...เพราะช็อปจึงมีเรื่องราวข่าวลือให้ทั้งคู่ประสบพบเจอมาวนเวียนใกล้ชิดกัน ถึงตัวและใจจะไม่สนิทกัน แต่หัวใจที่ปิดกั้นก็หวั่นไหว...
...มันจึงเกิดความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกับหัวใจ ระหว่างคนสองคน...
^^^^^^"คณาธิศ"^^^^^^
^^^ชายหนุ่มร่างหนาผิวแทนสไตล์ผู้บ่าวไทบ้าน มนุษย์ผู้หายาก คนดังแห่งม.มอ^^^
...กับ...
"หรรษมน"
หนุ่มหน้าตี๋ร่างสันทัดสไตล์เด็กอินเตอร์ ผู้หล่อเหลาไม่ด้อยกว่าใคร
...----------------...
...โดยที่หนึ่งคนมีความหวังอยากจะรีเทิร์นแฟนเก่า เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดในใจ...
..."ผมจะชอบที่ได้ยังไงล่ะ ในเมื่อผมยังรักแฟนเก่าอยู่เลย..."...
...ส่วนอีกหนึ่งคน ผูกใจเจ็บกับคนรักเก่า แต่เมื่อรู้ใจตัวเองทันใดเขาก็มุ่งมั่นที่จะวิ่งเข้าหาอย่างหนุ่มผู้หวังดี...
..."เออ...พี่จะคอยซัปพอร์ตน้องแล้วกัน"...
ในเมื่ออุปสรรคมันขวางใจดีนัก พวกเขาก็ขอพักอยู่ในสถานะพี่ชายและน้องชายของกันและกันก็พอ...
...****************...
บรรยากาศเย็นสบายยามเช้าอีกวันหนึ่งของการเป็นนักศึกษาปี 1 ของหรรษมนหนุ่มตี๋วัย 19 ปี ผู้เฟรนลี่อันดับหนึ่ง เขามีบุคลิกที่แปลกและแตกต่างจากคนอื่นที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่ว่าเขาจะดูเป็นตัวตลกสำหรับทุกคนสักแค่ไหน เขาก็ไม่เคยด้อยค่าตัวเองเลยสักครั้ง เขามีความสุขเสมอที่ได้เป็นตัวของตัวเองมากกว่าเป็นคนอื่นตามที่ใจใครต้องการ…
หรรษมนอยู่บนทางเดิน เดินสวนทางกับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะคนรู้จัก หรือ ไม่รู้จักกัน หรรษมนไม่เฉยชาต่อพวกเขาเหล่านั้น เขายิ้มแย้มและทักทาย เอ่ยแนะนำตัวเองกับทุกคนอย่างเป็นมิตร แม้จะถูกสายตาหลายคู่มองมาด้วยสายตาแปลก ๆ เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันน่าอายที่จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ
“เห้ย! หวัดดีเพื่อน ผมหรรษมนนิเทศปี 1 นะ”
“เธอ ๆ หวัดดีเราหรรษมนปี 1"
หรรษมนทักทายอย่างเป็นมิตรกับทุกคน จนมาเจอเข้ากับรุ่นพี่เสื้อช็อปสีแดง หรรษมนมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเขาไม่มีที่ติใด ๆ เลย ทั้งยังมีใบหน้าอันหล่อเหลาที่ชวนหลงใหล แต่ออร่าของเขากับมืดมนขัดแย้งกับความหล่อของเขาโดยสิ้นเชิง
“พี่ครับ…ผมหรรษมนปี 1 ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ร้อยยิ้มอันสดใจที่ประดับอยู่บนใบหน้าของหรรษมนจางหายไปเมื่อพบคนเย็นชาอย่างเขา รุ่นพี่คนนี้ต่างจากคนอื่น ๆ เขาไม่แม้กระทั้งเหลือบสายตามามองที่หรรษมน
“เอ่อ…พี่ ผมชื่อหรรษมนนะ พี่ได้ยินผมป่ะครับ พี่! ผมชื่อหรรษมน อะไรเนี่ย…หูพี่มีปัญหาเหรอครับ พี่ครับ…พี่!” ไม่ว่าหรรษมนจะพยายามตามเขาแล้วเรียกร้องความสนใจจากเขามากแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่นิด
แต่จู่ ๆ เมื่อหรรษมนหยุดกระทำสิ่งเหล่านั้นเขาก็หยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วหันกลับมามองหรรษมนด้วยความหงุดหงิด
“ไม่รู้เหรอ…”
หรรษมนเลิกคิ้วขึ้น “ครับ?”
“คุณโคตรน่าสมเพชเลย…ไม่รู้เหรอหรือแค่นี้คุณก็คิดไม่ได้” คณาธิศพูดเย้ยหยันการกระทำของหรรษมนที่กำลงัทำอยู่
หรรษมนหายใจเข้าลึก ๆ ระงับอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุ ให้กลับเป็นปกติ เขาไม่ได้เก็บคำพูดด้านลบมากระทบจิตใจตัวเองแล้วเลือกที่จะเงียบกลับไปสักพัก…
“ขอบคุณครับ…แล้วผมจะกลับเอาไปคิด” หรรษมนยิ้มหวานสู้เสือ
คณาธิศเห็นเช่นนั้นก็เลิกคิ้วงุนงง เพ่งเล็งหรรษมนไม่ละสายตา มองร้อยยิ้มคนน้องก็รู้สึกขบขันอยู่เล็ก ๆ
“หึ ก็น่าสนใจนะ…”คณาธิศกระตุกยิ้ม
หรรษขมวดคิ้วสับสน เขาหมายความว่ายังไงแต่ไม่ทันได้เอ่ยถาม อีกคนก็หมุนตัวเดินจากไปก่อนเสียแล้ว หรรษมนถอนหายใจเบา ๆ มองคณาธิศเดินจากไปในระยะไกล
ในเวลาเดียวกันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นจังหวะคลื่นสั่น หรรษามนขมวดคิ้วเมื่อเห็นเบอร์แปลกที่ไม่คุ้นตาโทรมา เขาลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายเขาก็กดรับสาย หรรษมนยังไม่เอ่ยถามออกไป แต่กำลังรอให้อีกฝ่ายพูด
“ไอ้ชาวเดอร์! ทำไมรับสายกูช้า?”
ประโยคเปิดสนทนาบทแรกของอีกฝ่าย หรรษมนแน่ใจทันที มีเพียงคนเดียวที่กล้าเรียกฉายา ชาวเดอร์ แทนชื่อของหรรษมนก็คือมนตรี เพื่อนสนิทของเขาสมัยปฐมวัย
“ก็เบอร์แปลกเลยไม่กล้ารับ”
“เออ กูเปลี่ยนเบอร์ใหม่มาใช้เบอร์มงคลแล้ว…” หรรษมนร้องอ๋อ..ทันที แอบขำเบา ๆ ที่รู้ว่าเพื่อนก็แอบเข้าวงการสายมูเหมือนกัน “รีบไปเรียนเลยไอ้ชาวเดอร์! ก่อนที่กูจะโทรฟ้องผีปะป๊ามึง”
หรรษมนตื่นตระหนกหันซ้ายหันขวามองหามนตรี “เอ่อ…กูกำลังรีบไปเรียนอยู่นะ ไม่สายหรอกเว้ยมนตรี”
“อีก 3 นาทีอ่ะนะ โม้แล้วมึง กูเห็นมึงยังเดินหน้าระรื่นอยู่คณะกูอยู่เลย-”
“เออน่า…แค่นี้นะ บาย!” หรรษมนกดวางสายอย่างรวดเร็ว ไม่ขยันรอฟังเสียงเพื่อนบ่นรายยาวจนหูบาน เขารีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายใบเดียวที่ติดตัวมา แล้วเร่งฝีเท้าตรงไปที่คณะนิเทศฯ
ผ่านไปเกือบ 10 นาที หรรษมนก็ถึงห้องเรียน เขาเปิดประตูอย่างเชื่องช้าและเบามือที่สุด ย่องเบามานั่งคลุกคลีกับกลุ่มเพื่อน ๆ สำเร็จ
หรรษมนถอนหายใจโล่งอก ยิ้มให้เพื่อน ๆ อย่างรู้ ๆ กัน
“อาจารย์เริ่มสอนยัง?” หรรษมนมองส้มจี๊ดเพื่อนผู้หญิงสุดเฟียสข้าง ๆ ที่เริ่มสนิทกันเป็นคนแรกของห้อง
ส้มจี๊ดส่ายหัว “หึ อาจารย์ก็เพิ่งเข้ามาเหมือนมึงนั่นแหละ”
“เชรด…กูไม่สายเป็นแล้วว่ะ”
“ก็สายอยู่ดีไหมวะ” ต้นสนเพื่อน…ไม่สนิทเอนหลังมาพูดกับเขาด้วยท่าทางกวนประสาท
หรรษมนกรอกตาแล้วผลักตัวของต้นสนกลับคืน ที่บังอาจดับฝันความมั่นอกมั่นใจของเขา ต้นสนจิ๊ปากใส่ ก่อนจะรีบเคลื่อนตำแหน่งเก้าอี้จากอีกกลุ่มมานั่งกลุ่มเดียวกับหรรษมนและส้มจี๊ด
“รุนแรงว่ะ อย่างงี้รึเปล่ามึงกับพี่คณาทิศเลยไปกันไม่รอด” หรรษมนมองต้นสนด้วยความไม่พอใจ เขารู้ดีว่าต้นสนต้องการแค่กวนประสาทและความสะใจ ที่ถูกเขาทำให้ขายขี้หน้าในอดีต ต้นสนจึงแก้แค้นด้วยการหยิบยกเรื่องปมฝังใจของหรรษมนขึ้นมาพูด
“อย่าเสือกดิ๊ ไม่ใช่เรื่องของมึงอะ” หรรษมนหันกลับมาสนใจโทรศัพท์มือถือ
“คิดแล้วก็สงสารพี่คณาทิศเขานะ…มีแฟนแต่แฟนไม่รัก แย่ว่ะ” หรรษมนนิ่งค้างไป เขารู้สึกจุกอก ขี้ขลาดไม่กล้าที่จะพูดสวนกลับไปอย่างกล้าหาญ ได้แต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ ทำเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกอะไร…
หรรษมนยอมรับและรู้สึกผิดต่อพี่คณาทิศมาตลอด เขาพยายามที่จะหาช่องทางขอโทษพี่เขาหลังจากที่เลิกกันไป แต่คณาทิศกลับหายไปจากชีวิตของหรรษาตั้งแต่นั้นมา หรรษมนแทบจะลืมความรู้สึกผิดต่อพี่คณาทิศไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ต้นสนเขากลับมาจี้ปมนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าไง พูดไม่ออกเลยดิ” ต้นสนยิ้มเยาะ
หรรษมนจับโทรศัพท์แน่น ก่อนจะยกมือบอกบางอย่างกับอาจารย์ “อาจารย์ครับ ไอ้หมอนี่…เอ่อ…นายต้นสนเขาบอกว่า…เบื่อวิชาที่อาจารย์สอนน่ะครับ” หรรษมนยิ้มกวน ก่อนที่อีกฝ่ายจะหงุดหงิดแล้วถูกอาจารย์เรียกตัวออกไปหน้าห้อง…
ส้มจี๊ดขำ แปะมือกับหรรษมนอย่างเห็นด้วย และชอบใจกับความกล้าของเพื่อน
เวลาผ่านไป…
หลังเลิกเรียน…หรรษมนมีจุดหมายเดียวที่จะไปหามนตรีที่ชมรมดนตรี ขณะที่กำลังเดินผ่านหลาย ๆ ตึก เขาก็บังเอิญเห็นแผ่นหลังอันคุ้นตาของพี่คณาทิศเดินผ่านใกล้จะลับตาไป จังหวะกำลังวิ่งตาม เขาก็ดันสะดุดเชือกมัดรองเท้าเข้าเสียก่อน
“เอ๊อะ! แม่มเอ้ย…”
หรรษมนสถบคำหยาบออกมาเบา ๆ อย่างหงุดหงิด เขายกเท้าขึ้น แล้วมัดเชือกให้แน่นแทนการก้มลงนั่ง กะจะวิ่งตามไปแต่หรรษมนก็ไม่เห็นวี่แววของคณาทิศแล้ว หรรษมนพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ อย่างคนอารมณ์เสีย
“ยังไงเราก็ต้องเจอพี่ทิศให้ได้…”
หรรษมนบ่นเสียงเบา สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียดายที่ปล่อยจังหวะเมื่อครู่นั้นหลุดมือไป
ลึก ๆ แล้ว... ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รักคณาทิศ หากครั้งนี้อีกฝ่ายยอมเปิดโอกาสให้ หรรษมนก็พร้อมจะกลับไปเริ่มต้นใหม่และพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้ดีกว่าเดิม เขาสาบานกับตัวเองในใจเลยว่า...เขาจะไม่มีวันบอกเลิกคณาทิศอีกแล้ว
ห้องชมรมดนตรี
หรรษมนเดินคิดมากอยู่นานจนมาถึงชมรมดนตรี เขาเห็นมนตรีนอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาในห้องคนเดียว จึงเดินเขาไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวอีกตัวด้วยท่าทางหงอย ๆ
มนตรีเหลือบมอง เห็นเพื่อนเศร้าผิดปกติเขาจึงเอ่ยถาม
“เป็นไรวะ?”
“เฮ้อ…คิดมากเรื่องพี่คณาทิศนิดหน่อยว่ะ มีคนพูดจี้ปมกู แล้วกูก็เห็นพี่เขาแว๊บ ๆ ด้วยอะ ยิ่งเห็นก็ยิ่งคิดมากว่ะ ถ้ารักกันอยู่ก็คงจะดี.. ” หรรษมนทำหน้าตาอมทุกข์ มนตรีที่ฟังที่หรรษมนเล่าก็หรี่ตามอง พลางส่ายหน้าเบา ๆ เพราะรู้สึกไม่ชอบใจ
มนตรีเบื่อที่จะปลอบ หันกลับมาสนใจเกมมือถือดังเดิม แล้วพูดประชดอย่างไม่ใส่ใจหรรษมนมากนัก
“มึงกลับไปคบกับพี่มันเลยไหมล่ะ” หรรษมนหันขวับ สนใจคำแนะนำของมนตรี
“จะดีเหรอมึง กูเป็นคนบอกเลิกนะเว้ย”
มนตรีละสายตาจากมือถือ “ก็ตามใจมึงดิ” หรรษมนมองหน้ามนตรีด้วยความสับสน เขากำลังคิดลังเลอยู่ในใจ ควรจะทำยังไง คืนดีก็น่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย
“มึงมีคอนแทคพี่คณาทิศป่ะ อะไรก็ได้อะขอแค่ให้กูได้คุยกับพี่เขา”
มนตรีสตั้นเล็กน้อย ถึงจะอารมณ์เสียนิดหน่อยที่เพื่อนยังคิดไม่ได้ เขาก็ห้ามการตัดสินใจของเพื่อนไม่ได้ นอกจากให้หรรษมนเรียนรู้เอง “มีมั้ง…ขอดูก่อน มึงถามกูงี้จะกลับไปคบกับพี่ทิศจริงดิ?”
“ก็-”
ตอนนี้เองรุ่นพี่เสื้อช็อปสีแดงก็เดินเข้ามาในห้อง ขัดจังหวะการพูดคุยของทั้งสองเล็กน้อย หรรษมนยกมือไหว้แต่พี่คนแรกกลับสนใจแค่มนตรีที่นอนเล่นเกมอยู่
“อ้าว…น้องมนตรียังไม่กลับเหรอครับ?”
“สวัสดีครับพี่…” หรรษมนยกมือไหว้ค้าง มองปฏิกิริยาของรุ่นพี่ผู้ชายคนนี้อย่างงง ๆ แล้วหันไปไหว้รุ่นพี่ที่เข้ามาเยือนใหม่อีกคนแทน พี่หยวกที่เข้ามาทีหลังก็ไม่เสียมารยาทรับไหว้อย่างเป็นมิตร
“กูหยวกนะ มึงเป็นเพื่อนไอ้มนตรีเหรอ โคตรเหมือนกันเลยว่ะ” หยวกหันมาคุยกับหรรษมนขณะที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋า
“ยังไงเหรอพี่?” เขาเลิกคิ้ว อยากรู้
“หน้าตาพวกมึงไง กวนส้นตีนเหมือนกันเลย ฮ่าฮ่าาา” หยวกกับธันวาพากันหัวเราะชอบใจกันใหญ่ ต่างจากคนที่ถูกว่ากำลังหน้าตาบูดบึ้ง
มนตรีชะเง้อชะแง้หาบางอย่าง “เฮ้ย…เดี๋ยวนะพวกพี่ ไหนเครื่องดนตรีล่ะผมไม่เห็นสักเครื่องเลย…” มนตรีเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาสองคนบอกเอาไว้ ว่าจะพากันไปขนเครื่องดนตรีมาเก็บไว้ที่ห้องชมรม แต่เขากลับไม่เห็น
“เออวะไอ้เหี้ย แม่ง…” ธันวายกมือลูบท้ายทอยอย่างท้อแท้
“งั้น! ไอ้มนตรีมึงลุกเลย มา…มาช่วยพวกกูขน” หยวกกวักมือเรียกมนตรีให้มาด้วยกัน ไม่ปล่อยน้องใหม่ไว้ข้างหลัง
มนตรีทำหน้างง “เอ้า…ครับ ๆ ไอ้หรรมึงนั่งรอกูก่อนนะ จนเสร็จคงได้กลับ” เขาลุกจากโซฟา รีบวิ่งตามไปช่วยรุ่นพี่ขนของ
หรรษมนใช้เวลาว่างขณะนี้ ค้นหาช่องทางการติดต่อหาคณาทิศ ทั้งเฟสบุ๊ก อินสตาแกรม ลองถามกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมบ้างประปราย แต่สุดท้ายแล้วก็คงพึ่งได้แค่มนตรี
ผ่านไปเพียง 5 นาที จังหวะที่หรรษมนละจากโทรศัพท์ก็ดันเห็นรุ่นพี่หนุ่มหน้าหล่อทรงเก๊กคนเดียวกันกับคนเมื่อเช้า โผล่มาพอเหมาะพอดี หรรษมนเกรงว่าเขาจะเดินผ่านไปทางอื่น จึงร้องทักไว้
“พี่ครับ!” หรรษมนยืนขึ้นเรียกรั้งเขาไม่ให้เดินผ่านหน้าห้อง แต่ที่จริงแล้วคณาธิศก็ไม่ได้เดินไปไหน เขายืนนิ่งอยู่หน้าห้องแท้ ๆเพราะเขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมดนตรีอยู่แล้ว กะจะเดินเข้าห้องแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเรียกของหรรษมน
คณาธิศคิ้วขมวดติดกัน จับจ้องมาที่หรรษมน หรรษมนก็ไม่ต่าง เห็นหน้าคณาธิศก็เริ่มจะรู้สึกไม่ชอบหน้าเขาเข้าเสียแล้ว ที่เขาไม่ชอบ หมายถึงสีหน้าที่เคร่งเครียด และแลดูดุตลอดเวลาต่างหากที่ทำให้หรรษมนรู้สึกไม่ค่อยถูกใจเวลาที่เห็นสีหน้าแบบนี้
“เอ่อ…พี่มีอะไรเหรอครับ” เขาถามทั้งที่ตัวเองแท้ ๆ ที่เรียกเขา เพียงเห็นหน้าชัด ๆ ก็ลืมไปเสียสนิทว่าต้องการจะทราบชื่อของเขา
คิ้วที่ขมวดของคณาธิศคลายออกแปรเปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วขึ้นสูง “...ผมต่างหากที่ต้องถามคุณ” เขาไขว้แขนวางมาดเหนือกว่า ก้าวเท้าเดินเข้ามาภายในห้อง เข้ามาใกล้หรรษมนอยู่เรื่อย ๆ สีหน้าแววตาของเขาหรรษมนไม่รู้เลยว่าเขากำลังต้องการอะไร ถึงจู่โจมเข้ามาใกล้ จนหรรษมนต้องจำใจหงายหลังนั่งลงบนโซฟาเพื่อหลีกเลี่ยง
“พี่ต้องการอะไรจากผม?!” หรรษมนแหงนหน้ามองเขา เขาโน้มตัวลง ใบหน้าของเขาห่างจากแก้มของหรรษมนเพียงไม่กี่นิ้ว หรรษมนเองก็ไม่กล้าหันมอง
“เสื้อช็อปผม” คณาทิศพูดอยู่ข้างหู
“ครั-” หรรษมนหันหน้าหาเขา ฝ่ามือหนาก็รีบจับศีรษะของหรรษมนไปอีกทาง แล้วใช้จังหวะที่อีกคนเอนตัวไป ดึงเสื้อช็อปที่คนน้องนั่งทับอยู่ออกมา
“โอ๊ย! อะไรของพี่วะครับ!?” หรรษมนจับศีรษะของตัวเองจัดทรงผมด้วยความหงุดหงิดเขาเล็กน้อย
“ช็อปผมยับก็เพราะคุณนั่งทับนะ ช่วยสำนักหน่อยเถอะ”
“หา…ผมเหรอ?” หรรษมนชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของอีกคนจึงยอมขอโทษแต่โดยดี “โธ่…ขอโทษครับ”
“ก็ดี…ที่ยังรู้จักขอโทษ” เขายิ้มอย่างผู้ชนะ
หรรษมนมองบน “อ๋อ…ครับ แต่ผมไม่ผิด! ผิดที่พี่ต่างหากที่เก็บเสื้อไม่เป็นที่ วางไว้แบบนี้ใครจะเห็น” หรรษมนยืนขึ้นต่อกอนกับเขา
“ว่าไงนะ!”
คณาทิศอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้น ไม่คิดว่าไอ้เด็กรุ่นน้องหน้าตาดีตรงหน้าจะกล้าพูดต่อกอน กล่าวหาว่าเขาเป็นคนผิด ทั้งที่ตัวเขาก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าอีกฝ่ายผิด เขาไม่ผิด! ยังจะหน้าด้านว่าเขาอีก
“คนบ้าที่ไหนวะ นั่งไปแล้วจะไม่รู้สึกอะ คุณควรจะเอะใจตั้งแต่แรกแล้วดิ ว่าคุณนั่งทับเสื้อคนอื่นอยู่ ไม่ใช่ว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ เจ้าของเสื้อเขาเดือดร้อน”
“ก็ขอโทษไปแล้วเรื่องนั่งทับ แต่คนที่ผิดตั้งแต่แรกอะก็คือพี่! ไม่ใช่ผม!”
“แล้วทำไมคุณไม่ดูก่อนนั่งฮะ!” คณาธิศกดเสียงต่ำข่มหรรษมน
“เออ! ผมไม่รอบคอบเองแหละ ขอโทษ!”
หรรษมนตะคอกขอโทษแบบประชดประชัน อย่างไม่เต็มใจ อยากจะให้เรื่องนี้มันจบ ๆ ไป ให้โดยเร็ว หรรษมนกำลังเดินออกจากห้องนี้ในอีกไม่ช้า แต่คณาธิศยังไม่จบ เขายังต้องการอีกเรื่องหนึ่งกับหรรษมน
คณาธิศคว้าข้อมือ “เดี๋ยว…คุณทำช็อปผมยับอะ รับผิดชอบหน่อยไหมฮะ?” เขายกยิ้ม แต่ท่าทียังคงนิ่งสุขุม
หรรษมนสงบสติฝืนยิ้มให้เขาแล้วหุบยิ้มทันที จากนั้นก็รีบดึงมือออกแล้วคว้าเสื้อช็อปจากมือของเขา แล้วเดินออกจากห้องนี้ไปอย่างหงุดหงิด
“อย่าหล่อยเอาไปใส่ล่ะ” คณาธิศตะโกนบอก หรรษมนเองก็ได้ยินแต่เลือกที่จะประชดเขา เอาเสื้อช็อปที่เขาหวงนักหวงหนามาคลุมตัว แล้วหันมาจิ๊ปากใส่ ก่อนจะเดินต่อไป
“สุดท้าย…ก็ไม่รู้ชื่อ"
หรรษมนเดินทางกลับจากมหาลัย กว่าจะถึงบ้านก็เกือบหกโมงเย็น มาถึงเตียงนอนเขาก็ผล็อยหลับไป… ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ช่วงตอนเที่ยงคืนกว่า ๆ หรรษมนลุกขึ้นด้วยความปวดเมื่อยไม่สดชื่นเหมือนตื่นนอนตอนเช้า ๆ
“หาว…”
หรรษมนควานหาโทรศัพท์มือถือ จนคลำเจอเข้ากับบางอย่างบนเสื้อช็อป ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจรีบชักมือออก เมื่อพบคราบน้ำลายของตนเองเปื้อนอยู่บนเสื้อช็อป
“เชี้ย! โอ๊ย! น้ำลายกู” เขารีบลุกจากเตียงหยิบทิชชู่บนหัวเตียง เช็ดคราบที่ยังเปียกอยู่ออก
“ซวยอีกแล้ว จากแค่รีด สรุปต้องซักเหรอวะเนี่ย” หรรษมนถือช็อปเดินลงมาหลังบ้านกะจะซักให้เสร็จ แต่ก็ดันเปลี่ยนใจเพราะกระเพาะอาหารของของเขามันอยากอาหารเกินจะห้ามใจได้
“ไว้ทีหลังแล้วกัน คนมันหิว เป็นแค่เสื้อหนิอย่ามาทรมานกันเลย” เขาหยิบกระเป๋าพร้อมโทรศัพท์ออกจากบ้านไปหาอะไรกินร้านอาหารป้ายวงหน้าปากซอยไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้าน
หรรษมนปั่นจักรยานคันเก่า รับลมหนาวที่พัดผ่าน การได้ออกจากบ้านกลางดึกถือเป็นกิจวัตรประจำวันของเขา เขามักจะสบายใจเสมอที่ได้ออกมาสัมผัสกับบรรยากาศข้างนอก
หรรษมนเขาก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ต้องการใช้ชีวิตให้เกิดมีความสุข เขาอาศัยอยู่คนเดียวตั้งแต่ขึ้นมัธยมต้นอยู่อย่างอิสระแบบเหงา ๆ มาตลอด แต่ก็ไม่เคยคิดจะกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของใครเลยที่เขาต้องอยู่โดดเดี่ยวแบบนี้ ถึงแม้ว่าแม่ของเขาจะมีครอบครัวใหม่ พ่อจะเสียชีวิตไป เขาก็คิดแค่ว่ามันเป็นธรรมดาของชีวิต
“เฮ้ย! ป้ายวง ไฟม้ายยย!!!” หรรษมนลากเท้าเบรกจักรยานอยู่หน้าร้านป้ายวง ตะโกนแกล้งคนแก่ ถ้าไม่สนิทกันเขาก็ไม่กล้าทำหรอก แต่ที่เขากล้าก็เพราะสนิทสนมกับป้ายวงเป็นพิเศษ
“โอ๊ย! กูจะทำมาหากินโว้ย!” ป้ายวงถือฝาหม้อเดินออกมาจากหลังร้าน ตะโกนโต้เขากลับมาอย่างดุดัน หรรษมนขำ รีบเอาขาตั้งลงแล้วเดินมาหาป้ายวงหลังร้าน
“โห้.. ลูกค้าเยอะอะ จะได้กินฝีมือป้าป่ะเนี่ย” เขาพูดแซวป้ายวงเชิงหยอกล้อเล่น ๆ แก้เหงา
“วุ้! เอ็งจะกินอะไรล่ะ” ป้ายวงพูดขณะกำลังผัดข้าว
“เหมือมเดิม…สุกกี้พิเศษ 50 เพิ่มเห็ด เพิ่มหมึก ลดผักบุ้งครับป้า”
“เออรอ!”
หรรษมนเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นรอฆ่าเวลา หลังจากที่เขาเปิดอินเทอร์เน็ตเพียงระยะเวลาไม่กี่วินาทีข้อความจากมนตรีที่ส่งตั้งแต่เย็นก็เด้งขึ้นมา
ติ้ง!
[กลับบ้านก่อนไม่บอกกูเลยนะมึง]
หรรษมนอ่านข้อความ เสียงของมนตรีก็ล่องลอยมา เขากดสติ๊กเกอร์ยิ้มหวานใต้ข้อความ ไม่รู้จะตอบอะไรกับไป เวลานี้มนตรีเองก็คงหลับแล้ว แต่ทว่าเขากลับฉุดคิดขึ้นได้เรื่องพี่คณาทิศ จึงทักกลับไปอย่างไม่รอช้า
[ไหนคอนแทคเอ่ย…? รออยู่]
ข้อความส่งไปไม่ถึงนาทีอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา เหมือนกับว่ามีน้ำโห
[ไอ้ห่า รีบเหรอไอ้สัส]
หรรษมนไม่ได้ตอบกลับเป็นข้อความแต่เขาส่งแค่สติกเกอร์เยี่ยมให้ กระตุ้นอารมณ์โกรธของอีกฝ่ายกับความกวนประสาทของเขา แต่ถึงอย่างไร มนตรีก็ทำตามที่พูดไว้ แล้วส่งคอนแทคของพี่คณาทิศมาให้เขา
[@Khana_T]
[มึงประสาทมากมนตรี สมชื่อมึงเลยอะพึ่งได้]
[ประเสริฐเถอะ]
หลังจากจบบทสนทนาหน้าต่างแชทของมนตรี หรรษมนก็เข้าไปกดฟอลไอจีทันที โปรไฟล์ของคณาทิศคือภาพเดียวกันกับโพสต์อันเดียวของเขาที่ลงเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เป็นภาพที่คนกดใจเป็นแสน เขาถ่ายจากมุมมองของตัวเอง เขากำลังนั่งอยู่หน้ากองชุด ภายใต้แสงสีแดง มือของเขาวางอยู่บนสแนร์ดรัมพร้อมไม้กลองที่พาดอยู่
“เท่จัดเลย…แต่ พี่เขาเล่นดนตรีด้วยเหรอวะ?” หรรษมนหน้านิ่วคิ้วขมวดนึกคิดจนปวดหัว คณาทิศไม่ชอบการเล่นดนตรีด้วยซ้ำ แค่ให้จับยังไม่อยากจับเลย
‘พี่เปลี่ยนไปหรือมีใครเปลี่ยนพี่เนี่ยฮะ’
เขาพ่นลมหายใจเสียงดัง ตาเบิกกว้าง สิ่งที่หรรษมนอึ้งและน้อยใจมากกว่าเดิมคือผู้ติดตามของเขา หรรษมันไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะโด่งดังมีผู้ติดตามเกือบล้านขนาดนี้
ทั้งที่…อินสตาแกรมเก่าของคณาทิศช่วงที่คบกับหรรษมนผู้ติดตามเขาไม่ถึงหลักพันเลยด้วยซ้ำ ทำให้เห็นเลยว่าหรรษมนเป็นตัวถ่วงของชีวิตเขามากแค่ไหน…ตลอดเวลาที่คบกันมา…
“โธ่เอ้ย แล้วไงล่ะ!”
เขาลบความคิดด้านลบออกจากหัว แล้วส่งข้อความไปหาคณาทิศ
[ขอโทษนะที่บอกเลิกอะ คืนดีกันไหม กลับมารักกันเหมือนเดิมนะ] หรรษมนคำรวมใส่โทรศัพท์ รู้สึกตนเองทำเรื่องน่าอายอย่างมาก ถ้าให้เจอหน้ากันตอนนี้ คงไม่ไปเจอแน่ ๆ เพราะมันน่าอายจริง ๆ
หรรษมนไม่ได้คาดหวังมากนักว่าอีกฝ่ายจะอ่านหรือส่งข้อความกลับมาในเวลาเพียงไม่กี่วิ เพราะเวลาดึกดื่นแบบนี้คนส่วนใหญ่มักจะนอนกันหมดแล้ว ยกเว้นลูกค้าร้านป้ายวง แต่ทว่า…อีกฝ่ายรับฟอลแล้วฟอลไอจีกลับมา
“เฮ้ยแม่ง ใช่เหรอวะ?”
ขณะที่หรรษมนกำลังนั่งตาตะลึงเช็คความแน่ใจอยู่นั้น ก็มีข้อความจาก @Khana_T เด้งขึ้นมา
[ละเมอหรือไง]
“บ้าเอ้ย!!” ทันทีที่เห็นข้อความ เขาก็ตื่นตระหนก รีบปิดเครื่องหนี คว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลงอย่างรวดเร็ว แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความเขินอาย คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ออกมา
‘โอ๊ย…กูหน้าด้านเกินป่ะวะ…ฮือออ’
ขณะที่เขามัวแต่บ่นตัวเองอยู่ภายในใจสุกกี้ฝีมือป้ายวงก็เสร็จพร้อมกิน และแล้วป้ายวงก็เดินมาที่โต๊ะของหรรษมน
“ไอ้หรร! เอ็งจะแดกหรือจะนอนฮะ” ป้ายวงวางชามสุกกี้บนโต๊ะ ยืนเท้าเอววีน บ่นหรรษมนไม่หยุด เขาได้สะดุ้งลุกขึ้นนั่งตัวตรง แล้วทำหน้ามุ้ยใส่ป้ายวง
“นอนกิน ผมเป็นพญานาค!” เขาลากชามสุกกี้มาชิดอก
“โอ๊ย! เพ้อเจ้อจริง ๆ เลยวุ้ย กินเสร็จเก็บไปล้างด้วยนะเอ็ง”
“คร้าบ…”เขายิ้มตาหยีให้ป้ายวง แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการสุกกี้ในชามให้หมด เขาจะได้รีบกลับบ้านไปจัดการเสื้อช็อปที่คาอยู่ในกะลามังให้เสร็จทันส่งคืนคณาธิศวันพรุ่งนี้บ่าย
ระหว่างที่เขากินอยู่ ลูกค้าในร้านที่เยอะ ๆ ในช่วงแรก ก็เริ่มทะยอยหายไป เหลือแค่หรรษมนกับคู่รักมัธยมคู่หนึ่งนั่งอยู่ในร้าน เขาเห็นว่าเป็นคู่รักที่น่ารักมาก แลดูเพิ่งคบกันใหม่ ๆ เขาเลยเผลอจ้องมองทั้งสองไม่ละสายตาด้วยความชื่นชม พออีกฝั่งหันมาเขาก็พยักหน้ายิ้มแย้มกลับไป
“พี่มาคนเดียวเหรอครับ?”
“ครับ…พี่ก็นั่งคนเดียวนานแล้วนะ เอ่อพี่ชื่อหรร พอดีว่าบ้านพี่อยู่แถวนี้อะ พี่หิวพี่ก็เลยปั่นจักรยานมากินร้านป้ายวง”
“อ๋อ…พี่ไม่ต้องอธิบายก็ได้ครับ ง่าย ๆ คือพี่ไม่มีแฟน บอกแค่นี้เราสองคนก็เข้าใจครับ ว่าพี่…ไม่มีแฟน” หรรษมนหุบยิ้มฉับพลัน เจ็บแปล๊บที่อก สะเทือนใจครั้งแรกไม่หาย ครั้งที่สองเขาแทบกระอักเลือดออกทางจมูก เจ็บใจจนจุกพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยิ้มแห้ง ละสายตาจากทั้งคู่ แล้วกลับมาซัดสุกกี้ในชามเพื่อกลบเกลื่อนความชอกช้ำในใจ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!