NovelToon NovelToon

ประชันศึกศาสตราวุธ

คำอธิบายและข้อมูลต่างๆ

ศาสตราวุธ คือ ชื่อเรียกของพลังที่ใช้ในการต่อสู้ภายในเรื่อง ลักษณะคล้าย อาวุธประจำตัวของผู้ใช้ ซึ่งอาจไม่ใช่อาวุธที่เป็น ดาบหรือหอกเสมอไป แต่อาจเป็น คน, สัตว์, หรือสิ่งของใดๆ ก็ได้ ที่เหมาะสมกับผู้ใช้โดยเฉพาะ สามารถใช้ได้ทั้ง โจมตี,ป้องกัน,ความคุม,พรางตัว,รักษา หรือแม้แต่เสริมพลังก็ได้ ในส่วนของ ความสามารถของศาสตราวุธ จะอยู่ในสิ่งๆหนึ่งที่เรียกว่า เกราะอาวุธ

เกราะอาวุธ คือ ศาสตราวุธที่เปลี่ยนมาเป็นเกราะอาวุธให้กับผู้ใช้ศาสตราวุธคนนั้น แต่จะเป็นเพียงแค่ป้องกันการโจมตีจากความสามารถจากเกราะอาวุธของศัตรูในระดับต่ำเท่านั้น หากต้องการให้เกราะอาวุธของผู้ใช้มีความสามารถ เช่น โจมตีหรือป้องกันในระดับมากขึ้น จำเป็นต้องหลอมเกราะอาวุธ

เกราะอาวุธจะมีเกราะติดอยู่ 6 ส่วน ของร่างกาย ได้แก่

เกราะส่วน หัว

เกราะส่วน ตัว

เกราะส่วน แขนขวา

เกราะส่วน แขนซ้าย

เกราะส่วน ขาขวา

เกราะส่วน แขนซ้าย

โดยเกราะอาวุธ 1 ส่วน จะมี 3 ระดับ และความแข็งแกร่งจะมากขึ้นไปตามระดับของเกราะอาวุธชิ้นนั้น

ศาสตราวุธนั้นจะไม่มีจำแนกว่าศาสตราวุธใดเก่งที่สุดหรือศาสตราวุธใดอ่อนที่สุด ขึ้นอยู่กับการพัฒนาระดับขั้นและทักษะของนักรบคนนั้น

วิธีการหลอมเกราะอาวุธ คือ ผู้มีศาสตราวุธต้องฝึกฝนจนพลังทะลวงขีดจำกัดจึงจะสามารถหลอมเกราะได้ จากนั้นจะต้องออกเดินทางหา ส่วนประกอบ และ ลูกไฟแห่งจิตวิญญาณ แล้วนำมาเผาเพื่อให้ส่วนลูกไฟที่ได้มา ซึมซับส่วนประกอบเข้าไป แล้วจึงค่อยนำลูกไฟนั้นไปฝังลงในเกราะอาวุธ นั่นจึงเป็นการหลอมเกราะและเกราะอาวุธนั้นจะมีความสามารถตามคุณสมติของส่วนประกอบที่ผู้ใช้หามา โดยผู้ใช้สามารถเลือกที่จะหลอมเกราะส่วนไหนก่อนก็ได้ แต่จะต้องหลอมเกราะส่วนนั้นให้ครบทั้ง 3 ระดับ ก่อนจึงจะสามารถหลอมเกราะส่วนถัดไปได้

ลูกไฟแห่งจิตวิญญาณ คือ แก่พลังเวทศาสตรา มักพบได้จาก นักรบผู้ใช้ศาสตราวุธและอสูรศาสตรา โดยนักรบมักจะทำการฆ่า อสูรศาสตรา แล้วนำเอาลูกไฟมาหลอมเกราะอาวุธ โดยเมื่ออสูรศาสตราตัวนั้นได้สิ้นใจลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด พวกมันนั้นจะไม่กลายเป็นซากศพเหมือนสัตว์ทั่วไป แต่ร่างกายของพวกมันจะถูกเผาไหม้ให้หายไป จะเหลือไว้เป็นเพียงลูกไฟดวกเล็กๆ และลูกไฟนั้นจะดับไปภายในเวลาไม่นาน ซึ่งนักรบผู้ใช้ศาสตราวุธก็เช่นกับ

ระดับพลังนักรบ คือ เมื่อผู้ใช้ศาสตราวุธ สามารถแสดงศาสตราวุธและหลอมเกราะอาวุธระดับแรกได้แล้ว ผู้ใช้จะถูกเรียกว่า นักรบ ส่วนระดับของนักรบจะถูกเรียกเป็น ขั้น แต่ละขั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนเกราะอาวุธที่มี โดยจะต้องเป็นเกราะอาวุธที่หลอมครบ 3 ระดับ เช่น

ขั้น เริ่มต้น เกราะอาวุธ 1 ส่วน (1-2 ระดับ)

ขั้น 1 เกราะอาวุธ 1 ส่วน (ครบ 3 ระดับ)

ขั้น 2 เกราะอาวุธ 2 ส่วน (ครบ 3 ระดับ ทั้งคู่)

ขั้น 3 เกราะอาวุธ 3 ส่วน (ครบ 3 ระดับ ทุกชิ้น)

ขั้น 4 เกราะอาวุธ 4 ส่วน (ครบ 3 ระดับ ทุกชิ้น)

ขั้น 5 เกราะอาวุธ 5 ส่วน (ครบ 3 ระดับ ทุกชิ้น)

ขั้น 6 เกราะอาวุธ 6 ส่วน (ครบ 3 ระดับ ทุกส่วนของร่างกาย)

นักรบและตำแหน่งในการจัดทัพ

1. นักรบผู้เปิดศึก เป็น ศาสตราวุธประเภทที่มีการป้องกันสูง สามารถรับการโจมตีได้มาก เป็นแนวหน้าของทัพ ใช้ความแข็งแกร่งในการบุกเบิกแนวศัตรู เปิดทางให้ทัพเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ตำแหน่งยืน ด้านหน้า

2. นักรบผู้ปะทะ เป็น ศาสตราวุธประเภทที่มีการโจมตีได้รุนแรงมาก ซึ่งสามารถในการต่อสู้ที่ดี จะโจมตีได้ทั้งระยะใกล้และระยะกลางเป็นหลัก ในการสนับสนุนนักรบแนวหน้า จะบุกเข้าโจมตีด้วยพลังโจมตีที่รุนแรง สามารถทำลายแนวป้องกันของศัตรูได้ ตำแหน่งยืน รองด้านหน้า

3. นักรบเวทศาสตรา เป็น ศาสตราวุธธประเภทโจมตีได้ในนะยะไกลถึงไกลมาก ด้วยแนวปั่นป่วนหรือควบคุมศัตรูเพื่อทำให้ทัพของศัตรูเสียสมดุล นักรบตำแหน่งนี้ส่วนมากจะโจมตีได้ในระยะไกลถึงไกลมาก ตำแหน่งยืน กลางทัพ

4. นักรบผู้จู่โจม เป็น ศาสตราวุธประเภทโจมตีด้วยความเร็วและแม่ยำ ส่วนมามักโจมตีได้ในระนะใกล้ แต่จะมีความคล่องตัที่วสูงเอามากๆ ไว้สำหรับหลบการโจมตีต่างๆได้ แต่จะรับการโจมตีได้ค่อนข้างน้อย ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่จะคอยหาจังหวะที่จะไปโจมตีศัตรูที่ยืนด้านหลัง ตำแหน่งยืน ด้านข้าง ได้ทั้งซ้ายและขวา

5. นักรบแพทย์สนาม เป็น ศาสตราวุธประเภทรักษา ซึ่งเป็นคนที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บต่างให้กับนักรบคนอื่นได้และยังสามารถเพิ่มอัดตราการฟื้นฟูตนเองให้กับนักรบคนนั้นๆได้ รวมไปถึงการล้างสถานะผิดปกติต่างๆได้อีกด้วย แต่ตำแหน่งนี้ก็มีโอกาศเป็นจุดอ่อนของทับได้เช่นกัน เพราะความสามารถของนักรบที่ยืนตำแหน่งนี้มักเป็นการรักษานักรบคนอื่นๆ มมากกว่าป้องกันให้ตัวเอง ตำแหน่งยืน ด้านหลัง

6. นักรบกำลังเสริม เป็น ศาสตราวุธประเภทสนับสนุน ทำหน้าที่เพิ่มพลังให้ต่างๆเช่น เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่,ความรุนแรงในการโจมตี,ความแม่นยำในการโจมตีจุดอ่อนและอัดตราการฟื้นตัวของพลังเวทศาสตรา ให้กับตัวเองและนักรบคนอื่น อีกทั้งยังสามาระลบสถานะผิดปกติต่างๆได้เช่นกัน ซึ่งทำให้ทัพกลับาสมดุล แต่ควรยืนอยุ่ในจุดที่คิดว่าจะช่วยเสริมกำลังให้นักรบคนอื่นๆได้ทันการ ตำแหน่งยืน ตรงไหนก็ได้

ระยะการโจมตี

ระยะใกล้ คือ 1 ถึง 4 เมตร

ระยะกลาง คือ 5 ถึง 10 เมตร

ระยะไกล คือ 11 ถึง 20 เมตร

ระยะไกลมาก คือ 20 ถึง 40 เมตร

ระยะไม่จำกัด คือ โจมตีได้ในระยะที่สายตาเห็น ไม่ว่าจะเป็นโจมตีในระยะประชิดตัว ไปจนถึงสุดระยะสายตา โดยประมาณ 4-5 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับสายตาของนักรบคนนั้นๆว่าจะมองเห็นได้ไกลแค่ไหน

ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น

ณ ดินแดนแห่งนี้ ที่มีสงครามอย่างไม่ลดละ สงครามทำให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของนักรบมากมาย เหล่านักรบจึงได้หล่อหลอมจิตวิญญาณให้แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟที่เป็นพลังที่เป็นเหมือนอาวุธในการต่อสู้ ซึ่งเรียกว่า ศาสตราวุธ

แต่ศาสตราวุธของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับตัวของนักรบผู้ใช้และอาจจะมีความคล้ายคลึงกับพ่อหรือแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แค่คล้ายคลึงกันเท่านั้น หรือบางคนอาจจะไม่มีก็เป็นได้ ศาสตราวุธไม่ได้เป็นเพียงอาวุธที่ใช้ในการสู้รบอย่างเดียว แต่อาจจะเป็น คน สัตว์ หรือแม้แต่สิ่งของต่างๆ ก็ได้เช่นกัน เสมือนกับว่าเป็นอาวุธคู่กายที่มีความเหมาะสมและคู่ควรกับนักรบผู้ใช้โดยเที่ยงแท้

ในส่วนของความสามารถของศาสตราวุธนั้น ไม่ได้ใช้เพียงต่อสู้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้พรางตัวหรือใช้ควบคุมคู่ต่อสู้ได้ บางศาสตราวุธยังสามารถให้รักษาบาดแผลได้หรือแม้แต่ป้องกันการโจมตีของศัตรู ขึ้นอยู่กับศาสตราวุธของแต่ละคน ที่จะมีความสามารถหลากหลายและแตกต่างกันออกไป

ความสามารถของศาสตราวุธนั้น จะแฝงอยู่ในสิ่งสิ่งหนึ่ง ที่เรียกว่า เกราะอาวุธ โดยเกราะอาวุธเกิดจากการที่ศาสตราวุธ เเปรผันเป็นชุดเกราะให้กับนักรบผู้ใช้ โดยรูปร่างอาวุธของแต่ล่ะคน จะแตกต่างกันออกไป แต่ที่เหมือนกันทุกคน คือ จะมีเกราะติดอยู่ 6 ส่วน ของร่างกาย ได้แก่

เกราะส่วนหัว

เกราะส่วนตัว

เกราะส่วนแขนขวา

เกราะส่วนแขนซ้าย

เกราะส่วนขาขวา

เกราะส่วนขาซ้าย

โดยเกราะ 1 ส่วนจะมี 3 ระดับ แต่ละระดับจะมี 1 ความสามารถ ที่แตกต่างกันออกไปและเกราะอาวุธระดับสุดท้ายของระดับจะมีความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุด

.......

.......

.......

...ณ เมืองแห่งหนึ่ง ที่กำลังมีศึกสงคราม...

.......

.......

.......

เสียงปะทะกันของดาบดังกึ่งก้องไปทั่วเมือง เปลวไฟลุกโชนขึ้นตามบ้านเรือนนั้นมาพร้อมเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวของผู้คนที่วิ่งหนีตาย สงครามนั้นทำให้ผู้คนในเมืองล้มตาย บ้านเรือนเสียหายจากการถูกไฟไหม้ เหลือให้เห็นแต่เพียงซากประหลักหักพัง

หลังจากนั้นเมืองทั้งเมือง ก็กลายเป็นเมืองร้างในช่วงข้ามคืน ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ภายใต้แสงจันทรที่สาดส่อง เผยให้เห็นเรือลำเล็กๆ ลอยออกมาจากแม่น้ำภายในเมืองยามค่ำคืน เรือนั้นค่อยๆ ลอยไปตามทางน้ำออกห่างจากเมือง

.......

.......

.......

...เช้าวันต่อมา...

.......

.......

.......

เสมือนได้พรจากฟากฟ้า ส่งให้เรือลำนั้นลอยไปตามแม่น้ำที่มีชาวบ้านกำลังหาปลาอยู่เเถวๆ นั้นพอดี ชาวบ้านที่หาปลาอยู่ได้เห็นเรือลำนั้นและเมื่อมองเข้าไป พบว่ามีเด็กน้อยที่ยังมีชีวิตนอนอยู่ในเรือ พวกเขาจึงช่วยกันไปลากเรือที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำมาเทียบท่า แล้วรีบเข้าอุ้มเด็กน้อยออกมาจากเรือทันที ดูเพียงภายนอกแล้ว เด็กคนนี้มีหน้าตาที่น่ารักน่าชัง เนื้อตัวอวบอิ่มและแก้มสีชมพูอ่อนๆ ราวกับว่าถูกดูแลเป็นอย่างดี ทั้งผ้าอ้อมที่ใช้ห่อตัวเด็กน้อยนั้น เป็นผ้าฝ้ายสีขาวงามดูสะอาดตา มีลวดลายสีทองประดับอย่างประณีต และมีสร้อยคอที่มีจี้สร้อยเป็นรูปงาช้างสีขาว อยู่ในมือของเด็ก

จากนั้นพวกเขาก็ได้หารือกันว่าจะทำอย่างไรกับเด็ก ทั้งสามจึงได้ตกลงกันว่าต้องให้ใครคนหนึ่งในนั้นเป็นคนเลี้ยงเด็ก หากไม่มีก็คงจะต้องปล่อยเด็กลงเรือให้ลอยต่อไปตามเวรตามกรรม เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว กันต์ หนึ่งในคนที่มาหาปลาด้วย ได้ตอบตกลงที่จะรับเลี้ยงเด็กไว้ด้วยความสงสาร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ แล้วเขาก็อุ้มเด็กน้อยกลับบ้านไป

พอกลับถึงบ้าน เขาได้นำตัวเด็กน้ยไปให้ภรรยาของเขา นามว่า ไพรวัลย์ พอนางรู้เรื่องเข้ากันก็ถูกภรรยาตนเองต่อว่ายกใหญ่ แต่เพียงที่กันต์อุ้มเด็กคนนั้นมาให้นางดูใกล้ๆ นางก็เงียบไป นางจ้องมองเด็กน้อยคนนั้นอย่างไม่ละสายตา ดูแก้มอวบอ้วนขอเด็กน้อย ผิวนุ่มและบอบบาง จมูกและปากเล็ก และแขนขาที่ขดอยู่ในผ้าอ้อม ดูอ่อนแอแต่ก็น่าทะนุถนอม เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วนางก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก นางค่อยๆ เอื้อมมือไปอุ้มเด็กน้อยคนนี้ออกจากอกของสามีตนเองอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยคนนี้หน้าตาน่ารักน่าชังมาก จนทำให้ภรรยาของตนตกลงที่จะเลี้ยงเด็กน้อยคนนี้ไว้เป็นลูกของตนเอง

ทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดประตูดังมาจากทางด้านหลังของพวกเขา เมื่อทั้งสองคนหันไปมองก็ปรากฎว่าเป็น กล้า ลูกชายวัย 2 ขวบของพวกเขา ที่เปิดประตูและเดินตรงมาแล้วหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเขา ใบหน้าของกล้าเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา

กล้า : ท่านพ่อ ท่านแม่ มีเรื่องอะไรหรอครับ…

กันต์และไพรวัลย์หันไปมองลูกชายตัวน้อยก่อนจะเรียกเขาเข้ามาใกล้ๆ พวกเขาอุ้มเด็กน้อยในอ้อมแขนให้กล้าดูชัดๆ เด็กชายหยุดยืนอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย

กล้า : เด็กคนนั้นเป็นใครหรอครับ แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้

กันต์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่การพบเด็กน้อยในเรือที่ลอยน้ำ ไปจนถึงการตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กคนนี้

กันต์ : กล้า..ต่อไปนี้ ให้เจ้าเลี้ยงเด็กคนนี้เป็นน้องชายของเจ้านะ ดูแลน้องด้วยล่ะ ดูแลเขาให้เหมือนกับน้องชายแท้ของเจ้า ถึงแม้จะไม่ใช่ก็ตาม

เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว กล้าตกใจเล็กน้อยแต่ก็เต็มใจรับ ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวตอบ

กล้า : ครับ...

หลังจากนั้นไพรวัลย์ก็ได้ให้ กันต์ผู้เป็นพ่อไปบอกคนที่ไปหาปลาด้วยกันในวันนั้น ว่าอย่าให้คนในหมู่บ้านรู้เรื่องเด็กน้อยที่อยู่ในเรือเป็นอันขาด แต่ถ้ามีคนอยากรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นใคร ก็ให้บอกไปเพียงว่าเป็นลูกชายคนเขาเท่านั้น กันต์พยักหน้าแล้วรีบเดินออกไปทันที

กล้าหันหน้าไปหาเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ มองดูนิ้วมือน้อยที่กุมทั้งสองข้างไว้อยู่ระหว่างอก ใบหน้ากลมๆ มีแก้มทำให้กล้าหลงไหลในความน่ารักของเด็กน้อยผู้นั้นไปในตัว ก่อนกล้าจะค่อยๆ ใช้มือเอื้อมเข้าไปไปอุ้มเอาเด็กน้อยที่อยู่ในมือผู้เป็นแม่ เอามาไว้ในอ้อมแขนของตนพร้อมยิ้มให้เด็กน้อยด้วยความเอ็นดู

ไพรรวัลย์เห็นเช่นนั้น ก็พอจะรู้แล้วว่ากล้าลูกชายของนางจะเลี้ยงเด็กน้อยคนนี้ไว้เป็นน้องชายได้ และสามารถเป็นพี่น้องกันได้ก็โล่งใจ ก่อนนางลูบหัวลูกชายของตนเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น

ไพรวัลย์ : ต่อจากนี้ เขาเป็นน้องชายของเจ้าแล้วนะ ดูแลน้องให้ดีล่ะ เข้าใจไหม

กล้า : ครับ...

เมื่อกล่าวจบ กล้าหันไปมองเด็กน้อยในอ้อมแขนอีกครั้ง เขาจ้องมองใบหน้ากลมๆ นั้นอยู่สักพัก ก่อนจะตั้งชื่อให้เด็กชายน้อยว่า ทิว ไพรวัลย์ที่เห็นแบบนั้นแล้ว นางลูบหัวลูกชายอีกครั้งก่อนจะพากล้าเดินเข้าไปในบ้านและใช้ชีวิตตามปกติ

ทิวโตมาโดยการเลี้ยดูจากครอบครัวของกล้ามาโดยตลอดและกล้าก็ยังคงดูแลเขาไม่เสมือนว่าทิวเป็นน้อยชายแท้ของเขา

.......

.......

.......

...8 ปีต่อมา...

.......

.......

.......

ทั้งสองคนได้เติมโตขึ้น กล้าได้เรียนการต่อสู้ นั่นคือ มวยไทย ซึ่งเขาก็ชื่นชอบในการชกมวยมากและมีเป้าหมายว่าจะต้องเป็นนักมวยที่เก่งกาจให้ได้ หลังการแข่งขันการขึ้นชกมวยในวันหนึ่งของกล้า ทิวที่เห็นพี่ของตัวเองบาดเจ็บจากการขึ้นชกมวย ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาปีนี้ ทิวจะรู้ว่าพี่ชายของตนทุ่มเทให้กับการชกมวยเป็นอย่างมาก แต่การที่เขาขึ้นชกแล้วแพ้ยับๆ แบบนี้ทั้งยังทำให้พี่กล้านั้นบาตเจ็บแถมยังถูกคนเยอะเย้ยอีก ด้วยอายุเพียงสิบขวบจะไปสู้ใครได้ แต่ถึงทิวจะพูดยังไงกับพี่ชายของเขา กล้าก็ยังไม่ฟังเขาอยู่ดีแถมยังบอกพูดตลอด

กล้า : เหตุผลเดียวของความสำเร็จ คือการไม่ล้มเลิกเป้าหมาย

ทิวที่ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็กลุ้มใจแทนพี่ชายของเขาตลอด แถมกล้ายังย้ำทิวตลอดอีกว่า ห้ามทิวขึ้นชกมวยเป็นอันขาดเพราะมันอาจจะทำให้เจ็บตัวได้ แล้วเขาเดินกลับบ้านในสภาพนั้น

.......

.......

.......

...เมื่อกลับจาก ลานมวย...

.......

.......

.......

พอกลับถึงบ้าน แม่ก็บ่นให้กล้าอย่างหนักเรื่องการชกมวยของเขาและบาดเเผลที่อยู่บนหน้า แต่เหมือนว่ากล้าจะไม่ฟังสิ่งที่แม่บ่น เขารีบเดินออกไปข้างนอกก่อนจะนั่งลงที่ใต้ตนไม้นอกบ้าน ทิวที่เห็นแบบนั้น เขาก็เดินตามหลังออกมาอย่างเงียบๆ แล้วมานั่งลงข้างๆ พี่ชาย สายลมเย็นสบายที่พัดใบไม้ให้ปลิวไปตามสายลมนั้นใต้ต้นไม้ตาของพี่จับจ้องไปที่ดวงดาวที่แวววาวอยู่บนฟากฟ้า ในตาของกล้านั้นมีความรู้สึกกังวลเล็กน้อยและทิวก็รู้สึกถึงความกังวนนี้ขณะที่เขามองดูพี่ชายของเขา ทั้งสองนั่งเงียบๆ อยู่ด้วยกันซักพักแล้วทิวจึงกล่าวขึ้น

ทิว : พี่กล้า....

กล้า : ฮืม...อะไร

ทิว : พี่เคยคิดบางไหม ว่าพี่ขึ้นชกซักครั้งหนึ่งแล้วชนะโดยไม่มีแผลตามตัวแบบนี้...

กล้า : คิดสิ

ทิว : หืม...จริงหรอครับ!

กล้า : พี่คิดแต่ว่าจะทำเต็มที่ในทุกครั้งที่ขึ้นชก แต่พี่ไม่ได้คิดว่าจะชนะหรือแพ้หรือว่าจะเป็นอะไร

กล้า : พี่รู้นะ ว่าแม่น่ะไม่เคยอย่าจะให้พี่เป็นแบบนี้เลย เพราะไม่ได้อะไรเลยแถมยังเจ็บตัว เอ็งก็เหมือนกันนะไอ้ทิว

ทิว : ทำไมล่ะครับ

กล้า : เพราะมันเจ็บตัวไง พี่ไม่อยากให้เองต้องเจ็บตัวเหมือนพี่นะ

เมื่อเขาพูดจบก็หันมายิ้มให้ทิว พร้อมเอามือไปลูบหัวด้วยความเป็นห่วง เสมือนกับว่าเขานั้นเตือนน้องชายของตนด้วยความรัก ทิวที่ได้ยินพี่ชายของเขาพูดแบบนั้นแล้ว เขาได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ หลังจากนั้นสองพี่น้องก็พากันเดินเข้าไปกินข้าวแล้วเข้านอน...

.......

.......

.......

...เช้าวันต่อมา...

.......

.......

.......

กล้าตื่นมาหุงข้าว เตรียมอาหารเช้าไว้ให้พ่อกับแม่และทิวตั้งแต่เช้า พอกินเข้าเสร็จ พวกเขาทั้งสองก็เดินทางไปโรงเรียนกัน เมื่อถึงโรงเรียนสองพี่น้องก็ต้องแยกย้ายไปเรียนตามปกติ แล้วค่อยเจอกันอีกทีตอนหลังเลิกเรียน

.......

.......

.......

...หลังเลิกเรียน...

.......

.......

.......

สองพี่น้องก็ได้มาเจอกันอีกครั้ง จากนั้นกล้าและทิวก็ว่าจะเดินกลับบ้านตามปกติ แต่ก็มีครูฝึกสอนชายนามว่า ครรชิต ได้ตรงมาที่กล้า แล้วบอกว่าให้ไปรวมกันที่ หอฝึกศาสตราวุธเริ่มต้น ซึ่งกล้าเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าโรงเรียนของเขามีอะไรแบบนั้นด้วย ครูฝึกสอนคนนั้นจึงพาพวกเขาไป ในระหว่างทางกล้าเห็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา ถูกครูคนอื่นๆ พามาที่นี่ด้วยเช่นกัน

ทิว : พี่กล้า พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ข้าอยากกลับบ้าน…

ทิวเริ่มรู้สึกไม่ดี เขากอดแขนพี่ชายไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนั้น กล้าที่รู้ว่าน้องชายของเขารู้สึกไม่ดีจึงกล่าวขึ้นเพื่อปลอบใจ

กล้า : ไม่เป็นไรหรอกนะไอ้ทิว อีกหน่อยพี่ก็จะพากลับนะ

เมื่อพวกเขามาถึง กล้าและทิวมองเห็นสถานที่ที่ต่างจากที่เคยพบเจอ มันเป็นลานกว้างใหญ่กลางแจ้ง รอบลานมีอาคารไม้เก่าๆ หลายหลังตั้งอยู่ ดูเก่าแก่และทรุดโทรมอย่างมาก ตัวอาคารบางส่วนเต็มไปด้วยรอยแตกหักและเผาไหม้ เหมือนกับเคยถูกโจมตีอย่างหนักในอดีต พื้นดินรอบๆ เป็นทางขรุขระเหมือนมีร่องรอยการระเบิดของบางอย่างและบรรยากาศรอบๆ ก็ให้ความรู้สึกกดดันราวกับว่าความทรงจำจากสงครามครั้งใหญ่ยังคงหลงเหลืออยู่

กล้ามองไปยังครูหลายคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น บางคนเป็นครูที่เขาคุ้นเคย แต่บางคนดูเป็นใบหน้าที่ไม่เคยพบมาก่อน สีหน้าของพวกครูเหล่านั้นจริงจังจนทำให้เด็กทุกคนในที่นั้นรู้สึกอึดอัด ทิวยังคงกอดแขนพี่ของเขาไว้แน่น ทันใดนั้นครูฝึกสอนคนหนึ่งก็เดินตรงมาแล้วกล่าวขึ้น

ครูฝึกสอนคนหนึ่ง : สถานที่แห่งนี้คือสถาที่ใช้ฝึกศาสตราวุธ ถึงมันจะดูทรุดโทรมมากก็เถอะ แต่จริงๆ แล้วมันเกิดจากการใช้ศาตราวุดต่อสู้กันเพื่อฝึกฝนอยู่ในที่แห่งนี้ พลังศาสตราวุธที่กระจายออกมาจึงสร้างความเสียหายให้กับที่นี่น่ะ

ครูฝึกสอนคนอีกคน : แต่ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ครูทุกคนกำลังช่วยกันซ่อมแซมมันอยู่ เพราะงั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีหลังคาตกลงมาหักทับหัวใครทั้งนั้นแหละ

พอพูดจบ ก็มีเสียงคุยกันซุบซิบเริ่มดังขึ้น ทันใดนั้นนักเรียนคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย ทำให้เสียงคุยกันจากโดยรบเงียบลง

นักเรียนหญิงคนหนึ่ง : ครูค่ะ แล้วพาพวกเรามาที่นี่ทำไมหรอค่ะ

นักเรียนชายคนหนึ่ง : จริงด้วย พาเรามาที่นี่ทำไมหรอครับ ผมอยากกลับบ้านแล้ว

ครูฝึกสอนคนหนึ่ง : ที่เราพาพวกเจ้าทุกคนมาที่นี่ เพื่อให้พวกเจ้ารู้ว่าศาสตราวุธของพวกเจ้านั้นคืออะไร ส่วนมากศาสตราวุธมักจะแสดงพลังขั้นเริ่มต้นของมัน ออกมาในช่วงที่ผู้ใช้ อายุ 10-16 ปี ไม่เกินนี้

สิ้นสุดเสียงของครูฝึกสอน เสียงเด็กทุกริ่มกระซิบกระซาบอีกครั้ง บางคนแสดงความตื่นเต้น บางคนกลับมีสีหน้ากังวล

นักเรียนชายคนหนึ่ง : เราต้องทำยังไงหรอครับ ถึงจะรู้ว่าศาตราวุธของเราคืออะไร…

นักเรียนหญิงคนหนึ่ง : ครูค่ะ รีบๆ บอกมาเลยค่ะ!

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นเมื่อครูใหญ่นามว่า รงค์ ก้าวออกมาจากเงาของอาคาร เสียงนั้นทำให้เด็กทุกคนหันไปมองพร้อมกัน เขากวาดสายตาไปมองเด็กๆ ที่ยืนอยู่ในสถานที่แห่ง แววตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ก่อนกล่าวขึ้นเสียงต่ำ

รงค์ : พวกเจ้ามิอาจรู้ได้ว่าศาสตราวุธของพวกเจ้าคืออะไร เพราะพลังในตัวของพวกเจ้าในตอนนี้ยังมีไม่พอที่จะแสดงศาตราวุธออกมา เพราะงันครูมากมายหลายคนจึงมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเจ้ายังไงล่ะ

คำพูดนั้นทำให้เด็กหลายคนหันมามองกันอย่างกังวล หลักจากนั้นไม่นานเขาก็หลันหังและเดินพานักเรียนทุกคนเข้าไปในตัวอาคารไม้ แต่ในนั้นเหมือนจะไม่ได้มีสภาพที่เสียหายอะไรมากเหมือนข้างนอกเลย จะมีก็เพียงรูขนาดเล็กให้แสงส่องเข้ามาบ้าง

ด้านในห้องนั้น เหมือนนั้นจะเป็นห้องกว้างๆ ในห้องนั้นเป็นทางเดินยาวให้คนเดินเข้าไป ทุกคนได้ไปสะดุดตาเข้ากับศิลาอันใหญ่ที่ตั้งอยู่บนแท่นกลางห้องโถงขนาดใหญ่ พร้อมมีทางน้ำอยู่รอบๆ น้ำพวกนั้นเลืองแสงสองสว่างมากพอที่จะเห็นเพดานของห้อง

รงค์ : เอาล่ะ เรามาถึงแล้ว ใครจะเป็นคนแรกดี

เสียงเงียบงันครอบงำห้องโถง ไม่มีเด็กคนไหนกล้าขยับตัวจนกระทั่งครูฝึกสอนหญิงคนหนึ่งนามว่า ญาดา ก้าวออกมาแล้วกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

ญาดา : ไม่ต้องกลัวนะเด็กๆ มันไม่เป็นอันตรายหรอก

เมื่อกล่าวจบ ครูฝึกสอนหญิงคนนั้นก็ได้เดินจูงมือเด็กคนนึงมาและเธอก็ได้พาเด็กน้อยคนนั้นเดินตรงไปที่ศิลา เด็กคนนั้นก็ดูท่าจะกล้าๆ กลัวๆ อยู่ที่จะไป

ญาดา : ไม่ต้องกลัวอะไรนะ ครูอยู่ด้วยครูจะช่วยเจ้าเอง ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก

ในระหว่างที่พวกเขาเข้าใกล้แท่นศิลา ทางน้ำที่อยู่รอบยิ่งเปร่งแสงสว่างมากขึ้น พอไปถึงหน้าศิลา เธอนั้นได้ให้เด็กคนนั้น เอามือซ้ายไปแตะให้แนบกับศิลาก่อน แล้วตนเองจึงได้ใช้มือขวาประกบทับและใช้พลังของตนเองผสานพลังกับเด็กน้อยเปลี่ยนเป็นพลังของเขาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดให้มากขึ้น

ทันใดนั้นฝ่ามือของพวกเขาสองคนเริ่มเปร่งแสงออกมา ที่ศิลาเริ่มมีลอยอักขระบางอย่างออกจากตรงที่มือเด็ก คนนั้นจากพลังที่คุณครูผสานให้ หลังจากนั้นไม่นานน้ำก็ค่อยลอยขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับว่ามีคนไปยกมันขึ้น น้ำที่ลอยขึ้นนั้นก็ลอยไปรวมกันที่ข้างหลังของเด็กและพลังที่ปล่อยออกใส่ศิลา ก็ไหลออกมาเป็นสายแสงผสานกับน้ำที่อยู่ด้านหลัง

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ปากฎเป็นรูปร่างของศาสตราวุธ อยู่ไม่ห่างจากจุดที่สองคนยืนอยู่มาก ทำให้คนทั้งห้องที่ยืนอยู่ในห้องนั้นเห็นรูปร่างของศาสตราวุธของเด็กนั้นเรียนคนนั้น ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับนักรบที่ใช้ธนูไม้เป็นอาวุธ เด็กที่อยู่ในเวลานั้นต่างพากันอึ้งกับสิ่งที่เห็น

ญาดา : ธนูไม้เป็นอาวุธอย่างดีของนักรบ เป็นอาวุธที่โจมตีได้ในระยะไกล หากเจ้าขยันฝึกฝนตนเองให้ชำนาญมากขึ้น ข้าเชื่อว่าธนูไม้นี้แหละสามารถทำให้เจ้าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งได้เช่นกัน

หลังจากนั้นครูฝึกสอนหญิงก็ได้เอามือที่ประกบทับมือของเด็กคนนั้นออก ดันใดนั้นแสงที่สว่างนั้นก็ค่อยๆ ดับไป แล้วศาสตราวุธของเด็กน้อยคนนั้นก็จางหายไปเช่นกัน

นักเรียนหญิงคนหนึ่ง : ครูค่ะ ศาสตราวุธหายไปแล้ว!

รงค์ : มันก็หายไปอย่างนั้นแหละเป็นเรื่องปกติ

นักเรียนหญิงคนหนึ่ง : ทำไมถึงเป็นเรื่องปกติหรอคะ

รงค์ : เพราะเด็กคนนั้นมีพลังที่น้อยมาก แต่ครูฝึกสอนคนนั้นได้ผสานพลังของเขาให้ผ่านทางหน้ามือประกบหลังมือ ทำให้เด็กคนนั้นมีพลังมากพอที่จะสามารถแสดงศาสตราวุธออกมาเป็นรูปร่างได้ แต่....

รงค์ : ถ้าหากครูฝึกสอนคนนั้นเอามือที่ประกบกันออก ก็เหมือนการหยุดประสานพลังนั่นแหละ ทำให้ต่อมาเด็กคนนั้นก็มีพลังเท่าเดิม แต่ในการผสานพลังนั้น ทำให้ศาสตราวุธของเขาตื่นขึ้นแล้วในตัว นั้นคือปลุกพลังเพื่อแสดงศาสตราวุธออกมาได้แล้วนั่นเอง

นักเรียน (ทุกคน) : อ๋อ...อย่างนี้เอง

ญาดา : เอาล่ะคนต่อไปได้

หลังจากที่นักเรียนทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นแล้ว เหล่านักเรียก็ต่างพากันเดินไปหาครูคนที่คิดว่าจะสามารถช่วยตนเองแสดงศาตราวุธได้ แต่เด็กแต่ละคนนั้นแต่ต่างกันออกไป บางคนนั้นมีพลังมากพอที่จะแสดงศาตราวุธของตัวเองได้โดยไม่ต้องให้ใครช่วย แต่ในทางกลับกัน บางคนก็มีพลังน้อยเกินจนไม่สามารถจะแสดงศาสตราวุธก็ตัวเองได้ ถึงต้องให้ครูช่วย หรือบางคนก็โชคไม่ดี ทำให้เด็กคนนั้นไม่มีพลังเลยและครูที่จะช่วยก็ต้องใช้พลังมากขึ้นจากปกติ หรือบางคนศาสตราวุธยังไมปรากฎต้องรอปีหน้าให้ อายุเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี ก่อน เพื่อให้การเกิดสะสมพลังก่อน โดยศาสตราวุธจะสามารถแสดงออกมาได้ในช่วงอายุ 10-16 ปี แต่ถ้ามากกว่าช่วงวัยนี้อาจจะไม่มีศาสตราวุธเลยก็เป็นได้

เด็กหลายต่อหลายคน ได้รู้ว่าศาสตราวุธของตนคืออะไรในวันนั้น แต่ก็มีเด็กบางคนที่ต้องรอปีหน้าถึงจะมาได้อีก กล้าที่เห็นคนอื่นๆ อีกหลายคนมีศาสตราวุธแล้ว จึงอยากรู้บ้าง กล้าจูงมือทิวแล้ววิ่งไปหาครรชิตครูฝึกสอนคนที่พาพวกเขามาที่นี่ และเลือกให้ครรชิตเป็นคนช่วยผสายพลังให้เขา ในการผสานพลังเพื่อแสดงศาสตราวุธ

ครรชิตก็ตกลงที่จะช่วยเขาอย่างไม่ลังเล กล้าจึงบอกให้ทิวยืนรอก่อน เมื่อเขาปลุกพลังของศาสตราวุธได้แล้วเขาจึงจะกลับมา เมื่อกล่าวจบกล้าและครูฝึกสอนของเขาก็เดินไปที่ศิลาอย่างช้าๆ ในระหว่างทางเดิน กล้าที่กำลังเดินไปก็รู้สึกกลังวนเล็กน้อยว่าศาสตราวุธของตัวเองจะเป็นอะไร พอเดินไปถึงหน้าศิลา เขาถอนหายใจก่อนเพื่อให้ความกังนนั้นหายไป ก่อนหันไปสบตากันครรชิตแล้วทั้งสองก็เริ่มผสานพลังกันทันที น้ำที่อยู่รอบๆ เริ่มยกตัวขึ้นอีกครั้งด้วยพลังที่ครรชิตใช้ผสานผ่านทางมือได้แผ่ออกไปรวมกันกลับน้ำ ดันใดนั้นก็ปากฎศาสตราวุธของกล้า

และทิวที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เห็นเช่นกัน ศาสตราวุธของกล้านั้น มีรูปร่างลักษณะเป็นตัวของเขาเอง เหมือนกับว่าเป็น ตัวเขาเองแต่อยู่รูปร่างของนักมวย กล้าในตอนนั้นที่รู้ว่าศาสตราวุธของตัวเองนั้น คือ มวยไทย กล้าดีใจจนแทบพูดไม่ออก แล้วก็เดินไปหาทิวพร้อมอมยิ้มเล็กๆ ไว้

ทิว : พี่กล้า ศาสตราวุธของพี่คือ...

ครรชิต : มวยไทย

ทิว : มันคือสิ่งที่พี่ข้า เป็นมาโดยตลอด

ครรชิต : ฮืม...หมายความว่าพี่ชายของเจ้านะชอบชกมวยสินะ

กล้าไม่ได้ตอบคำถามของทิวในทันที เขาแค่ยิ้มเล็กๆ แล้วก้มหน้าลง ปล่อยให้ความรู้สึกของความภูมิใจทะลักออกมาในใจ แม้จะไม่มีคำพูดใดๆ

ทิว : พี่กล้า พี่กล้า ข้าก็อยากรู้บ้างจังว่าศาสตราวุธของข้าคืออะไร

ครรชิต : ยังไม่ได้!

คำตอบของครูฝึกสอนทำให้ทิวเงียบไปในทันที ทำให้ทิวที่เได้ยินแบบนั้นแล้ว เขากำมือไว้แน่นพยามเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ แล้วค่อยๆ กล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง

ทิว : ท..ทำไมล่ะครับ…

ครรชิต : อายุของเจ้ายังไม่ถึงตามที่กำหนดเจ้าเด็กน้อย ดังนั้นศาสตราวุธยังอาจจะยังไม่ปรากฎ

กล้า : ครูครับ ลองดูหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ…

ครรชิต : เรื่องนั้นก็..แล้วแต่พวกเจ้า แต่รอให้คนแสดงศาสตราวุธได้กันหมดทุกคนก่อนนะ เดี๋ยวถ้าจะไปตอนนี้แล้วไม่ได้อะไรมามันจะเสียเวลาคนต่อไปที่รอ

หลังจากนั้นทั้งสามคน ยืนรอให้คนออกจนหมด เหลือคนที่อยู่ในนั้นเพียงเล็กน้อยกับครูอีกไม่กี่คน ก่อนที่ครรชิตจะพาทิวเดินตรงไปที่หน้าศิลาแล้วเริ่มปลุกพลังทันที ครรชิตเริ่มผสานพลังผ่านไปที่มือของเขา แต่ถ้าว่า การผสานพลังให้ก็ไม่เกิดผลอะไร ปกติแล้วใช้พลังเพียงนิดเดียวผสานให้ ศาสตราวุธก็ปรากฎ จนครรชิตนั้นเสียพลังไปมาก เขาเริ่มจะหมดแรงจนทรุดตัวไปที่พื้น

ครรชิต : ไม่ได้เลย...ต่อให้ข้าใช้พลังผสานให้เจ้ามากแค่ไหน ศาสตราวุธของเจ้าก็ยังไม่ปรากฎเลย

กล้า : คงเป็นเพราะว่าทิวอายุยังไม่ถึงจริงๆ เพราะงั้นศาสตราวุธของทิวถึงยังไม่ปรากฎใช่ไหมครับ

ครรชิต : นั่นก็น่าจะมีส่วน…

ทิว : ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวรอปีหน้าก็ได้ครับ ขอบคุณที่ช่วยครับ

กล้า : ต้องขอบคุณคุณ ท่านคุณครูฝึกสอนด้วยจริงๆ นะคับ ที่อุส่าเสียวเวลาช่วยไอ้ทิว

ครรชิต : อึม...ไม่เป็นไร ข้ายินดีช่วยพวกเจ้า

หลังจากกล่าวขอบคุณเสร็จแล้ว กล้าและทิวก็พากันเดินกลับบ้านตามปกติ แต่ในระหว่างทาง พวกเขาเดินไปตามทางจนผ่านมาถึงค่ายมวยที่กล้าเคยขึ้นชกอยู่บ่อยๆ กล้าได้ยินเหมือนมีก็มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดเยาะเย้ยเขาเรื่องทีเขาชกมวยแพ้ สายตาที่ดูหมิ่น สายตาที่คอยเหยียดหยามกล้ามาโดยตลอด

จู่ๆ คนคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเดินมาหากล้าและท้าเขาขึ้นชกมวย กล้าที่อายุสิบขวบ จะต้องขึ้นชกกับคนอายุประมานสิบสามปี ถึงแม้กล้าจะรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบเรื่องอายุ แต่กล้าเอง ก็มีประสบการไม่น้อยเลย แต่ถึงแม้ว่ากล้าจะชกมวยไม่เคยชนะเลยที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกตัวเองแบบนี้ เขาจึงรับคำท้าโดยไม่ลังเล ทิวที่กลัวว่าพี่จะมีเรื่อง ก็ได้แต่ดึงแขนพี่ไว้และบอกให้พี่กลับบ้าน

กล้า : ไอ้ทิว..เอ็งไม่ต้องกลัวนะพี่จะไม่ยอมให้คนที่พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนมาดูถูกพวกเราแบบนี้แน่

ทิว : พี่กล้า...

กล้า : เอ็งไม่ต้องกังวนหรอกนะว่าพี่จะเป็นอะไร เพราะในวันนี้พี่ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว พี่ก็อยากรู้เหมือนกันนะว่า ไอ้ศาสตราวุธที่พี่ได้มาวันนี้ มันทำอะไรได้บ้าง

หลังจากที่พูดจบ กล้าก็เดินขึ้นไปบนสังเวียนอย่างมั่นใจ ส่วนทิวที่อยู่ด้านล่างสังเวียนรู้สึกกังวนและเป็นห่วงพี่ชายของตนเป็นอย่างมาก เขาได้แต่คิดในใจว่าอย่าให้พี่บาตเจ็บเลย

ทันใดนั้น เสียงระฆังดังขึ้นเ เริ่มชกยกแรกทั้งสอนคนได้มายืนประชันหน้ากัน ในสังเวียนที่มีแสงสลัว ความตึงเครียดปรากฏชัดเจนเมื่อนักมวยทั้งสองคนมายืนต่อหน้ากัน ฝูงชนส่งเสียงเชียร์ ความตื่นเต้นก็ดังไปทั่วสถานที่แห่งนั้น

กล้าได้แสดงศาสตราวุธของตัวเองออกมาทำให้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีต้องอึ้งกันไป ทันใดนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา ศาสตราวุธก็กายเป็นเกราะอาวุธ แต่เกราะอาวุธที่ไม่มีความสามารถเพราะกล้ายังไม่ได้ขึ้นขั้นแรก จึงทำให้เกราะอาวุธเป็นแสงสีทองรางๆ ทั่วตัวของเขาแทน แต่ว่ามันทำให้กล้านั้นแข็งแกร่งขึ้น ถึงแม้ว่ากล้านั้นจะโดนหมัดของคู่ต่อสู้กี่หมัด เขาก็ไม่มีอาการว่าจะเจ็บแต่อย่างใด แถมยังตอบโดนคืนได้อีก

เมื่อถึงทีกล้าที่จะตอบโต้คืน กล้าชกไปที่ลำตัวของคู่ต่อสู้ด้วยแรงตามปกติ แต่ในตอนนั้นก็ได้เสริมพลังของศาสตราวุธเข้าไปอย่าไม่รู้ตัว ทำให้การโจมตีด้วยหมัดของเขาเเรงกว่าปกติ จำทำให้คู่ต่อสู้ของเขาลงไปนอนกองกับพื้นได้ เพียงแค่หมัดเดียว ทุกคนที่อยู่ด้านล่างสังเวียนรวนทั้งทิว ก็ไม่อาจจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น ในที่สุดกล้าชกมวยชนะครั้งแรกในรอบ 8 ปี ทุกคนต่างปรบมือให้กล้า ทั้งเสียงโฮ่ร้องให้ด้วยความชื่นชมก็ดังกระหึ่มขึ้น กล้าดีใจมากจนแทบไม่เชื่อกับสายตาตัวเอง ก่อนที่เขาจะดึงสะติตัวเองกลับมา แล้วก็เดินลงจากสังเวียนไปหาทิวที่อยู่ด้านล่าง หลังจากนั้นเขากับน้องชายก็ได้เดินกลับบ้าน

ในระหว่างทางกล้าเห็นถึงสายตาของคนที่เหยียดหยามมองมาที่เขาอย่างคุ้นเคย แต่ครั้งนี่คงผิดคาดที่พวกเขาคิดเอาไว้ แต่กล้าก็ไม่ได้สนใจอะไร แค่เชิดหน้าใส่และจูงมือทิวเดินกลับบ้านต่อ

 

ตอนที่ 2 การพบเจอ (1/2)

เช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆเล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างเรื่อนไม้ กล้าตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงไก่ขันที่ดังเรียกให้ลุกจากที่นอน เขายืนเหยียดกายไล่ความง่วงซึม ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วไปจัดการเตรียมข้าวเช้าในครัวอย่างคล่องแคล่ว เขาหุงข้าวและเตรียมอาหารเช้าในครัวเหมือนที่ทำทุกๆวัน เตาฟืนส่งกลิ่นหอมของข้าวสวยที่กำลังหุงอยู่ แล้วพอทำเสร็จก็พากันกินข้าวและพาไปโรงเรียน

.......

.......

.......

...ในระหว่างทางทาง ไปโรงเรียน...

.......

.......

.......

กล้าเดินไปโรงเรียนกับทิวเหมือนในทุกๆวัน แต่ในระหว่างทางเขายังคงอดคิดไม่ได้เรื่องเมื่อวานที่เขาได้ใช้ศาสตราวุธเอาชนะคู่ต่อสู้ในการชกมวยเมื่อวานนี้

กล้า : (คิดในใจ) ศาสตราวุธมันคืออะไรกันน่ะ มันถึงทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นได้....มันยังไงกันแน่ ในตอนที่ใชศาสตราวุธ แล้วศาสตราวุธกลายเป็นแสงสีทองๆทั่วตัวข้า แต่กลับไม่ได้รู้สึกร้อนหรือเย็นอะไรเลย ก็ความรู้สึกปกติ แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยซักนิด เวลาโดนหมัดของคู่ต่อสู้ล่ะ ทั้งๆที่มันควรจะเป็นอย่างนั้น

ทิว : พี่กล้า…

เสียงของทิวทำให้กล้าสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะได้สติกลับคืนมาแล้วเขาหันไปมองน้องชายที่เดินอยู่ข้างๆ

กล้า : อะ...อะไรหรอทิว

ทิว : พี่เป็นไรรึเปล่า เห็นเงียบๆ

กล้า : ไม่...พี่ไม่เป็นไรหรอ รีบเดินเถอะ

ทิวมองพี่ชายของด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่กล้าไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยและก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนความกังวนนั้นแล้วเดินต่อไป

ในระหว่างการเดินทาง กล้าและทิวได้เจอกับชายคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้าพวกเขา ชายคนนั้นสวมเสื้อสีดำแขนสั้น นุ้งโจงกระแขนสีน้ำตาลแก่และสะพายถุงผ้าสีขาว ผมสีน้ำดำเข้มปัดไปข้างหนึ่งเห็นหน้าผากบ้างเล็กน้อยพร้อมกับมีดวงตาสีน้ำตาล เขาหยุดเดินไปชั่วครู่ก่อนหันไปมองที่กล้ากับทิวที่เดินตามมา ปรากฎว่านั่นคือ ทร ป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของกล้า ที่กำลังเดินทางไปโรงเรียนเหมือนกัน

ดูจากภายนอก ทรดูเป็นคนเงียบไม่ค่อยพูดจากับใคร แต่ลึกแล้วเขาเป็นคนที่ค่อนข้างร่าเริงโดยเฉพาะตอนที่ได้อยู่กับเพื่่อนที่เขารู้จัก โดยเมื่อวานได้ถูกเรียกตัวมาแสดงศาสตราวุธ ในสถานที่เดียวกัน ศาสตราวุธของเขาก็ คือ ศาลพระภูมิตายาย ทรที่หันมาเห็นกล้าจึงตะโกนเรียก

ทร : กล้า...ไอ้กล้า! เฮ้ย!!

เสียงเรียกของทรดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของเช้าวันใหม่ กล้าที่กำลังเดินอย่างใจลอยสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปมองตามเสียงนั้น

กล้า : อ้าว..ไอ้ทรนี่เอง มีอะไรหรอเรียกเอาซะข้าตกใจหมดเลย

ทร : พวกเอ็งจะไปไหนหรอ

กล้า : ข้าจะไปโรงเรียนน่ะสิ เอ็งเห็นข้าจะพาควายไปกินหญ้ารึไง…

ทร : แฮ่ๆ...ข้าแค่ถามเฉย จริงๆก็รู้อยู่หรอน่า

ทิว : นิ..ข้าหน้าเหมือน ควาย ขนาดนั้นเลยหรอ! หึอ..

กล้า : อะไร..พี่แค่พูดเล่นน่ะ…ฮ่าๆ

กล้ายังคงลูบหัวทิวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับจะปลอบใจให้น้องชายหายงอน แต่ใบหน้าทิวที่ยังคงมุ่ยกลับทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้ แต่ในที่สุดทิวก็เลิกทำหน้างอลและถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวขึ้นสั้นๆ

ทิว : ชิ.....

ทร : ข้าว่าพวกเรารีบเดินไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไปสายเอานะ

กล้า : อืม…

ทั้งสามคนเริ่มเดินไปด้วยกัน เสียงฝีเท้าของพวกเขากระทบพื้นดินดังเป็นจังหวะ ทิวเดินหน้ามุ่ยอยู่ด้านข้างกล้า โดยไม่พูดอะไรต่อ ข้างทางมีต้นหญ้าสีเขียวสดสะท้อนแสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านกิ่งไม้ลงมา ลมยามเช้าพัดแผ่วเบา ให้ความรู้สึกเย็นสบาย

ในระหว่างทาง ทิวที่ยังคงมีอาการไม่พอใจเล็กน้อยก็เดินไปด้วยหน้าบึ้ง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ในระหว่างทาง ทรยังคงพูดคุยอย่างสบายๆ พวกเขาทั้งสามเดินไปโรงเรียนด้วยกัน แต่ความรู้สึกในหัวของกล้ากลับไปวนเวียนอยู่ที่ศาสตราวุธที่เขายังคงไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นปกติ แต่ความสงสัยนั้นยังคงค้างอยู่ในใจเขา ทรที่เห็นว่ากล้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ จึงกล่าวถาม

ทร : ไอ้กล้า เมื่อวานนี้เอ็งเป็นยังไงบาง

กล้า : อืม...ก็ดี...

ทร : ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเรื่องศาสตราวุธ ของเอ็งน่ะเป็นยังไงบาง

ทิว : ดีที่สุดเลยล่ะครับ

ทร : ทำไมล่ะไอ้หนู ศาตราวุธของไอ้กล้ามันคืออะไรหรอ

กล้าหยุดชะงั้กเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งก่อนหันไปกล่าวตอบทร ด้วยความมั่นใจ

กล้า : มันคือมวยไทยยังไงล่ะ..

ทร : โว้! ดีเลยนิเอ็งก็ชอบชกมวยอยู่ด้วย ถ้าเอ็งฝึกศาสตราวุธใช้คู่กับแม่ไม้มวยไทยได้ เอ็งจะยิ่งเก่งขึ้นแน่

กล้า : อืม...ข้าก็คิอย่างนั้น แล้วศาสตราวุธของเอ็งล่ะ คืออะไรหรอไอ้ทร

ทร : ศาสตราวุธของข้าคือ ศาลพระภูมิตายายน่ะ

กล้า : ทำไมถึงเป็นศาลพระภูมิตายายล่ะ เอ็งรู้เหตุผลไหม

ทร : ข้าคิดว่า คงเป็นเพราะข้าศรัทธาในเรื่องพวกนี้ล่ะมั้ง…

กล้า : อืม...ก็คงงั้นมั้ง

ทิว : พี่กล้า

กล้า : มีอะไรหรอทิว

ทิม : พี่คิดว่า ศาสตราวุธของข้าจะเป็นอะไร

กล้า : พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นตัวอะไรก็ได้มั้งที่เหมือนเอ็งล่ะมั้ง

ทิว : เป็น ตัว เลยหรอ!!

ทิวกล่าวจบเขาก็มีท่าทีที่น้อยใจเลกน้อย ทรที่เห็นแบบนั้นจึงยื่นมือไปตบไหล่เขาเบาๆก่อนจะกล่าวขึ้น เพื่อปลอบใจ

ทร : เอาเถอะ อีกสองปีเอ็งก็จะอายุครบสิบขวบ ไม่ใช่หรอ แล้วตอนนั้นมารอดูกัน เดี๋ยวพี่จะไปดูด้วยเลย

ทิวที่ได้ยินแบบนั้น เขาเงยหน้าขึ้นทันที ก่อนจะหันไปสบตาทรและพยักหน้าให้  ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง กล้าที่เห็นแบบนั้น เขาวางมือบนไหล่ของทิวอีกข้าง ก่อนกล่าวขึ้น

กล้า : เอาดิ ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ พี่ก็จะอยู่กับเอ็งด้วย เหมือนเมื่อวานที่เอ็งอยู่กับพี่

ทิว : พี่กล้า พี่ทร

กล้า,ทร : หืม...มีอะไรหรอทิว

ทิว : ข้าว่าข้าจะไม่ไป แสดงพลังศาสตราวุธในตอนที่ข้าอายุ 10 ขวบ เหมือนพี่ๆหรอนะ

ทร : ทำไม เจ้าถึงคิดจะทำแบบนั้นล่ะ

ทิว : ข้าแค่อยากรู้ในวันสุดท้ายของข้า นั้นคือตอนข้าอายุ 16 ปี ถ้าศาสตราวุธของข้ายังไม่ปรากฎ นั้นแสดงว่าตัวข้าเอง ไม่มีศาสตราวุธ…

กล้า : ไอ้ทิว เอ็งอย่าคิดมากเรื่องเมื่อวานนี้ที่เอ็งไม่สามารถแสดงศาสตราวุธของเอ็งได้นะ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เอ็งอายุไม่ถึงตามกำหนด เพราะงั้นมันไม่เป็นไรหรอก

กล้าเห็นทิวมีสีหน้าที่เศร้า เขารู้ได้ทันทีว่าทิวยังน้อยใจที่ไม่สามารถแสดงศาสตราวุธออกมาได้ในเมื่อวานนี้ เขาพยามพูดเพื่อให้น้องชายของเขารู้สึกดีขึ้นและใช้มือลูบหลังเบาๆเพื่อปลอบใจ

ทร : ไม่เป็นไรหรอกนะทิว เดี๋ยวเอ็งก็ได้รู้กันแน่ ว่าศาสตราวุธของเอ็งคืออะไร ก็แล้วแต่เอ็งอยากรู้ตอนไหนนะ

พูดจบทรก็ยิ้มให้ ด้วยความเอ็นดู ทิวที่เห็นแบบนั้นแล้ว มันทำให้เขายิ่งมั่นใจในสิ่งที่เขาคิดจะทำ เขาจึงพยักหน้ากล่าวตอบ

ทิว : ครับ....

ทร : เอ้านี่ ถึงโรงเรียนแล้ว ไอ้กล้าไปกันเถอะ!

กล้า : อืม

กล้า : แล้วเจอกันตอนพักเที่ยงนะทิว

ทิว : ครับพี่!

จากนั้น ทุกคนก็แยกย้ายขึ้นห้องเรียนตามปกติ แต่ทิวเองก็อดคิดเรื่องเมื่อวานไม่ได้ เรื่องที่เขาไม่สามารถแสดงศาสตราวุธออกมาได้ ทั้งที่ครูฝึกสอนที่ผสานพลังให้ ก็เสียพลังไปมาก ทำให้ทิวน้อยใจตัวเอง แล้วเดินก้มหน้าเข้าห้องเรียนไป แล้วเขาก็เรียนกับเพื่อนในห้องตามปกติ

เมื่อช่วงเวลาพักเทียงมาถึง ทำให้พี่น้องได้มาเจอกันอีกครั้ง และทรได้พาเพื่อนไหมมาด้วย เพื่อนผู้หญิง รูปร่างของเธอเพรียวบาง เส้นผมสีดำตรงยาวจนถึงกลางหลัง เธอสวมเสื้อม่อฮ่อมสีดำมีลวดลายสีแดงตามชายผ้าและสวมผ้าถุงสั้น นามว่า ราง เธอมีนิสัยที่ร่าเริงและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน เธอมักจะคอยพูดแหย่ให้หัวเราะเสมอ ซึ่งเธอก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของกล้า โดยเมื่อวาดได้ถูกเรียกตัวมาแสดงศาสตราวุธ ในสถานที่เดียวกัน ศาสตราวุธของเธอคือ มือสังหารฆ่าไร้เงา

ทร : ไอ้ทิวเอ็งเป็นไงบาง

ทิว : ก็…ดีครับพี่ทร

กล้า : ราง ข้าขอน้องชายข้านะ นี่น้องข้า ไอ้ทิว

ทิว : สวัสดีครับพี่ราง

ราง : ดีจ๊ะ เด็กน้อยยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ

เธอก้มตัวลงต่ำ แล้วกล่าวพร้อมยิ้มให้ ด้วยความเป็นมิตร

ราง : เอาล่ะ นี่ก็เที่ยงแล้ว ข้าก็เริ่มหิวแล้วด้วย ข้าว่าพวกเรารีบไปหาที่ร่มๆนั่งกินข้าวกันเถอะนะ

กล้า,ทร : อืม

หลังจากนั้นพวกเขาก็นั้งลงกินข้าวใต้ต้นไม้ บรรยากาศโดยรอบนั้นร้อนระอุเหมือนในทุกๆวัน ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เงาเมฆ ทำให้แสงแดดส่งลงมาได้ มีสายลมอ่อนๆพัดมาไปมาอยู่ตลอด แต่ไม่ได้ทำให้เย็นขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับพัดมาเป็นลมร้อน

ทร : อ่าา วันนี้อากาศร้อนเป็นบ้าเลย ไม่รู้ว่าจะมีช่วงพักเทียงของวันไหน ร้อนเท่าวันนี้ไหมนะ

ราง : เจ้าอย่าบ่นนักเลยน่า วันไหนมันก็ร้อนทั้งนั้นเเหละน่า ไอ้ทร!

กล้า : สำหรับข้าแล้วนะ อากาศแค่นี้ไม่ได้ถือว่าร้อนเท่าไหร่หรอ ถ้าเทียบกับตอนที่ข้าขึ้นชกบนสังเวียนน่ะ มันร้อนกว่านนี้อีก จริงแล้วมันแทบไม่มีลมผ่านด้วยซ้ำ

ในตาของรางเบิกกว้าง ตัวของเธอหยุดชะงักแม้ในปากจะเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก เหมือนเธอพึ่งนึกอะไรขึ้นได้ เธอกลืนข้าวลงคอ แล้วกล่าวขึ้นทันที

ราง : จริงสิ! ไอ้กล้าศาสตราวุธของเจ้าน่ะ คืออะไรหรอ คือข้าไม่ได้อยู่รอดูน่ะ ข้ามีธุระจำเป็นที่จะต้องรีบทำรีบกลับก่อนน่ะ ห็นไอ้ทรบอกข้ามาก บอกว่ามันคือมวยหรอกหรอ

ทร : มันคือ มวยไทย เลยนะ เป็นศาสตราวุธนักสู้ที่ใช้แม่ไม้มวยไทย บวกกับกล้าที่ชอบชกมวยอยู่แล้ว ศาสตราวุธนี่มันเหมือนกับเจ้าของจริงๆเลยนะเนี้ย

กล้า : อืม...ก็จะประมานนั้น

ราง : โว้! ดีเลยนิ

กล้า : แล้วศาสตราวุธของเอ็งคืออะไรหรอไอ้ราง

ราง : มันคือมือสังหารไร้เงา

กล้า : เป็นมือสังหารหรอ อย่าเอ็งนี่นะไอ้ราง มีศาสตราวุธเป็นนักฆ่า…

ทร : ข้าอยากรู้จัง ว่านักสู้กับนักฆ่าใครเก่งกว่ากัน

กล้า : กินข้าวอิ่มๆแบบนี้คง ไม่ดีที่จะสู้กันหรอกมั้ง…

กล้าจะพยายามที่จะตอบปฏิเสธรางทุกทาง แต่ยังไงเธอก็ชวนเขาให้สู้กันอยู่ดี จนทำให้เขานั้นไม่มีทางเลือก จึงต้องยอมตอบตกลงไปในที่สุดและการต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้น

ทั้งสองมาประชันหน้ากัน สายตาที่แน่วแน่นั้นมองซึ่งกันและกันภายใต้สายลมร้อนที่พัดผ่าน พวกเขายืนหางกันไม่มาก และแสดงศาสตราวุธ ไม่กี่วินาที่ตอมาศาตราวุธก็กลายเป็นเกาะอาวุธ เกราะอาวุธที่ยังไม่ถูกกหลอมให้มีความสามารถ ก็กลายเป็นเพีบงออร่าสีทองอ่อนๆทั่วตัว ทั้งสองยืนนิ่งกันอยู่ซักพัก ต่อมารางเริ่มเคลื่อนที่ก่อน ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเธอนั้นเร็วมาก จนกล้ามองตามแทบไม่ทัน

รางเริ่มพุ่งโจมตีใส่กล้าอย่างรวดเร็วอยู่หลายรอบ แต่กล้าก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะรางสามารถโจมตีได้รวดเร็วมากก็จริง แต่การโจมตีของรางเบามาก มันทำให้กล้าเริ่มดูออกถึงการโจมตีที่ซั้มไปซั้มมาของราง โดยรางมักจะใช้ความเร็วนี้ให้การโจมตีจากข้างหลังคู่ต่อสู้ตลอด รางจะไม่โจมตีต่อหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีโดยตรง อาจะเป็นเพราะ รางสามารถรับการโจมตีไม่ได้มากนัก

กล้า : (คิดในใจ) รางโจมตีเร็วมาก จนข้าเเทบมองตามไม่ทันเลย ถ้าข้าทำได้แค่ยืนหันไปมาอยู่แบบนี้ ปล่อยให้รางโจมตีใส่ตัวเองเรือยๆ ไม่แน่ข้าอาจจะแพ้รางก็เป็นได้

ราง : มาสิ ข้าอยู่ตรงนี้ ฮาฮ่า…

กล้า : เอ็งอย่าทำเป็นได้ใจไปนะไอ้ราง!!

กล้ากล่าวขึ้นเสียงแข็ง จากนั้นเขาเริ่มคิดหาวิธีการที่จะโจมตีกลับ โดยเพรียงแค่มองจากรูปลักษณ์ศาสตราวุธของราง คือนักฆ่าไร้เงา ไร้เงาหน้าหมายถึงความเร็ว ที่เร็วมากและที่สำคัญคือความคล่องตัว เมื่อใช้ศาสตราวุธรางเหมือนจะมีความคล่องตัวมาก ทั้งกระโดดสูงมากและยังตีลังกาหมุนตัวกลางอากาศได้อีก หลังกล้าจึงคิดแผนออก เขาคิดได้ว่า ถ้าหันหลังให้รางเพื่อที่จะเปิดให้รางโจมตี แล้วในตอนที่รางกำลังพุ่งเขามาโจมตี แล้วใช้โอกาศนั้นหันหน้าไปโจมตีกลับในทันที

หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำตามแผนที่วางไว้ โดยการยืนนิ่งแล้วหันหน้าไปทางหนึ่ง รางที่ใช้ความเร็ววิ่งวนๆไปมาอยู่แถวๆนั้น ก็เริ่มเห็นกล้ายืนนิ่งไป เธอคิดว่ากล้าน่าจะมองไม่เห็นตัวเอง และทำแบบนั้นเพื่อมองหาตนอยู่ เธอจึงได้ถือเป็นโอกาศดีที่รางจะโจมตีกล้า เธอพุ่งตัวเข้าไปทีนที แล้วครั้งนี้รางจะไม่โจมตีที่ ตัว แขนหรือขา อีกแล้วเพราะการที่ได้โอกาศดีแบบนี้ต้องโจมตีไปที่จุดตายเท่านั้น และรางก็จะชนะในที่สุด แต่ในความคิดของกล้านั้น รางนั้นได้หลงกลแผนที่เขาวางไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในตอที่รางพุ่งเขาไปแล้วทำลังจะเตะไปที่ต้นคอของกล้า แต่อยู่กล้าหันมาอย่างกระทันหัน แล้วสวนกลับด้วยหมัดของเขา ทำให้พลังของศาสตราวุธนั้นโจมตีต้านกัน ก่อเกิดการปะทะกันระหว่างพลังของศาสตราวุธของทั้งสอง ที่แผ่กระจายออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานศาสตราวุธของรางก็รับการโจมตีมาถึงขีดสุด พลังของเธอเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆและในที่สุดเธอก็ไม่สามารถต้านทานศาสตราวุธได้มากกว่านี้ ทำให้กล้าที่มีพลังมากกว่านั้นโจมตใส่เธอได้อย่าจัง จนเธอนั้นกระเด็นออกไป

ทิวที่นั่งกินข้าวอยู่ใต้ต้นไม้กับทรก็แทบไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น ทั้งสองนั่งอึ้งกันอยู่ซักพัก ก่นที่ตอนจะได้สะติกลับมาแล่วกล่าวขึ้น

ทร : เอาล่ะๆ แค่นี้ก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว สรุปนักสู้เก่งกว่านักฆ่าอย่างเห็นได้ชัดเลยสินะ

กล้า : ไม่เสมอไปหรอกนะข้าว่านะ

รางเดินลากร่างที่ดูสะบักสะบอมจากการต่อสู้เมื่อครู่ เข้าไปหากล้าด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยปิดหวัง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้ง

ราง : อ..เอ็งชนะข้าแล้ว ดูแค่นี้ก็รู้ๆอยู่นิ

คำพูดนั้นของราง เหมือนกับว่าเธอมรับความพ่ายแพ้นั้นแล้ว ทิวที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ ก็ได้กล่าวขึ้นหมดเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ทิว : จริงด้วยครับ ถ้าเผื่อตอนนี้พี่กล้าสามารถ เอาชนะพี่รางได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่มีศาสตราวุธ คร้ายๆกับพี่ราง หรืออาจะเก่งกว่าพี่ราง พี่กล้าก็อาจจะแพ้ก็เป็นได้ ศาสตราวุธของเอ็งก็มีดีอยู่ทั้งความเร็วและความคล่องตัวนะ แต่สิ่งที่เอ็งไม่มี ข้าว่ามันคือประสบการณ์ในการต่อสู้ต่างหาก

กล้า : ข้าที่ขึ้นชกมวยมาหลายครั้งแล้ว เลยรู้จักการตั้งรับและตอบโต้คืน ข้าว่านี่เป็นข้อได้เปรียบของข้า

รางก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่กล้าพูด สีหน้าเศร้าหม่นแสดงออกมาอย่างชัดเจน แล้วจึงกล่าวตอบกลับ

ราง : มันก็จริง…

กล้า : ถึงวันนี้เอ็งจะแพ้ข้านะราง แต่ข้าเชื่อว่าในอนาคตเอ็งอาจจะชนะข้าก็ได้

เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว รางเงยหน้าขึ้น พร้อมเผยรอยยิ้มบางๆที่มุมปากของเธอ บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ทรจะยกมือขึ้นลูบท้องตัวเอง พลางพูดขึ้นขัดจังหวะ

ทร : กินข้าวอิ่มล่ะ รีบกลับห้องกันเถอะ เดี๋ยวครูจะเข้าห้องก่อน

กล้า : ก็ได้ งั้นไอ้ทิว…พี่ไปก่อนล่ะ

ราง : พวกพี่ไปก่อนนะจ๊ะทิว เอ็งตั้งใจเรียนล่ะ เจอกันตอนเลิกเรียนนะ

ทิวที่ได้ยินแบบนั้น เขาพยักหน้าตอบรับ แล้วทั้ง 4 คน ก็ได้แยกย้ายกันไปตามทางเดินไปยังห้องเรียนของตนเอง

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!