[บทที่ 1 ]
*ท่ามกลางสมรภูมิเดือดของสนามรบ*
//เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวทั่วทั้งแนวรบ เศษดิน เศษเหล็กกระเด็นขึ้นกลางอากาศ ร่างของทหารคนนั้น—ร่างกายเปรอะเปื้อนด้วยโคลนและเลือด—ยังคงวิ่งต่อไป ฝืนลมหายใจที่รัวถี่ แขนข้างหนึ่งกอดปืนแน่น อีกข้างกอดผ้าขาวที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อและเลือดอย่างระมัดระวัง
ในอ้อมแขนนั้น...เสียงร้องเบาๆ ดังลอดออกมา
“อื๊อ...”
//เด็กทารก...ใช่—ทารกตัวน้อยๆ ถูกห่อเอาไว้ในผ้าขาวนั่น...ดวงตาใสยังไม่เข้าใจโลกเบื้องหน้าว่าโหดร้ายเพียงใด
เสียงฝีเท้าศัตรูตามมาติดๆ...เสียงกระสุนแหวกอากาศเฉียดหัวไปนิดเดียว...
ปัง! ปัง!
//เขากัดฟันแน่น วิ่งพลางหอบหายใจแรง น้ำตาเอ่อคลอแต่ยังไม่ปล่อยให้ไหล...เพราะตอนนี้—เขาต้องรอด...ไม่ใช่เพื่อเขาเอง...แต่เพื่อลมหายใจเล็กๆ ในอ้อมแขนนี้...
“...อีกนิดเดียว...อดทนไว้...ลูกพ่อ..."
//เขากระโจนลงหลบหลังซากรถถังพังๆ เสียงร้องของเด็กดังขึ้นอีกนิด เสียงที่เหมือนตอกย้ำว่าความหวังเล็กๆ ยังมีอยู่กลางนรกของสนามรบนี้
ฟ้าครึ้ม ฝนเริ่มโปรยลงมา กลบเสียงปืนและเสียงกรีดร้องของความตายไว้ชั่วครู่
แต่สงครามยังไม่จบ...และการหนียังไม่สิ้นสุด...
//มือหยาบกร้านที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากดินปืนและการเอาตัวรอด—สั่นเล็กน้อยขณะโอบกอดร่างเล็กนั่นไว้แน่น...ดวงตาของชายผู้นั้นแดงก่ำ น้ำตาปริ่มขอบตาแต่ยังคงฝืนไว้...เขาแนบใบหน้าลงบนผ้าขาวชื้นนั่น รู้สึกถึงไออุ่นเล็กจางๆ ที่ยังคงมีชีวิตอยู่
“...อย่าร้องนะเด็กดี...ได้โปรด...อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น...”
//เสียงหายใจของเขาขาดเป็นช่วง ๆ ราวกับปอดกำลังจะล้มเหลว—แต่เขายังกอดแน่น เหงื่อผสมเลือดไหลผ่านขมับ...กลิ่นคาวโลหิตกับกลิ่นฝนชื้นแฉะคลุ้งในอากาศ
เขาเอนหลังพิงซากรถถัง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดราวกับจะกลืนความกลัวและความสิ้นหวังลงไปพร้อมกัน
//เด็กน้อยในผ้าเหมือนจะรับรู้ถึงความสั่นไหวของอกเขา...ร่างเล็กขยับนิด ๆ พร้อมเสียงสะอื้นเบาๆ...
“แฮ่...อือ...”
//เสียงเล็กแค่นั้น—แต่ราวกับฟ้าผ่าใส่ใจคนเป็นพ่อ...
“...พ่ออยู่นี่...พ่อยังอยู่ตรงนี้นะ..."
//เขาก้มลงจูบหน้าผากของเด็กผ่านผ้าขาว...ก่อนจะสูดหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วตัดสินใจ...
เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง...แม้ขาจะสั่น...แม้เลือดจากแผลที่ต้นขาจะยังไหล...เขาก็จะเดินต่อ...
ไม่ใช่เพื่อชัยชนะของสงคราม...
แต่เพื่อชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่บอบบางที่สุดในอ้อมแขนของเขา...
//เสียงหวีดของกระสุนยังไม่หยุดพัก—มันพุ่งเฉียดหู เสียบต้นไม้ และเจาะพื้นดินเป็นหลุม...แต่เขาไม่หยุด! เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองด้านหลัง...
ร่างของเขาเหมือนพายุฝ่าความตาย ตะเกียกตะกายข้ามเนินโคลน วิ่งตัดพุ่มไม้ ตะโกนด้วยเสียงอัดแน่นของความสิ้นหวัง
“เฮือก—!! แค่...อีกนิดเดียว...!”
//สายฝนยังคงกระหน่ำลงบนไหล่ของเขา กลบเสียงปืน กลบเสียงระเบิด—แต่ไม่อาจกลบเสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรัวของพ่อคนหนึ่ง...และของเด็กทารกที่หอบอ้อมแขนเขาอยู่
ตรงหน้าเขา....ลำธาร! น้ำใสเย็นเชี่ยวไหลผ่านผาหิน เสียงน้ำดังชัดเจนท่ามกลางเสียงสงครามที่ไกลออกไปทีละก้าว
//เขากระโจนพุ่งเข้าไปทันที...น้ำเย็นกระเซ็นขึ้นถึงเอว—แต่เขาไม่หยุด...เดินลุย ฝ่ากระแสน้ำจนถึงอีกฝั่ง ขณะเสียงระเบิดดังตามหลังมาติดๆ!
ตูมมม!!!
เศษดินและสะเก็ดระเบิดกระเด็นเข้าใส่หลังเขา จนเซถลา ล้มกลิ้งไปพร้อมร่างเล็กในมือ...แต่เขายังคงใช้ร่างตัวเองรองรับไว้เต็มแรง
//เขากัดฟันแน่น เลือดจากแผ่นหลังไหลไม่หยุด...แต่แขนทั้งสองยังกอดเด็กน้อยไว้ไม่ยอมปล่อยแม้แต่นิดเดียว...
“แค่...ถึงนี่...พ่อก็จะไม่ปล่อยแล้ว...เข้าใจไหม...?”
//เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนสันเขาเบื้องหน้า—ที่นั่น...คือเขตป่าหลังแนวรบ—เขตปลอดภัย...
“...อดทนหน่อยนะ...ลูกพ่อ...”
แล้วเขาก็ฝืนขาอันสั่นระริกอีกครั้ง—เดินต่อไป...ในขณะที่โลกเบื้องหลังยังคงลุกเป็นไฟ...
........
ปัง!
...........
เสียงกระสุนนัดสุดท้าย...แหลมคม เย็นเยือก เจาะเข้าไปในกะโหลกด้านหลังของเขาราวกับโลกหยุดหมุนในชั่วขณะ
//ร่างของเขาชะงักกึก...ดวงตาที่เคยมีแสงของการดิ้นรน...พลันเบิกโพลง
//เลือดพุ่งเป็นสาย...ก่อนที่เขาจะล้มลงทั้งยืน—ร่างหนาหนักร่วงกระแทกพื้นดัง ตุบ—แต่แขนของเขา...
ยังไม่ปล่อย...
...เด็กทารกในผ้าขาวยังคงถูกโอบไว้ในอ้อมแขนแน่นหนา ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนจากแรงล้ม หรือสะเก็ดจากสงครามรอบข้าง...
//ร่างของผู้เป็นพ่อแน่นิ่งอยู่ตรงชายป่า...ใบหน้าฟุบลงกับพื้นชื้นเปียก เสียงฝนตกซ่าๆ ปะทะหลังเขาที่บัดนี้แหว่งวิ่นด้วยรูกระสุน...
...และในอ้อมแขนนั้น...
“งืมม...”
เด็กน้อยยังคงหายใจ...ดวงตาเล็กกระพริบปริบๆ สั่นกลัว...แต่ยังมีชีวิต
//เสียงกระสุนค่อยๆ ห่างออกไป...
เสียงฝนเริ่มกลบทุกสิ่ง...
เหลือเพียงเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ของชีวิตหนึ่ง...และศพที่ยังกอดเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
…แม้ตายไปแล้ว...
แต่อ้อมแขนนั้นยังปกป้องเธอจนวินาทีสุดท้าย
....
//เสียงฝนซัดกระทบใบไม้เบื้องบน พรางเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาของทหารนายหนึ่งในชุดพรางเปียกปอนไปทั้งตัว...
เขาก้าวออกจากพุ่มไม้ช้าๆ ปืนในมือเล็งต่ำแต่มั่นคงสายตาเพ่งไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น…
...ศพของชายคนหนึ่ง...ในอ้อมแขนของเขา มีผ้าขาวห่อบางสิ่งเอาไว้แน่นหนา...แม้จะหมดลมหายใจไปแล้ว แต่แขนยังคงโอบมันไว้แน่นไม่ยอมคลาย
//ทหารคนนั้นขมวดคิ้ว หยุดอยู่ห่างไม่เกินสองเมตร ปลายนิ้ววางอยู่บนไกปืน...ก่อนจะสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไป
เสียงร้องเบาๆ ดังลอดจากในผ้าขาว...
“ฮึก...แฮ่...อื้อ...”
"...เดี๋ยว...เสียงนั่น..."
//เขารีบทรุดตัวลงช้าๆ เลื่อนปลายปืนออกจากศพ แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปเปิดผ้าขาวนั่น...
และทันทีที่เขาเห็น...
“...ทารก...?”
//ดวงตาเล็กๆ ของเด็กน้อยสบกับเขาโดยตรง—ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความกลัว—แค่ความบริสุทธิ์...ท่ามกลางนรกสงคราม...
ทหารคนนั้นชะงักไป...กลืนน้ำลายอึกใหญ่…แล้วหันมองไปยังร่างของชายผู้ล้มตาย
...แผลกลางกระหม่อม...ทะลุออกด้านหน้า...ไม่มีโอกาสได้รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายไปแล้ว...แต่แขนที่กอดลูกเอาไว้—ยังแน่นราวกับคำสัญญาสุดท้าย
"เขา...ปกป้องเด็กนี่...จนถึงวินาทีสุดท้าย..."
//ทหารคนนั้นค่อยๆ วางปืนลง ดึงผ้าขาวให้แน่นขึ้นอีกนิด แล้วอุ้มเด็กน้อยไว้แนบอกเบาๆ...
“...นายตายแล้ว...แต่นายก็ทำสำเร็จ...”
//เขาเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้าที่มืดครึ้ม...ก่อนจะก้มลงมองใบหน้าของเด็กอีกครั้ง...
“...ฉันจะรับช่วงต่อเอง...”
แล้วเขาก็ลุกขึ้น—อุ้มชีวิตน้อยๆ ไว้แน่น—ก่อนจะหันหลังให้ศพนั้น.....และเดินต่อ...ฝ่าฝน...เข้าสู่ป่าเงียบงัน...ที่อาจจะยังพอมีความหวังรออยู่ข้างหน้า...
//เสียงฝีเท้าแน่นหนักแต่มั่นคงของทหารคนนั้นฝ่าฝนและโคลนกลับไปยังแนวป่าเบื้องหลัง—ที่ซึ่งพรรคพวกของเขากำลังตั้งแนวป้องกัน รอการกลับมาของหน่วยลาดตระเวน...
แขนข้างหนึ่งอุ้มเด็กน้อยไว้แนบอก ขณะที่อีกมือถือปืนไว้ในท่าพร้อมใช้งาน แต่ดวงตาของเขายังคงเหลือบมองใบหน้าเล็กๆ ที่หลับตาพริ้มในผ้าขาวชื้น
“เจ้าตัวน้อย...เกิดมาท่ามกลางนรกแบบนี้...แต่ยังรอดมาได้...”
//เขากัดฟันแน่น หอบหายใจเป็นช่วง ๆ จากการเดินลุยน้ำฝนและภูมิประเทศที่โหดร้าย...แต่ยังไม่หยุด
เสียงวิทยุดังแทรกขึ้นจากกระเป๋าข้างเอว
[ศูนย์ถึงหน่วยสอง...รายงานตำแหน่งด่วน...]
เขาหยิบขึ้นมากดปุ่มสื่อสารเสียงแตกพร่า
“หน่วยสอง...กำลังกลับจุดนัดพบ...พบเด็กหนึ่งราย...และผู้เสียชีวิตหนึ่ง...”
[ยืนยันอีกครั้ง...เด็ก?]
“ยืนยัน—เด็กทารก…ถูกโอบไว้ในอ้อมแขนของศพทหารนิรนาม...”
//เสียงวิทยุเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงสั่งกลับมา
[รีบนำกลับฐาน—แพทย์รอรับอยู่ รหัสเคลียร์!]
เขาไม่ตอบอะไร นอกจากเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก...
//เสียงสายฝนยังคงดังลงบนผืนโลก...แต่เสียงฝีเท้าของเขา—กลับหนักแน่นขึ้นทุกย่างก้าว
เบื้องหน้า เริ่มเห็นเงาของกองทัพเบื้องหลังแนวไม้ ทหารอีกหลายนายหันมามองเขา
“เฮ้! กลับมาแล้ว!”
.....
“นั่น...อะไรอยู่ในแขนน่ะ?”
//เขาก้าวเข้าไปใกล้พวกเขา พร้อมกับสายตาที่จริงจังแต่แฝงความอ่อนโยน...
“ชีวิตหนึ่ง...ที่ใครบางคนยอมตายเพื่อรักษาไว้”
//พวกเขาต่างมองหน้าเขากับเด็กคนนั้นเงียบๆ ก่อนที่หนึ่งในแพทย์สนามจะรีบวิ่งเข้ามารับตัว
...และท่ามกลางความวุ่นวายเบื้องหลัง
เสียงหวีดกระสุน เสียงคำสั่ง เสียงการรักษาพยาบาล...
ร่างเล็กของเด็กคนนั้น...ก็ยังคงหายใจอยู่...
เพราะใครบางคนได้พาเธอข้ามผ่านขุมนรกมาได้อย่างปาฏิหาริย์.
//เสียงฝีเท้าของเขาเหยียบย่ำเข้ามากลางค่าย
ฝ่าฝน...ฝ่าโคลน...และฝ่าความตกตะลึงของผู้คนที่ยืนอยู่รอบแนวลวดหนาม
"นั่นเด็กจริงๆ เหรอวะ..."
"เฮ้ย ไอ้นั่นมันแบกเด็กมา..."
"ในสนามรบเนี่ยนะ...?"
พวกทหารที่เพิ่งกลับจากแนวหน้า บางคนกำลังล้างเลือดออกจากอาวุธ บางคนพันแผลตัวเองอยู่ แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินกลับมาพร้อมสิ่งเล็กๆ ในอ้อมแขน—ทุกเสียงค่อยๆ เงียบลง
//สายตาหลายสิบคู่จ้องมองไปยังร่างในอ้อมแขนของเขา
เด็กน้อยนอนหลับตาพริ้มอยู่ในผ้าขาวที่ชุ่มน้ำและกลิ่นเลือด แต่ยังคงขยับหน้าเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่า...เขายังมีชีวิต
"พระเจ้า..."
"นี่มันอะไรกัน...ไอ้หมอนั่นแบกเด็กฝ่ากระสุนกลับมาได้ยังไง..."
เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นรอบๆ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มากนัก ทุกคนเหมือนถูกตรึงไว้กับภาพตรงหน้า
//หนึ่งในนายทหารระดับสูงเดินออกมา ดวงตาจริงจังจ้องไปที่เด็ก แล้วเงยหน้าขึ้นมองชายผู้แบกเขากลับมา
"เล่ามา...เกิดอะไรขึ้น"
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง...ก่อนจะพูดเสียงนิ่ง ชัดถ้อยชัดคำ
"ผมเจอศพทหารนิรนาม ร่างถูกยิงทะลุหัว...แต่แขนยังคงกอดเด็กคนนี้ไว้แน่น..."
เขาหยุด สูดลมหายใจแน่น ก่อนกล่าวต่อ
"เขาแบกลูกมาทั้งทาง...ฝ่ากระสุน ฝ่าระเบิด...เพื่อให้เด็กนี่มีโอกาสรอด"
//เงียบ...
เงียบทั้งค่าย
ไม่มีใครพูด ไม่มีใครขยับ ไม่มีแม้แต่เสียงฝนที่จะกลบความรู้สึกได้...
ทุกคนมองไปยังเด็กทารกคนนั้น...กับแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ความตกใจ...และความเคารพ
"เขา...คือฮีโร่" ใครคนหนึ่งพูดขึ้นเบาๆ
"...ไม่ใช่เพื่อชาติ...แต่เพื่อชีวิตเล็กๆ หนึ่งชีวิต..."
และในค่ำคืนอันมืดมิดกลางสนามรบ
เสียงหัวใจของเด็กน้อย...ก็ยังคงเต้นต่อไป
—ในอ้อมแขนใหม่ที่สืบทอดเจตนารมณ์ของผู้ล่วงลับ. —
//ท่ามกลางวงล้อมของทหารที่ก้าวเข้ามาดูด้วยความอึ้งและระคนระวัง...สายตาหลายคู่เพ่งมองลงไปยังเด็กน้อยในอ้อมแขนของเขา ร่างเล็ก ๆ ที่นอนซบแน่นิ่งอยู่ใต้ผ้าขาวสะอาดซึ่งตอนนี้เปื้อนฝุ่น ฝน และเลือดจากสงคราม...
“มัน...เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงวะ?”
“เด็กคนนี้ชื่ออะไร...รู้มั้ย?”
“เกิดมายังไงในสนามรบแบบนี้?”
//เสียงคำถามดังขึ้นเบาๆ สลับกับเสียงหายใจขาดๆ ของทหารที่แบกเด็กมา เขาเงยหน้ามองเพื่อนร่วมรบ ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่รู้...ไม่รู้ชื่อ ไม่รู้เพศ ไม่รู้อะไรเลย...”
//เขาก้มลงมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่ตอนนี้กระพริบตาปริบ ๆ อย่างงุนงงจากเสียงรอบตัว ราวกับรับรู้ว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจแล้ว
หนึ่งในพยาบาลสนามเดินเข้ามาเบา ๆ คุกเข่าลงข้างเขา เอื้อมมือมาแตะผ้าขาวก่อนจะค่อย ๆ เปิดมันออกอย่างระมัดระวัง
“เดี๋ยวนะ ขอฉันดูหน่อย...”
//ความเงียบเกิดขึ้นชั่วอึดใจ...ก่อนที่พยาบาลคนนั้นจะเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“...เป็นเด็กผู้หญิง”
เสียงฮือฮาเล็ก ๆ ดังขึ้นรอบวง
“เด็กผู้หญิงเรอะ...”
“กลางสนามรบเนี่ยนะ?”
“...โคตรปาฏิหาริย์”
//ทหารบางคนที่เคยถือปืนมือเปื้อนเลือด...กลับค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่ง ล้อมรอบเหมือนกลัวว่าเสียงลมหายใจของพวกเขาเองจะทำให้เด็กน้อยตกใจ
“นี่แหละ...สิ่งที่ยังเหลืออยู่จากมนุษยธรรม...ในโลกที่เต็มไปด้วยความตาย...” ใครบางคนพึมพำเบาๆ
//เด็กน้อยกะพริบตาอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองทุกคนด้วยดวงตากลมโตใสซื่อ...แล้วยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
...และแค่เพียงรอยยิ้มเล็ก ๆ แบบนั้น—ก็ทำให้เหล่าทหารผู้กร้านผ่านความตาย...
แทบจะลืมไปเลยว่า...พวกเขาอยู่ในสงคราม.
//เสียงฝนเริ่มเบาลง...แต่เสียงหัวใจของเหล่าทหารที่ล้อมวงดูเด็กหญิงน้อยกลับดังกว่าทุกอย่าง—ดังก้องอยู่ในอก
บางคนถอดถุงมือออก หยิบขนมจากกระเป๋าเสื้อมาแกะอย่างเงอะงะ แล้วยื่นให้เด็ก
"กินได้มั้ยวะ?"
"เอ็งคิดว่าเด็กอายุแค่นี้จะแทะขนมอบกรอบได้รึ?"
"ก็...กูแค่อยากให้ไรสักอย่าง..."
//ชายคนนั้นยิ้มแหยๆ ขณะเก็บขนมกลับใส่กระเป๋า บางคนเอาเหรียญพกติดตัวออกมาวางไว้ข้างๆ ผ้าอย่างเงียบๆ—เหมือนมอบโชคเล็กๆ ให้ชีวิตใหม่
เสียงแว่วจากพยาบาลสนามดังขึ้นอีกครั้ง
"เธอไม่มีชื่อใช่ไหม?"
//ทุกคนเงียบ...
พยาบาลเงยหน้าขึ้นมองเหล่าทหารรอบตัว แล้วเอ่ยช้า ๆ
"...งั้นเราตั้งให้เธอกันมั้ย?"
"ตั้งชื่อ?"
"ใช่..."
"ชื่อที่ไม่มีสงครามอยู่ในนั้น..."
//มีคนหนึ่งขยับปากเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วกลับนิ่งไป
...และทหารผู้แบกเด็กกลับมาก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา...
“โซล...”
//หลายคนหันมามองเขา...สายตาฉงนปะปนกับความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก
“เพราะเธอ...เหมือน ‘จิตวิญญาณ’ สุดท้าย...ที่ยังบริสุทธิ์อยู่ในนรกนี่...”
เงียบอีกครั้ง...ก่อนจะมีใครบางคนยิ้ม มองหน้าเด็ก
“โซล...ดีว่ะ”
“ยัยหนูโซล...”
“เด็กเกิดใหม่จากนรกบนดิน...”
“ไม่สิ—ต้องเรียกว่านางฟ้าจากสมรภูมิ”
//เสียงหัวเราะแผ่วๆ หลุดจากปากใครบางคน—ไม่ใช่เย้ยหยัน...แต่เป็นเสียงหัวเราะแรกในรอบหลายวันของคนที่เอาชีวิตรอดจากนรกมา
เด็กหญิงโซลขยับตัวเล็กน้อยในอ้อมแขน...ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ดวงหน้ายังนุ่มนวล ไม่สะทกสะท้านต่อความวุ่นวายรอบตัว
...และไม่ว่าเธอจะจำอะไรไม่ได้เลย...
แต่เธอจะโตขึ้นโดยมีชายคนนั้นเป็นตำนาน
ตำนานของ "ผู้ที่กอดเธอไว้...แม้ในวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ"
และเหล่าทหารทั้งหลาย...จะไม่มีวันลืม
ว่าในวันที่โลกพังทลาย...
เด็กหญิงคนหนึ่งรอดมาได้
—และกลายเป็นความหวังเพียงหยดสุดท้าย...ของพวกเขาทุกคน.
//ท้องฟ้าค่อย ๆ เปิด...แสงแดดอ่อน ๆ ทะลุม่านเมฆลงมากระทบพื้นโคลน สะท้อนกับหยดน้ำฝนที่เกาะตามใบไม้ เป็นประกายวาววับ
ในวงล้อมของเหล่าทหาร...โซลยังคงหลับสนิท ใบหน้าเล็กซบลงตรงกลางอกของผู้ที่อุ้มเธอไว้ มือจิ๋วๆ ขยับนิดๆ เหมือนจะคว้าอะไรในความฝัน
"เธอคงไม่รู้หรอก..."
เสียงหนึ่งพูดขึ้นเบาๆ ในหมู่พวกเขา
"...ว่าแค่การมีอยู่ของเธอ มันทำให้พวกเรารู้ว่าเรายังมีอะไรให้เชื่ออยู่บ้าง..."
ทหารคนหนึ่งที่เคยเย็นชา เอาแต่จ้องศพเพื่อนร่วมรบ...บัดนี้นั่งยองๆ ข้างโซล มองดูอย่างละเมียดละไม...น้ำตาปริ่มโดยไม่รู้ตัว
“ให้ตายสิ...มันรู้สึกเหมือนกูเห็นลูกตัวเองเป็นครั้งแรก...”
เสียงพึมพำเบาๆ นั้น...ไม่มีใครหัวเราะ ไม่มีใครแซว ทุกคนเข้าใจ
//นายทหารผู้มีอำนาจสูงสุดในค่ายเดินออกมาช้า ๆ หยุดยืนอยู่หน้าเด็กหญิง ท่ามกลางสายตานับสิบคู่
"ทุกคน..." เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น
"จากวันนี้ไป เด็กคนนี้จะได้รับสถานะ ‘บุคคลคุ้มกันพิเศษ’ ภายใต้การดูแลของกองพันนี้"
"ไม่ใช่เพราะเธอเป็นสมบัติ...แต่เพราะเธอคือสิ่งที่หลงเหลือจากมนุษยชาติที่เรากำลังปกป้อง"
//ทุกคนขยับตัวตรงพร้อมกัน...เหมือนสัญชาตญาณตอบรับประกาศนั้นในทันที
"ผู้ที่เสียสละเพื่อเธอ จะไม่มีวันถูกลืม
และเธอ...จะไม่มีวันเดินอยู่คนเดียว"
...ลมหายใจของโซลยังคงสม่ำเสมอ...
เธอไม่รู้หรอกว่ารอบตัวเธอมีสายตาและหัวใจนับสิบ ที่พร้อมจะตายแทนเธออีกคนต่อคน
ใครบางคนห่มเสื้อคลุมให้ร่างเธอไว้เบาๆ
ใครบางคนเดินไปเก็บไม้สร้างเปลชั่วคราว
ใครบางคนเตรียมผ้าแห้ง ผ้าห่ม น้ำอุ่น...
พวกเขาคือทหาร...
แต่ในชั่วโมงนั้น—พวกเขาเป็นพ่อ เป็นพี่ เป็นครอบครัว
เป็นโลกใหม่ของโซล
และในความเงียบสงบหลังพายุสงคราม...
เสียงหนึ่งในหัวใจของพวกเขายังคงก้องกังวานไม่จางหาย—
"นี่อาจไม่ใช่จุดจบของสงคราม...
แต่มันคือจุดเริ่มต้นของความหวัง."
//แม้จะเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มและความอบอุ่นจากรอยยิ้มเล็ก ๆ ของโซล แต่เมื่อผ่านไปเพียงไม่กี่นาที...เสียงกระซิบเสียงแรกก็ดังขึ้น
“เอ่อ...ว่าแต่ว่า...”
“...เด็กทารกต้องกินนมใช่ปะ?”
“เออใช่! แล้วเราจะหา—”
“...นมจากไหนวะ?”
//ความเงียบกลืนกินทั้งวงอีกครั้ง...แต่นี่ไม่ใช่ความซาบซึ้ง—แต่เป็นความ “ตระหนัก”
ทุกคนหันมองหน้ากันช้าๆ เหมือนเพิ่งรู้ว่าเพิ่งเก็บ "ระเบิดเวลาเล็กจิ๋ว" มาไว้กลางค่าย
“กูไม่ใช่แม่วัวนะ!” ใครบางคนโพล่งขึ้น
“ก็ไม่มีใครเป็นมั้ยล่ะ!!” อีกคนเถียงเสียงหลง
พยาบาลสาวรีบโบกมือห้ามก่อนที่วงจะกลายเป็นมหกรรมเถียงไร้สาระ
“ใจเย็นๆ! ฉันมีขวดป้อนกับจุกนมสำรองอยู่ แต่นมผงน่ะ...”
“มันอยู่ในเสบียงกองกลาง ที่แนวรบด้านตะวันออก...”
"ซวยแล้ว..."
"แล้วไอ้แนวรบตะวันออกนั่น...ตอนนี้มันกำลังโดนปิดล้อมใช่มั้ยวะ?"
//เสียงถอนหายใจดังขึ้นรอบวง ราวกับทุกคนเพิ่งโดนลากกลับเข้าสู่ความจริงที่โหดร้ายของสนามรบ
ชายผู้แบกโซลกลับมา ยังคงอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน เขาพูดเสียงแผ่วแต่นิ่ง
"เด็กนี่สู้มากพอแล้ว...เราจะปล่อยให้เธอต้องอด...ไม่ได้"
"เราจะไม่ให้เธอต้องเสียใจกับการที่รอดชีวิตมา"
"จะลุยแนวรบก็ลุย...แค่เพื่อมื้อแรกของเธอ"
//ทุกคนมองเขา...ก่อนที่อีกหลายเสียงจะเริ่มพูดขึ้นพร้อมกัน
"ฉันไปด้วย"
"บอกทางมาเลย เดี๋ยวกูบุกเอานมมาเอง"
"ไปแค่หานม ทำไมมันดูโคตรยิ่งใหญ่แบบนี้วะ..."
"ก็เพราะมัน สำคัญที่สุด ไงล่ะ..."
เหล่าทหารผู้ผ่านสงคราม ผ่านความตาย ผ่านการฆ่าฟัน...
ตอนนี้กำลังเตรียมภารกิจที่เปลี่ยนไปจากทุกสิ่งที่พวกเขาเคยเจอ—
"ปฏิบัติการ: เก็บกู้เสบียงและนมผง"
//และสำหรับเด็กทารกตัวน้อยในอ้อมแขน...
เธอไม่มีวันรู้หรอกว่า
สงครามครั้งใหม่เพิ่งเริ่มต้น..เพราะเธอหิวนม
//เสียงฝีเท้าเริ่มเร่งจังหวะ ทหารกลุ่มหนึ่งเตรียมเสบียง ปืน กระสุน และเส้นทางบนแผนที่—แต่ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อบุกตีฐานข้าศึก ไม่ใช่เพื่อยึดคืนแนวป้องกัน...
แต่เพื่อ “ขวดนมผง” หนึ่งกระสอบ
เพื่อปากเล็กๆ ที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งคำว่า “สงคราม”
ใกล้เต็นท์พยาบาล ชายผู้แบกโซลกลับมายังนั่งนิ่ง เด็กหญิงน้อยยังคงนอนอยู่ในอ้อมแขนเขา
พยาบาลกำลังต้มขวดน้ำร้อน เตรียมของเท่าที่มีได้ในภาวะขาดแคลน
“เราอุ่นน้ำไว้ก่อนเลยนะ เผื่อพวกนั้นเอานมกลับมาทัน...”
“เธออดได้นานแค่ไหนนะหนูน้อย...”
//เสียงลมหายใจของโซลเริ่มขาดเป็นช่วง ๆ ปากเล็กๆ ดูดอากาศเงียบๆ ด้วยความหิว
“...ฉันรู้...เธอหิวใช่มั้ย...”
เขากระซิบ พลางใช้นิ้วแตะหน้าผากนิ่มๆ ของเธอเบาๆ
“รออีกนิด...พวกเขากำลังจะกลับมา...เพื่อมื้อแรกของเธอ..”
ด้านแนวรบตะวันออก
เสียงปืนยังดังต่อเนื่อง—ทหารกลุ่มที่ได้รับภารกิจ “ปฏิบัติการ: ช่วยนมให้โซล” กำลังลอบฝ่าแนวข้าศึกในความมืด
“เห็นกล่องเสบียงนั่นมั้ย?”
“เห็น...ไอ้นมผงนั่นอยู่ในนั้น...”
“ยิงเปิดทาง แล้วลุยเลย!”
ปัง! ปัง! ตูมม!!
เสียงระเบิดดังสนั่นในจังหวะที่พวกเขาเผ่นเข้าหลังกล่องเสบียง
คนหนึ่งคว้าถุงนมผงขึ้นมาสูงสุดแขนตะโกนลั่น
“ได้มาแล้ววว!!”
“รีบเผ่นกลับก่อนที่ตูดจะกลายเป็นรู๊!!!”
เวลาผ่านไป 47 นาที
เต็นท์พยาบาลเริ่มแน่นขึ้น—เสียงเด็กน้อยเริ่มร้องแผ่ว ๆ ปากเล็กเริ่มสะอื้นเบาๆ...ขวดที่ต้มไว้ยังวางอยู่…แต่ว่างเปล่า
“ขออย่าให้พวกเขาช้าไปเลย...”
“โซล...อดทนอีกนิดเดียว...”
ตูมมม!!
เสียงรถลำเลียงพุ่งเข้ามาที่ฐานกลางค่าย พวกทหารคนอื่นๆ รีบวิ่งไปดู
“ของมาส่งแล้ว!”
“เปิดทาง—มีทารกรออยู่!!”
เสียงเฮดังขึ้นเป็นระลอกเหมือนชนะศึกใหญ่
ถุงนมถูกส่งต่อกันเหมือนธงชัยแห่งชีวิต—จากมือหนึ่งไปสู่อีกมือ...จนถึงเต็นท์พยาบาล
ขวดนมถูกริน ชง อุณหภูมิพอดี
ปลายจุกสัมผัสริมฝีปากเล็กๆ ที่สั่นน้อยๆ ก่อนจะดูดเบาๆ...
...เสียงดูดนมแผ่วๆ ดังขึ้นในเต็นท์
...และตอนนั้นเอง—ไม่มีเสียงอะไรอีกแล้ว
ไม่มีเสียงปืน
ไม่มีเสียงสงคราม
ไม่มีใครพูด
มีแค่รอยยิ้ม
กับน้ำตา
ที่ร่วงลงพร้อมกัน...ในวินาทีที่ทารกน้อยชื่อ "โซล"
ได้กินนมครั้งแรก...ในโลกที่เต็มไปด้วยความตาย
และเหล่าทหารรู้ทันที—
ว่าสิ่งที่พวกเขาทำ
ไม่ใช่แค่ “ภารกิจ”
แต่มันคือ การกอบกู้ “ชีวิต”
ชีวิตที่ไม่มีใครกล้าเชื่อ...ว่าจะมีหวัง.
//ขณะเสียงดูดนมแผ่ว ๆ ยังดังอยู่ในเต็นท์ ร่างเล็กในอ้อมแขนค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ ริมฝีปากที่เคยแห้งแตะจุกนมอย่างกระหาย บัดนี้เริ่มดูดช้าลง ช้าลง...เหมือนร่างกายเล็ก ๆ ได้รับไออุ่นที่รอคอยมาทั้งชีวิต
“...หลับแล้ว...” พยาบาลกระซิบเบา ๆ พลางยิ้มบาง ๆ
ขวดในมือของเธอแทบไม่หลงเหลือน้ำนมแล้ว—แต่ไม่มีใครบ่นเลยสักคำ แม้แต่นมเพียงหยดเดียวก็ไม่เสียเปล่า
ชายผู้แบกโซลกลับมาเงียบไปครู่หนึ่ง เขานั่งลงข้างเปลชั่วคราวที่เพิ่งทำเสร็จ…ตาคู่นั้นมองเธอแน่นิ่ง ไม่ยิ้ม...แต่มันเต็มไปด้วยแสงที่ไม่เคยมีมาก่อน
“...นี่แหละ...ความเงียบสงบที่แท้จริง”
ภายนอกเต็นท์
เหล่าทหารที่เคยกร้านโลก หลายคนเคยเผชิญกับความตายจนด้านชา…
บางคนสูญเสียเพื่อน บางคนสูญเสียตัวตน แต่คืนนี้…
“ฉันไม่เคยคิดว่าจะร้องไห้เพราะเด็กคนหนึ่งกินนมได้...”
“เอาจริง...กูก็ไม่คิด”
“มันเหมือน...แม่งมีอะไรบางอย่างกลับมาหาเรา...”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังจากอีกมุม มีใครบางคนกำลังวาดใบหน้าโซลลงบนฝาผนังลังไม้ เสริมด้วยคำว่า
> "Hope Lives"
—ความหวังมีชีวิต
ณ เต็นท์บัญชาการ
นายพลของค่ายนั่งพิงโต๊ะ ขมวดคิ้วจ้องเอกสาร ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“...ย้ายเด็กไปศูนย์กลางไม่ได้ในเร็ววัน...”
“เส้นทางยังอันตรายเกินไป—ฐานนี้จะกลายเป็นบ้านของเธอชั่วคราว”
“ประกาศให้รู้ทั่วทั้งแนวรบ...เรามี ‘โซล’ อยู่กับเรา”
“และใครก็ตามที่กล้าแตะต้องเธอ...จะต้องฝ่ากำแพงของเหล่าทหารที่พร้อมตายเพื่อชีวิตเดียวนี้”
เวลาผ่านไปจนถึงค่ำคืน
ในเปลไม้ไผ่ที่เรียบง่าย โซลนอนหลับอย่างสงบ
พยาบาลคอยเช็ดหน้าให้เธออย่างแผ่วเบา
ข้างนอก เต็นท์ล้อมด้วยเหล่าทหารที่ผลัดเวรกันเฝ้า
บางคนหอบผ้าห่มมาเพิ่ม
บางคนเฝ้ามองด้วยความคิดถึงลูกที่จากไป
บางคน...แค่ต้องการเห็นเธอมีชีวิตไปถึงพรุ่งนี้
และในคืนนั้น...ไม่มีระเบิด ไม่มีเสียงปืน ไม่มีคำสั่งฆ่า ไม่มีคำสาปแช่ง
มีเพียงลมหายใจของเด็กน้อย และเสียงหัวใจของชายหญิงทั้งค่ายที่เต้นไปพร้อมกัน
"เธอไม่ได้เกิดมาเพื่อสู้..."
"แต่เธอ...ทำให้พวกเรา ‘หยุดสู้’ ได้เป็นครั้งแรก"
...บางทีสงครามอาจยังไม่จบ
แต่สำหรับคนในค่ายเล็ก ๆ นี้
คืนนี้—คือคืนแรกที่โลกมันเงียบลง
เพราะ "โซล"...
เด็กหญิงที่กินนมครั้งแรกในกลางสมรภูมิ.
-----------------------------------------------------------------------
[จบบทที่ 1]
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนิยายของพวกเรา
[บทที่ 2 ]
//ฟ้าคืนนี้สงบผิดปกติ—ไม่มีเสียงสัญญาณเตือนภัย ไม่มีเสียงกรีดร้องของวิทยุสนาม ไม่มีเสียงโซ่เหล็กลากปืนใหญ่—มีเพียงลมอ่อน ๆ ที่พัดเอากลิ่นดินเปียกฝนผ่านแนวเต็นท์...คล้ายจะบอกว่า "คืนนี้ปลอดภัยแล้ว"
ในเปลไม้ไผ่ข้างเตียงพยาบาลสนาม ร่างเล็กของโซลนอนหลับตาพริ้ม
ข้างตัวเธอ มีตุ๊กตาไหมพรมตัวหนึ่งที่พยาบาลถักอย่างทุลักทุเลจากเศษเสื้อขาด ๆ
มือเล็กของเธอกำไว้แน่น…นิ้วจิ๋ว ๆ ขยับนิด ๆ ทุกครั้งที่ลมเย็นพัดผ่าน
“เด็กคนนี้มีพลังบางอย่าง...”
เสียงนายทหารเวรพูดขณะยืนคุยกับเพื่อนร่วมกะ
“หมายถึงพลังพิเศษเหรอ?”
“เปล่า...” เขาสูดลมหายใจยาว
“หมายถึงพลังที่ทำให้คนอย่างเรา...อยากมีชีวิตต่อไปว่ะ”
อีกมุมหนึ่งของค่าย
ชายผู้พาโซลกลับมา—ตอนนี้นั่งอยู่ลำพังหน้าเตาไฟชั่วคราว
มือหนึ่งยังถูปลอกแขนที่เปื้อนเลือดพ่อของเด็ก หัวใจเขาหนักอึ้ง...แต่สายตากลับนิ่งสงบ
พยาบาลสาวเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ส่งถ้วยน้ำร้อนให้เขา
“เธอหลับสบาย...เพราะนาย”
เขาไม่ตอบในทันที แค่จิบช้า ๆ แล้วพึมพำ...
“แต่พ่อของเธอ..ไม่มีโอกาสเห็นเลย”
“ไม่มีแม้แต่เวลาจะรู้ว่า เขาช่วยเธอไว้ได้จริง ๆ”
พยาบาลเงียบ—ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ
“ถ้างั้น...นายก็ต้องเล่าให้เธอฟัง”
“ให้เธอรู้ว่าเธอเกิดมาท่ามกลางอะไร...และมีใคร ‘ตายเพื่อให้เธอได้ลืมตาดูโลก’”
เขายิ้มเศร้า
“ฉันจะเล่า...จนกว่าเธอจะจำมันได้ด้วยตัวเอง”
คืนนั้น...
ไฟกลางค่ายยังส่องสว่างเบา ๆ
ทหารหลายคนยังนั่งเวียนรอบเปลของโซล สลับกันมาเฝ้า แม้จะไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน
บางคนเอาหนังสือภาพเก่า ๆ มาทิ้งไว้ข้างเปล
บางคนทำสายรัดข้อมือเล็ก ๆ จากสายรัดปืน
บางคน...แค่ร้องเพลงกล่อมเบา ๆ จากบ้านเกิดที่ไม่ได้ร้องมานานหลายปี
และในยามดึกที่สุดของค่ำคืนนั้น
โซลลืมตาขึ้นช้า ๆ
เธอไม่ร้อง ไม่ตื่นตกใจ
แค่เงียบ มองแสงไฟสลัวรอบตัวเธอ
ราวกับกำลัง "ฟัง" บางอย่างที่ไม่มีเสียง
...ก่อนที่เปลือกตาเล็กจะปิดลงอีกครั้ง
พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า
นั่นคือรอยยิ้มที่เปลี่ยนค่ายทหารให้กลายเป็นบ้าน
เปลี่ยนทหารให้กลายเป็นครอบครัว
และเปลี่ยนสงคราม...ให้กลายเป็นความหวัง
นี่ไม่ใช่แค่การมีชีวิตอยู่
แต่มันคือการ “เริ่มต้นใหม่”...ของพวกเขาทั้งค่าย
เพื่อ "โซล"
เด็กหญิงคนเดียว...ที่เติบโตจากปาฏิหาริย์กลางสมรภูมิ.
//เช้าวันถัดมา...ฟ้าเปิดโล่งแสงแดดยามเช้าสาดลงมาบนผืนดินเปียกแฉะของค่ายสงคราม กลิ่นดิน กลิ่นเหล็ก กลิ่นควันไฟ...ยังไม่ทันจาง แต่เสียงปืนกลับเงียบไปแล้วหนึ่งวันเต็ม
...บางคนไม่เชื่อว่าสงครามจะยอมหยุด
แต่ทุกคนยอมรับตรงกันว่า—เธอทำให้ "เวลา" ช้าลงจริงๆ
โซลยังคงนอนอยู่ในเปลไม้ใต้ชายผ้าใบขาวสะอาด รอบตัวเธอแน่นขนัดไปด้วยของใช้จำเป็นที่ถูกส่งมาจากทุกหน่วยภายในวันเดียว ทั้งจากแนวหน้า หน่วยซัพพลาย ไปจนถึงนักบิน.
นมผงห่อใหม่ยังไม่แกะ
ผ้าอ้อมผืนสะอาดจากผ้าพันแผล
รองเท้าถักจากถุงมือเก่า
และ “ตุ๊กตาทหารหัวกลม” เย็บจากเสื้อทหารเก่า
“กูเพิ่งรู้ว่า...พวกเราทำอะไรได้เยอะกว่าการฆ่าคนอีกว่ะ”
เสียงทหารแถวโรงครัวพูดขำ ๆ ขณะกำลังบดข้าวต้มให้เหลวลงอีก
“จริง...แค่เห็นเธอกระดิกเท้านิด ๆ กูก็อยากไปฝ่าระเบิดหาจุกนมมาให้แล้ว”
ตรงเต็นท์บัญชาการ
รายงานลับกองทัพแจ้งข่าวว่า
> “ฝ่ายตรงข้ามถอนแนวรบชั่วคราว เหตุเพราะเข้าใจผิดว่าเรากำลังมีตัวประกันสำคัญ”
แต่นายพลเพียงปิดแฟ้มเงียบ ๆ แล้วพึมพำ
“หึ...ตัวประกันเหรอ?
ไม่ใช่หรอก
‘เธอ’ คือ ‘หัวใจ’..ของเราต่างหาก"
ใกล้เที่ยงวัน
โซลตื่นขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลมใสกะพริบปริบ ๆ ก่อนจะสบกับชายที่เคยแบกเธอกลับมา—เขาไม่พูดอะไร
แค่ยื่นนิ้วก้อยไปให้เธอ...
และโซล...ก็ยกมือจิ๋วๆ ขึ้นมาจับเอาไว้เบาๆ
ในวันแรกของสงคราม...พวกเขาสู้เพื่อเอาตัวรอด
แต่ในวันนี้...พวกเขาสู้ ‘มีชีวิต’ เพื่อรอดูวันที่เธอเติบโต
ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตของเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร
เธออาจลืมทุกอย่างที่เคยเกิด
อาจเติบโตเป็นใครสักคนที่ไม่เคยรู้จักสงคราม
แต่ที่แน่ ๆ คือ...
"เมื่อใดก็ตามที่เธอหกล้ม—จะมีทหารทั้งกองพันลุกขึ้นพร้อมกัน"
เพียงเพื่อพยุงเธอกลับมายืน
เพราะในโลกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ นี้
“โซล” ไม่ใช่แค่ทารก
แต่คือสิ่งที่ยืนยันว่า—พวกเขายังเป็นมนุษย์.
//บ่ายวันนั้น…ลมพัดเอื่อยพาเอาใบไม้ปลิวผ่านแนวลวดหนาม ปลิวข้ามเต็นท์พยาบาลที่กลายเป็นศูนย์กลางของทั้งค่ายโดยปริยาย ไม่ใช่เพราะมีอาวุธ ไม่ใช่เพราะมียุทธศาสตร์สำคัญ…
แต่เพราะ “เธอ” อยู่ที่นั่น
เด็กหญิงร่างเล็กที่ไม่แม้แต่จะพูดได้ ยังฟังไม่เข้าใจโลกนี้...แต่กลับกลายเป็นจุดศูนย์รวมของหัวใจทั้งค่าย
ภายในเต็นท์
โซลนั่งอยู่ในเปลไม้อีกครั้ง แข็งแรงขึ้นเล็กน้อยพอจะยกแขนปัดอากาศ พอจะขยับขาเตะเบา ๆ ในอากาศอย่างไร้จุดหมาย
ชายผู้แบกเธอกลับมานั่งอยู่ข้างเปลเงียบ ๆ
ในมือเขามีซองกระดาษเก่า ๆ ฉีกมาจากสมุดบันทึกสนาม เขาค่อย ๆ เขียนชื่อลงไป
> "ชื่อ: โซล
วันพบ: [12/11]
พิกัด: แดนตะวันตกแนวรบที่ 9
ผู้พบ:..."
เขาหยุดชั่วครู่ มองหน้าเด็กหญิงที่เงยขึ้นสบตาเขา
ก่อนจะเขียนต่อเบา ๆ ด้วยลายมือสั่น ๆ
> ผู้พบ: “ครอบครัว.”
ภายนอก
ในสนามว่างหลังแนวเต็นท์ มีเหล่าทหารนับสิบคนกำลังฝึกกล่อมเด็กอย่างลับ ๆ
“ไม่ ๆ อย่าเขย่าแรงเกิน เดี๋ยวคอเด็กหลุด!”
“เสียงกล่อมแบบนี้เหรอ?” เสียงทหารร้องเพลงกล่อมเด็กเสียงเขาแหบห้าว จนดูเหมือนขู่ศัตรูมากกว่ากล่อมเด็กหลับ
“กล่อมเด็กโว้ยย!! ไม่ใช่ขู่ให้กลัว!!“
บางคนพยายามทำของเล่นจากกระป๋องเปล่า
บางคนวาดภาพสัตว์ใส่ผ้าปูรองเปล
บางคนแค่ยืนถือขวดนมสำรอง แล้วบอกว่า "ถ้าเธอร้อง กูพร้อมทุกเมื่อ"
ตกเย็นวันเดียวกัน
เงาของเสาธงยาวทอดข้ามเปลไม้ของโซล ทาบร่างเล็กของเธอที่หลับปุ๋ยอีกครั้งหลังจากอิ่มนมและหัวเราะครั้งแรกในชีวิต แม้จะเป็นแค่เสียง "แอะ" เล็ก ๆ แต่ทุกคนในเต็นท์แทบจะร้องไห้..
ชายผู้อุ้มเธอกลับมา—ตอนนี้มีชื่อใหม่ในค่าย...
“ผู้คุมหัวใจ”
…ชื่อที่ทุกคนเรียกเขาโดยไม่ถามชื่อจริง
และค่ำคืนนี้…
พวกเขาไม่ได้วางแผนโจมตี
ไม่ได้เตรียมรถลำเลียง
ไม่ได้ตรวจนับกระสุน
แต่พวกเขาเตรียมสิ่งสำคัญกว่า
ขวดนมสำรอง 3 ขวด
ผ้าอ้อมใหม่
ปืนพร้อมยิงเฉพาะเพื่อ “คุ้มครอง”
และคำสาบานที่ไม่ได้พูดออกมา...
> ว่าถ้าเด็กคนนี้ร้อง…พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เธอ “ร้องคนเดียว”
เพราะแม้เธอจะพูดไม่ได้ แต่เธอกลับพูดกับใจพวกเขาได้ทุกคน
และ ณ ค่ายสงครามกลางแดนตะวันตก…
ค่ำคืนนี้ เงียบ...อบอุ่น...และ “มีชีวิต”
เพราะเด็กหญิงคนหนึ่ง
ที่ชื่อว่า “โซล”
ยังหายใจอยู่.
//คืนที่สองของโซล...สงครามยังไม่สิ้น แต่คืนคืนนี้ กลับมีอะไรบางอย่างที่ สงบกว่าเมื่อวาน
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาว—ท่ามกลางโลกที่ขาดวิ่น เศษหิน เศษกระดูกและเสียงความตาย ดาวยังส่องอยู่เหมือนเดิม
โซลหลับไปนานแล้ว ร่างเล็กขดตัวใต้ผ้าห่มที่ทำจากเศษผ้าที่หาได้มันถูกเย็บต่อกันอย่างตั้งใจ.. ผ้าห่มที่อบอุ่นที่สุดในค่ายนี้ ตุ๊กตาที่เย็บจากเสื้อของทหารวางแนบข้างแก้มเล็ก
เธอหลับ...ราวกับไม่เคยรับรู้ว่าโลกที่เธออยู่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน
ที่เวรยาม
นายทหารเวรยืนพิงปืน มองไปยังเต็นท์ของโซลที่มีแสงไฟอบอุ่นลอดออกมา
เสียงซุบซิบจากหน่วยลาดตระเวนข้างเคียงเริ่มดังขึ้น
“แกได้ข่าวมั้ย...แนวรบทางเหนือส่งสารมาขอรูปโซล”
“บอกว่าอยากแปะไว้ในโรงครัว ให้พวกที่นั่นได้เห็นว่าพวกเราสู้ไปเพื่ออะไร”
“ใช่...แม้แต่กองซ่อมยุทโธปกรณ์ยังส่งผ้าอ้อมมาให้เลยนะโว้ย มึงจะเชื่อมั้ย!?”
ภายในเต็นท์พยาบาล
พยาบาลหญิงคนเดิมนั่งจดบันทึกลงสมุดเล่มหนา
หน้าหนึ่งมีชื่อโซลติดไว้อย่างสวยงาม
> โซล – วันแห่งชีวิตใหม่
> • กินนม 2 ครั้ง
• หัวเราะ 1 ครั้ง
• ขยับเท้าแรงจนสะดุ้งเอง 1 ครั้ง
• หลับสนิทไปเองโดยไม่ร้องไห้
เธอวางปากกา แล้วยิ้ม
“ลูกเอ๊ย...แค่วันนี้ วันเดียว...เธอเปลี่ยนโลกของคนทั้งค่ายได้เลยนะรู้มั้ย...”
และที่ปลายเต็นท์
ชายผู้คุ้มกันเธอ ยังคงไม่หลับ
เขานั่งกอดเข่า มองหน้าโซลจากไกล ๆ ไม่พูด ไม่ขยับ ราวกับลมหายใจของเขาเชื่อมกับจังหวะหลับของเด็กน้อย
ก่อนที่เสียงบางเบาจากชายอีกคนจะดังขึ้นหลังเขา
“...นี่กูขอถามจริงจังนะ”
“ถ้าสมมติวันหนึ่งสงครามจบ...มึงจะพาเธอไปอยู่ที่ไหน?”
เขาไม่ตอบทันที
เขาแค่หลุบตามองเปล...
แล้วตอบช้า ๆ
“...ทุกที่ ที่ไม่มีเสียงปืน”
และในความเงียบ…
เสียงลมหายใจของโซลยังคงสม่ำเสมอ เสียงเล็กน้อยของผ้าห่มไหวเบา ๆ กับลมเย็น เสียงไม้เปลที่ลั่นทีละนิดเหมือนจังหวะกล่อม...
ชายผู้คุ้มกันเธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแววตานิ่ง ลึก
เขาไม่ได้หลับเลยตั้งแต่คืนแรก
เขากลัว...กลัวว่าหากพลาดเพียงวินาทีเดียวเธอ อาจจะอาจจะหายไปจากเปล
แต่ตอนนี้...ไม่มีเสียงปืน ไม่มีระเบิด ไม่มีวี่แววของศัตรู
มีแค่เด็กน้อยในผ้าห่มบาง กับใจทหารที่เหนื่อยล้า
อีกฟากหนึ่งของค่าย
เสาธงยาวสูงตระหง่าน สะบัดเบา ๆ ใต้แสงจันทร์
ป้ายผ้าชั่วคราวผืนหนึ่งถูกแขวนไว้ด้านล่างของธงใหญ่
วาดมือด้วยดินสอ แทบจะมองไม่เห็นหากไม่เข้าใกล้
มันเขียนไว้ด้วยลายมือที่ไม่ค่อยมั่นคงนักว่า...
> “ถ้าคุณได้เห็นรอยยิ้มของเธอคุณจะไม่อยากทำร้ายใครอีกเลย”
เวลา: ตี 3
ทหารเวรผลัดเปลี่ยนอีกคู่เข้ามาเฝ้า
หนึ่งในนั้นแอบยื่นของบางอย่างให้ชายผู้คุ้มกันโซล
“ของฝากจากแนวเหนือ…พวกนั้นสละมาจากเสบียงตัวเอง”
ของในถุงนั้นคือ...นมผงรสวานิลลา
พร้อมกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนไว้ว่า:
> “ให้เธอได้ลิ้มรสชาติที่ดีกว่าสงครามเสียที”
เขามองถุงนั้น…ไม่พูดอะไร
แค่รับไว้แน่น…แล้ววางไว้ข้างเปลโซล
ตี 4:45
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีอ่อน
เสียงไก่ป่าร้องแผ่ว ๆ จากแนวป่า
แสงแรกกำลังจะมา
เด็กหญิงในเปล...เริ่มขยับตัวเล็กน้อย
คิ้วเล็ก ๆ ขมวดนิด ๆ ตามประสาทารกที่ฝันถึงอะไรบางอย่าง
และเมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง...
เป็นรอบที่สามของชีวิตในค่ายนี้
...เธอมองไม่เห็นสงคราม
เธอเห็นแค่ชายคนหนึ่ง ที่ยื่นหน้าเข้ามายิ้มเบา ๆ พร้อมคำพูดแผ่วเบา…
“อรุณสวัสดิ์...โซล”
และในยามเช้านั้น...
ไม่ว่าใครจะพ่ายในสงคราม
ไม่ว่าโลกจะเหลือเท่าไหร่
แต่ในค่ายเล็ก ๆ แห่งนี้
พวกเขาชนะแล้ว
.
.
.
.
.
เพราะโซล…
“ ลืมตาอีกครั้ง. “
-----------------------------------------------------------------------
เสียงฝีเท้าของทหารเวรรอบค่ายค่อย ๆ เพิ่มขึ้น พร้อมกับแสงสว่างที่กวาดไล่ความมืดไปทีละน้อย ทุกคนเริ่มวันใหม่ด้วยจิตใจที่หนักแน่นขึ้นกว่าเดิม
ที่สนามฝึก ทหารหลายคนตั้งใจฝึกซ้อม พร้อมหัวใจที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้สู้เพียงเพื่อสงครามอีกต่อไป แต่เพื่อ “ชีวิต” ที่เพิ่งเกิดใหม่
และในใจกลางของค่าย...
เด็กหญิงชื่อโซล นอนหลับสบายในอ้อมกอดของโลกที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่กำลังเริ่มมีความหวัง
นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เรื่องราวของสงคราม ที่ไม่ได้มีแค่ความรุนแรง แต่มีความรัก ความเสียสละ และชีวิตที่สู้เพื่อพรุ่งนี้
สงครามอาจยังไม่จบ แต่ชีวิต...เพิ่งเริ่มต้น
และในใจของทุกคน
โซลไม่ใช่แค่เด็กน้อยผู้รอดชีวิต
เธอคือ “โซล”
จิตวิญญาณแห่งความหวัง
ที่กำลังเติบโตท่ามกลางสมรภูมิอันโหดร้ายนี้.
//ค่ำคืนในค่ายสงครามที่ไม่เคยหลับใหล
แต่คืนนี้...เสียงปืนเงียบลง
แทนที่ด้วยเสียงหัวเราะและเสียงร้องเพลงกล่อมจากเหล่าทหารที่รวมตัวกันรอบเปลของโซล
ชายผู้คุ้มกันยังคงนั่งเฝ้าอยู่เคียงข้าง
มือเขากุมมือเล็กของเด็กหญิงเอาไว้แน่น
ดวงตาคมทอดมองไปยังเปลไม้ด้วยความอ่อนโยนและความหวัง
“ไม่ว่าสงครามจะยาวนานแค่ไหน...กูจะปกป้องเธอจนถึงที่สุด”
เสียงเขาเบาและแน่วแน่เหมือนคำสาบานที่ไม่มีวันหวนกลับ
เสียงเพลงกล่อมเบา ๆ จากปากทหารที่ไม่เคยร้องเพลง
คำกล่อมเต็มไปด้วยความหมาย...เป็นความหวัง เป็นคำสัญญา เป็นโลกใหม่ที่พวกเขาต่างปรารถนา
และในอ้อมแขนของชายผู้เฝ้าระวัง
โซลหลับอย่างสงบ พร้อมรอยยิ้มที่สว่างไสวที่สุด
สงครามอาจยังไม่จบ
แต่คืนนี้...พวกเขาชนะใจตัวเอง
และชนะสงครามในใจเด็กน้อยคนหนึ่งชื่อ ‘โซล’
//รุ่งเช้าวันที่สาม…
เสียงหวอเตือนภัยหายไปจากบรรยากาศ
ท้องฟ้าไม่แดงฉานด้วยเปลวเพลิงอีกต่อไป มีเพียงม่านหมอกจาง ๆ ที่ลอยคลุ้งอยู่เหนือเนิน
เหมือนทุกอย่างกำลังตั้งต้นใหม่…อย่างเงียบงัน
ในเต็นท์พยาบาลโซลตื่นขึ้นก่อนรุ่งอรุณ
เธอไม่ร้อง ไม่มีเสียงอ้อน
มีแค่ดวงตากลมใสที่เงยมองเพดานไม้สานเงียบๆ
มือเล็ก ๆ เอื้อมขึ้นรับแสงแรกของเช้า ที่ลอดผ่านผ้าผืนขาวเข้ามาอย่างอ่อนโยน
ชายผู้คุ้มกันเธอหลับพิงข้างเปล โดยมือยังจับมือเธอไว้แน่น
แต่ทันทีที่โซลกระดิกนิ้ว…เขาก็ลืมตาทันที ราวกับจิตสำนึกเชื่อมกับเธอโดยสมบูรณ์
เขาหัวเราะเบา ๆ
“ตื่นก่อนอีกแล้วนะ...เจ้าตัวจิ๋ว”
ก่อนจะโน้มหน้าลง จูบเบา ๆ ที่หน้าผากเล็ก ๆ นั้น
ณ ลานกลางค่าย
มีโต๊ะไม้ชั่วคราวตั้งขึ้น
มีกระดาษสีน้ำตาลปูไว้
และมีชื่อหลายร้อยชื่อจากแนวรบต่าง ๆ เขียนเรียงกัน
ทุกชื่อ…ส่งของมาให้โซล
เสื้อผ้า, ผ้าห่ม, ตุ๊กตา, นม, สารทักทาย
แม้กระทั่ง “บทกลอน” จากทหารปืนใหญ่ผู้หยาบกร้านที่สุดก็ยังปรากฏที่มุมกระดาษ:
> “เสียงหัวเราะเธอ...เบากว่าระเบิด
แต่ทำลายความสิ้นหวังได้ทั้งสนามรบ”
นายพลใหญ่ของค่าย
เดินมายังเต็นท์พยาบาลด้วยตัวเอง
ไม่มีบอดี้การ์ด ไม่มีผู้ติดตาม
มีแค่มือเปล่า และใจหนักแน่น
เขาเงยหน้ามองชายผู้คุ้มกันโซล แล้วก้มลงมองเด็กหญิงตัวน้อยที่มองกลับมาแบบไร้เดียงสา
เขานั่งลงข้าง ๆ เปลอย่างเงียบ ๆ ก่อนพูดแผ่ว ๆ ว่า…
“ฉัน...เคยเสียลูกชายไปตอนวันที่สงครามเริ่มต้น”
“แต่วันนี้...ฉันกลับได้ ‘บางสิ่ง’ คืนมา”
เขายิ้มเล็ก ๆ ก่อนวางเข็มทหารประจำตัวของเขาไว้ข้างเปล
“จากนี้ไป…เธอเป็นพลเมืองของที่นี่แล้ว”
และตลอดทั้งวัน
ทหารทั้งค่ายผลัดเวรกันมา “เข้าเวรดูโซล” เหมือนเธอเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์
แต่ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครเบื่อ
กลับกลายเป็นเกียรติสูงสุดของวัน
> ผู้พันปืนกล – อาสาเล่านิทานให้เธอฟัง
พลวิทยุ – สอนเสียงสัตว์จากลำโพงจำลอง
พลแม่นปืน – แอบวาดรอยเท้าเล็ก ๆ ของเธอลงในสมุดพกข้างกาย
พยาบาล – ถักผ้าห่มลายดาวจากเศษด้ายของชุดพลาง
---
และในคืนนั้น
เด็กหญิงตัวน้อยยังคงนอนหลับอยู่ใต้แสงไฟสลัว
เสียงลมเย็นพัดผ่านแนวผ้าใบเบา ๆ
เสียงทหารเวรค่อย ๆ ร้องเพลงกล่อมโลกที่เคยป่วยให้เงียบลงอีกครั้ง
“นอนเถอะนะ โซล...คืนนี้โลกทั้งใบอยู่ข้างเธอ”
เพราะไม่ว่าเธอจะจำหรือไม่…
เพราะแม้จะเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ
แต่เธอได้เปลี่ยนสงครามครั้งนี้ไปตลอดกาล
และชื่อของเธอ…
จะกลายเป็นเรื่องเล่าที่ถูกเล่าใหม่…ทุกคืน
กลางสนามรบ
> เพื่อเตือนใจทหารทุกนายว่า
"เรายังมีเหตุผล…ที่จะมีชีวิตอยู่."
//วันที่สี่…
กลองสงครามยังเงียบอยู่—แม้ข่าวจากแนวหน้าแจ้งว่า ศัตรูเริ่มเคลื่อนกองกำลังอีกครั้ง
แต่ไม่มีใครในค่ายนี้แสดงความตื่นกลัว
พวกเขา “ตื่นพร้อม” อยู่แล้ว—ไม่ใช่เพื่อสู้รบ
แต่เพื่อปกป้องชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่งที่ทำให้พวกเขา กลายเป็นคนอีกครั้ง
เช้าตรู่
โซลถูกห่อตัวอยู่ในผ้าห่มใหม่ที่ถักด้วยมือ 17 คู่จาก 17 หน่วย
เธอยังนอนหลับอยู่ใต้เต็นท์พยาบาล แต่รอบตัวไม่เหมือนวันแรกอีกแล้ว
มีกล่องไม้ทำเป็นเปลใหม่
มีลำโพงเล็ก ๆ ที่เล่นเสียงคลื่นทะเลเบา ๆ
มีกรอบรูปเล็ก ๆ รูปแรกที่ทหารคนหนึ่งวาดใบหน้าเธอด้วยถ่านไม้
ชายผู้คุ้มกันนั่งเฝ้าอยู่เหมือนเคย
เขาไม่ได้หลับแม้แต่ชั่วโมงเดียวตลอด 3 วัน 3 คืนที่ผ่านมา
แต่สายตาเขากลับไม่เหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย
มันนิ่ง เย็น...และมั่นคง
"เธอจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว"
เขากระซิบเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือแตะแก้มเล็ก ๆ นั่น
โซลยังไม่ตื่น...แต่เหมือนรับรู้ได้ นิ้วมือเล็กขยับควานหา จนกุมปลายนิ้วเขาไว้แน่น
ณ ศูนย์บัญชาการกลาง
โทรเลขเร่งด่วนเข้ามาถึงมือผู้บัญชาการใหญ่
ข้อความสั้นมาก แค่ไม่กี่คำ…
> “สภาพจิตใจทหารฐาน D-07 เปลี่ยนแปลงรุนแรง
ปฏิบัติงานเต็มประสิทธิภาพ
ขอให้คงสภาพ ‘สิ่งมีชีวิตพิเศษ’ ไว้ในความดูแลโดยไม่มีข้อจำกัด”
ผู้บัญชาการอ่านจบ…แล้วลงนามทันที
โดยไม่ต้องคิดซ้ำ
เย็นวันนั้น
เสียงร้องของโซลดังขึ้นเบา ๆ ครั้งแรก
ไม่ใช่เพราะเธอเจ็บ ไม่ใช่เพราะหิว
แต่เพราะเธอ “อยากให้ใครสักคนอุ้ม”
เสียงนั้นดังกังวานพอจะหยุดการฝึกของทหารหน่วยหนึ่งทั้งหน่วย
ไม่มีใครหัวเราะ ไม่มีใครรำคาญ
กลับมีคนมากกว่าสิบคนเดินตรงมาที่เต็นท์…พร้อมกัน
“ใครอุ้มได้คนแรก...เลี้ยงข้าวคนทั้งหมู่!”
เสียงหัวเราะดังขึ้น
แล้วเสียงหัวเราะนั้น…ดังก้องไปทั้งค่าย
และในวันนั้นเอง
โซลหัวเราะเสียงใส…ครั้งแรก
ไม่มีใครสามารถจำรายละเอียดเสียงนั้นได้ชัดเจน
แต่ทุกคนจำความรู้สึกตอนที่ได้ยินมันได้
มันเหมือนเสียงของ "บ้าน"
มันเหมือนเสียงของ "อนาคต"
เด็กหญิงตัวน้อยยังพูดไม่ได้
ยังเดินไม่ได้
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่ในโลกแบบไหน
แต่เธอกลับ “สอน” คนที่ฆ่าคนมาเป็นร้อย
ให้รู้จักการอดทนให้รู้จักรอและให้รู้ว่า...
> แม้แต่ในนรก—ก็มีเสียงหัวเราะของทูตสวรรค์
ถ้าเธอชื่อว่า…
“ โซล “
และท่ามกลางสงครามที่อาจปะทุขึ้นเมื่อใดก็ได้
เหล่าทหารทั้งหมดรู้ดีว่า:
“พรุ่งนี้…อาจไม่มีใครเหลือ”
แต่ถ้า “โซล” ยังยิ้มได้
พวกเขาก็พร้อมจะสู้…อีกวัน
เพื่อเธอ
เพื่อความหวังที่มีชีวิต.
//วันที่ห้า…
ฟ้ายังสว่าง เสียงวิทยุกระพริบแสงจาง ๆ รายงานข่าวการเคลื่อนกำลังของศัตรูห่างออกไปหลายกิโล
แต่ค่าย D-07 ยังคงนิ่ง ไม่มีคำสั่งอพยพ ไม่มีการตั้งแนวยิง
พวกเขา “ฟัง” มากกว่า “ตอบโต้”
เพราะตอนนี้ทั้งค่าย…มีบางสิ่งต้องปกป้อง
ณ จุดพักกลางค่าย
มีการตั้ง "เวรเฝ้าโซล" แบบไม่เป็นทางการขึ้น
ทหารแต่ละหน่วยผลัดเปลี่ยนกันเข้ามานั่งข้างเปล พูดคุยกันเบา ๆ เขียนข้อความลงสมุดเล่มเล็กที่วางไว้หน้าตะกร้า
> “วันนี้เธอกระพริบตาสองทีตอนฉันขยับปาก ฮ่าๆๆ เธอฟังฉันอยู่จริง ๆ ใช่ไหม โซล”
“ขอให้คืนนี้ฝันถึงที่ที่ไม่มีระเบิดนะ หนูจะได้รู้ว่าโลกมันเคยเงียบ…เงียบกว่านี้”
“พรุ่งนี้ฉันจะหานมสตรอว์เบอร์รีมาให้ได้ คอยดู!”
ภายในเต็นท์พยาบาล
โซลเริ่มพลิกตัวได้แล้ว—แม้จะช้าแต่แข็งแรงกว่าวันแรกหลายเท่า
เธอส่งเสียง “อ้อแอ้” พลางยกมือคว้าใบหน้าของชายที่เฝ้าเธอมาหลายคืนติด
เขาหัวเราะในลำคอ ยื่นนิ้วให้เธอกำเหมือนทุกครั้ง
แต่วันนี้…เธอ “ดึง” นิ้วเขาเข้าปาก
เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะ
“...ได้เวลาที่จะเรียนวิธีหัดเลี้ยงลูกจริง ๆ แล้วสินะ”
ด้านนอก เต็นท์บัญชาการ
ผู้บัญชาการค่ายออกมายืนกลางแดด
มองเหล่าทหารที่วันนี้ “วิ่งเร็วขึ้น”
“ยิ้มบ่อยขึ้น”
และ “ร้องเพลงมากขึ้นกว่าทุกวัน”
เขาถอนหายใจยาว...อย่างโล่งใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“เรายังไม่ชนะสงคราม...”
เขากล่าวกับนายทหารข้างตัว
“แต่เราชนะ ‘ความตาย’ ที่กัดกินข้างในแล้ว”
เย็นวันเดียวกัน
มีการวาง “ของเล่นใหม่” หน้าระเบียงไม้ของเต็นท์โซล—ตุ๊กตาที่ทำจากเปลือกกระสุน
ใส่หมวกเหล็กเล็ก ๆ มีหน้าวาดยิ้ม
มีคนเขียนชื่อมันไว้ว่า:
> "พลแม่นปืนโซล – คนแรกในหน่วยรอยยิ้ม”
และในตอนกลางคืน
ไฟรอบค่ายยังคงสว่างอ่อน ๆ
ไม่มีเสียงปืน
มีแค่เสียงลม เสียงหายใจ และเสียงทหารพูดกันเบา ๆ ข้างเต็นท์
“เธอทำให้พวกเรารู้ว่าชีวิตมันมีค่ามากกว่าแค่รอด”
“เธอไม่ได้พูดเลยสักคำ…แต่มึงดูสิ—พวกเราทำงานเหมือนเธอเป็นนายพล”
ก่อนเที่ยงคืน โซลหลับสนิทในเปลที่ห่อด้วยผ้าสามสีจากธงสามประเทศ
เธอนอนหนุนตุ๊กตาทหา รอยยิ้มยังแต้มอยู่ที่มุมปาก
ชายผู้คุ้มกันนั่งพิงเต็นท์ เงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดเสียงเบา...
“ถ้าพ่อแม่เธอมองลงมาได้...เขาคงภูมิใจ”
…และไม่ว่าโลกจะพังทลายแค่ไหน
คืนนี้ ค่ายเล็ก ๆ กลางสนามรบแห่งนี้
ยังมีชีวิต
เพราะโซล
เด็กหญิงผู้ยิ้มสู้กับสงคราม
ด้วย “ใจ” เพียงหนึ่งดวง.
//วันที่หก...
เสียงปืนยังคงเงียบสงัดในค่าย
แต่ในใจทหารทุกคนกลับเต้นแรงกว่าเดิม
“โซล” กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาสู้ต่อไป
ไม่ใช่เพียงเพื่อสงคราม แต่เพื่อชีวิตเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงนั้น
เช้าตรู่ในเต็นท์พยาบาล
โซลตื่นขึ้นด้วยเสียงทหารร้องเพลงกล่อมอย่างนุ่มนวล
เธอส่งเสียงร้อง “อ้อแอ้” และยิ้มกว้างกว่าทุกวัน
มือเล็ก ๆ ยกขึ้นโบกไหว้ทหารคนเฝ้า
ที่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มและคำสัญญา “ฉันจะปกป้องเธอเอง”
บริเวณค่าย
ทหารทุกหน่วยแบ่งปันเรื่องราวและของเล่น
พวกเขาต่างร่วมกันเขียนหนังสือเล่มเล็ก
ชื่อว่า “นิทานของโซล”
เรื่องราวของเด็กน้อยผู้กลายเป็น
“หัวใจกลางสงคราม”
กลางวัน
ผู้บัญชาการค่ายประกาศเปลี่ยนแผน
เน้น “ปกป้องชีวิต” เป็นหลัก
ทหารทุกคนลุกขึ้นพร้อมรับคำสั่ง
ด้วยจิตใจที่ไม่หวาดกลัว
แต่เต็มไปด้วยความหวัง
และในค่ำคืน
เสียงเพลงกล่อมเด็กยังคงดังขึ้น
เปลไม้ไผ่สั่นไหวใต้ลมเย็น
“โซล” หลับสบายกับรอยยิ้มสดใส
ท่ามกลางเงาสงครามที่ค่อย ๆ จางลง
“เราอาจยังไม่ชนะสงคราม”
ชายผู้คุ้มกันกระซิบ
“แต่เราชนะใจตัวเองและเธอแล้ว”
และท่ามกลางความมืด
มีเพียงแสงเล็ก ๆ แห่งความหวัง
ที่ไม่เคยดับลง...
เพราะโซล…
เด็กหญิงที่เป็นทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของค่ายนี้.
---------------------------------------------------------------------
//หลายเดือนผ่านไป
โซลเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากทารกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องไห้แทบตลอดเวลา กลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เริ่มพูดจาได้เป็นคำ ๆ และขยับตัวคล่องขึ้นทุกวัน
ในค่ายสงคราม
เสียงหัวเราะของโซลกลายเป็นเสียงประจำที่ทุกคนตั้งตารอ
แม้กลางเสียงระเบิดและกระสุน
แต่ค่ายกลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและความหวังที่เธอนำมา
ชายผู้คุ้มกันยังคงเป็นเงาที่ไม่เคยห่างไกล
เขาสอนให้โซลรู้จักอาวุธอย่างอ่อนโยน ให้เธอเข้าใจความหมายของคำว่า “ปกป้อง”
แต่เหนือสิ่งอื่นใด…
เขาสอนให้เธอรู้จักหัวใจของมนุษย์ที่ไม่เคยยอมแพ้
วันหนึ่ง
โซลยืนอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ
มองไกลออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่ไม่แน่นอน
สายลมพัดผ่านผมและผ้าคลุมไหล่ตัวจิ๋วของเธอ
เด็กหญิงคนนั้นหันมายิ้มให้ชายผู้คุ้มกัน
“ฉันจะโตขึ้น เพื่อทุกคนที่นี่”
เสียงเล็ก ๆ ของเธอดังขึ้นอย่างหนักแน่น
และในใจของทุกคนโซลไม่ใช่แค่
“ เด็กผู้รอดชีวิต “
แต่คือสัญลักษณ์ของ
“ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้”
ท่ามกลางสงครามที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
“โซล…หัวใจของเรา”
ชายผู้คุ้มกันพูดเบา ๆ พลางมองไปยังอนาคตที่ยังไม่รู้จัก
แต่มั่นใจว่าจะเฝ้าปกป้องเธอ…จนกว่าจะถึงวันนั้น.
-----------------------------------------------------------------------
[จบบทที่ 2 ]
ขอบคุณที่อ่านนิยายของพวกเรา
[บทที่ 3]
//ผ่านไปหลายเดือน…
ดินแดนที่เคยเป็นแค่สนามรบกลายเป็น “บ้าน”
เสียงระเบิดยังคงได้ยินไกล ๆ ในฟากฟ้า
แต่ในเขตรั้วไม้ของค่าย D-07…
โลกของโซลเต็มไปด้วยต้นหญ้าเขียว ๆ ดอกไม้ป่าที่มีคนแอบปลูก และมือมากมายที่คอยรับเธอทุกครั้งที่เธอล้ม
โซล ในวัย 1 ขวบกว่า
เธอเดินได้แล้วแม้จะโซซัดโซเซ แต่มั่นคง
พูดได้หลายคำ ชอบคำว่า “ห้าม!” และ “ของหนู!”
ชอบปีนขึ้นตักทหารตัวใหญ่ ๆ อย่างไม่มีความกลัว
บางวันเธอนั่งกลางสนามยิงปืนแบบไม่สะทกสะท้าน ขณะที่ทหารทั้งหมู่ยกเลิกการฝึกเพื่อ…ดูเธอ “กินกล้วยบด”
“ค่ายนี้แม่งกลายเป็นศูนย์เลี้ยงเด็กแล้วไอ้เวร!”
แต่ไม่มีใครบ่นจริงจัง
เสียงบ่นมักมาคู่กับเสียงหัวเราะ และการยื่นของเล่นให้
ชายผู้คุ้มกัน
เขาเริ่มแก่ขึ้นเล็กน้อย ผมเริ่มขึ้นสีขาวเริ่มขึ้นเล็กน้อยตรงขมับ
แต่แววตาเขาไม่ได้โรยลง
ตรงกันข้ามเวลามองโซล เขากลับดูเป็นคนที่มีชีวิตมากกว่าใครในค่าย
วันหนึ่งเขานั่งเงียบ ๆ กับโซลข้างเต็นท์
เธอเอาหัวซบที่อกเขา แล้วพูดว่าเบา ๆ
“พ่อ”
เขาชะงัก
เสียงปืนจากระยะไกลไม่ได้ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเท่านี้
“…พูดอีกทีสิ” เขาเอ่ยเบา ๆ
“พ่อ”
เด็กหญิงตอบซ้ำ พร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า
และในวันนั้นทหารทั้งค่ายรู้
ว่า “พ่อ” ไม่ใช่คำเรียกขาน
แต่มันคือคำประกาศชัยชนะของชีวิต
วันต่อมา
เธอเริ่มวิ่งได้เร็วขึ้น
เริ่มแอบขีดเขียนกำแพงเต็นท์
เริ่มเรียนรู้ชื่อทหารเกือบทั้งค่าย และจำได้อย่างน่าประหลาด
เธอเรียกพยาบาลว่า “แม่หมี”
เรียกจ่าปืนกลว่า “ตาลุงตะโกน”
และเรียกชายผู้คุ้มกันว่า “พ่อผู้ทนทุกอย่าง”
และในตอนค่ำ
โซลหลับในเปลไม้เดิม…ที่ขยายใหญ่ขึ้น
รอบเปลคือของเล่นและข้อความวาดมือจากแนวหน้า
มีรูปวาดฝีมือหยาบ ๆ ของทหารแนวเหนือ เขียนว่า:
> “โตขึ้นมาเถอะ…แล้วหยุดสงครามแทนพวกเรา”
โซลยังไม่เข้าใจคำว่า “สงคราม”
เธอไม่รู้จักคำว่า “ตาย”
แต่เธอกลายเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผู้ชายหลายร้อยคน
ไม่อยากทำลายโลกอีกต่อไป
เพราะเมื่อเธอยิ้ม…
ทุกอย่างมีความหมาย.
//เดือนที่สิบ…
โซลเริ่มพูดเป็นประโยคสั้น ๆ
เริ่มซักถาม เริ่มอยากรู้อยากเห็น
เริ่มปีนป่ายรั้วไม้เตี้ย ๆ รอบเต็นท์พยาบาลเพื่อ “ออกสำรวจโลก”
และทุกครั้งที่เธอก้าวออกไป…ทหารสองคนจะเดินตามแบบเงียบ ๆ โดยอัตโนมัติ ราวกับเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่ารบแนวหน้า
“โลกของโซล”
กลายเป็นชื่อเล่นที่ทหารใช้เรียกพื้นที่รอบเต็นท์เธอในรัศมี 20 เมตร
ในพื้นที่นั้นไม่มีเสียงด่าทอ ไม่มีคำหยาบ
ไม่มีปืนลั่น…มีแต่เสียงเล่านิทาน เสียงกล่อมเด็ก เสียงหัวเราะ
ทุกคน…เคารพ “เขตปลอดภัย” นี้อย่างไม่มีใครบังคับ
เพราะนั่นคือ โลกที่พวกเขาอยากอยู่
เช้าวันหนึ่ง
โซลเดินเตาะแตะมาหาชายผู้คุ้มกัน
ในมือเธอถือใบไม้แห้ง กับดอกไม้ป่าหนึ่งดอก
เธอยื่นให้เขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า…
“ของขวัญสำหรับพ่อ!”
เขานิ่งไปครู่ ก่อนจะคุกเข่าลง
รับมันจากมือเธอเหมือนกำลังรับอาวุธศักดิ์สิทธิ์จากราชินี
มือหนา ๆ นั้นสั่นเล็กน้อยแต่น้ำตาหยดหนึ่ง กลับไหลเงียบ ๆ ลงบนหลังมือโซล
“ขอบใจนะ…ลูกพ่อ” เขาพูดเสียงแผ่ว
เย็นวันนั้น
เหล่าทหารรวมตัวกันรอบกองไฟ
ไม่ใช่เพื่อดื่ม
แต่เพื่อร้องเพลงกล่อมที่แต่งขึ้นจากชื่อของโซล
> “ดวงตะวันของสนามเพลาะ
เดินผ่านเปลวไฟไม่เคยร้องไห้
เธอคือลมหายใจกลางนรก
ที่พวกเรา...อยากใช้ชีวิตเพื่อปกป้อง”
โซลนั่งข้างเปล
กอดตุ๊กตาทหารไม้กระสุน
ยิ้มกว้าง เหงือกโผล่ ฟันน้ำนมขึ้นแล้วสามซี่
ค่ำคืนในเดือนที่สิบ
เธอหลับในอ้อมแขนของ “พ่อ”
รอบเปลมีสมุดบันทึก วาดรูปดินสอโดยทหารมือขาดหนึ่งคน
มีแคปซูลลูกปืนที่เจาะรูร้อยไหม กลายเป็นโมบายแขวน
มีเศษกระดาษขาด ๆ ที่เขียนไว้ด้วยลายมือหวัด:
> “ถึงจะเกิดกลางสงคราม
แต่เธอกำลังเติบโตในโลกที่กำลังเปลี่ยนเพราะเธอ”
และไม่มีใครรู้ว่าสงครามจะยืดยาวไปอีกนานแค่ไหน
แต่ทุกคนรู้แน่หนึ่งสิ่ง....ตราบใดที่โซลยังยิ้ม
หัวใจของพวกเขา…จะไม่พัง.
//ความสงบ…เป็นเหมือนลมหายใจสุดท้ายก่อนพายุ
และในสงคราม—มันไม่เคยยั่งยืน
แม้ค่าย D-07 จะกลายเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิต รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของเด็กหญิงชื่อ “โซล”
แต่โลกภายนอก…ยังไม่หยุดหมุน
และสงคราม—ยังไม่ยอมแพ้
คืนหนึ่ง...
ฟ้าสีเทาสลัว ปราศจากดวงดาว
เสียงเครื่องยนต์ของข้าศึกดังจากระยะไกล—ต่ำ หนัก และชัดเจน
ในตอนแรกไม่มีใครกล้าพูด…
แต่เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม—ทั้งค่ายก็ “รู้” พร้อมกัน
พวกมันมาแล้ว
การเคลื่อนไหวฉุกเฉินเริ่มต้นทันที
ทหารทุกหน่วยเข้าแถว
กระสุนถูกแจก
คำสั่งถูกส่งผ่านลำโพงอย่างฉับไว
แต่ไม่มีใครหนี
เพราะไม่มีใครจะยอมทิ้ง “โซล” ไว้ข้างหลัง
ภายในเต็นท์พยาบาล
ชายผู้คุ้มกันยืนเงียบข้างเปลไม้
ในมือเขาคือปืนกลหนักที่ไม่เคยใช้มาเกือบปี
เขายืนมองหน้าเด็กหญิงที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย กำลังหลับสนิทพร้อมตุ๊กตาที่เธอตั้งชื่อว่า “ตาเหล็ก”
“ถ้าใครแตะเธอ…กูจะฆ่ามันทั้งหมด”
เขากระซิบกับตัวเองเบา ๆ
น้ำเสียงเย็นราวน้ำแข็ง แต่เต็มไปด้วยไฟที่ลุกท่วมอยู่ข้างใน
10 นาทีต่อมา
ผู้บัญชาการสั่งย้ายโซลทันที
"ไม่ใช่การหนีแต่เป็นการส่งต่อชีวิต"
เขาพูดก่อนจะออกคำสั่งให้กองพลลับสายฝ่าตัดวงล้อม 3 นายพาโซลหลบไปอีกฐานหนึ่งลึกในป่า
แผนมีเพียงหนึ่งข้อ:
“เธอ…ต้องรอด”
เสียงกระสุนลูกแรกตกห่างจากค่ายไปเพียง 300 เมตร
ทุกคนเงียบ
ก่อนจะมีเสียงหนึ่งพูดขึ้นเบา ๆ
“สู้...เพื่อโซล”
และเสียงนั้น…กลายเป็นไฟลุกโชนทั้งค่าย
สงครามกลับมาแล้ว
แต่ครั้งนี้…มันจะไม่พรากเธอไป
เพราะเธอไม่ใช่แค่เด็ก
เธอคือ หัวใจของคนทั้งกองพัน
และพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้หัวใจดวงนั้น…เต้นต่อไป.
//เสียงระเบิดลูกแรกปะทะพื้นดินห่างจากแนวรั้วไม่ถึงร้อยเมตร
แรงสั่นสะเทือนเขย่าทั้งค่ายจนเปลไม้ของโซลกระเพื่อม
ทหารทุกคนในค่ายขยับพร้อมกันราวกับมีหัวใจดวงเดียว
ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีความตื่นตระหนก
มีเพียงความเงียบที่แน่นขนัดป็นความเงียบของคนที่ รู้ว่าต้องยืนหยัด
ในเต็นท์พยาบาล
โซลสะดุ้งตื่นดวงตากลมโตมองไปรอบตัว
เสียงระเบิดถัดมาไกลขึ้นเล็กน้อย แต่ยังหนักแน่น
เธอกอดตุ๊กตาแน่น เงียบสนิท ไม่มีน้ำตา มีเพียงสายตาสับสนที่จับจ้องใบหน้าของชายผู้คุ้มกัน
เขาก้มลงย่อตัวเท่าระดับสายตา
ยื่นมือไปลูบศีรษะเธอ แล้วพูดเบา ๆ
“ฟังพ่อนะ...ตอนนี้หนูต้องไปกับพี่ ๆ สามคนนี้”
“หนูต้องไปที่ปลอดภัยก่อน”
เธอพยักหน้าช้า ๆ
ไม่ร้องไห้
ไม่ถาม
ไม่พูดว่า "ไม่ไป"
เพราะเธอ…เชื่อใจเขา
ชายทั้งสามที่ได้รับมอบหมาย
เป็นทหารฝีมือดีที่สุดของฐาน
แต่วันนี้…มือของพวกเขาสั่น ตอนรับเป้สะพายหลังที่ข้างในคือ “โลกทั้งใบ” ของค่ายนี้
โซลอยู่ในเป้อุ้มพิเศษที่หุ้มด้วยแผ่นกันกระสุนหลายชั้น
ผ้าห่มของเธอยังห่ออยู่
ตุ๊กตายังคงอยู่ในมือ
และบนกระเป๋า มีป้ายเล็ก ๆ เขียนว่า:
> “หากเธอมีรอยขีดข่วน…ให้ฆ่ากูได้เลย”
เขียนด้วยลายมือของพ่อเธอ
เมื่อขบวนลับลอบเคลื่อนตัวออก
ทหารทั้งค่าย…ยังไม่มีใครยิง
พวกเขา “คอยเวลา” และ “ยื้อเวลา”
ศัตรูกำลังใกล้เข้ามา
แต่คนที่นี่…ยอมแลกได้ทุกอย่าง
เพื่อให้เธอหลุดออกจากไฟนรกนี้
และเมื่อระเบิดลูกที่สิบดังขึ้น…
ชายผู้คุ้มกันก็ลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ
กระชับปืนบนไหล่
แล้วเงยหน้ามองทิศที่ลูกสาวของเขากำลังเคลื่อนไป
ไม่มีคำพูด ไม่มีน้ำตา
มีแค่ลมหายใจหนึ่งครั้ง…ลึก และเต็มไปด้วยไฟ
“ถ้ากูตาย...มันต้องหลังจากแน่ใจว่าเธอรอด”
เสียงปืนชุดแรกดังขึ้นจากแนวรั้ว
ค่าย D-07 เริ่มสู้เต็มกำลัง
ไม่มีใครเหลียวหลังกลับไปดู
เพราะไม่มีใครลังเลอีกแล้ว
คืนนี้ ค่ายนี้อาจแตกแต่หัวใจของพวกเขา…
กำลังเดินอยู่ในเป้สะพายหลังใบเล็ก ใกล้ขอบป่า
และหากวันใดที่โซลโตพอจะเข้าใจ…เธอจะได้รู้ว่า
คืนนี้ทหารนับร้อยคนต่อสู้จนหยดสุดท้าย
ไม่ใช่เพื่อชนะสงคราม
แต่เพื่อให้ เธอมีพรุ่งนี้.
//รุ่งสางของวันที่เจ็ด…
แสงอาทิตย์ลอดผ่านหมอกบางในหุบเขา
สายลมเย็นปะทะใบหน้าเหมือนปลุกโลกจากฝันร้ายเมื่อคืน
เงาร่างเล็ก ๆ ในเป้สะพายถูกวางลงช้า ๆ บนผืนหญ้านุ่มชื้น
เด็กหญิงคนนั้นลืมตาขึ้น รับแสงแรกของเช้าวันใหม่…ที่พ่อเธอไม่มีวันได้เห็นอีกต่อไป
ฐานลับ “เงานิ่ง”
สถานที่หลบภัยสุดท้ายของทหารบางหน่วยที่ยังหลงเหลือ
บังเกอร์เก่า ๆ ที่ฝังอยู่ในภูเขา—ไม่มีอะไรหรูหรา
แต่ในวันนี้...มันกลายเป็น "บ้านหลังใหม่ของโซล"
เสียงลั่นปืนจากฝั่ง D-07หยุดลงแล้ว
ไม่มีวิทยุคลื่นใดตอบกลับ
ไม่มีรหัสใดกระพริบสัญญาณ
และไม่มีชื่อของใครจากค่ายนั้นเหลืออยู่ในฐานข้อมูลศูนย์กลางอีก
เธอ…คือสิ่งเดียวที่รอด
ภายในบังเกอร์
มีห้องเล็ก ๆ ที่ถูกจัดขึ้นในไม่กี่ชั่วโมง
เตียงสนาม เตาเล็กสำหรับอุ่นนม
มุมหนึ่งมีรูปถ่ายขาวดำที่ทหารหน่วยก่อนทิ้งไว้ เป็นภาพของเด็กอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยโตพอจะรอดเหมือนโซล
เธอนั่งนิ่ง ๆ มองมันอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันกลับมา
แล้วชี้ไปที่กระดาษนั้น
"เขา...ไม่อยู่แล้วเหรอ?"
ชายคนหนึ่งตอบไม่ออก
อีกคนกลืนน้ำลายแล้วพูดเบา ๆ
"ใช่...แต่เธออยู่ เธอต้องอยู่ต่อ"
คืนนั้น
โซลหลับไปในห้องแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยแสงจากโคมไฟสนาม
รอบข้างเธอไม่ใช่เสียงเพลงกล่อมอีกต่อไป
แต่เป็นเสียงวิทยุ สัญญาณขาด ๆ หาย ๆ
เสียงลมหายใจของทหารที่ไม่เคยร้องไห้…แต่คืนนี้ตาแดงทั้งหมด
ชายคนหนึ่งลุกขึ้นเงียบ ๆ จากที่นอน
เดินมานั่งข้างเธอ
มองใบหน้าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบอย่างที่ไม่มีใครในค่ายเคยได้อีกเลย
เขาหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา
เขียนบรรทึกแผ่นแรกของหนังสือเล่มใหม่ที่พวกเขาเริ่มด้วยกันในค่าย D-07:
> “หน้าที่หนึ่ง
วันนี้พวกเราทุกคน ‘ตาย’ ที่เดิม
แต่เธอ...คือชีวิตที่เดินออกมา
เธอคือนิยามของคำว่า ‘แพ้ไม่ได้’
และตราบใดที่เธอยังหายใจ
เราจะไม่มีวันลืมว่าเราคือใคร”
คืนนี้…ไม่มีเสียงระเบิด
ไม่มีเสียงร้องไห้
มีเพียงแสงเทียนดวงเล็กในห้องใต้ดินลึก
และเสียงหัวใจของเด็กหญิงที่ชื่อว่า…
“โซล”
เต้นอยู่…ในความมืด
เพื่อนำพาโลกนี้…
กลับสู่ แสงสว่าง.
ทันใดนั้นเอง ...
//ติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…
เสียงคลื่นแทรกเบา ๆ จากวิทยุสนามเก่ารุ่นเกือบล้มหายตายจาก
ท่ามกลางความเงียบในบังเกอร์ใต้ภูเขาเสียงนั้นดังขึ้นราวกับเสียงหัวใจเต้นครั้งแรกของคนตาย
ชายคนหนึ่งสะดุ้ง เผลอทำแก้วน้ำล้ม
อีกคนรีบกระโจนคว้าวิทยุขึ้น บิดคลื่นอย่างรวดเร็วด้วยมือที่เริ่มสั่น
> “…ฐานหลักยืนยัน…พบผู้รอดชีวิตจากค่าย D-07…”
“…กลุ่มรอดตาย 6 นาย…นำโดยอดีตหัวหน้าหน่วยพลซุ่มยิง…”
“…หนีออกมาทางอุโมงค์ย่อยก่อนระเบิดตก…”
“…ปลอดภัย…อยู่ในเขตป่าระหว่างชายแดนเหนือ…ขอจุดนัดพบเพื่อรับตัวกลับ”
สามทหารที่ปกป้องโซลหันมามองหน้ากัน
ไม่มีใครพูด…
แต่ในดวงตาของพวกเขา มีแสงที่ไม่เคยเห็นมานานนักแสงของคำว่า “ยังไม่จบ”
โซล
นั่งกอดตุ๊กตาอยู่บนเตียงผ้าขาวม้าเก่า ๆ
เธอเงยหน้ามองพวกเขา เหมือนรู้ว่ามีบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
ชายผู้แบกเธอวันแรกเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ
แล้วยื่นวิทยุให้เธอฟัง
“เขายังอยู่…”
“…คนที่เธอเรียกว่า ‘พ่อ’ หน่ะ”
เด็กหญิงนิ่งไป
ดวงตากลมโตไหววูบหนึ่ง
ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมาช้า ๆ
รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นตั้งแต่วันค่ายแตก
1 ชั่วโมงถัดมา
กระเป๋าเสบียงถูกแพ็ค
อาวุธถูกตรวจสอบ
จุดนัดพบถูกปักลงในแผนที่ด้วยมือที่ไม่สั่นอีกต่อไป
ไม่มีคำสั่งจากใคร
ไม่มีบันทึกภารกิจ
ไม่มีตราประทับบนเอกสาร
มีแค่ความตั้งใจเดียวร่วมกันของทั้งหน่วย:
“พาเธอ…กลับสู่อ้อมกอดของคนที่ยังไม่ตาย”
เส้นทางใหม่
เริ่มต้นขึ้นในรุ่งสางของวันที่แปด
ไม่ใช่เส้นทางหลบหนี
แต่คือ “ทางกลับบ้าน”
และครั้งนี้…
โซลจะได้เดินทาง ไม่ใช่เพื่อหนีตาย
แต่เพื่อ กลับไปสู่อ้อมแขนที่ยังรออยู่
เธอไม่ได้รอดมาแค่เพื่ออยู่ต่อ
เธอ…รอดมาเพื่อ พบกันอีกครั้ง.
//วันที่แปด — ยามเช้า
อากาศในป่าชื้นเย็น ละอองหมอกยังลอยคลุ้งเหนือยอดเฟิร์นและรากไม้
เสียงสายน้ำจากลำธารไหลเอื่อย
ใบไม้ไหวเบา ๆ จากลมที่พัดผ่าน…
ทุกอย่างเงียบสงบอย่างน่าประหลาด—
เงียบ…จนคนเคยอยู่ในสนามรบรู้สึกไม่ไว้ใจ
เส้นทางผ่านลำธาร
พวกเขาเดินในรูปขบวนกระชับ
โซลอยู่ตรงกลาง ปิดหน้าด้วยหมวกผ้าสีทหาร แขนเล็กโอบตุ๊กตาไว้แน่น
เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาที่โตเกินวัย เหมือนกำลัง “อ่าน” โลก
น้ำไม่เย็นพอจะทำให้เธอสั่น
เพราะสิ่งเดียวที่ยังทำให้เธออุ่น…คือไหล่ของคนที่แบกเธอไว้
> “เคยได้ยินเสียงปืนไม่หยุดตลอดเส้นนี้…”
เสียงชายด้านหลังเอ่ยเบา ๆ พลางเหลียวมองเงาต้นไม้
“แต่ตอนนี้แม่งเงียบชิบหาย…เหมือนทั้งโลกกำลังกลั้นหายใจ”
อีกคนตอบเสียงต่ำ
“หรือไม่ก็...มีอะไรที่รออยู่ข้างหน้า”
โซลเงียบ
เธอยังไม่พูดอีกนับตั้งแต่ได้ยินข่าว “พ่อ”
ไม่ใช่เพราะกลัว…
แต่เหมือนกำลังเก็บพลังทุกอย่างไว้สำหรับวินาทีที่เขากลับมาอยู่ตรงหน้า
บางที…เด็กหญิงคนนี้อาจ จำได้ทุกอย่างมากกว่าที่พวกเขาคิด
กลางป่า
พวกเขาหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เคยเป็นจุดปะทะเก่า
ยังเห็นเศษปลอกกระสุนฝังครึ่งหนึ่งในลำต้น
แต่ไม่มีศพ ไม่มีคราบเลือด
เหมือนที่นี่ เคยเกิดสงคราม…แต่ทุกสิ่งเลือกจะลืมมันไปแล้ว
โซลนั่งลงบนตักของชายคนเดิม
เธอก้มเก็บใบไม้รูปร่างประหลาดหนึ่งใบขึ้นมาดู
แล้วพูดเสียงเบา...
“ที่นี่เคยมีคนเจ็บใช่ไหม”
เขาชะงัก…ก่อนจะพยักหน้า
“ใช่…เยอะด้วย”
โซลนิ่งไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า…
“แต่ตอนนี้…ต้นไม้โตอีกแล้ว”
ประโยคนั้น…ไม่มีใครกล้าตอบ
ไม่มีใครรู้ว่าควรจะพูดอะไร
มีแต่ความเงียบที่คราวนี้ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนก่อนหน้า
เพราะพวกเขาเพิ่งตระหนักว่า...
เด็กหญิงคนนี้ ไม่ได้เป็นแค่ผู้รอดชีวิต
แต่เป็น ผู้เห็นความงามแม้ในร่องรอยของความตาย
เสียงนกตัวหนึ่งร้องขึ้น
ลมเริ่มพัดแรง
และข้างหน้าคือเนินสุดท้ายที่จะมองเห็นเขตปลอดภัย
…ที่นั่น
เขาอาจยืนรออยู่
คนที่โซลเรียกว่า “พ่อ”
คนที่ไม่มีใครคิดว่าจะรอด
แต่เธอเชื่อ
และทุกย่างก้าวของเธอ…คือการเดินไปหา หัวใจของตัวเอง.
การพบกันอีกครั้ง…
กำลังใกล้เข้ามา.
//เนินเขาโล่งกลางพรมแดนจุดนัดพบที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่
หญ้าแห้งไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว แต่ไม่มีเสียงฝีเท้า
ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงที่เธอคุ้นเคย
โซลถูกอุ้มลงจากแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา
สายตาเล็ก ๆ คู่นั้นจ้องตรงไปยังแนวขอบฟ้า…
ที่ควรจะมีใครบางคนยืนรออยู่
…แต่กลับว่างเปล่า
แล้วกลุ่มทหารหกนายก็ปรากฏตัว
ในสภาพอิดโรย เสื้อขาดรุ่งริ่ง บางคนมีเลือดแห้งกรังเต็มแขน
พวกเขาเดินตรงเข้ามาช้า ๆ
ในมือไม่มีอาวุธ
แต่บางคน…ถือสิ่งของบางอย่างที่พันด้วยผ้าสีซีด
ชายคนหนึ่งก้าวออกมา เขาคือหัวหน้าหน่วยซุ่มยิงที่รอดชีวิต
เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าโซล
…และร้องไห้ทันทีโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว
> “เขาช่วยพวกเราฝ่าระเบิดลูกสุดท้าย…”
น้ำเสียงสั่นเครือหลุดออกมาจากอีกคน
“เขาผลักเราทุกคนลงอุโมงค์ แล้ว…เขาปิดฝาไว้…จากข้างนอก”
“เขา…เขายังยิ้มให้เราก่อนที่มันจะระเบิด…”
โซลยืนนิ่ง
เธอฟังทุกคำ
แต่ไม่ร้อง
แค่ก้าวเดินช้า ๆ ไปข้างหน้า
เธอก้มลง หยิบสิ่งของที่ถูกห่อผ้าในมือของชายคนนั้น
มันคือ…กล่องเหล็กบุบ ๆ
ที่เขาเคยใช้ซ่อนชิ้นส่วนของตุ๊กตา
และด้านใน…
มีแผ่นกระดาษยับ ๆ พร้อมลายมือหยาบ ๆ ที่เขียนไว้ด้วยหมึกซีด
> “ให้เธอ…ถ้าฉันไม่อยู่”
“อย่าเป็นเหมือนพ่อ…ที่เคยเผาทุกอย่างจนไม่เหลืออะไร”
“จงเป็นแสง…แม้ในที่ที่ไม่มีใครกล้ามองมัน”
“เธอคือโลกใบสุดท้ายที่ฉันยอมตายเพื่อให้มันอยู่ต่อ”
โซลยืนนิ่ง มือเล็ก ๆ กำกล่องแน่น
สายตาจ้องไปยังขอบฟ้าที่เขาเคยบอกว่า
“ถ้าเรารอด เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน”
เธอเงยหน้าขึ้น
น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาช้า ๆ
แต่มุมปาก…กลับยิ้ม
“พ่อไม่ได้อยู่ตรงนี้…แต่พ่ออยู่ทุกที่ที่หนูมองเห็นแสง”
ทหารทุกคนเงียบ
ไม่มีใครพูด
ไม่มีใครกล้าสบตาเด็กหญิงคนนี้อีกต่อไป
เพราะเธอ…ไม่ใช่แค่ผู้รอดชีวิต
เธอคือ ผู้สูญเสียอย่างกล้าหาญ
เธอก้าวไปนั่งบนเนินหญ้า
หยิบกล่องขึ้นแนบอก
มองดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นช้า ๆ จากฟากฟ้า
แสงสีทองอบอุ่นนั้น…
คือคำกอดสุดท้ายของเขา
คือคำว่า “ลูกต้องไปต่อ” ที่เขาไม่ทันพูด
และโซล…ก็ไปต่อได้จริง ๆ
แม้จะไม่มีมือใหญ่ ๆ ของพ่อมาจูงเธออีก
แต่หัวใจของเขา
จะเต้นอยู่กับเธอ…ทุกย่างก้าว
ตราบที่เธอยังมี ลมหายใจ.
//ลมหายใจแรกในเช้าวันนั้น หนักแน่น…แต่เจือด้วยความว่างเปล่า
โซลนั่งอยู่กลางลานหญ้า มือกอดกล่องเหล็กแนบอกแน่น ราวกับกลัวว่าถ้าปล่อย…เขาจะจากไปอีกครั้ง
เธอไม่ได้พูดอีก
ไม่ได้ร้องไห้อีก
เธอเพียงนั่งนิ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้าเหมือนเด็กที่โตขึ้นในชั่วข้ามคืน
ทหารรอบตัวเธอ
ยังคงก้มหน้า บางคนสะอื้น บางคนกัดฟัน
พวกเขาเคยผ่านสงคราม…
แต่ไม่เคยผ่านการสูญเสียที่ “ลึก” ขนาดนี้มาก่อน
เพราะครั้งนี้…
มันไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมรบที่ตาย
แต่คือ “พ่อของใครบางคน”
ที่เลือกตาย…เพื่อให้เธอ มีโอกาสได้ใช้ชีวิต
หนึ่งในทหารเอ่ยขึ้นเบา ๆ
เสียงแหบพร่าราวกลืนควันมาเป็นปี
> “เขาไม่เคยร้องไห้เลยตลอดที่อยู่ในค่าย…
แต่ก่อนจะปิดฝาอุโมงค์ เขาพูดกับกล้องวงจรตัวสุดท้ายไว้คำเดียว…”
> “ฝากลูกฉันด้วย”
คำพูดนั้น…
ทำให้ชายทุกคนที่ยืนอยู่ ณ จุดนัดพบ
ต้องหันหน้าหนี
เพราะไม่มีใครกล้าทนสบตากับความกล้าหาญระดับนั้นได้เต็ม ๆ
โซลค่อย ๆ ลุกขึ้น
เธอหันไปมองพวกเขาทีละคน…ก่อนจะเอ่ยคำที่สั่นไหว
“หนูยังอยู่ค่ะ…หนูจะโตขึ้นให้พ่อเห็นจากฟ้า”
“แล้ววันหนึ่ง…หนูจะเป็นคนปกป้องคนอื่น…แบบที่พ่อเคยทำ”
มันไม่ใช่คำสัญญาแบบเด็ก ๆ
แต่มันคือคำสัตย์จากใจที่ผ่านไฟสงครามมาแล้วตั้งแต่ยังพูดไม่ชัด
เวลาต่อมา
โซลถูกอุ้มขึ้นอีกครั้ง
แต่คราวนี้…เธอไม่ได้หันกลับไปมองอีก
เธอกอดกล่องนั้นไว้แน่น
แหงนหน้ามองฟ้า
เธอไม่พูดถึงคำว่า “พ่อ” อีกเลย…
เพราะเธอรู้แล้วว่า เขาไม่ได้อยู่ข้างหลัง
แต่ อยู่ข้างใน
ในสมุดบันทึกสงครามของศูนย์บัญชาการ
มีบรรทึกสั้น ๆ ที่ลงไว้หลังเหตุการณ์ค่าย D-07
> “ผู้รอดชีวิต: เด็กหญิงหนึ่งคน”
“สิ่งที่ได้รับการปกป้องมากที่สุด: หัวใจของทหารทุกนาย”
“ชื่อของเธอ: โซล”
“สถานะ: ยังมีชีวิตอยู่”
และโลกที่เต็มไปด้วยสงคราม…
จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะ เด็กหญิงคนหนึ่ง…รอดมาเพื่อเปลี่ยนมัน.
--------------------------------------------------------------------
//แปดปีผ่านไป…
โลกที่เคยแหลกสลาย…ค่อย ๆ ฟื้นตัว
เสียงระเบิดที่เคยเป็นเพลงกล่อมของผืนดิน—เงียบไป
กลิ่นเขม่าควันจางหาย…แทนที่ด้วยกลิ่นฝนบนหญ้าใหม่
และในโลกใหม่นั้นเด็กหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยรอดจากไฟสงคราม
กำลังเดิน…วิ่ง…หัวเราะ
ภายใต้ท้องฟ้าเดียวกัน
ในวัย 8 ขวบที่แข็งแกร่งเกินเด็กทุกคนในรุ่นเดียวกัน
ฐานเก่า…กลายเป็นหมู่บ้านใหม่
สถานที่ที่เคยเป็นสนามรบ
ถูกแปรเปลี่ยนเป็น “ศูนย์ฟื้นฟูผู้รอดชีวิต”
เต็นท์ทหารกลายเป็นห้องเรียนไม้
แท่นปืนกลกลายเป็นชิงช้า
ซากรถหุ้มเกราะกลายเป็นสวนดอกไม้
และตรงกลางของที่แห่งนั้น…คือโซล
เธอ…
กลายเป็น “ลูกของกองพัน”
ไม่ไดมีพ่อคนเดียว แต่มี พ่อหลายร้อยคน
ทุกคนเลี้ยงเธอด้วยมือเปื้อนบาป
แต่พวกเขาพยายามลบมันออก
ด้วยการให้เธอ “เติบโต”
ในแบบที่ โลกควรให้กับเด็กทุกคนมาตั้งแต่ต้น
-----------------------------------------------------------------------
โซลในวัย 8 ขวบ
ผมยาวถึงบ่า ถักเปียครึ่งหัวด้วยตัวเอง
ฟันน้ำนมเริ่มหายไปบางซี่
พูดเก่งขึ้นมากจนบางวันทหารต้องแอบหลบไปพักหู
ฉลาด แสบ เลอะเทอะ และ…กล้าหาญแบบที่ไม่มีใครกล้าห้าม
เธอชอบแกล้งเอาหินยัดรองเท้าทหารตอนพวกเขาหลับ
ชอบวาดรูป “พ่อ” ในสมุด แล้วเอาไปแปะตรงหน้าศาลาใหญ่
ทุกภาพของเขา เธอวาดยิ้ม
เพราะเธอ “จำเขาได้แค่ตอนยิ้ม” เท่านั้น
เย็นวันหนึ่ง
เธอนั่งบนบันไดไม้หน้าบ้านพัก
บนตักเธอ…คือกล่องเหล็กบุบ ๆ ที่พ่อเคยทิ้งไว้
ด้านในมีรูปเขา
เศษผ้าขาดจากชุดทหารของเขา
และคำสัญญาที่เธอยังท่องอยู่เสมอ…
“หนูจะเป็นแสงในที่ที่ไม่มีใครกล้ามองมัน”
เด็กหญิงที่มาจากสงคราม…
กลายเป็นเด็กหญิงที่ นำความสงบกลับมาให้ใจของคนรอดชีวิต
เธอไม่ใช่เพียง "ลูกของสนามรบ"
แต่เธอป็น "ผู้เริ่มต้นใหม่ของโลกหลังสงคราม"
และโลกใบนี้…
จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีก
เพราะตอนนี้ มันมีแสงหนึ่ง
ชื่อว่า…
โซล.
//ตอนเช้าวันใหม่ในหมู่บ้านสงบ
แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านใบไม้ส่องกระทบใบหน้าของโซลที่กำลังวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ
เสียงหัวเราะก้องกังวานไปทั่วบริเวณที่เคยเป็นสนามรบมาก่อน
แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความหวัง
โซลยืนพักเหนื่อยข้างลำธารใกล้หมู่บ้าน
มือเล็ก ๆ กำลังกรวดหินขาวใสในน้ำ
เด็กสาวคนนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่สายตาในดวงตากลับยังคงมีประกายที่ไม่เคยจาง
ทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาใกล้
พวกเขาเป็นทหารเก่าแก่ที่เคยดูแลโซลตั้งแต่วันแรก
มีทั้งที่หัวเราะเฮฮาและบางคนที่ยืนเงียบแบบคิดมาก
หนึ่งในนั้นพูดเบา ๆ กับโซล
“โซล…ถึงเวลาที่หนูต้องเรียนรู้เรื่องของโลกอีกครั้งแล้วนะ”
โซลมองพวกเขาด้วยความสงสัย
แต่ก็รู้สึกถึงความจริงจังในน้ำเสียงนั้น
เธอไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ อีกต่อไป
และโลกที่เคยสงบสุข…กำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ทหารคนนั้นหยิบแผนที่เก่าที่พับไว้ออกมา
ชี้ไปยังพื้นที่ที่ยังคงมืดมนจากสงครามที่ยังไม่ยุติ
“เราไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไปในนี้…โซล”
“บางที…เธอคือแสงที่โลกนี้ต้องการเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน”
โซลถอนหายใจลึก
เธอรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นหนักหน่วง
แต่ในใจยังมีเปลวไฟเล็ก ๆ ที่ส่องสว่างอยู่เสมอ
เปลวไฟของ ‘ความหวัง’ ที่พ่อของเธอสอนให้เธอมี
“พ่อบอกหนูว่า…หนูต้องเป็นแสงในที่ที่ไม่มีใครกล้ามองมัน”
“แล้วตอนนี้…หนูพร้อมแล้ว”
เส้นทางใหม่ของโซลเริ่มต้นขึ้น
ท่ามกลางเสียงเรียกของโลกภายนอกที่ยังไม่สงบ
และเด็กหญิงคนหนึ่ง…
ที่เติบโตขึ้นจากความมืดมน…
จะกลายเป็นแสงไฟนำทาง…
ให้กับทุกชีวิตที่ยังรอความหวัง
“แสงสว่าง…ของโลกใบนี้…คือโซล.”
//เมื่อโซลก้าวออกจากหมู่บ้านไปยังโลกกว้าง
เสียงลมพัดผ่านต้นไม้ใหญ่คล้ายพัดพาความหวังใหม่
ท้องฟ้าเปิดกว้าง…เหมือนชักชวนให้เธอเดินไปข้างหน้า
ข้างหน้า…คือเส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
แต่โซลไม่หวั่นไหว
เพราะในหัวใจของเธอ…
มีเสียงกระซิบของพ่อที่ดังไม่หยุด
“จงเป็นแสง…แม้ในที่ที่ไม่มีใครกล้ามองมัน”
เธอเดินฝ่าผืนดินที่เคยเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
แต่วันนี้…มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นปกคลุม
และแม้จะมีเงามืดของอดีตคอยตามหลอกหลอน
โซลก้าวไปข้างหน้า…ด้วยความมั่นใจในหัวใจ
ในทุกก้าวที่เธอเดินผ่าน
มีเสียงเรียกจากผู้คนที่เฝ้ารอแสงแห่งความหวัง
เด็กหญิงที่รอดมา…จะไม่ปล่อยให้ความสูญเสียครั้งนั้นไร้ค่า
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนาน
เรื่องราวของ “โซล” เด็กหญิงแห่งสงคราม
ที่เปลี่ยนความมืดให้กลายเป็นแสงสว่าง
และส่องนำทางให้กับโลกที่ยังไม่ลืมเธอ
-----------------------------------------------------------------------
[จบบทที่ 3]
ขอบคุณที่อ่านนิยายของพวกเรา
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!