แสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่นกลางฟากฟ้า คืนนี้ฟ้าไร้ดาว ราวกับฟ้ารู้...ว่าความหวังได้ดับสิ้นไปแล้วจากดินแดนเหนือ
เสียงฝีเท้าทหารก้องไปตามทางดินแคบ ๆ ที่ทอดยาวผ่านแนวป่า แสงจากคบไฟวูบไหวสะท้อนเกราะเงินวับวาวที่ไม่มีแม้แต่หยดเลือด ทว่า...ในหัวใจของแม่ทัพหลินเยวี่ยนั้น เปื้อนเลือดมานานนัก
“แม่ทัพ... ท่านแน่ใจหรือ ว่าจะทรงจับเขาด้วยพระหัตถ์เอง...”
จี้เฟิง ผู้เป็นรองแม่ทัพ ก้าวตามหลังนางด้วยสายตาอาลัย สีหน้าเคร่งขรึมประหนึ่งหินผา เขารู้...ว่านางไม่เคยลืม ไม่เคยเลิกเจ็บปวด และไม่เคยหายรัก
หลินเยวี่ยมิได้ตอบ เธอเพียงหยุดเท้าที่หน้าคุกใต้ดินของค่ายหลวง สองมืออันแข็งแกร่งบีบแน่นที่ด้ามดาบ ริมฝีปากเม้มสนิท ดวงตานั้นแม้ดูเย็นชา...แต่กลับสั่นสะท้านหากมองลึกลงไป
เพียงแค่ชื่อของเขา...ยังทำให้หัวใจแม่ทัพที่เคยเหี้ยมโหด สั่นไหวได้อยู่
เสียงโซ่เหล็กกระทบพื้นดังกังวานภายในห้องขัง เว่ยอันถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กตรวนทองแดง เขาซูบผอมลงมาก ผิวซีดขาวดุจหยก และในแววตานั้น...ยังมีเศษเสี้ยวของความอ่อนโยนที่เคยเป็น
“เจ้า...” หลินเยวี่ยเอ่ยเสียงเรียบ แต่แผ่วเบา ราวเสียงของลมหนาวยามค่ำคืน
เว่ยอันเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาของเขาแดงก่ำ แต่ยังฝืนยิ้มบาง ๆ ออกมา
“ข้ายังจำได้... เมื่อก่อน ท่านมักเรียกชื่อข้าเบากว่านี้นัก”
“เมื่อก่อน...หรือ?” แม่ทัพหัวเราะในลำคอ ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างเยาะหยัน “แล้วเจ้าจำได้หรือไม่...ว่าเจ้าทำอะไรไว้กับข้า?”
เว่ยอันหลุบตาลง เสียงถอนใจเบาราวสายหมอก “ข้าไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้...”
“แต่มันก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว!” หลินเยวี่ยตวาด ดวงตาเปล่งประกายคลุ้มคลั่ง “ทั้งที่ข้ารักเจ้าขนาดนี้...เหตุใด เจ้าถึงทรยศข้า?”
ความเงียบเข้าปกคลุมครู่หนึ่ง จนได้ยินเสียงลมหายใจของทั้งสองคนชัดเจน เว่ยอันสั่นเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นอย่างยอมรับ
“เพราะข้าโง่... และเพราะข้าอ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องผู้คน ข้าเลือกครอบครัวของข้า และข้าก็ทรยศท่าน ข้ายอมรับ”
แม่ทัพหลินยืนนิ่ง ราวรูปปั้นหินที่ไม่มีชีวิต เธอไม่ได้พูดอะไรอีก แต่น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงบนดาบในมือ...
เธอไม่แม้แต่จะเช็ดมันออก
หลายปีก่อน...
ดอกเหมยบานสะพรั่งในอุทยานหลวง ร่างของเว่ยอันในวัยเยาว์เดินพลางถือพู่กัน เขาสะดุดล้มลงใกล้ต้นเหมย กำลังจะร้องไห้ ก่อนจะมีมือหนึ่งยื่นมาฉุดเขาขึ้น
หญิงสาวในชุดทหารเกราะบางยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเปื้อนฝุ่น แต่ดวงตากลับทอประกายอ่อนโยน
“โอเมก้าเช่นเจ้าควรลุกขึ้นด้วยตนเอง ไม่ใช่ร้องไห้” หลินเยวี่ยเอ่ย
เว่ยอันเช็ดน้ำตา แล้วพยายามยืนขึ้นเอง เธอยิ้ม...แล้วโยนผลพลัมให้เขาลูกหนึ่ง
“เจ้าชื่ออะไร?”
“เว่ยอัน... ขอรับ”
“ข้าจะจำไว้”
ในวันนี้ หลินเยวี่ยยังจำได้... แต่เว่ยอันกลับกลายเป็นเพียงนักโทษของแคว้น
และเธอ...กลายเป็นปีศาจในคราบคน
“เจ้าจะเลือกอะไร ระหว่างหัวใจข้า กับชีวิตของเจ้าทั้งตระกูล?”
เว่ยอันยิ้มเจื่อน ๆ ดวงตาหม่นเศร้า “ข้าเลือกชีวิตของพวกเขา...เพราะข้ารู้ดีว่า หัวใจท่าน เข้มแข็งพอจะอยู่ได้แม้ไร้ข้า”
หลินเยวี่ยหันหลังให้เขา
“ผิดแล้ว... เจ้าไม่รู้จักข้าเลยแม้แต่น้อย”
ฝนตกลงมาอีกครั้งในคืนนั้น คุกใต้ดินชื้นแฉะ แต่หัวใจของแม่ทัพหลินกลับร้อนราวไฟนรก เธอยืนมองคบเพลิงที่ดับลงทีละดวง...
จี้เฟิงยืนรออยู่ด้านนอก
“ท่านแม่ทัพ...จะให้ข้าทำเช่นไรกับเขา?”
นางนิ่งไปอึดใจ
“อย่าให้แม้แต่แสงจันทร์ได้ส่องถึงเขาอีกต่อไป”
เสียงสายฟ้าฟาดเหนือค่ายหลวงดังกึกก้อง โลกทั้งใบราวกับสิ้นแสงสว่างพร้อมกับคำสั่งนั้น
และแม่ทัพหลินเยวี่ย...ก็ไม่มีหัวใจอีกต่อไป
...****************...
ฝากติดตามอนต่อไปด้วยนะคับ
ผมจะตั้งใจแต่งต่อ นวนิยายเรื่องนี้แต่งเพื่อความสนุกสนานนะคับไม่ได้แต่เพื่อเหยียดหรือวิจารณ์ใดๆนะคับ
เสียงกลองศึกดังก้องสะท้านฟ้าท่ามกลางทิวเขาแดนเหนือ ลมหนาวพัดกรรโชกกลิ่นโลหิตจากสนามรบยังไม่ทันจางหาย แต่หลินเยวี่ย แม่ทัพใหญ่แห่งแดนเหนือกลับยืนบนหน้าผาอย่างมั่นคง สายตาเหี้ยมเกรียมไร้แววสั่นไหว ดาบคู่มือของนางยังมีรอยเลือดสดใหม่ ไหลหยดลงบนหิมะขาวที่ย้อมเป็นสีแดงฉาน
“ข้าไม่เข้าใจเลย ท่านแม่ทัพ… เราชนะศึก ทำไมท่านถึงยังไม่ยิ้มแม้แต่น้อย?”
เสียงของจี้เฟิงดังขึ้นเบื้องหลัง เขาเดินเข้ามาเงียบ ๆ ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด ร่างสูงสง่าของเขาเปื้อนฝุ่นสงคราม ทว่าแววตาที่มองหลินเยวี่ยนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้เขาจะรู้ว่านางไม่มีวันหันกลับมามองเขาด้วยสายตาอื่น
หลินเยวี่ยยังคงนิ่งเฉย ไม่มีคำตอบ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม
“รอยยิ้มไม่เคยช่วยให้ชนะศึกได้” นางกล่าวเสียงเรียบ “และการยินดีในชัยชนะ จะทำให้คนลืมว่าในความพ่ายแพ้… เจ็บปวดเพียงใด”
จี้เฟิงเงียบไป ไม่กล้าถามต่อ เขาเพียงยืนเคียงข้าง ปล่อยให้ลมหนาวปะทะใบหน้า เย็นเยียบเหมือนหัวใจของแม่ทัพหญิงผู้ไม่เคยหลั่งน้ำตาอีกเลย นับตั้งแต่วันนั้น… วันที่นางถูกหักหลัง
เมืองหลวง—จวนแม่ทัพ
เสียงกลองเชิดและพิณดังขึ้นต้อนรับคณะราชทูตจากราชสำนัก แม่ทัพหลินเยวี่ยกลับถึงเมืองหลวงหลังชัยชนะ เธอยืนต่อหน้าองค์จักรพรรดิด้วยความสง่างาม แต่มิได้แสดงความเคารพเกินความจำเป็น
“หลินเยวี่ย เจ้าเป็นผู้หญิง แต่ยังนำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะได้อีกครั้ง สมกับที่ข้าตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของแดนเหนือ”
เสียงขององค์จักรพรรดิแฝงความพอใจ แต่ก็เปี่ยมด้วยการชั่งน้ำหนักทางการเมือง
“ข้าเพียงทำตามหน้าที่ ไม่กล้ารับคำชม” หลินเยวี่ยตอบเย็นชา
“ดี! เช่นนั้นวันนี้ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้า…” จักรพรรดิยิ้ม “ราชสำนักจะส่งเว่ยอันมารับใช้อยู่ในจวนแม่ทัพ เพื่อเป็นรางวัลแก่เจ้า”
ในห้องโถงอันโอ่อ่า เสียงดนตรียังบรรเลงต่อ แต่เวลาของหลินเยวี่ยกลับหยุดนิ่งไปเพียงเสี้ยววินาที
เว่ยอัน… ชื่อที่เธอไม่อยากได้ยินอีกในชีวิตนี้ ชายโอเมก้าที่เธอเคยรักจนแทบยอมตายเพื่อเขา ยอมละทิ้งศักดิ์ศรีแม่ทัพ ยอมให้ทุกคนเหยียบย่ำชื่อเสียง เพื่อแลกกับรอยยิ้มของเขา แต่สุดท้าย สิ่งที่เธอได้รับกลับมา คือ “ความทรยศ”
ค่ำนั้น พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างกลางฟ้า เหมือนจะเย้ยหยันดวงใจของใครบางคน
หลินเยวี่ยเดินเข้าห้องหนังสืออย่างเงียบงัน จี้เฟิงรออยู่แล้ว ถือรายงานทัพแน่นในมือ
“มีอะไรอีก?” นางเอ่ยโดยไม่เงยหน้า
“เรื่องเว่ยอัน... ข้า—” จี้เฟิงลังเล
“ไม่ต้องพูดถึงชื่อเขาต่อหน้าข้าอีก” นางกล่าวเสียงเย็นจัด
“แต่องค์จักรพรรดิ…”
“หากเขายังขืนยัดเยียดเว่ยอันมา ข้าก็จะทูลคืนตำแหน่งแม่ทัพ!” น้ำเสียงของหลินเยวี่ยเด็ดขาด
จี้เฟิงเม้มปากแน่น เขาไม่อยากเห็นนางต้องเจ็บซ้ำอีก แต่อำนาจของราชสำนักก็มีมากเกินกว่าจะขัดได้
เว่ยอันก้าวลงจากรถม้าหน้าจวนแม่ทัพ ร่างบางของเขาสวมชุดเรียบแต่งดงาม ใบหน้าสงบเยือกเย็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา หัวใจของเขาเต้นแรงเมื่อเห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงประตู
หลินเยวี่ยยืนรออยู่ก่อนแล้ว นางสวมชุดแม่ทัพเต็มยศ ราวกับพร้อมจะออกรบทุกเมื่อ แววตาของนางเมื่อสบตาเว่ยอัน—ไม่มีความรู้สึกใดหลงเหลืออยู่
เว่ยอันสูดลมหายใจลึก ยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยอย่างสุภาพ
“ข้า... มารับใช้นางแม่ทัพ ตามรับสั่งขององค์จักรพรรดิ”
“รับใช้งั้นหรือ?” น้ำเสียงของหลินเยวี่ยเปื้อนเยาะเย้ย “หากเจ้าคิดว่าตำแหน่งในจวนแม่ทัพของข้า ยังมีที่ให้คนทรยศ เจ้าคงประเมินตัวเองสูงเกินไป”
เว่ยอันเงียบไป รอยยิ้มจางหาย
หลินเยวี่ยเดินเข้ามาใกล้ หยุดห่างเพียงคืบ มองเขาราวกับคนแปลกหน้า
“จำไว้ให้ขึ้นใจ เว่ยอัน... ในจวนข้า เจ้าก็แค่เงา ไม่ใช่คน ไม่ใช่คนรัก และไม่ใช่อดีตอะไรทั้งสิ้น”
เธอหันหลังเดินจากไป “เพราะข้าจำคำสอนของแม่ได้ดี—จงไร้รัก แล้วเจ้าจะไร้ทุกข์”
คืนนั้น เว่ยอันนั่งอยู่ในห้องเล็กที่จัดไว้ให้ในส่วนลึกของจวนแม่ทัพ เขามองเงาจันทร์ผ่านหน้าต่างไม้ รอยแผลในใจเหมือนจะเปิดขึ้นอีกครั้ง
เขาไม่อาจโทษนางได้... เพราะความเจ็บที่เขาสร้างให้ ไม่อาจลบเลือนด้วยเวลา หรือคำขอโทษใด ๆ
แต่ที่เขากลับมา ไม่ใช่เพราะอยากได้รับอภัย ไม่ใช่เพราะความรัก...
แต่เพราะหน้าที่ลับอีกชั้น ที่เขาต้องทำ เพื่อปกป้องบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า “ตัวเขาเอง”
และหลินเยวี่ย... คือกุญแจสำคัญของทุกอย่าง
ในเงามืดอีกมุมของจวน นายพลจี้เฟิงยืนมองภาพทั้งสองจากระยะไกล เขาไม่ได้อิจฉา ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เศร้า เขาเพียงแค่ยืนเงียบ เหมือนที่เคยเป็นตลอดมา
เพราะหัวใจของเขา มีที่ว่างเพียงคนเดียว
และเขายอม... แม้จะไม่มีที่ว่างในหัวใจของนางให้เขาเลยก็ตาม
แม่ทัพหลินเยวี่ยหลับตาลงในห้องของตนเอง มือยังกำดาบแน่น ทั้งที่ไม่มีศึกใดอีกแล้วในค่ำคืนนี้ แต่ในหัวใจของนาง... ศึกนั้นเพิ่งเริ่มต้น
ศึกระหว่าง “อดีต” กับ “ความไร้รัก”
ระหว่าง “หัวใจ” กับ “คำสอนของมารดา”
และเว่ยอัน... คือไฟ ที่จุดให้สงครามภายในใจลุกขึ้นอีกครั้ง
...----------------...
เสียงฝนโปรยปรายเหนือกำแพงเมือง ทำให้ทั้งค่ายทหารต้องปิดประตูแน่นหนา คบเพลิงลุกโชนท่ามกลางลมเย็นของแดนเหนือ สะท้อนเงาร่างแม่ทัพหลินเยวี่ยที่ยืนเดี่ยวอยู่บนหอสังเกตการณ์ นัยน์ตาคู่นั้นทอดมองออกไปไกลราวกับค้นหาบางสิ่ง — หรือบางคน
“ท่านแม่ทัพ...”
เสียงทุ้มของจี้เฟิงดังขึ้นด้านหลัง พร้อมผ้าคลุมกันฝนที่เขานำมาคลุมให้นาง หลินเยวี่ยไม่แม้แต่จะหันกลับมา เพียงกล่าวเสียงเรียบ
“ขอบใจ ข้าจะลงไปแล้ว”
นางเดินลงบันไดโดยไม่รอเขา แผ่นหลังตั้งตรงของแม่ทัพหญิงดุดันคนนั้นไม่เคยงอให้ใคร ไม่ว่าในสนามรบ หรือในความรัก
หลังจากเหตุการณ์ที่นางต้องเผชิญหน้ากับเว่ยอันในราชสำนักเมื่อคืนวาน หลินเยวี่ยกลับมานั่งอยู่คนเดียวจนรุ่งสาง เพียงเงียบงันอย่างไร้คำพูด ความเย็นชาที่ห่อหุ้มตัวนางไม่ใช่เกราะ แต่เป็นกำแพงสูงที่ไม่มีใครเข้าถึง
แม่หลินเคยสอนเอาไว้ — “จงอย่ารักใคร เพราะรักคือจุดอ่อน”
ตอนนั้นหลินเยวี่ยยังเด็กนัก ไม่เข้าใจคำพูดนั้น แต่วันนี้...นางจำได้ขึ้นใจ
เช้าวันถัดมา บนโต๊ะวางแผนการรบ นายพลและขุนพลหลายคนรายล้อมอยู่โดยมีแม่ทัพหลินเป็นศูนย์กลาง
“ข้าได้รับข่าวว่าองค์ชายซูเหวินกำลังรวบรวมกำลังพลจากเมืองชายแดนด้านตะวันออก หวังจะตีเข้ากลางเมืองโดยใช้เส้นลำน้ำเล็ก” ขุนพลเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
หลินเยวี่ยพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะหยิบแผนที่ขึ้นมา คลี่ลงบนโต๊ะแล้วใช้ปลายนิ้วแตะจุดต่าง ๆ อย่างแม่นยำ
“ให้จี้เฟิงนำกองทัพเคลื่อนกำลังล่วงหน้าไปซุ่มบนเชิงเขา ให้ทหารฝีมือดีคุมทางน้ำ ข้าจะนำกำลังหลักเข้าตีตอนกลางคืน หากเขาคิดจะลอบมา ข้าก็จะลอบกลับไปเช่นกัน”
“แล้วราชสำนักเล่า?” ขุนพลอีกคนเอ่ยขึ้น “องค์ชายจะใช้ราชโองการมาเป็นเกราะป้องกันตนเองแน่”
“ข้าไม่กลัวราชโองการ” เสียงของหลินเยวี่ยเรียบเย็น “เพราะความยุติธรรมไม่มีในราชสำนักอยู่แล้ว”
บรรยากาศภายในเงียบลงทันที ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรต่อจากประโยคนั้นอีก ทุกคนรู้ดีว่าหลินเยวี่ยเคยไว้ใจในราชสำนักขนาดไหน — จนกระทั่งต้องจ่ายด้วยหัวใจตนเอง
คืนนั้น ก่อนออกศึก หลินเยวี่ยยืนอยู่หน้าเรือนพักของเว่ยอัน — เรือนรับรองที่นางเคยจัดไว้ให้เขาเมื่อนานมาแล้ว
มือเรียวยกขึ้น แต่ไม่เคาะประตู นางยืนอยู่นาน จนสายตาเว่ยอันที่มองผ่านผ้าม่านบางก็สบกับนางพอดี
นางเอ่ยเพียงคำเดียว “ลาก่อน”
แล้วหันหลังให้ทันที
เว่ยอันเปิดประตูออกมา เสียงฝีเท้านางยังไม่หยุด เขาเอ่ยเบา ๆ ราวกับอยากรั้ง
“เยวี่ย... เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือไม่”
“ข้าไม่โกรธ...” เสียงของหลินเยวี่ยไม่สั่น แต่ก็ไม่อบอุ่น “เพราะข้าไม่รู้จักเจ้าแล้ว”
หัวใจเว่ยอันเหมือนถูกบีบ มือที่กำแน่นของเขาสั่นเล็กน้อย
“แต่ข้ายังจำทุกอย่างได้...”
“ก็ดี อย่าลืมว่าครั้งหนึ่ง เจ้าคือดาบที่เสียบกลางอกข้า”
หลินเยวี่ยกล่าวจบ ก็เดินจากไป ทิ้งเว่ยอันให้ยืนอยู่กับความหนาวเหน็บของตนเอง
สนามรบคืนถัดมาช่างเงียบกริบ มีเพียงเสียงฝนซัดใบไม้และเสียงเท้าทหารที่เดินอย่างระมัดระวัง
จี้เฟิงซุ่มอยู่ในป่า มองสัญญาณมือของหลินเยวี่ยจากอีกฟาก แม้ไม่ได้พูดกัน แต่เขาเข้าใจแม่ทัพผู้นี้ทุกการเคลื่อนไหว
ในชั่วพริบตา เสียงแตรสงครามดังก้อง หลินเยวี่ยพุ่งตัวพร้อมดาบในมือ ราวกับอสูรร้ายจากตำนาน ดาบของนางวาดเป็นวงอาฆาตกลางพายุ หัวใจของศัตรูหลายร้อยหยุดเต้นโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องขอชีวิต
โอวหยางฮวาผู้เป็นขุนพลฝ่ายตรงข้ามมองเห็นหลินเยวี่ยจากไกล นางยิ้มเย้ย
“เจ้าจะเป็นแม่ทัพหญิงที่เก่งแค่ไหน แต่เจ้าก็ยังเป็นคนที่ถูกความรักทำลายอยู่ดี”
นางกล่าวพลางสั่งให้ทหารลอบล้อมเว่ยอันที่ถูกซ่อนอยู่ในป่า ด้วยหวังว่าเมื่อจับตัวเขาได้ หลินเยวี่ยจะต้องถอย
แต่หลินเยวี่ยไม่ถอย
นางเข้าตีหนักยิ่งกว่าเดิม ดวงตาไร้แววใด ๆ เมื่อมองเห็นเว่ยอันถูกจับ “นั่น...ไม่ใช่คนรักของข้า” นางบอกตนเองซ้ำ ๆ
กระทั่งในที่สุด กองทัพของศัตรูก็ล่าถอย ทิ้งโอวหยางฮวาไว้ในสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพ
“เจ้าจะไม่มีวันรักใครได้อีก” โอวหยางฮวาเอ่ยคำสุดท้ายก่อนหมดสติ
หลินเยวี่ยเพียงก้มมอง แล้วหันหลังกลับ
...----------------...
คืนนั้น เว่ยอันถูกปล่อยตัวกลับมายังค่าย เขาเดินเข้าไปหาแม่ทัพหลินที่กำลังทำแผลให้ตัวเองอยู่ในเต็นท์บัญชาการ
“เหตุใดเจ้าจึงยังช่วยข้า?” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะเจ้าคือภาระที่ข้าต้องแบก ไม่ใช่คนที่ข้ารักอีกต่อไป”
นางไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ
เว่ยอันอยากจะเอื้อมมือไปจับมือเธอ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า
หลินเยวี่ยเพียงกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ความรัก... มันเคยเป็นสิ่งที่ทำให้ข้าอ่อนแอ แต่ตอนนี้... มันไม่มีอีกแล้ว”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!