ฝนโปรยปรายนานหลายชั่วโมงแล้ว
เม็ดฝนเย็นจัดซัดใส่ผืนดินจนกลิ่นดินเปียกคลุ้งขึ้นมาในอากาศ เสียงฟ้าร้องดังสนั่นเหมือนจะฉีกท้องฟ้าออกเป็นเสี่ยง ๆ
กลางป่าลึก ไฟจากตะเกียงน้ำมันเก่า ๆ วาบขึ้นเป็นระยะ ส่องให้เห็น “บางสิ่ง” ที่นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นชื้นแฉะ
ร่างนั้นนิ่งสนิท แต่ดวงตากลับเบิกกว้างจนน่าขนลุก
ลูกตาขาวขุ่นราวกับถูกแช่ในน้ำจนเน่าเปื่อย
ริมฝีปากแห้งผากมีเศษกระดาษสีแดงติดอยู่ — กระดาษยันต์ที่พิมพ์ด้วยอักษรโบราณ ไม่มีใครอ่านออก
เลือดซึมจากบาดแผลลึกบนข้อมือไหลรวมกับน้ำฝนเป็นลำเล็ก ๆ
และสิ่งที่ทำให้ขนลุกจนลมหายใจสะดุด… คือมุมปากของร่างนั้นยังยกยิ้มบาง ๆ
ยิ้มที่ไม่ควรอยู่บนใบหน้าของคนตาย
“แชะ!”
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นกลางสายฝน
ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อกันฝนสีดำก้มมองภาพผ่านกล้องถ่ายรูป น้ำฝนหยดจากปลายผมลงบนมือเขา
คิริน — ช่างภาพสารคดีอิสระ ผู้ไม่เคยเชื่อเรื่องผีหรือไสยศาสตร์
เขามาที่นี่เพราะข่าวคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ศพทุกศพถูกพบในสภาพตาเบิกโพลง มียันต์แดงในปากเหมือนกันทั้งหมด
นี่คือศพที่ห้า… และคิรินกำลังคิดว่ามันไม่ใช่ฝีมือฆาตกรธรรมดา
เขายกกล้องขึ้นอีกครั้ง แต่ในจังหวะที่แฟลชวาบ เขากลับเห็นดวงตาขาวขุ่นของศพ “ขยับ!” มองตรงมาที่เขา
หัวใจคิรินกระตุก เขากะพริบตาอีกที… ร่างนั้นก็กลับไปนิ่งเหมือนเดิม
“แม่ง...” เขาพึมพำในลำคอ แต่สัญชาตญาณบอกให้รีบไปจากที่นี่
---ในขณะเดียวกัน
ภายในหอพักนักศึกษาแห่งหนึ่งในตัวเมือง
นที — เด็กปีสามสาขาศิลปะการแสดง ผุดลุกจากเตียงกลางดึก หอบหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม
เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก ทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังทำงานอยู่
เขาฝัน… ฝันถึงร่างตาเบิกโพลงเหมือนกับที่คิรินเพิ่งเห็น
รายละเอียดชัดเจนจนเหมือนยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งกลิ่นคาวเลือด ทั้งใบหน้ายิ้มเย็น
นทีเคยเห็นภาพพวกนี้มาก่อน — ไม่ใช่ครั้งแรก
ตั้งแต่เด็ก เขามีสัมผัสพิเศษที่ทำให้มองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
แต่เขาเลือกเก็บมันไว้ เพราะทุกครั้งที่เปิดปากบอกใคร เขามักถูกมองว่าเพ้อเจ้อ
ทว่าฝันคราวนี้แตกต่างออกไป… เพราะความรู้สึกในอกบอกว่า มันกำลัง “หา” เขาอยู่
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
นทีชะงัก เงี่ยหูฟังอีกครั้ง เสียงฝนข้างนอกยังคงดังต่อเนื่อง แต่เสียงเคาะนั้นชัดเจน ราวกับมีใครยืนอยู่หน้าห้องจริง ๆ
เขาเหลือบมองนาฬิกา — ตีสองยี่สิบเจ็ดนาที
“ใครครับ...” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
ไม่มีคำตอบ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
คราวนี้ช้าลง หนักขึ้น จนหัวใจเขาเต้นแรงผิดจังหวะ
นทีค่อย ๆ เดินไปที่ประตู มือเย็นเฉียบเมื่อแตะลูกบิด
แชะ! ไฟในห้องกระพริบวูบ ก่อนดับสนิท
ความมืดปกคลุม เหลือเพียงแสงฟ้าแลบที่สาดเข้ามาทางหน้าต่าง
แสงนั้นเผยให้เห็นเงาดำสูงเกือบชนเพดาน ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
หัวใจนทีเต้นโครมครามเงานั้นก้มลง ดวงตาขาวขุ่นคู่นั้นเสมอกับช่องมองประตู… และจ้องเขาไม่กะพริบ
นทีผงะถอย
ทันใดนั้น เสียงผู้ชายอีกคนดังขึ้นข้างหลัง
“อย่าเปิด!”
ไฟแฟลชวาบสว่างทั่วห้อง เผยให้เห็นคิรินยืนเปียกปอนอยู่ตรงประตูห้อง เขาหอบหายใจ กล้องถ่ายภาพยังห้อยอยู่ที่คอ
น้ำฝนหยดจากปลายผมลงพื้นเป็นทาง
นทีตะลึง “คุณ... เป็นใคร”
คิรินกวาดตามองห้องอย่างระแวดระวัง
“เราไม่มีเวลาแล้ว... มันตามคุณมา”
---
เสียงฝนข้างนอกดังถี่ขึ้นเหมือนเร่งเร้า
คิรินพุ่งเข้ามาจับข้อมือนทีแน่น ร่างสูงกว่าดึงเขาออกจากห้องโดยไม่รอคำอธิบาย
บันไดหอพักมืดเกือบสนิท ไฟทางเดินกระพริบวูบวาบเหมือนจะดับทุกเมื่อ
ตึก...ตึก...ตึก...
เสียงฝีเท้าหนักลากลงมาตามหลัง ทำให้เลือดในกายเย็นวาบ
นทีเหลือบมองขึ้นไปชั้นบนสุด
เงาดำนั้นยืนอยู่ตรงบันไดขั้นบนสุด ก้มหน้าอยู่ แต่ค่อย ๆ เงยขึ้น เผยดวงตาขาวขุ่นเหมือนเนื้อปลาเน่า
มุมปากมันยกขึ้นเล็กน้อย และหยดน้ำที่ไหลจากตัวมัน… เป็นเลือดสีคล้ำ
“เร็วเข้า!” คิรินกระชากแขนเขา
ทั้งคู่พุ่งออกจากประตูหอพัก ฝ่าสายฝนเย็นเฉียบ
ลมหายใจกลายเป็นไอขาว เสียงหัวใจดังแข่งกับเสียงฝน
ตรอกข้างหอพักมืดมิด มีเพียงเงาราง ๆ ของมอเตอร์ไซค์
จอดอยู่ปลายทาง ตึก...ตึก...ตึก...
เสียงฝีเท้าตามไม่ห่าง นทีหันมองอีกครั้ง — เงาดำสูงนั้นเดินออกมาจากปากประตูหอพัก
ดวงตาขาวยังจ้องมาที่เขาเหมือนจะฝังภาพนี้ไว้ในวิญญาณ
คิรินจับเอวนทีจากด้านหลังยกขึ้นคร่อมเบาะ
“จับผมไว้ให้แน่น”
เครื่องยนต์คำรามขึ้น ฝ่าความมืดและสายฝนอย่างรวดเร็ว
ผ่านกระจกมองหลัง — เงาดำนั้นยืนอยู่กลางถนน ยืนนิ่ง แต่สายตาเย็นเฉียบเหมือนกำลังบอกว่า “หนีไป... ก็ไม่รอด”
นทีซบหน้ากับแผ่นหลังคิรินโดยไม่รู้ตัว
เสียงฝนและลมแรงซัดเข้าหู แต่ยังไม่ดังเท่าเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
และแม้จะไม่รู้ว่าผู้ชายตรงหน้าคือใคร… เขากลับรู้สึกว่าถ้าไม่เกาะเขาไว้ตอนนี้ ตัวเองจะถูก “บางสิ่ง” ลากกลับไปตลอดกาล
เสียงฝนยังคงไล่ตามแม้เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์คำรามแข่งลม
นทีเกาะเอวคิรินแน่น กล้ามเนื้อแขนเกร็งจนปวด แต่เขาไม่กล้าปล่อย
ทุกครั้งที่เงยหน้ามองกระจกข้าง ก็ยังเหมือนเห็น “เงานั้น” วูบตามมา แม้จะรู้ว่ามันอาจเป็นเพียงภาพหลอนจากความกลัว
รถเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีไฟส่อง
น้ำฝนกระเด็นเป็นฝอยเมื่อยางบดกับพื้นถนนเปียกลื่น
ในที่สุด คิรินก็หยุดรถหน้าบ้านไม้สองชั้นเก่า ๆ หลังหนึ่ง รั้วเหล็กขึ้นสนิมแง้มไว้เพียงพอให้รถลอดเข้า
เขารีบพานทีเข้าไปข้างใน ปิดประตูรั้วแล้วล็อกซ้อนด้วยโซ่
นทีมองรอบบ้าน — มันเงียบเกินไป
เสียงฝนจากข้างนอกเหมือนถูกกลืนหายไปเมื่อก้าวเข้ามาในตัวบ้าน
บรรยากาศข้างในมีเพียงกลิ่นไม้เก่าและฝุ่นอับ
“ที่นี่ปลอดภัย... ชั่วคราว” คิรินพูดพลางถอดเสื้อกันฝนโยนลงบนเก้าอี้
เขาหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งจากชั้นวางมาโยนให้นที
นทีรับมาซับหน้า มือยังสั่นอยู่เล็กน้อย
“คุณเป็นใครกันแน่ **แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมกําลังถูก** เอ่อ.. มัน ตามมา”
คิรินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจ
“*ผมสืบเรื่องฆาตกรรม**ในเมืองนี้มาสามเดือนแล้ว เหยื่อทุกคน… มีลักษณะเหมือนกันหมด ตาเบิกโพลง ยันต์แดงในปาก และมีรอยกรีดข้อมือ*”
เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ดวงตาคมยังจับจ้องนที
“และเมื่อคืน… ผมฝันเห็นคุณอยู่ตรงที่เกิดเหตุ”
หัวใจนทีเต้นแรงขึ้น “ฝัน? คุณหมายความว่ายังไง”
“เหมือนกับที่คุณฝันถึงมัน” คิรินตอบสั้น ๆ
คำพูดนั้นทำให้นทีขนลุก — หมายความว่าฝันของเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญคิรินลุกขึ้น เดินไปหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ จากชั้นเก็บของ เปิดออกมาเผยให้เห็นกระดาษยันต์สีแดงที่เหมือนกับในปากศพ
อักษรบนยันต์ดูเหมือนลายมือโบราณขรุขระ บางเส้นบิดเป็นวงราวกับดวงตา
“นี่คือยันต์จากพิธีที่เรียกว่า ตาเบิกโพลง” เขาอธิบาย “พิธีเรียกวิญญาณอาฆาตขึ้นมาคุมร่างเหยื่อ ก่อนจะตัดสายใยชีวิต เพื่อใช้ดวงวิญญาณนั้นทำสัญญากับบางสิ่ง”
นทีตัวเย็นวาบ “ทำไมต้องเป็นผม”
คิรินมองเขานิ่ง “…เพราะคุณเป็น ‘ดวงวิญญาณบริสุทธิ์’ ตามคำทำนาย”
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในบ้านหนาวเย็นลงทันที แม้ไม่มีลมพัด
นทีพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อลดความกลัว
“ผมไม่รู้หรอกว่าคุณไปเอามาจากไหน… แต่ผมไม่ได้บริสุทธิ์อะไรขนาดนั้น”
คิรินเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้ตอบ เพียงมองนทีด้วยสายตาที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมองทะลุเข้าไปถึงข้างใน
ทันใดนั้น — ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…
เสียงเคาะดังขึ้นจากหน้าประตูบ้าน
นทีชะงัก หันไปสบตาคิรินทันที
คิรินเดินไปใกล้หน้าต่างอย่างเงียบกริบ แหวกผ้าม่านเพียงเล็กน้อย แล้วใบหน้าเขาก็แข็งทื่อ
“อย่าออกเสียง” เขากระซิบ
นทีค่อย ๆ ก้าวไปยืนข้างเขา
นอกบ้านมีเงาสูงเกือบสองเมตรยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ดวงตาขาวขุ่นยังคงสว่างลาง ๆ แม้ในความมืด
ร่างนั้นไม่ขยับ แต่ยืนหันหน้ามาทางบ้าน เหมือนรู้แน่ว่าเหยื่ออยู่ข้างใน
เสียงเคาะดังอีกครั้ง ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก… ช้า หนัก จนไม้ประตูสั่น
นทีเผลอก้าวถอย คิรินคว้าแขนเขาไว้
“ถ้าเปิด… มันจะเข้ามา”
“แล้วเราจะทำยังไง” นทีถามเสียงสั่นคิรินปล่อยมือจากแขนเขา เดินไปหยิบเชือกเส้นหนาที่ปลายมีผ้ายันต์ผูกไว้
“ผมเตรียมไว้แล้ว ถ้าจะรอดคืนนี้ คุณต้องอยู่ใกล้ผมตลอด”
เขาก้าวเข้ามาผูกเชือกเส้นนั้นรอบข้อมือของนที ปลายอีกข้างผูกกับข้อมือตัวเอง
ระยะห่างระหว่างพวกเขาไม่ถึงหนึ่งเมตร
นทีรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากร่างคิรินและกลิ่นอ่อน ๆ ของเหงื่อปนฝน
หัวใจเขาเต้นแรงกว่าเดิม ไม่แน่ว่าเป็นเพราะกลัว… หรือเพราะถูกผูกติดกันแบบนี้
เสียงเคาะหยุดไปกะทันหัน
เหลือเพียงเสียงฝนกับความเงียบที่กดดันจนเหมือนหูอื้อ
นาทีที่ทั้งคู่กำลังจะถอนใจ — กรี๊ดดดดดดดดด!
เสียงหวีดแหลมดังมาจากทุกทิศรอบบ้าน ประตูและหน้าต่างถูกเขย่าแรงจนฝุ่นร่วงลงมา
เงาดำนอกบ้านเริ่มเคลื่อนตัว… แต่มันไม่เดิน แต่ “เลื่อน” เข้ามาใกล้ประตูอย่างช้า ๆ
คิรินดึงนทีให้ถอยไปกลางบ้าน
ตาของเขาจับจ้องเงานั้นผ่านช่องประตูเหมือนกำลังรอจังหวะ
นทีอยากถามว่าเขาจะทำอะไร แต่ริมฝีปากกลับแห้งผากจนพูดไม่ออก
เมื่อเงานั้นเลื่อนถึงหน้าประตูพอดี
คิรินยกมือขึ้นกำยันต์สีแดงที่เขาเตรียมไว้ แล้วกดมันลงกับประตูพร้อมท่องคาถาเสียงต่ำ
อากาศรอบตัวเหมือนถูกบีบอัด เสียงฝนภายนอกเงียบลงชั่วขณะ
เงานั้นหยุดนิ่ง — ดวงตาขาวจ้องตรงมา ริมฝีปากยกยิ้มกว้างเกินมนุษย์ ก่อนจะถอยหายเข้าไปในความมืดอย่างช้า ๆ
คิรินปล่อยลมหายใจแรงราวกับแบกของหนักมาทั้งคืน
“มันจะไม่กลับมา… จนกว่าพิธีจะเริ่มอีกครั้ง”
เขาบอก
นทีจ้องเขา “พิธี? หมายความว่ามันจะกลับมาอีก?”
คิรินสบตาเขานิ่ง “…และคราวหน้า มันจะไม่มาแค่เคาะประตู”
ความเงียบปกคลุมหลังจากเงาดำนั้นหายลับไป
ฝนยังตก แต่เสียงฟ้าเหมือนถูกกดไว้เบื้องหลัง
ภายในบ้านมีเพียงเสียงหอบหายใจของทั้งสอง และเสียงหยดน้ำที่ไหลลงจากเสื้อผ้าเปียกโชก
นทีก้มมองเชือกที่ผูกข้อมือเขากับคิริน
หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด ตั้งแต่ถูกลากหนีจากหอพักจนถึงตอนนี้ ความกลัวเกาะกุม แต่ลึก ๆ กลับรู้สึกปลอดภัยแปลก ๆ ยามที่อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้
“มันจะกลับมาอีกเมื่อไหร่” นทีถามเสียงเบา
คิรินเงยหน้ามองเขา ดวงตาคมจริงจัง “คืนวันเพ็ญหน้า”
“อีกแค่เจ็ดวัน”
คำตอบนั้นทำให้นทีเย็นวาบไปทั้งตัว
เจ็ดวัน… หมายความว่าเขามีเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่ “พิธีตาเบิกโพลง” จะสมบูรณ์ และวิญญาณของเขาจะถูกใช้เป็นสังเวย
---
คืนนั้น ทั้งคู่แทบไม่ได้หลับ
คิรินนั่งตรวจเช็กกล้องและเอกสาร ขณะที่นทีเฝ้ามองเงาฝนไหลบนหน้าต่าง
จนกระทั่งเช้าวันต่อมา เสียงนกร้องแว่วขึ้นเป็นสัญญาณว่ารอดมาได้อีกหนึ่งคืน
“ผมจะพาคุณไปที่ที่หนึ่ง” คิรินเอ่ยขึ้น
“ที่ไหน?”
“วัดร้างทางเหนือของเมือง คนท้องถิ่นเล่ากันว่านั่นคือที่มาของพิธี”
นทีลังเล “คุณแน่ใจเหรอว่าไม่อันตราย”
คิรินหัวเราะสั้น ๆ “ถ้าไม่ไปหาคำตอบ คุณจะไม่มีโอกาสอยู่ถึงวันเพ็ญหน้าแน่”
สายวันนั้น ทั้งคู่ขับรถกระบะคันเก่าของคิรินฝ่าถนนเปียกมุ่งสู่ป่า
เส้นทางรกร้าง มีเพียงต้นไม้สูงแผ่เงาทึบ
บรรยากาศทำให้นทีรู้สึกเหมือนทุกฝีก้าวกำลังพาเขาใกล้ความตายมากขึ้น
เมื่อถึงทางเข้าวัด — ศาลาไม้พังทลาย หลังคามุงกระเบื้องแตกหัก
พระพุทธรูปครึ่งองค์ครึ่งหาย เหลือเพียงเศียรที่ถูกตะไบหน้าเรียบ
สายลมเย็นวาบพัดผ่านเหมือนการต้อนรับจากบางสิ่งที่มองไม่เห็น
“คุณอยู่ข้างผมตลอด” คิรินเอ่ยพลางกระชับเชือกที่ยังผูกข้อมือพวกเขาอยู่
นทีพยักหน้า แม้ใจจะเต้นรัวจนแทบจะทะลุอก
---
พวกเขาก้าวเข้าสู่วิหารเก่าที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์
ผนังถูกเขียนด้วยอักขระโบราณสีดำซีดจาง แต่บางจุดยังเห็นชัดเป็น “ดวงตา” หลายสิบดวง
ดวงตาที่เหมือนกำลังจ้องมองผู้บุกรุก
นทีรู้สึกขนลุกไปทั้งแขน
“ที่นี่… เหมือนในฝันของผม” เขาพึมพำ
คิรินหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ เสียงชัตเตอร์ดัง แชะ แชะ
แต่ทันใดนั้น — ตึง!
ประตูไม้ด้านหลังปิดดังสนั่นเอง
ทั้งคู่หันขวับ เสียงลมหายใจสะดุด
ความมืดโอบรัดทั่ววิหาร เหลือเพียงแสงแฟลชกล้องที่สว่างวูบวาบเป็นจังหวะ
ทุกครั้งที่แฟลชส่อง — เงาดำสูงก็โผล่เข้ามาใกล้ทีละนิด
ครั้งแรกยืนอยู่ตรงเสาไกลสุด
ครั้งต่อมาขยับเข้ามาครึ่งทาง
ครั้งที่สามอยู่ตรงมุมวิหาร ดวงตาขาวขุ่นจ้องตรงมาที่นทีนทีร้องออกมา “มันมาแล้ว!”
คิรินคว้ามือเขาแน่น “อย่ามองตา!”
ทั้งคู่รีบวิ่งฝ่าความมืดไปยังทางออกอีกฝั่ง
เสียงฝีเท้าของเงาดำนั้นลากครูดตามมา ตึก…ตึก…ตึก…
เสียงหนักก้องสะท้อนเหมือนกำลังวิ่งอยู่ในวิหารเดียวกัน
---
พวกเขาผลักประตูไม้เก่าอีกด้านจนเปิดออก
แสงแดดส่องเข้ามาพร้อมกลิ่นหญ้าชื้น แต่นั่นไม่ใช่จุดสิ้นสุด
เพราะลานกว้างกลางวัดเต็มไปด้วย “หลุมศพ” เล็ก ๆ ที่เรียงราย
แต่ละหลุมมีไม้กางเขนไม้ไผ่ปักไว้ และทุกหลุมมีเศษยันต์สีแดงฝังอยู่ใต้ดินโผล่มาเพียงครึ่ง
นทีแทบหยุดหายใจ “นี่มัน… ศพเหยื่อทั้งหมด…”
คิรินเม้มปากแน่น “ไม่ใช่แค่ห้า… แต่เป็นหลายสิบ”
เสียงหวีดแหลมดังขึ้นรอบลาน
เงาดำไม่ใช่เพียงหนึ่งอีกต่อไป — แต่โผล่ขึ้นมาจากหลุมศพทีละร่าง
ทุกดวงตาเบิกโพลงเหมือนกันหมด
ทุกปากมีเศษยันต์แดงแปะอยู่
และทุกสายตาจ้องไปที่นทีเพียงคนเดียว
---
“วิ่ง!” คิรินผลักนทีให้ไปข้างหน้า
มือทั้งคู่ยังถูกผูกด้วยเชือก ทำให้ต้องวิ่งไปพร้อมกัน
เสียงฝีเท้าตามหลังหลายสิบคู่ถาโถม
บางร่างวิ่งด้วยท่าทางผิดธรรมชาติ ข้อต่อบิดงอ บางร่างคลานสี่ขาเร็วอย่างสัตว์ป่า
นทีหอบหายใจจนเจ็บอก
“ผมวิ่งไม่ไหวแล้ว—!”
คิรินโอบแขนรอบเอวเขา ยกขึ้นแทบแบกพาไป “ฉันจะไม่ปล่อยให้มันได้ตัวนาย”
ร่างทั้งคู่กระโจนพ้นเขตลานศพ
ทันใดนั้น เสียงระฆังเก่าในวัดก็ดัง ก้องงงงง…
เสียงนั้นทำให้เงาดำทั้งหมดหยุดนิ่ง
เหมือนมีกำแพงมองไม่เห็นกั้นไม่ให้มันออกมานอกเขตวัด
นทีกับคิรินทรุดลงกับพื้นหญ้าข้างนอก
เหงื่อและฝนชโลมทั้งตัว หัวใจยังเต้นไม่หยุด
นทีหันไปสบตาคิริน ทั้งคู่หอบหายใจแรงเหมือนเพิ่งกลับมาจากขอบนรก
“คุณช่วยผมอีกแล้ว…” นทีพูดเสียงแผ่ว
คิรินมองเขานิ่ง แววตาคมดุดันแต่แฝงความอบอุ่น “ผมสัญญา… ผมจะไม่ให้ใครเอาวิญญาณคุณไป”
เชือกที่ผูกข้อมือทั้งคู่ยังรัดแน่น
ความใกล้ชิดและคำสัญญาท่ามกลางความหลอน ทำให้นทีรู้สึกบางอย่างสั่นไหวในอก
บางอย่างที่ต่างจากความกลัว… และมันน่ากลัวยิ่งกว่าผีทั้งหมดที่ตามล่า
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!