกับผลของตัวเลขในสมุด

เพื่อนของผมเองครับ พ่อครูเป็นยังไงบ้างครับ?

"ไปบอกเพื่อนมึง ว่าอยากทำอะไรให้รีบทำ ปไม่เกินปีนี้มันตายแน่นอน" เจตหน้าซีดกล่าวอย่างร้อนรน

"พะ พ่อครูช่วยไม่ได้หรอครับ?"

"กูเคยบอกแล้วไงว่าเรื่องเจ้ากรรมนายเวรกูไม่ยุ่ง"

เจตเม้มปากมองพ่อครูอย่างไม่ยินยอม เพราะหากพ่อครูพูดแบบนี้ก็แปลว่าช่วยได้ แต่ไม่ช่วย

"โธ่ สักนิดก็ยังดีครับพ่อครูเห็นใจมันเถอะ ไอ้เขมมันเป็นคนดีนะครับ ยุงซักตัวมันก็ยังไม่กล้าตบ มดมันก็ยังไม่กล้าเหยียบเลยครับ นะครับ..."พูดไม่ทันขาดคำก็ถูกพ่อครูยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้า เลยต้องหดคอกลับด้วยความกลัว

"ไอ้เจต เรื่องเวรกรรมของคนอื่น ใครก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ชาตินี้เป็นคนดี ใช่ว่าชาติก่อนๆจะดีด้วย มึงเองก็ระวังตัวให้ดี อย่าคิดว่าตัวเองด้วยแข็งแล้วจะไม่เป็นอะไรนะ"

เจตหน้าจ่อยลงทันที รู้ดีว่าพ่อครูเป็นคนเด็ดขาด พูดคำไหนคำนั้นตลอด อย่าได้คิดเปลี่ยนใจพ่อครูง่ายๆ แต่ก็อดตัดพ้อออกมาไม่ได้

"เขมมันน่าสงสารนี่ครับพ่อครู แม่ก็ตายพ่อก็ออกบวชตลอดชีวิตตั้งแต่มันเด็กๆ ญาติแม่ก็ไม่รับเลี้ยง ญาติพ่อเขาก็ทิ้งมันแถมยังหอบเงินมันหนีไปอีก ตอนเรียนมัธยมเพื่อนก็ไม่กล้าเล่นด้วยเพราะกลัวคำสาป มีแต่ผมนี่แหละที่กล้าคบมันเป็นเพื่อน..."

เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาบ่นเจ็บถึงไม่เห็นเมื่อพ่อกูเขียนยันต์ลงบนผ้าเช็ดหน้าของไอ้เขม กระทั่งอีกฝ่ายโยนมันมาตรงหน้า

"เอาไป กูช่วยได้แค่นี้"

ยันต์กันผีของพ่อครูปกติราคาตั้งห้าหกพันบาทเชียวนะ แถมยังได้ใช้ได้ผลดีมากด้วย ยืนยันจากผู้ใช้จริงอย่างเจต ห้องของเจตน่ะผีตนไหนก็เข้าไม่ได้ทั้งนั้น

ไม่รู้ว่าเขียนให้เพราะรำคาญเขาหรือสงสารไอ้เขม แต่เจตดีใจจนแทบกระโดดไปกอดพ่อครู ทว่าก็ทำได้เพียงแค่คิด เพราะหากทำจริงผีบ้านผีเรือนคงออกมาค่ะพอมันตายเสียก่อน

"ขอบคุณมากครับพ่อครู!"

.....

เจตนั่งเครื่องบินกลับจากอุบลราชธานีตอนเช้าวันอาทิตย์ มาถึงกรุงเทพฯ ก็รีบนั่งแท็กซี่กลับมาที่คอนโด พบว่าไอ้เขมหายดีจากอาการป่วยแล้ว

"เจ๊ไปก่อนนะ" เจ๊เจนบอกก่อนจะคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย ก่อนไปไม่ลืมที่จะกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้

"เจต ระวังตัวนะ ของเขาแรงจริง เมื่อคืนยืนอัดกันเต็มระเบียงเลย กล่าวด้วยสีหน้าหวาดๆ ก่อนจะรีบร้อนออกจากห้องไป

ไม่นานไอ้เข็มออกมาจาก

ห้องน้ำ

"อ้าว เจ๊เจนไปแล้วเหรอ?" เขมกระพริบตาถาม

"เออ แฟนมันมารอรับอยู่ข้างล่าง เลยรีบออกไป"เขมได้ฟังก็ทำหน้าเสียดาย

"ยังไม่ได้ขอบคุณเจ๊เจนดีๆ เลย"สองคืนที่ผ่านมาเจ๊เจมส์อยู่เฝ้าเขาตลอด ไม่ยอมรับยอมนอน เขมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเจ๊เจนถึงดูมุ่งมั่นขนาดนั้น แต่อีกฝ่ายบอกกับเขามาคำนึงว่า 'เจ๊ไม่กล้านอนหรอกเขม' ตอนนั้นเขมปวดหัวมากเลยไม่เซ้าซี้เธอให้นอนอีก

เจตยีผมเขมอย่างเอ็นดู ไม่คิดจะเล่าเรื่องที่เจ๊บอกให้เจ้าตัวฟัง เดี๋ยวมันจะคิดมากเสียเปล่าๆ

"เออ เดี๋ยวเจ๊เจนก็มาอีก จะขอบคุณไว้คราวหน้าแล้วกัน"พอเห็นเขมพยักหน้า เจตเลยลากมันมานั่งที่โซฟาแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนให้มัน บนผ้าเช็ดหน้าสีขาวมีอักขระสีขาวประดับอยู่

"ขอบใจนะ อ้าว มียันต์ด้วย" เจตพยักหน้า

"เออ มึงพกติดตัวไว้ยันต์ของพ่อครูช่วยกันผีได้ แต่อาจจะกันได้แค่ระยะหนึ่งนะ" เขมได้ยินแบบนั้นก็รีบเก็บมันมาใส่กระเป๋าเสื้อ รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด

"แล้วเรื่องของเราพ่อครูของเจตว่ายังไงบ้าง" เขาเงยหน้าถามด้วยความอยากรู้

สองวันที่ผ่านมาถ้าไม่ได้เจ๊เจนคอยอยู่เป็นเพื่อนเขมคงประสาทหลอนกับเรื่องที่เพิ่งเจอจนช็อคตายไปแล้วแน่ๆ อยากรู้ใจแทบขาดว่าพ่อครูของเจตจะยอมช่วยไหม แต่เพราะแถวนั้นไม่ค่อยมีสัญญาณมือถือเลยไม่ได้ติดต่อกันเ

เขมไม่อยากเจอเรื่องแบบวันก่อนอีกแล้ว

"ขอโทษว่ะ กูพยายามช่วยพูดแล้วแต่ เรื่องเจ้ากรรมนายเวรพ่อครูไม่ค่อยอยากยุ่งเท่าไหร่"

เจ้ากรรมนายเวรงั้นเหรอ...ก็คือหนักกว่าสัมภเวสีทั่วไปใช่ไหม?

เขมเม้งปากแน่น จิตใจห่อเหี่ยวลงทันที

"อืม ไม่เป็นไร เราเข้าใจ" เจตยิ่งเห็นท่าทางเศร้าสลดของเพื่อนก็บังเกิดความรู้สึกไม่ยินยอมขึ้นมา

"มึงไม่ต้องห่วง กูไม่ปล่อยให้มึงตายง่ายๆ แน่เดี๋ยวกูจะหาทางอื่นเอง" เขมได้ยินแบบนั้นก็กลับมามีความหวังอีกครั้ง

"มีทางอื่นด้วยเหรอ?เจตหยักไหล่"

"เปล่า ก็ทางเดิม แต่คราวนี้กูจะเอามึงไปด้วย"

"ฮ่ะ?"

"ขนาดกูเห็นหน้ามึงกูยังใจอ่อนเลย พ่อครูจะใจแข็งก็ให้มันรู้ไปดิ"

เขมอ้าปากค้าง กับตรรกะไรของมัน

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!