เสียงกรีดร้องของผู้คนผสานกับเสียงเกราะกระทบกันดังกึกก้องทั่วทุ่งศึก กลิ่นคาวเลือดและควันไฟลอยคลุ้งปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ เปลวเพลิงเผาผลาญหมู่บ้านทางเหนือจนเห็นเป็นควันดำลอยสูงปกคลุมฟากฟ้า เลือดสีแดงฉานไหลนองผืนดิน ดั่งสายฝนสีแดงที่ไม่มีวันหยุด
ท่ามกลางมหาวิปโยค เด็กชายอายุราวเจ็ดขวบในเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังเดินสะเปะสะปะไปตามท้องทุ่ง ดวงตาของเขาฉ่ำไปด้วยน้ำตา เสียงสะอื้นหลุดรอดจากริมฝีปากเล็กๆ ขณะที่เท้าเปล่าของเขาเหยียบผ่านเศษซากเกราะ และร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารที่กระจัดกระจายไปทั่ว ภาพศพที่ไร้ชีวิตเหล่านั้นทำให้เด็กชายรู้สึกหวาดกลัว แต่ความรู้สึกที่ท่วมท้นยิ่งกว่าคือความว่างเปล่าที่กัดกินหัวใจของเขา
"ฮึก...แม่... แม่อยู่ไหน..."
เขาเดินไปเรื่อยๆ ตามสัญชาตญาณอันอ่อนล้าของเด็กตัวเล็กๆ ที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพัง เสียงกังวานของโลหะที่กระทบกันดังขึ้นรอบตัวเขาเป็นระยะๆ บ่งบอกว่าสงครามยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ทันใดนั้น เสียงม้าร้องโหยหวนก็ดังขึ้นจากด้านข้าง ร่างม้าศึกถูกแทงทะลุด้วยหอก ก่อนจะล้มลงครืนพร้อมอัศวินที่ขี่มันมา เด็กชายทรุดตัวลงด้วยความตกใจ และนั่นเองที่ร่างหนึ่งโผล่จากกองซากหิน
เป็นอัศวินบาดเจ็บ ใบหน้าถูกเลือดอาบจนแทบมองไม่เห็นแววตา แต่เขายังหายใจ เขาเห็นเด็กชายจึงฝืนพยุงตัวเองแล้วเอื้อมมือไปหา
"เด็กน้อย... ทางนี้!"
เขาดึงเด็กเข้ามาหลบหลังโล่แตกครึ่งแผ่น แล้วกล่าวเสียงแหบแห้ง
"อย่าร้องเสียงดัง... มันยังไม่จบ..."
เด็กชายมองไปยังอัศวินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาคือใคร? ทำไมเขาถึงช่วยเด็กที่ไม่มีความสำคัญอย่างเขา? คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวเล็กๆ แต่ก็ไม่นาน...
จู่ๆ... ฟ้าก็สั่นสะเทือน
แสงสีม่วงขนาดมหึมาพุ่งทะลวงภูเขาเบื้องหลัง เสียงคล้ายเทพเจ้าคำรามดังกระแทกทุกโสตประสาทจนแผ่นดินสะเทือน ใบไม้ปลิดปลิวกลางอากาศ
อัศวินหันขวับไปมอง ก่อนดวงตาจะเบิกโพลงด้วยความสยดสยอง
ตรงกลางสนามรบ... มีเพียง "นาง" ยืนอยู่เพียงลำพัง
นางผู้สวมชุดคลุมยาวสีดำสนิท เส้นผมสีดำสนิทสยายพลิ้วไหวตามแรงเวทที่แผ่ออกทุกทิศทาง ดวงตาของนางเปล่งแสงสีม่วงเข้ม นิ่งเฉยต่อฝนลูกธนูนับร้อยนับพันที่ร่วงใส่ แต่กลับล่องลอยกลางอากาศราวกับธุลีฝุ่น
ทหารทั้งกองร้อยล้อมนางไว้ ใช้เวทมนตร์ อาคมแสกนสวรรค์ ค้อนเทพ และแม้แต่มังกรไฟ—แต่ทุกสิ่งกระทบพลังของนางก็แตกสลายเป็นผุยผง และนางยังคงยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวบนสนามรบ ราวกับกำลังพิพากษาโลกทั้งใบที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งนี้
ลำแสงสีม่วงขนาดใหญ่พุ่งออกจากมือนาง เป็นดั่งปลายนิ้วของเทพแห่งความพินาศ มันกวาดกองทัพทั้งแถบหายวับภายในพริบตา เหลือทิ้งไว้เพียงเถ้าธุลีที่ลอยไปตามสายลม
เด็กชายในอ้อมแขนอัศวิน ตกตะลึง ดวงตากลมใสมองไปยังนางคนนั้น ราวกับรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง
ไม่ใช่ความหวาดกลัว... แต่เป็น ความเกลียดชัง บางอย่างในจิตใจ
และความรู้สึกนั้นเองที่ทำให้เขารับรู้ถึงพลังของนางได้
ในชั่วขณะที่ลำแสงถัดไปกำลังจะปล่อยออก... นางก็หันมองตรงมายังเด็กชาย ราวกับเธอรับรู้ถึงความเกลียดชังอันบริสุทธิ์ของเขา
ทันใดนั้น เขาก็ตื่นขึ้นมา
เขาฝันแบบนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว เสียงกรีดร้องและกลิ่นคาวเลือดเป็นเหมือนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมาทุกคืน จนกระทั่งเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องกลับสู่โลกแห่งความจริงในที่สุด
ท้องฟ้าในเมืองหลวงของแคว้นคัลเดรียเต็มไปด้วยหมอกควันจากเตาเหล็กของโรงหลอมอาวุธ กลิ่นเหล็ก เถ้าถ่าน และเสียงค้อนทุบโลหะดังก้องไปทั่วกำแพงเมือง ไคลด์ในชุดคลุมเก่า ๆ เดินผ่านประตูเหล็กของ "กองทหารชายแดนตะวันตก" ซึ่งเป็นกองทหารที่รวมเอาทหารจากหลากหลายพื้นเพมารวมกัน เขายื่นจดหมายรับรองจากหน่วยเฝ้าพรมแดนให้ทหารยามที่ดูเหนื่อยล้า ทหารคนนั้นมองไคลด์อย่างพินิจ ก่อนจะตะโกนเรียก "กัปตันลูเดน!"
กัปตันลูเดน ชายร่างสูงในชุดเกราะหนังสีดำปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากการสู้รบ ดวงตาสีเหลืองหม่นของเขากวาดมองไคลด์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไคลด์ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัว เขาเพียงแค่ยืนนิ่งและสบตากับกัปตันอย่างไม่หวั่นไหว
"เจ้าเคยรอดจากป่ามายา?" ลูเดนถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ไคลด์พยักหน้าเบา ๆ
"แล้วเจ้าเห็นมันหรือไม่... ลำแสงนั่น" ลูเดนลดเสียงลงกระซิบใกล้ ๆ หูราวกับกลัวจะมีใครได้ยิน
ไคลด์เงียบไป การที่กัปตันถามถึงเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ แต่เขาก็เก็บอาการไว้ได้อย่างดี ลูเดนจ้องเขานานกว่าปกติ ก่อนจะยิ้มจาง ๆ
"ดี... งั้นเข้ามา เจ้าจะได้เจอ 'สนามของคนตาย' อย่างแท้จริง"
ไคลด์ถูกส่งไปอยู่กับกลุ่ม “ฝึกขั้นต้น” ซึ่งเต็มไปด้วยวัยรุ่นทั้งชายหญิงจากหลากหลายชนชั้น เสียงตะโกนสั่งฝึกวิ่ง เสียงกระแทกโล่ และเสียงล้มกระแทกพื้นดังกระหึ่มทั่วลานฝึก แต่ไคลด์กลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งที่ไร้ซึ่งความหมาย
ที่นั่นเขาได้เจอกับสองคน: อัลเร็กซ์ เด็กหนุ่มร่างใหญ่ พูดจาตรงไปตรงมา แต่มีจิตใจดี และ รีน่า เด็กสาวผมแดงที่มีรอยสักเวทบนแขนข้างหนึ่ง เธอไม่พูดกับใครมากนัก แต่จ้องไคลด์เหมือนจับผิดตลอดเวลา
"เจ้าชื่ออะไร?" อัลเร็กซ์ถามเสียงดัง
"ไคลด์"
"ข้าชื่ออัลเร็กซ์ ข้าเคยเห็นเวทแสงนั่นมาก่อน มันทำให้เมืองข้าหายไปทั้งเมือง" น้ำเสียงของอัลเร็กซ์เปลี่ยนเป็นเศร้าเล็กน้อย "ข้าสาบาน ถ้าเจอตัวนางนั่นอีก ข้าจะเป็นคนฟันหัวมันด้วยมือของข้าเอง"
ไคลด์นิ่ง... ในใจเขารู้ดีว่า "นาง" ไม่ใช่สิ่งที่สามารถ "ฟันหัว" ได้ง่าย ๆ แต่ในแววตาของเขาเองก็ไม่ได้ต่างจากอัลเร็กซ์นัก เพราะเขาก็เฝ้ารอวันที่จะได้พบกับนางคนนั้นมาตลอด 10 ปีเช่นกัน
ในระหว่างการฝึกซ้อม ไคลด์ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องการใช้ดาบหรือเวทมนตร์ แต่เขากลับเป็นคนที่สามารถเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการหลบหลีกการโจมตี หรือการหาจุดอ่อนของศัตรู ทำให้เขาเป็นที่น่าจับตามองของรีน่า ซึ่งเธอมักจะใช้เวทมนตร์เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อทดสอบเขาอยู่เสมอ
ในคืนนั้นขณะที่เขากำลังนอนหลับ ไคลด์ได้ยินเสียงคนพูดคุยผ่านกำแพงหินของห้องพัก
"เด็กคนนั้น... มีบางอย่างแปลก"
"ใช่—ข้าเห็นตาของเขาเรืองแสงจาง ๆ ตอนสัมผัสพื้น เขาอาจมี 'อักษรต้องสาป' ในตัว"
"หากเขาคือเศษเสี้ยวของนาง... เราต้องระวังให้มากกว่านี้"
ไคลด์แกล้งหลับต่ออย่างเงียบ ๆ ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เขาคือเศษเสี้ยวของนางคนนั้นจริง ๆ หรือ? และใครคือคนที่กำลังจับตามองเขาอยู่?
เช้าวันแรกของการฝึกเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว กัปตันลูเดนเดินตรวจพลทหารใหม่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม ดวงตาสีเหลืองหม่นของเขากวาดมองแต่ละคนราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป เสียงคำรามสั่งให้ทุกคนวิ่งรอบสนามฝึก 10 รอบดังขึ้นราวกับฟ้าร้อง ไคลด์เริ่มออกวิ่งพร้อมกับคนอื่น ๆ เขาไม่ได้โดดเด่นในเรื่องความเร็ว แต่เขารู้จักการแบ่งกำลังและหายใจอย่างถูกวิธี ทำให้เขาสามารถวิ่งได้จนจบโดยไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อยออกมา
"เจ้ามีดีแค่ความอึดรึไง!" อัลเร็กซ์ตะโกนถามไคลด์ขณะที่พวกเขาวิ่งไปพร้อม ๆ กัน
"เปล่า" ไคลด์ตอบสั้น ๆ
"แล้วทำไมไม่แสดงพลังออกมาให้มากกว่านี้" อัลเร็กซ์ยังคงถามอย่างไม่ลดละ "ข้าเคยเห็นทหารเวทที่เก่งกว่านี้เป็นร้อย"
ไคลด์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ส่ายหัวเบา ๆ ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เขาไม่มีพลังที่ว่านั้น และเขาก็ไม่รู้ว่าอัลเร็กซ์กำลังพูดถึงพลังอะไรอยู่
ในช่วงบ่ายของการฝึกซ้อม เป็นการฝึกใช้ดาบ ไคลด์ไม่เคยใช้ดาบอย่างจริงจังมาก่อน แต่เขากลับสามารถหลบหลีกการโจมตีจากคู่ต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ไปได้อย่างน่าประหลาดใจ รีน่าที่นั่งดูอยู่ห่าง ๆ จ้องมองเขาอย่างจับผิดอีกครั้ง
"ความสามารถในการหลบหลีกของเขาน่าสนใจ" รีน่าคิดในใจ "ไม่ใช่แค่สัญชาตญาณ แต่เหมือนเขารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
ในค่ำคืนนั้น ไคลด์นอนไม่หลับ ฝันร้ายในวัยเด็กยังคงตามหลอกหลอนเขาไม่เลิก เสียงกรีดร้อง, กลิ่นคาวเลือด, และภาพของ ไอแซลล์ ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของเขา เขาตัดสินใจเดินออกไปข้างนอกเพื่อสูดอากาศ และได้พบกับอัลเร็กซ์ที่กำลังนั่งลับดาบอยู่คนเดียว
"ทำไมยังไม่นอน" ไคลด์ถาม
"ข้าเคยเห็นพ่อกับแม่ของข้าถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาในสงคราม" อัลเร็กซ์ตอบ "ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อแก้แค้น"
"แก้แค้นใคร"
"ไอแซลล์... นางที่ใช้ลำแสงสีม่วงทำลายเมืองของข้า"
ไคลด์นิ่งไป เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรดี เพราะเขาเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน
"เจ้าก็เคยเห็นนางใช่ไหม" อัลเร็กซ์ถาม "ข้าเห็นแววตาของเจ้ามันบอกแบบนั้น"
ไคลด์พยักหน้าเบา ๆ
"ถ้าอย่างนั้น...จงแข็งแกร่งขึ้น" อัลเร็กซ์กล่าว "เพราะนางไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเอาชนะได้ง่าย ๆ"
ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันเลวร้าย
ในอีกด้านหนึ่งของค่ายทหาร กัปตันลูเดนกำลังคุยกับรีน่า
"เด็กหนุ่มคนนั้น...เจ้าว่าเขาคือใคร" ลูเดนถาม
"ข้าไม่รู้" รีน่าตอบ "แต่ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวบางอย่างในตัวเขา"
"เจ้าแน่ใจหรือ"
"ข้าแน่ใจ" รีน่าตอบ "มันไม่ใช่พลังแห่งการทำลายล้าง...แต่เป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนโลกได้"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!