ค่ำคืนแห่งงานเลี้ยงอำลาของมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินไปอย่างงดงาม แสงไฟระยิบระยับสาดส่องทั่วหอประชุมใหญ่ เสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมบรรยากาศให้เต็มไปด้วยความอบอุ่นและหวนระลึกถึงความทรงจำ ภาคิน นักศึกษาปีสุดท้ายคณะนิเทศศาสตร์ยืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง สวมสูทเรียบร้อยแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล เขาไม่ถนัดกับงานเต้นรำหรือความเป็นทางการนัก หากแต่เหตุผลที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในคืนนี้ไม่ใช่เรื่องงานเลี้ยงเลย
แต่เป็นคนคนหนึ่ง…
“ธันวา” รุ่นพี่คณะเดียวกัน ผู้เป็นที่รู้จักในฐานะประธานชมรมดนตรีคลาสสิก บุคลิกของเขาเงียบขรึมและสง่างาม ทุกครั้งที่เขาขึ้นเวทีบรรเลงไวโอลิน เสียงดนตรีจะตราตรึงผู้ฟังจนเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน สำหรับภาคินแล้ว ธันวาไม่ได้เป็นเพียงรุ่นพี่คนหนึ่ง แต่เป็นคนที่เขาเฝ้ามองอย่างลึกซึ้งมาตลอดสี่ปี
แต่ความรู้สึกนั้นเขาไม่เคยกล้าเอื้อนเอ่ย
เสียงดนตรีเปลี่ยนจังหวะจากเพลงเร็วสู่ทำนองวอลซ์แผ่วหวาน ภาคินกะพริบตา กำลังคิดว่าควรหาทางออกไปพักด้านนอก ทว่าเสียงทุ้มอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างกาย
“ภาคิน”
เขาหันขวับ ราวกับเวลาหยุดเดิน ธันวายืนอยู่ตรงนั้น สวมชุดสูทสีเข้มที่ทำให้ดูสง่างามยิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากหยักยกยิ้มบาง ๆ ดวงตาคมทอดมองมาอย่างอ่อนโยน
“อยากเต้นกับฉันสักเพลงไหม?”
ภาคินตกใจ ใจเต้นแรงจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าช้า ๆ มือสั่นเล็กน้อยเมื่อธันวายื่นมือมาให้ เขาวางมือลงไปอย่างเก้อเขิน ทั้งสองก้าวลงสู่ฟลอร์เต้นรำท่ามกลางสายตาของผู้คนรอบข้าง
จังหวะก้าวของพวกเขาสอดประสานกันอย่างน่าประหลาด ถึงภาคินจะไม่เคยเต้นรำจริงจัง แต่เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของธันวา เขากลับรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าฝีเท้าทั้งหมดถูกชี้นำไปด้วยหัวใจของอีกฝ่าย
“ไม่ต้องเกร็ง” ธันวาพูดเบา ๆ ขณะจับมือเขาแน่นขึ้น “แค่ปล่อยตัวไปตามจังหวะ”
เสียงดนตรีคลอเบาเหมือนหายไป เหลือเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสาน ภาคินเงยหน้าขึ้นสบตารุ่นพี่ โลกทั้งใบพลันพร่าเลือน
“รู้ไหม ภาคิน” ธันวาเอ่ยขึ้นในจังหวะที่หมุนเขาไปช้า ๆ “ฉันเฝ้ามองเธอมาตลอดตั้งแต่ปีแรก แต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ฉันกลัวว่าเธอจะมองฉันเป็นเพียงคนแปลกหน้า”
ภาคินชะงัก ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ความรู้สึกที่กักเก็บมานานพลันเอ่อท้น เขาเม้มปากแน่น ก่อนเอ่ยออกมาเสียงสั่น
“ผมก็เหมือนกัน…ผมชอบพี่มาตลอด แต่ผมไม่กล้าบอก”
ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงเสี้ยววินาที ธันวายกยิ้มอย่างอบอุ่นที่สุดเท่าที่ภาคินเคยเห็น ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับมีดาวนับพันส่องอยู่ภายใน
“งั้นก็ดี…เพราะคืนนี้ ฉันจะไม่ยอมปล่อยมือเธออีกแล้ว”
---
หลังจากคืนนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน แต่มั่นคง ภาคินยังคงเป็นนักศึกษาที่สดใสร่าเริง ส่วนธันวายังคงเป็นรุ่นพี่ที่เคร่งขรึม แต่เมื่ออยู่ด้วยกัน ทั้งสองกลับเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างน่าประหลาด พวกเขาแบ่งปันรอยยิ้ม ความฝัน และความเหนื่อยล้าในทุกวัน
เวลาผ่านไป หลังจากเรียนจบ ภาคินเลือกทำงานสายสื่อสารมวลชน ส่วนธันวากลายเป็นนักดนตรีเต็มตัว แม้เส้นทางชีวิตจะต่างกัน แต่หัวใจทั้งคู่ยังคงเชื่อมโยงกันเสมอ พวกเขาเรียนรู้ที่จะอดทนต่อระยะทางและความยุ่งเหยิงของชีวิตผู้ใหญ่
“เหนื่อยไหมวันนี้” ธันวาถามเสมอทุกครั้งที่ภาคินโทรหา แม้เขาเองจะเพิ่งซ้อมไวโอลินเสร็จจนดึกดื่น
“เหนื่อย แต่ได้ยินเสียงพี่แล้วก็หาย” ภาคินตอบพร้อมหัวเราะแผ่วเบา
ธันวาจะเงียบไปสักพัก ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ กลับมาเหมือนกัน นั่นเป็นเสียงหัวเราะที่ภาคินรักที่สุดในโลก
---
หลายปีต่อมา ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ประดับและเสียงดนตรีอันอบอวล งานแต่งงานเล็ก ๆ จัดขึ้นอย่างอบอุ่น ครอบครัวและเพื่อนสนิทมาร่วมเป็นสักขีพยาน ภาคินในชุดเจ้าบ่าวสีขาวยืนรอด้วยหัวใจที่เต้นแรงไม่ต่างจากวันแรกที่เคยก้าวลงบนฟลอร์เต้นรำ
เมื่อเสียงประกาศดังขึ้น ธันวาในชุดเจ้าบ่าวอีกคนเดินเข้ามาอย่างสง่างาม เขามองภาคินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความมั่นคงที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอดหลายปี
ทั้งสองยื่นมือออกไป จับกันแน่นเหมือนสัญญา
“ครั้งแรกเราเต้นรำด้วยกัน…” ธันวากระซิบเบา ๆ ขณะเสียงเพลงวอลซ์เริ่มบรรเลงอีกครั้ง “คืนนี้เราจะเต้นรำไปตลอดชีวิต”
น้ำตาคลอเต็มขอบตาภาคิน เขายิ้มทั้งน้ำตาและตอบกลับ
“ตลอดชีวิตครับพี่”
ทั้งสองก้าวลงบนฟลอร์เต้นรำอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ฟลอร์ในงานเลี้ยงอำลา แต่เป็นฟลอร์ที่พวกเขาสร้างขึ้นเองสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แขกทุกคนต่างมองด้วยรอยยิ้ม บางคนถึงกับน้ำตาไหล
เสียงดนตรีบรรเลงท่ามกลางหัวใจที่เต้นไปพร้อมกัน ไม่มีการจากลาอีกต่อไป มีเพียงการเริ่มต้นของบทเพลงใหม่ที่สองคนเขียนขึ้นด้วยกัน
---
หลังพิธี ทุกอย่างค่อย ๆ สงบลง ท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องจัดเลี้ยงที่ว่างเปล่า ภาคินนั่งลงบนเก้าอี้ เหนื่อยล้าจากการยิ้มและทักทายไม่หยุด แต่พอหันไปมองคนข้างกาย เขาก็รู้ว่านี่คือความสุขที่แท้จริง
ธันวานั่งลงข้าง ๆ จับมือเขาไว้แน่น
“เธอจำได้ไหม วันแรกที่เราสบตากันในห้องเรียนดนตรี”
“จำได้สิ” ภาคินหัวเราะ “ตอนนั้นผมคิดว่าพี่น่ากลัวมาก”
“เหรอ” ธันวาหัวเราะเบา “ฉันก็คิดว่าเธอเป็นเด็กเสียงดังเกินไป แต่พอได้รู้จัก…ก็กลายเป็นเสียงหัวใจที่ฉันขาดไม่ได้”
ภาคินน้ำตาคลออีกครั้ง เขาเอนหัวพิงไหล่รุ่นพี่เหมือนที่เคยทำมาตลอด
เสียงดนตรีแผ่วเบายังคงดังอยู่ในความทรงจำ แต่ไม่ว่าทำนองใดจะบรรเลง สิ่งเดียวที่ภาคินได้ยินชัดเจนคือเสียงหัวใจของคนข้างกาย
และเขารู้ว่า ตลอดไป…เสียงหัวใจคู่นี้จะไม่มีวันแยกจากกัน
ค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว เมืองเชียงใหม่ถูกห่มคลุมด้วยอากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าเหนือดอยสุเทพเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ “นที” เด็กหนุ่มปีสองคณะสถาปัตย์ กำลังนั่งกอดเข่าที่ลานกว้างของหอพัก เขาชอบแอบขึ้นมามองฟ้าคนเดียวเสมอ ความเงียบของกลางคืนทำให้เขารู้สึกปลอดภัย แม้ในใจจะมีเรื่องมากมายที่ไม่เคยบอกใคร
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง “ยังไม่นอนอีกเหรอ?”
นทีหันไปเจอ “ภูผา” รุ่นพี่ปีสี่จากคณะเดียวกัน ภูผาเป็นที่รู้จักในฐานะดาวเด่นของคณะ ทั้งฝีมือออกแบบและความเป็นผู้นำที่หลายคนชื่นชม แต่สำหรับนที เขาคือคนที่เข้าถึงยาก ราวกับภูเขาสูงที่มองเห็นได้แต่ไม่อาจปีนถึง
“ผม… แค่มาดูดาวครับ” นทีตอบสั้น ๆ พลางก้มหน้า
ภูผานั่งลงข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักพัก ลมหนาวพัดเบา ๆ แต่การมีใครสักคนนั่งอยู่ข้าง ๆ กลับทำให้นทีรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“ฉันก็ชอบมองดาวนะ” ภูผาพูดขึ้น น้ำเสียงเรียบง่ายแต่จริงใจ “มันทำให้ฉันนึกได้ว่าโลกกว้างกว่าที่เรากังวลอยู่มาก”
นทีมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรุ่นพี่คนดังในมุมที่ไม่ใช่คนเก่งสมบูรณ์แบบ แต่เป็นคนธรรมดาที่มีความเหงาซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน
วันเวลาผ่านไป หลังจากคืนนั้น ทั้งคู่เริ่มใกล้ชิดกันโดยไม่รู้ตัว ภูผามักแวะมาหานทีเวลาอ่านหนังสือที่ห้องสมุด คอยชวนไปกินข้าว หรือบางครั้งก็มานั่งฟังนทีบ่นเรื่องงานออกแบบโมเดลด้วยความตั้งใจ
“นายรู้ไหมว่านายขมวดคิ้วเวลาออกแบบอยู่ มันดูจริงจังมากจนฉันอดมองไม่ได้” ภูผาแกล้งพูด
นทีหน้าแดง รีบก้มลงปิดสมุดแบบร่าง “พี่นี่ก็พูดอะไรแปลก ๆ”
“ไม่ได้แปลกหรอก แค่พูดความจริง” ภูผาหัวเราะเบา ๆ
หัวใจนทีเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ยินแบบนั้น แต่เขาเลือกที่จะเก็บความรู้สึกไว้ เพราะกลัวว่ามันอาจทำลายความสัมพันธ์ที่ดี
จนกระทั่งวันหนึ่ง ก่อนการสอบปลายภาค นทีเครียดหนักเพราะโปรเจ็กต์ที่อาจารย์วิจารณ์อย่างหนัก เขาเดินออกมานั่งที่ลานดาดฟ้าเดิม น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ โดยไม่รู้ว่ามีใครตามมา
“ร้องไห้ทำไม?” เสียงคุ้นเคยดังขึ้น ภูผาเดินเข้ามา วางเสื้อนอกคลุมให้นที
“ผม… ผมทำไม่ได้หรอกพี่” นทีสะอื้น “ไม่เก่งเหมือนใครเขาเลย”
ภูผาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อมมือมาจับไหล่ “นที นายไม่จำเป็นต้องเก่งกว่าใคร นายแค่ต้องเป็นตัวเอง และเชื่อว่ามันมีค่ามากพอ”
นทีมองตารุ่นพี่ น้ำตายังริน แต่หัวใจกลับสั่นสะเทือนด้วยความอบอุ่น เขาไม่เคยรู้เลยว่าคำพูดจากใครบางคนสามารถทำให้เขารู้สึกมีค่าได้มากขนาดนี้
หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน พวกเขาไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง แต่กลายเป็นที่พักใจของกันและกัน ในคืนหนึ่งหลังสอบเสร็จ ภูผาพานทีไปที่ลานกว้างบนดอยสูง ลมเย็นพัดแรงและท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวเหมือนคืนแรกที่เจอกัน
“นายจำได้ไหมคืนนั้นที่เรานั่งดูดาวด้วยกัน” ภูผาเอ่ยถาม
“จำได้สิครับ” นทีตอบเสียงเบา ใจเต้นแรง
ภูผาหันมาสบตา “ตอนนั้นฉันคิดอยู่ว่าถ้ามีโอกาส ฉันอยากบอกความจริงบางอย่าง…”
“อะไรเหรอครับ?”
ภูผายกมือขึ้นลูบแก้มนทีเบา ๆ ดวงตาจริงจังและอ่อนโยน “ฉันชอบนาย ตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
หัวใจของนทีแทบหยุดเต้น เขาไม่คิดว่าความรู้สึกที่เก็บเงียบไว้มาตลอด จะถูกอีกฝ่ายพูดออกมาก่อน น้ำตาเอ่อคลอ แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความสุข
“ผมก็เหมือนกันครับ… ชอบพี่มาตลอด”
คำตอบนั้นทำให้ภูผายิ้มกว้างเป็นครั้งแรก รอยยิ้มที่ทำให้นทีรู้สึกเหมือนทั้งจักรวาลส่องสว่างอยู่ตรงหน้า
เวลาผ่านไป หลายปีหลังเรียนจบ ทั้งคู่ยังคงเคียงข้างกัน นทีทำงานเป็นสถาปนิก ส่วนภูผากลายเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย แม้ชีวิตเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ แต่ทุกคืนที่ได้กลับบ้านมาเจอกันก็ทำให้ทุกอย่างคุ้มค่า
ในคืนวันครบรอบวันแรกที่สารภาพรัก ภูผาพานทีขึ้นไปที่ดอยสูงอีกครั้ง ดาวเต็มฟ้าเหมือนเคย แต่ครั้งนี้ต่างออกไป
“นที” ภูผาหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมา เปิดเผยแหวนเงินเรียบง่าย “นายจะยอมอยู่เคียงข้างฉันไปตลอดเหมือนดาวบนฟ้าที่ไม่เคยหายไปได้ไหม?”
นทีน้ำตาคลออีกครั้ง แต่ยิ้มกว้างและพยักหน้า “ครับ… ผมสัญญา”
ท่ามกลางแสงดาวและสายลมหนาว ทั้งคู่กอดกันแน่น รู้ว่าตั้งแต่นั้นไป ดวงดาวไม่ได้อยู่แค่บนท้องฟ้าอีกแล้ว แต่ส่องประกายในหัวใจของพวกเขาทั้งสอง
เสียงฝนกระทบหน้าต่างยังคงดังเป็นจังหวะ บาสนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงห้องเช่าเล็ก ๆ ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยร่องรอยน้ำตา เขาเพิ่งถูกแฟนเก่าทิ้งไปแบบไม่เหลือเยื่อใย ทั้งที่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา บาสคิดว่าเขาจะเป็น "ที่หนึ่ง" ในใจอีกฝ่าย
แต่สุดท้าย...เขาก็กลายเป็นเพียง "ตัวเลือก" ที่ถูกแทนที่ง่าย ๆ
"เรามันโง่เอง...ที่เชื่อคำหวาน" บาสพึมพำกับตัวเองเสียงสั่น
ในช่วงเวลาที่เหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลาย เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
[ปิง]: บาส อยู่ไหนอะ ออกมากินข้าวกับเราไหม เดี๋ยวเลี้ยงเอง
[บาส]: ไม่อ่ะ ไม่หิว
[ปิง]: เฮ้ย อย่ามาทำเศร้าอยู่คนเดียวดิ ออกมาเจอเพื่อนหน่อยเหอะ
บาสถอนหายใจยาว สุดท้ายก็ยอมเดินออกมาเจอเพื่อนสนิทอย่าง ปิง ที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ
ที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ปิงไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับแฟนเก่าเลย แต่กลับเล่าเรื่องตลก เรื่องเรียน เรื่องอาจารย์จอมดุ จนบาสเผลอหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
"เห็นมั้ย หัวเราะแล้วหล่อกว่าร้องไห้ตั้งเยอะ" ปิงยกแก้วน้ำขึ้นชนแก้วเขา
บาสส่ายหัว แต่หัวใจกลับอุ่นขึ้นเล็กน้อย
---
วันเวลาผ่านไป บาสพยายามดึงตัวเองกลับเข้าสู่ชีวิตปกติ เขาตั้งใจเรียน ทำงานพิเศษ และพยายามไม่หันกลับไปมองอดีตที่เจ็บปวดอีก แต่โลกเหมือนเล่นตลก เพราะวันหนึ่ง เขาได้พบกับคน ๆ หนึ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตอีกครั้ง
"น้องบาสใช่มั้ยครับ?" เสียงทุ้มอบอุ่นดังขึ้น
บาสหันไปมอง เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายกำลังยิ้มให้ เขาสวมเสื้อเชิ้ตเรียบง่าย แต่ดูสะอาดสะอ้านจนสะดุดตา
"ครับ...เอ่อ พี่คือ?"
"พี่ชื่อ โพร์ท เป็นเพื่อนของปิง เห็นปิงบอกว่าน้องช่วยทำรายงานเก่ง เลยอยากขอให้ช่วยแนะนำหน่อย"
จากวันนั้น บาสกับโพร์ทก็เริ่มรู้จักกันมากขึ้น จากเพียงการพูดคุยเรื่องรายงาน ค่อย ๆ กลายเป็นการนั่งกินข้าวด้วยกัน และสุดท้ายก็คือการนั่งคุยเรื่องชีวิต
โพร์ทต่างจากใครหลายคนที่บาสเคยเจอ เขาไม่พยายามทำให้บาสลืมอดีต แต่เขารับฟังทุกอย่างอย่างตั้งใจ พร้อมกับพูดเพียงประโยคเดียวที่บาสจำไม่ลืม
"ไม่เป็นไรนะ ถ้าเจ็บ พี่อยู่ตรงนี้"
---
ในบางคืนที่ฝนตก บาสมักจะหวาดกลัวความว่างเปล่า แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว เพราะมีข้อความจากโพร์ทที่มักส่งมาทุกครั้ง
[โพร์ท]: ฝนตกแล้ว น้องบาสกินอะไรรึยัง?
[บาส]: ยังเลยครับ ขี้เกียจออกไปซื้อ
[โพร์ท]: งั้นเดี๋ยวพี่แวะไปเอาของกินไปให้
ไม่กี่สิบนาทีต่อมา โพร์ทก็มาถึงจริง ๆ พร้อมข้าวกล่องอุ่น ๆ และรอยยิ้มที่ทำให้ห้องเล็ก ๆ สว่างขึ้น
"พี่ไม่ต้องลำบากก็ได้นี่ครับ" บาสบ่นเบา ๆ
"ไม่ลำบากหรอก ถ้าเพื่อเรา" โพร์ทยิ้ม
คำพูดสั้น ๆ นั้น ทำเอาหัวใจที่เคยแตกสลายของบาสเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
---
เพื่อนของโพร์ทอย่าง เฟิร์ส มักจะแซวเสมอเวลาเห็นทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน
"เฮ้ ๆ พี่โพร์ทนี่ดูแลน้องบาสยิ่งกว่าแฟนอีกนะเนี่ย"
บาสหน้าแดง ส่วนโพร์ทกลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดออกมาตรง ๆ
"ก็กำลังอยากเป็นมากกว่าเพื่อนอยู่แล้วนี่"
คำพูดนั้นทำเอาทุกคนเงียบลง เหลือเพียงหัวใจของบาสที่เต้นแรงราวกับจะหลุดออกมา
---
หลายเดือนต่อมา บาสรู้ตัวแล้วว่าเขาไม่ได้กลัวความรักอีกต่อไป แม้จะยังมีบาดแผลจากอดีต แต่การได้อยู่กับโพร์ททำให้เขาเรียนรู้ว่า ความรักไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการอยู่เคียงข้างในวันที่อีกฝ่ายอ่อนแอที่สุด
ในเย็นวันหนึ่ง ท้องฟ้าเพิ่งหยุดร้องไห้ สายฝนเพิ่งหยุดตก บนระเบียงเล็ก ๆ โพร์ทยื่นมือมาลูบหัวบาสเบา ๆ
"น้องบาส..."
"ครับ?"
"ลองเปิดใจให้พี่ได้มั้ย อยากเป็นคนที่ทำให้น้องยิ้มได้ทุกวัน"
บาสมองเข้าไปในดวงตาอบอุ่นคู่นั้น ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
"ครับ...ผมก็อยากให้พี่อยู่ตรงนี้ไปนาน ๆ เหมือนกัน"
---
จากเด็กหนุ่มที่เคยสิ้นหวังกับความรัก วันนี้บาสได้ค้นพบว่า หลังสายฝน...ย่อมมีรอยยิ้มที่อบอุ่นรออยู่เสมอ
และรอยยิ้มนั้น ก็คือ โพร์ท
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!