บทนำ
พื้นที่ชั้นบนสุดของตึกกระจกสูงตระหง่าน ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยม่านทึบและความเงียบ
ห้องทำงานประธานใหญ่แห่งบริษัทยักษ์ระดับประเทศ กำลังมีใครบางคนทรุดเข่าลงข้างโซฟาหนังแท้
เสียงซิปถูกรูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ถ้ารุกขนาดนี้อีกครั้ง ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอกลับไปเรียนอีกแน่”
เสียงหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ย ดวงตานิ่งสนิท แต่ในนั้นมีรอยสะท้อนของเปลวไฟที่เธอไม่กล้าดับ
และอีกเสียงหนึ่ง—สดใส ติดจะเย้าแหย่แต่ดื้อรั้น—เอ่ยขึ้น
“ถ้าพี่ไม่ให้ไปเรียน งั้นหนูก็ลาออกแล้วมาอยู่กับพี่ทุกวันดีมั้ยคะ?”
มือเล็กวางบนหน้าขาเธอเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม
เธอเป็นแค่ “นักศึกษา”
แต่กลับทำให้ “ประธานบริษัท” อย่างฉัน—หยุดไม่อยู่แม้แต่นาทีเดียว
⸻
ตอนที่ 1: ความลับใต้แสงไฟ
เสียงส้นรองเท้าสะท้อนก้องในลิฟต์กระจก เมื่อประตูเปิดที่ชั้นสูงสุด หญิงสาวในชุดสูทสีดำสนิทก้าวออกมาอย่างมั่นคง ทุกการเคลื่อนไหวของเธอชัดเจน สงบ และแฝงอำนาจ
ชื่อของเธอคือ “อี้เจินหลาน” ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ในสายเทคโนโลยี อายุเพียง 31 ปี แต่กลับสร้างอาณาจักรที่มีมูลค่าเกินแสนล้าน
เธอไม่ใช่หญิงที่ใครจะเข้าถึงได้ง่าย
แต่เย็นวันนี้ เธอกลับเดินไปหยุดที่ประตูด้านในสุด
กดรหัสลับ ก้มลงถอนหายใจ แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องพักส่วนตัวที่ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่
บนโซฟา—มีหญิงสาวอีกคนกำลังนั่งไขว่ห้าง แสงไฟสีส้มนวลจากโคมตั้งพื้นส่องให้เห็นแววตาเป็นประกายอย่างดื้อรั้น
“พี่เลิกงานซะที” เสียงเธอหวานปนล้อเลียน
ชื่อของเธอคือ “ซูเหยียน” นักศึกษาปีสี่คณะนิเทศศาสตร์ อายุ 22 ปี
เธอไม่ควรอยู่ในห้องนี้ ไม่ควรอยู่ในชีวิตของอี้เจินหลาน
แต่กลับอยู่…ลึกยิ่งกว่าผู้บริหารคนใดเสียอีก
“เธอข้ามเส้นแล้วรู้ตัวไหม?”
“พี่เป็นคนดึงหนูข้ามมาเองนะคะ”
เจินหลานไม่ตอบ เพียงถอดสูทออกแล้วนั่งลงข้างกัน
บรรยากาศในห้องเงียบเกินไป แต่เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าที่พุ่งพล่านระหว่างสองสายตา
ไม่มีใครรู้…
ไม่มีใครเห็น…
แม้แต่ทีมงานส่วนตัวของประธาน ก็ไม่รู้ว่านักศึกษาคนหนึ่งคือคนที่ประธานยอมให้จูบกลางโต๊ะทำงาน
สามเดือนก่อน…
ห้องสัมภาษณ์ฝึกงานของบริษัท “ลู่ซิ่วกรุ๊ป” ยังคงเงียบ แม้เวลาจะเลยบ่ายสองไปแล้ว
หญิงสาวในชุดนักศึกษาสีครีมเรียบสะอาดนั่งหลังตรง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องตรงไปที่ประตูด้านหน้าอย่างไม่หวั่นไหว
เธอชื่อ ซูเหยียน
นักศึกษาปีสี่ที่หลายคนเคยสบประมาทว่าไม่มีทางได้เข้าสัมภาษณ์บริษัทระดับชาติ
แต่ในวันนี้—เธอคือผู้เข้ารอบสุดท้ายเพียงคนเดียว
ประตูไม้บานใหญ่เปิดออกช้าๆ เสียงส้นรองเท้าสีดำแตะพื้นหินอ่อนทีละก้าว—มั่นคง เย็นชา และแฝงแรงกดดันไม่รู้จบ
คนที่เดินเข้ามาคือเธอ—อี้เจินหลาน
ในชุดสูทสีดำเนื้อเงา ท่าทางไม่รีบแต่กลับทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปทันที
เธอไม่ได้พูดอะไร
เพียงนั่งลงด้านหน้าหญิงสาวคนนั้น เหลือบตามองแฟ้มประวัติบางๆ บนโต๊ะ แล้วเปิดอ่าน
ห้องทั้งห้องเงียบสนิท เหมือนเวลาหยุดนิ่ง
“คุณเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยกลุ่ม A และไม่มีเส้นสายภายใน…ทำไมคุณถึงยังกล้ามาสมัคร?”
คำถามแรกของประธานบริษัท ไม่ได้เป็นคำถามทั่วไป แต่เป็นแรงกระแทกกลายๆ
แต่ซูเหยียนกลับยิ้มเล็กน้อย ไม่ใช่รอยยิ้มหวาน แต่เป็นรอยยิ้มที่มั่นใจในตัวเอง
“เพราะฉันเชื่อว่าคนเก่งน่ะ ต่อให้ไม่มีพื้นฐาน ก็สามารถไปให้ถึงได้—ถ้ามีคนเปิดโอกาส”
ประธานหญิงเลิกคิ้ว
หญิงสาวตรงหน้ากล้าสบตาเธอตรงๆ โดยไม่หลบแม้แต่น้อย
เธอปิดแฟ้มในมือลงเบาๆ ก่อนพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย
“กล้าแสดงออกดี…แต่ที่นี่ไม่ใช่เวทีแสดงความฝัน บริษัทของฉันไม่รับเด็กที่ทำตัวเป็นนางเอกนิยาย”
คำพูดของเธอเรียบ เหมือนตบหน้าเบาๆ โดยไม่ต้องยกมือ
แต่ซูเหยียนกลับตอบทันควัน โดยไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า
“แล้วประธานเคยเจอ ‘นางร้าย’ ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เข้าใกล้คนที่ตัวเองสนใจไหมคะ?”
เสียงในห้องเงียบลงอีกครั้ง
คราวนี้อี้เจินหลานชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที
ก่อนจะเปลี่ยนจากเรียบเฉยเป็นสบตานิ่งด้วยแววบางอย่างที่อ่านไม่ออก
…สนใจ?
เด็กคนนี้กล้าพูดอะไรแบบนั้นกับเธอ?
“เธอรู้ไหม ว่าคำพูดแบบนั้นทำให้ฉันไม่อยากรับเธอเข้าทำงานเลย”
“แต่พี่จะรับอยู่ดี”
“เพราะพี่อยากรู้ว่าฉันจะ ‘กล้า’ แค่ไหน…ใช่ไหมคะ?”
ความเงียบระหว่างทั้งสองขยายออก
แต่มันไม่ใช่ความอึดอัดอีกต่อไป—มันคือแรงดึงดูด
สายตาของทั้งสองปะทะกันอย่างเปิดเผย ราวกับสนามประลองที่ใช้คำพูดแทนดาบ
ในตอนนั้นเอง
อี้เจินหลานวางแฟ้มลง
โน้มตัวไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป
“เธอรู้ไหม ว่าฉันไม่ชอบเด็กที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าใคร”
“โดยเฉพาะ…เด็กที่ทำให้ฉันหันกลับไปมองอีกครั้งหนึ่ง”
ซูเหยียนยิ้ม
สายตาเธอสะท้อนบางอย่างที่ลึกล้ำเกินกว่านักศึกษาทั่วไป
“แต่พี่ก็มองอยู่…ใช่ไหมล่ะคะ?”
⸻
หลังสัมภาษณ์
ไม่มีใครรู้ว่าซูเหยียนได้รับการตอบรับจากประธานโดยตรง
ไม่มีอีเมล ไม่มีลายเซ็นบนเอกสารใด
แต่หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เธอได้รับบัตรผ่านเข้าเขตพิเศษของบริษัท พร้อมข้อความสั้นเพียงหนึ่งประโยค:
“ถ้าเธอกล้าเข้ามา ก็อย่าหวังจะถอยได้อีก”
เวลาห้าโมงเย็น — ผู้คนทยอยออกจากออฟฟิศ
ชั้น 49 ของตึก “ลู่ซิ่วกรุ๊ป” เงียบสงัด ราวกับถูกตัดออกจากโลกทั้งใบ
ไฟสีขาวในห้องทำงานใหญ่ยังสว่างอยู่
ประธานหญิงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้เข้ม มือเรียวไล้ไปตามเอกสารชุดสุดท้ายที่เซ็น
แต่เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นจากโซฟามุมห้อง
“พี่เลิกงานแล้วใช่ไหมคะ?”
อี้เจินหลานเหลือบตาขึ้น
เด็กคนนั้นยังอยู่
ซูเหยียน—ในชุดนักศึกษาชุดเดิมจากเช้า แต่ผมที่ถูกรวบไว้กลับปล่อยลง และกระโปรงที่เคยยาวถึงเข่าถูกพับเล็กน้อยขณะเธอนั่งไขว่ห้าง
“เธอเข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกแล้ว”
“พี่ก็ไม่เคยล็อกประตูนะคะ”
น้ำเสียงของซูเหยียนมีรอยยิ้ม
และในขณะที่อี้เจินหลานกำลังจะดุอีกครั้ง
หญิงสาวตรงหน้ากลับลุกขึ้น เดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกลิ่นแชมพูจางๆ
ซูเหยียนหยุดยืนตรงข้ามโต๊ะ
ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่แนบแน่น
“หนูรู้ค่ะ ว่าพี่พยายามควบคุมทุกอย่าง…”
“แต่เวลาพี่มองหนู…มันไม่เหมือนตอนที่พี่มองพนักงานคนอื่นเลยสักนิด”
อี้เจินหลานชะงัก มือหยุดเซ็นกลางคัน
สายตาเธอเฉียบคมขึ้น ราวกับจะกางกำแพง
แต่ก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากไล่
“เธอคิดว่าคำพูดแบบนั้นจะทำให้ฉันสนใจ?”
“เด็กฝึกงานไม่ควรทำตัวล้ำเส้น”
“งั้น…ถ้าหนูไม่ใช่เด็กฝึกงานล่ะคะ?”
“ถ้าหนูเป็นคนที่พี่เองก็หยุดคิดถึงไม่ได้ตั้งแต่วันแรก?”
จบคำพูดนั้น—ซูเหยียนโน้มตัวข้ามโต๊ะเล็กน้อย มือหนึ่งวางบนแฟ้มงาน
ระยะห่างระหว่างใบหน้าทั้งสองแค่ไม่กี่เซนติเมตร
เสียงนาฬิกาดัง “ติ๊ก… ติ๊ก…”
เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
“ออกไป”
อี้เจินหลานพูดเสียงเบา
แต่น้ำเสียงนั้นไม่ใช่คำสั่ง—มันคือเสียงที่สั่นเล็กน้อย และเจือปนด้วยความลังเล
“หรือจะให้หนูอยู่จนพี่ทำอะไรบางอย่างกับหนู?”
“ถ้าพี่ควบคุมไม่ได้…หนูก็ยินดีนะคะ”
ประธานหญิงหลับตาลงช้าๆ ราวกับกำลังกลั้นบางอย่างไว้ในอก
ก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ แต่ชัดเจน
“มานี่”
ซูเหยียนยิ้มมุมปาก เดินอ้อมโต๊ะมาช้าๆ จนมายืนข้างเก้าอี้
ทันใดนั้น อี้เจินหลานคว้าแขนเธอลงนั่งบนตักอย่างไม่ให้ตั้งตัว
มือเย็นเฉียบวางบนแผ่นหลัง เปลือกตาเปิดขึ้นช้าๆ
สายตานิ่งสงบ แต่ลึกจนยากหยั่งถึง
“ถ้าคิดจะเล่นกับไฟ…ก็อย่าหวังจะหนีตอนมันเริ่มไหม้”
“พี่จะเผาหนูก็ได้…”
คืนนั้น—แสงไฟในห้องทำงานถูกปิดลงแล้ว
แต่ห้องพักส่วนตัวที่เชื่อมต่อด้านหลังยังเปิดไฟสลัวๆ จากโคมข้างเตียง
อี้เจินหลานนั่งพิงหัวเตียง ชุดสูทยังไม่ถอด เพียงปลดกระดุมท่อนบน
สายตาของเธอทอดมองออกไปนอกกระจก ที่สะท้อนแสงเมืองเบื้องล่าง
เธอไม่ได้ขยับ
เหมือนกำลังรอฟังเสียงบางอย่างจากอีกด้านของห้อง
เสียงเปิดประตูห้องน้ำเบาๆ ดังขึ้น
แล้วร่างของ ซูเหยียน ก็เดินออกมาช้าๆ
เธอสวมเพียงเชิ้ตสีขาวของประธานหญิง
ชายเสื้อยาวคลุมขาอ่อน แต่ยังเผยผิวขาวสะอาดใต้แสงโคมไฟ
หยดน้ำบางๆ ยังเกาะตามปลายผม
“พี่ไม่อาบน้ำเหรอคะ?”
เสียงเธอนุ่ม เหมือนกำลังถามเล่น ๆ แต่ทุกคำเต็มไปด้วยความใกล้ชิดเกินพอดี
อี้เจินหลานไม่ตอบ
เพียงมองเด็กสาวตรงหน้า ที่เดินเข้ามาใกล้ แล้วขึ้นนั่งข้างเธอบนเตียงอย่างไม่ลังเล
กลิ่นสบู่จางๆ ลอยแตะปลายจมูก
“กลับบ้านซะ ซูเหยียน”
เสียงของเธอเบาลงกว่าทุกครั้ง เหมือนคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจมน้ำ แต่ยังฝืนพูดให้มั่นคง
“กลับไป แล้วอย่าทำแบบนี้อีก…”
ซูเหยียนไม่ตอบ
เพียงเอนตัวเข้ามาช้าๆ ฝ่ามือเล็กวางลงบนมือของประธานที่ยังวางอยู่บนตัก
เธอไม่พูดคำรัก
ไม่แม้แต่จะขอจูบ
เธอแค่นั่งเงียบ แล้วกอดแขนอีกฝ่ายแน่นจากด้านข้าง
“แต่พี่…ไม่ได้ผลักหนูออกนี่คะ”
เสียงนั้นเบา
แต่แฝงแรงมากพอจะสั่นใจใครได้ทั้งโลก
อี้เจินหลานเม้มปาก ดึงสายตากลับมา
เธอไม่เคยปล่อยให้ใคร “เข้ามา” ได้ขนาดนี้
ไม่เคยเปิดห้องนี้ให้ใคร
ไม่เคยปล่อยเสื้อเชิ้ตของตัวเองให้ใครสวม…
แต่คืนนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้น
และมันเลยเถิด—อย่างเงียบงัน
เธอเอื้อมมือไปจับมือของซูเหยียนไว้เบาๆ
นิ้วเรียวค่อยๆ ประสานกัน ราวกับยอมรับ
โดยไม่ต้องมีคำใด
“เธอรู้ใช่ไหม ว่าหลังจากนี้—เราจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมอีก”
“หนูไม่อยากกลับไปแล้วค่ะ”
“ต่อให้พี่ไม่เรียกชื่อหนูเลย…หนูก็จะอยู่ตรงนี้”
คำพูดนั้นเหมือนจะอ่อนโยน
แต่สำหรับอี้เจินหลานแล้ว—มันคือพันธนาการ
เธอปล่อยให้ซูเหยียนเอนหัวลงบนไหล่
ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งข้างกัน จับมือตนไว้แน่น
และปล่อยให้คืนนี้—ผ่านไปโดยไม่มีคำว่า “รัก”
ไม่มีคำว่า “อนาคต”
แต่ทุกการแตะสัมผัส กลับหนักแน่นกว่าอะไรทั้งหมด
เธอเอื้อมมืออีกข้างไปปิดโคมไฟ
ห้องทั้งห้องมืดสนิท
เหลือเพียงเสียงลมหายใจสองคน…ที่สลับกันอยู่อย่างเงียบงัน
ในความมืดนี้
มีความลับซ่อนอยู่
และความสัมพันธ์ที่—ไม่อาจพูดได้ในแสงสว่าง
“แต่หนูจะยิ้มจนกว่าจะมอดไหม้ไปด้วยกัน”
สองร่างยังไม่แตะกัน
แต่บรรยากาศกลับเหมือนระเบิดที่พร้อมจุดขึ้นทุกเมื่อ
เสียงโทรศัพท์แผ่วเบาดังขึ้นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า
อี้เจินหลานลืมตาขึ้นช้าๆ บนเตียงกว้าง—ก่อนจะสัมผัสได้ว่าด้านข้าง ว่างเปล่า
ไม่มีเสียงลมหายใจจากคนที่นอนอยู่ข้างเธอเมื่อคืน
ไม่มีเสื้อเชิ้ตเธอบนพื้น ไม่มีกลิ่นแชมพูในอากาศ
เธอลุกขึ้น คิ้วขมวดแน่นเล็กน้อย
เปิดตู้เย็น…มีน้ำผลไม้ 1 กล่องวางไว้
พร้อมกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก เขียนด้วยลายมือที่เธอจำได้ขึ้นใจ
“ไปเรียนเช้า เจอกันที่บริษัทนะคะ — ซูเหยียน”
เธอจ้องมันนานกว่าที่ควรจะเป็น
นิ้วหัวแม่มือไล้ตัวอักษรบนกระดาษเบาๆ
แล้วถอนหายใจ…
“ทำเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่…อย่างกับว่าฉันไม่ได้พังลงเมื่อคืนนี้”
⸻
10:05 น. – บริษัท ลู่ซิ่วกรุ๊ป ชั้นสำนักงาน
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังบนพื้นหินอ่อน
เมื่อประตูสำนักงานชั้นผู้บริหารเปิดออก พนักงานแต่ละคนรีบก้มหน้า แน่นิ่ง
เจินหลานเดินตรงไปยังห้องของตัวเองด้วยสีหน้าปกติ
แต่ในอกกลับรู้สึก ผิดปกติอย่างที่สุด
เธอควบคุมได้ทุกอย่าง…
แต่นับตั้งแต่เมื่อคืน เธอกลับเริ่มไม่แน่ใจว่า เธอควบคุมใครอยู่กันแน่
⸻
10:09 น. – โถงงานฝึกงาน ชั้น 35
ในขณะที่บรรดาฝ่ายบุคคลกำลังอบรมเด็กฝึกงานรอบเช้า
ซูเหยียนนั่งหลังตรง ฟังทุกคำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
เธอสวมสูทสีเบจ เรียบสะอาด ผมถูกรวบตึงเรียบร้อย
แต่เมื่อสายตาเธอเฉียงขึ้นไปมองกล้องวงจรปิดที่มุมห้อง…
เธอกลับ ยิ้มบางๆ—แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
⸻
11:45 น. – ห้องประชุมเล็ก ชั้น 48
“นักศึกษาฝึกงานเข้าร่วมประชุมรายงานภายในวันนี้ด้วย”
“อี้เจินหลาน เป็นประธานการประชุม”
ภายในห้อง มีผู้บริหารสามแผนกรายงานผลงาน
แต่สายตาเจินหลานกลับหลุดจากสไลด์…
ทุกครั้งที่เธอเห็น “นักศึกษาฝึกงานคนนั้น” นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ปากจด สมุดนิ่ง แต่สายตา—กำลังมองเธออยู่ตลอด
และที่เลวร้ายที่สุดคือ…
ซูเหยียน ยิ้ม
รอยยิ้มเล็กๆ ที่ไม่ใช่รอยยิ้มต่อเอกสาร
แต่เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะพูดว่า:
“เมื่อคืน เราอยู่กันแค่สองคน…แต่วันนี้ ฉันอยู่ในโลกของพี่โดยไม่มีใครรู้”
เจินหลานกำปากกาบนโต๊ะไว้แน่น
ไม่มีใครในห้องสังเกตเห็น
นอกจากคนคนเดียวที่ไม่ควรอยู่ตรงนี้…
⸻
หลังประชุม – หน้าลิฟต์ส่วนตัว
ขณะที่ทุกคนเดินแยกย้ายกลับ
ซูเหยียนยืนอยู่หน้าลิฟต์ส่วนตัว รออะไรบางอย่างอยู่
ประตูเปิดออก
เจินหลานเดินออกมา สีหน้านิ่งเรียบ
แต่เมื่อทั้งสองยืนห่างกันเพียงหนึ่งช่วงแขน เด็กสาวกลับกระซิบเบาๆ โดยไม่มีใครได้ยิน:
“วันนี้พี่สวยนะคะ”
“…โดยเฉพาะเวลาหนีสายตาหนูแบบนั้น”
ประธานหญิงหยุดชั่วครู่
หันมามองเธอด้วยแววตาเย็น—แต่ในแววนั้นกลับมีบางอย่างที่ เปราะบางอย่างน่ากลัว
“เธอคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้ตลอดเหรอ?”
“หนูหวังให้เป็นแบบนี้ตลอดต่างหากค่ะ”
ซูเหยียนยิ้มอีกครั้ง
ก่อนจะหันหลังกลับไปอย่างสง่างาม
ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ และหัวใจของอี้เจินหลาน…ที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ
//แอดจะลงแบบตามใจฉันนะงับ
“ความลับของพี่…คือที่ที่หนูอยากอยู่ตลอดไป”
คำพูดนั้นย้อนวนอยู่ในหัวอี้เจินหลานขณะที่เธอเดินเข้ามาในห้องทำงานตัวเองในเย็นวันหนึ่ง ฝนเพิ่งตกใหม่ๆ กลิ่นชื้นของหิน กระจก และดินใต้คอนกรีตคลุ้งขึ้นมาพร้อมกับอากาศเย็นที่แทรกเข้ามาทางรอยเปิดของหน้าต่าง
เธอเหนื่อย
ทั้งจากการประชุมและการที่ต้อง “รักษาระยะ” ตลอดทั้งวัน
มันเหนื่อยยิ่งกว่าออกคำสั่ง…เพราะสิ่งที่ต้องกดไว้ไม่ใช่แค่คนอื่น แต่มันคือ “ตัวเอง”
เสื้อสูทถูกพาดไว้ที่เก้าอี้ เธอปลดกระดุมสองเม็ดบนสุดของเชิ้ตสีขาว สูดลมหายใจยาว ก่อนจะหมุนตัวตั้งใจจะเปิดคอมพิวเตอร์
แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิด…คือ “คนที่ไม่ควรอยู่ตรงนี้” กลับยืนอยู่ตรงหน้าต่างในเงามืด
ซูเหยียน—ยืนพิงกระจกสูง มองแสงเมืองเบื้องล่าง ราวกับโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว
“เธอเข้ามาได้ยังไง?”
เสียงของเจินหลานนิ่ง แต่มีรอยแปลกใจผสมอยู่
เด็กสาวหันมาช้าๆ
แสงจากตึกสูงภายนอกสะท้อนดวงตาของเธอเป็นสีอำพันอ่อน
“พี่ลืมปิดระบบล็อก…หรือบางทีอาจตั้งใจลืมก็ได้นะคะ”
อี้เจินหลานไม่ได้ตอบ เธอกลับเดินเข้ามาใกล้
“เธออยากอะไรจากฉันกันแน่…?”
“แค่อยากอยู่ใกล้…แค่นั้นไม่ได้เหรอคะ?”
น้ำเสียงนั้นไม่ได้อ้อนวอน
แต่มันแนบเนียนเหมือนมีดที่แหลมคมและมีไออุ่นของนิ้วมืออยู่ที่ด้าม
ซูเหยียนเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว จนอีกไม่ถึงเมตร
“พี่รู้ไหมคะ ห้องนี้มีอะไรแปลกอย่างนึง”
“มันคือ ‘ที่หลบ’ ของพี่…ไม่ใช่ ‘ที่ทำงาน’”
เจินหลานเบี่ยงหน้าเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจ แต่เพราะเธอไม่อยากให้เห็นแววตาสั่นไหวในตอนนั้น
“ห้องนี้ไม่มีกล้อง ไม่มีระบบบันทึกเสียง ไม่มีใครกล้าขอเข้ามา…นอกจากหนู”
เด็กสาวขยับเข้าไปใกล้ช้าๆ กลิ่นหอมอ่อนจากน้ำหอมลอยมากระทบประสาทรับรู้
มันไม่ใช่กลิ่นแรงแบบที่ผู้หญิงแต่งตัวจัดจะใช้
แต่มันคือกลิ่นที่ทำให้คิดถึงห้องหนังสือ กลิ่นอุ่นของกระดาษ กลิ่นผิวหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ
“หนูบุกมาถึงที่แบบนี้…พี่จะไล่มั้ยคะ?”
“ควรจะไล่”
“แต่พี่ไม่พูด”
เงียบ
เงียบเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน
และในความเงียบ
ซูเหยียนเดินไปวางฝ่ามือลงบนอกเสื้อเชิ้ตของประธานหญิง…ตรงหัวใจที่เต้นแรง
“คืนนี้…ขอแค่คืนนี้”
“ให้หนูอยู่ใน ‘พื้นที่ที่ไม่มีใครกล้าเข้า’ ของพี่…ได้มั้ย”
อี้เจินหลานหลับตา
เธอไม่ใช่คนอ่อนแอ
แต่การที่เธอไม่ตอบ ไม่ต่อต้าน ไม่หนี—มันคือคำว่า ‘ยอม’ ที่เธอไม่มีวันพูดออกมา
—
นาทีถัดมา
เธออยู่ในห้องพักส่วนตัว ด้านหลังห้องทำงาน
ฝนเริ่มตกอีกครั้ง คราวนี้แรงกว่าเดิม ฟ้าครามเบื้องนอกแปรเปลี่ยนเป็นเทาเข้ม
ซูเหยียนอยู่ในเสื้อเชิ้ตของเธออีกครั้ง
ผมเปียกบางส่วนจากฝนถูกซับด้วยผ้าขนหนูในมือของเจินหลานอย่างเบาๆ
ไม่มีคำพูด
ไม่มีการล้อเล่น
มีเพียงสายตา ที่ยิ่งเงียบยิ่งชัดเจน
“หนูจะไม่ถามนะคะ…ว่าพี่รู้สึกยังไง”
“เพราะทุกครั้งที่พี่มองหนู มันชัดกว่าอะไรทั้งหมด”
เจินหลานหยุดเช็ดผม มองดวงหน้าเด็กคนนั้นใกล้ๆ
ใบหน้าที่ใครๆ มองว่าอ่อนเยาว์ แต่สำหรับเธอกลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจแปลกประหลาด
เธอควบคุมทีมงานนับพันได้
แต่ไม่สามารถหยุดมือตัวเอง…ไม่ให้สัมผัสแก้มเนียนนั่น
“เธอทำให้ฉันอ่อนแอ”
“หนูอยากเป็นที่พักของพี่ค่ะ…”
“แค่พี่ไม่ผลักหนูออก หนูก็จะไม่ไปไหนเลย”
ประโยคนั้นทำให้บางอย่างในอกเจินหลานสั่น
ไม่ใช่ความหวั่นไหวแบบเด็ก
แต่มันคือความอบอุ่นที่…กลัวจะกลายเป็น ความเจ็บ ในวันหนึ่ง
—
พวกเธอจูบกัน
ไม่ใช่จูบแบบเร่าร้อน
แต่เป็นจูบแบบที่ “ไม่กล้าพูดคำว่ารัก”
เป็นจูบของคนที่ยอมให้กันเงียบๆ โดยไม่รู้ว่าจะมีพรุ่งนี้อีกมั้ย
ฝ่ามือของซูเหยียนลูบผ่านเอวของหญิงสาวอย่างเบาๆ
เธอไม่เร่ง ไม่รุกแบบโจ่งแจ้ง
แต่ร่างกายกลับใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนน้ำที่ซึมผ่านกำแพง
ไม่ต้องทลาย แต่ทำลายได้มากกว่า
เจินหลานไม่ได้ห้าม
แม้จะพยายามบอกตัวเองซ้ำๆ ว่า “อย่าเผลอไปอีก”
แต่ทุกสัมผัสกลับราวกับปลดโซ่ตรวนที่เธอแบกมานานนับสิบปี
“ฉัน…เหนื่อยเหลือเกิน…”
เสียงในใจที่ไม่มีใครเคยได้ยิน
ซูเหยียนเห็นความเปราะบางนั้น
และเธอก็ไม่พูดอะไร
เธอเพียงสวมกอดอีกฝ่ายไว้แน่นๆ ใต้ผ้าห่มสีเทาเข้ม
ในอ้อมกอดที่ไม่เร่งเร้า ไม่สัญญา ไม่พูดคำว่า ‘แฟน’
แต่เธอกระซิบเบาๆ ข้างใบหูว่า
“คืนนี้หนูจะเงียบ…และอยู่ตรงนี้ให้พี่ฝันดี”
ไม่มีการร่วมรัก
ไม่มีร่างกายใดถูกเปิดเผยเกินไป
มีเพียงความใกล้ ที่แนบแน่นกว่าร่างกาย
เจินหลานหลับไปในอ้อมกอดนั้น
เหมือนคนที่ไม่เคยได้รับการพักผ่อนเลยตลอดชีวิต
—
และในความมืด
ซูเหยียนลืมตา
มือหนึ่งยังลูบแผ่นหลังของคนในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา
“พี่น่ะ…ไม่ได้รู้เลย ว่าใครกันแน่ที่ควบคุมเรื่องนี้”
เธอยิ้มเบาๆ
ดวงตานิ่ง…ไม่ใช่ดวงตาของนักศึกษาธรรมดาอีกต่อไป
เช้าวันถัดมา ฝนหยุดตกไปแล้ว แต่กลิ่นความชื้นยังไม่จางหายไปจากอากาศ ลมอ่อนๆ พัดใบไม้ไหวอยู่ริมระเบียงกระจกของชั้น 49 ที่ซึ่งประธานหญิงมักเปิดออกเพียงช่วงสาย ก่อนแดดจะแรงเกินไป แสงแดดสีอ่อนลอดผ่านกระจกเข้ามากระทบพื้นหินอ่อนและขอบพรมเนื้อนุ่ม อี้เจินหลานยังคงอยู่ในห้องนั้น ดวงตาเรียวนิ่งมองเอกสารตรงหน้า แต่ไม่มีสักบรรทัดที่เธออ่านเข้าใจเลยจริง ๆ เธอไม่ได้ปฏิเสธว่าเธอเหนื่อยจากงาน — นั่นคือข้ออ้างที่ปลอดภัย แต่สิ่งที่เธอเหนื่อยจริง ๆ คือการต้องวางระยะห่างกับคนคนหนึ่งที่กำลังค่อย ๆ ละลายเส้นนั้นลงทุกวันโดยที่เธอไม่ได้พูดว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” แค่เพียงไม่ได้ผลักไส แล้วปล่อยให้มันเกิดขึ้นเองเรื่อย ๆ
เธอหลับตาลง กลั้นหายใจไว้ชั่วขณะ ภาพจากคืนก่อนยังวนอยู่ในหัว กลิ่นกาย กลิ่นสบู่ กลิ่นหอมจาง ๆ บนเสื้อเชิ้ตของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายใส่ไว้ — ร่างในอ้อมแขนที่อบอุ่นเกินกว่าจะอธิบาย มือนั้นที่วางบนหน้าอกเธออย่างเงียบ ๆ ใบหน้าซุกอยู่ตรงซอกคอโดยไม่เอ่ยคำว่ารัก แต่สื่อทั้งหมดผ่านความเงียบ แล้วเธอก็หลับไปในอ้อมกอดนั้น ทั้งที่ไม่เคยยอมหลับต่อหน้าคนอื่นเลยสักครั้งในชีวิต
เสียงเคาะประตูทำลายบรรยากาศนั้นทันที เธอลืมตาขึ้น
“ประธานคะ เลขามาแจ้งว่ากลุ่มนักศึกษาฝึกงานพร้อมเข้าอบรมเช้านี้แล้วค่ะ มีการจัดบรรยายรวมที่ชั้น 47”
อี้เจินหลานเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหยิบสูทขึ้นมาสวมช้า ๆ เธอเดินไปยังกระจกสูงข้างห้อง จัดปกเสื้อให้เรียบเฉียบ แล้วสบตาตัวเองในเงาสะท้อน — ผู้หญิงที่ควรจะสงบนิ่ง เยือกเย็น และเป็นเจ้าของทุกการควบคุม
เธอไม่มีสิทธิ์อ่อนแอ ไม่มีสิทธิ์ลังเล และไม่มีสิทธิ์ “มีความลับ” กับใคร
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือ — เธอมีความลับอยู่ในบริษัทตัวเอง
และความลับนั้น…กำลังเดินอยู่ในชุดนักศึกษาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ไม่มีใครล่วงรู้
…
ที่ชั้น 47 ห้องอบรมขนาดกลางซึ่งสามารถจุคนได้ประมาณ 30–40 คน เริ่มมีเสียงพูดคุยเบา ๆ จากกลุ่มนักศึกษาฝึกงานที่นั่งรออาจารย์ภายใน ก่อนวิทยากรจะมาเปิดเซสชันช่วงเช้า ข้างหน้ามีป้ายกระดานดิจิทัลแสดงหัวข้อ “กระบวนการบริหารองค์กรและการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์”
แต่ในบรรดานักศึกษาทั้งหมด มีอยู่คนหนึ่งที่นั่งนิ่งกว่าคนอื่น มือข้างหนึ่งเปิดสมุดจด ส่วนอีกข้างจับปากกาดำไว้แน่น ชุดนักศึกษาของเธอสะอาดเรียบ ผมรวบไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่สายตาไม่เคยเหลือบไปมองเพื่อนฝึกงานคนไหนเลย
เธอมองไปที่ประตู
เพราะเธอรู้ว่าอีกไม่เกินห้านาที — คนที่เธออยากเห็นหน้าที่สุดจะปรากฏตัว
และเมื่อเสียงรองเท้าส้นแหลมแตะกับพื้นทางเดินดังขึ้นจากด้านนอก ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบโดยอัตโนมัติ ประตูเปิดออกพร้อมร่างในชุดสูทสีดำตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด เส้นผมดำสนิทยาวระดับกลางหลังถูกรวบเรียบ ดวงตาคมเรียบนิ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับออร่าที่ทำให้ทุกคนในห้องเผลอกลั้นหายใจ
อี้เจินหลานเดินเข้ามาเงียบ ๆ สายตาเธอกวาดผ่านทุกคนเหมือนเช็คความเรียบร้อย
แต่เธอก็รู้ดี — ว่าดวงตาคู่หนึ่งมองเธออยู่ก่อนแล้ว
และเมื่อเธอสบตานั้นเพียงวินาทีเดียว บางอย่างในอกก็เหมือนจะเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย
ซูเหยียนไม่หลบตา เธอยิ้มบางๆ เพียงเสี้ยววินาที ก่อนโน้มหน้าลงเล็กน้อยราวกับเคารพ
ไม่มีใครในห้องรู้ว่ามันไม่ใช่การแสดงความเคารพธรรมดา
แต่เป็นคำทักทายจากใครบางคนที่ “ได้กอดเธอมาแล้วเมื่อคืนนี้”
“ยินดีที่ได้พบพวกคุณทุกคน ฉันคืออี้เจินหลาน ประธานบริหารกลุ่มบริษัทลู่ซิ่ว และวันนี้จะเป็นผู้บรรยายเกี่ยวกับการบริหารระดับสูง”
เสียงของเธอยังคงมั่นคงและเรียบนิ่งทุกคำ
ทุกคนตั้งใจฟัง
ยกเว้นซูเหยียน ที่ตั้งใจมอง
ทุกคำพูดที่หลุดจากริมฝีปากนั้น ทุกการสบตาสั้น ๆ ทุกท่าทางการเดินหน้าเวที — เธอจดจำไว้หมดราวกับบันทึกลงในร่างกาย
เธอไม่ได้ตกหลุมรักอี้เจินหลานในฐานะ “ผู้หญิงคนหนึ่ง”
แต่ตกหลุมรักในฐานะ “จักรวาล” หนึ่งที่เธออยากครอบครอง
ทั้งแรงกดดัน ความเย็นชา ความเก็บกด และทุกเศษเสี้ยวที่ไม่มีใครเคยได้เห็นนอกจากเธอ
…
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป บรรยายจบแล้ว นักศึกษาทยอยลุกขึ้นยืน
ซูเหยียนรอจนคนสุดท้ายเดินออกไป
ก่อนจะลุกจากที่นั่ง เดินเข้าไปยังมุมหนึ่งของเวที และกระซิบเบา ๆ ข้างหูอีกฝ่ายขณะหยิบเอกสารจากโต๊ะ
“วันนี้พี่เก่งมากเลยค่ะ…ทั้งที่เมื่อคืนหลับในอ้อมแขนหนูแท้ ๆ”
อี้เจินหลานหันขวับ ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจเล็กน้อย แต่เธอรีบเก็บมันไว้ในพริบตา
“อย่าทำแบบนี้ในที่สาธารณะ”
“แต่พี่ทำแบบนั้นในห้องส่วนตัวเมื่อคืนนี้นะคะ…”
“หนูเงียบแล้ว พี่เองก็อย่าเผลอเผยตัวสิ”
เจินหลานกำหมัดแน่น ไม่มีใครเคยพูดแบบนี้กับเธอมาก่อน
ไม่มีใครกล้าหยอกเธอในจุดที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกมา
แต่เด็กคนนี้ทำได้ — และยิ่งไปกว่านั้น…เธอไม่มีแรงจะหยุดมันได้เลย
…
คืนนั้น
ในห้องพักชั้นบนสุดของตึกใหญ่ เจินหลานยืนมองออกนอกหน้าต่างยาวนาน มือถือของเธอมีข้อความใหม่จากเบอร์ที่ไม่มีชื่อขึ้น:
“คืนนี้ไม่เข้าไปนะคะ พี่ควรพักบ้าง หนูเองก็ไม่ใจร้ายทุกคืนหรอก :)”
เธอมองจอ แล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
ไม่ใช่หัวเราะเพราะตลก
แต่เพราะ “เข้าใจแล้วว่า…ถูกครอบครองทั้งใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว”
เธอเก็บมือถือไว้ในลิ้นชักอย่างเงียบๆ แล้วปิดไฟ
แสงสุดท้ายของวันดับลง
แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครล่วงรู้ — กลับเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในความเงียบงัน
เวลา 22:48 น.
เมืองทั้งเมืองยังสว่างด้วยแสงนีออนของป้ายโฆษณาและไฟถนน แต่บนชั้น 49 ของตึกลู่ซิ่ว หลอดไฟทั้งหมดในห้องทำงานถูกปิดมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากจอคอมพิวเตอร์ที่ยังค้างอยู่ในหน้าเอกสารเท่านั้นที่ให้แสงเงาอ่อน ๆ กับใบหน้าของประธานหญิงที่นั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกสูง
อี้เจินหลานไม่ได้ทำงานแล้วจริงๆ
มือของเธอแตะแก้วไวน์ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งเบา ๆ นิ้วเรียวหมุนขอบแก้วอย่างไร้สติ ดวงตาคู่นั้นสะท้อนแสงไฟในเมือง แต่ความคิดของเธอกลับหมุนไปไกลกว่านั้น
ความเงียบในห้องไม่ใช่สิ่งน่ากลัวที่สุด — แต่คือ “เสียงในใจ” ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
ทำไมเธอถึงรู้ว่าฉันไม่มีระบบกล้องในห้อง
ทำไมเธอถึงรู้แม้กระทั่งจังหวะลมหายใจของฉัน
ทำไมฉันถึง…ปล่อยให้เธอรอดมาได้ทุกครั้ง
และที่สำคัญ…
ทำไมฉันถึงคิดถึงเธอจนไม่อยากให้ถึงวันรุ่งขึ้น
เสียงประตูหลังห้องขยับเบา ๆ
ไม่มีเสียงเคาะ
ไม่มีเสียงแจ้งเตือน
แค่เพียงแรงบิดของมือคนหนึ่ง ที่ “รู้” ว่าระบบล็อกไม่ได้เปิดอยู่
เจินหลานหันขวับ — แต่ไม่มีอารมณ์โกรธบนใบหน้า
มีเพียงดวงตาเรียบนิ่ง…กับประกายบางอย่างที่เหมือนกำลังเตรียมใจรับอยู่ก่อนแล้ว
ซูเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น
ผมดำยาวปล่อยลงมาแทนที่จะรวบแบบทุกวัน ชุดนักศึกษาถูกถอดทิ้งไป มีเพียงเสื้อฮู้ดสีเทาเข้มกับกางเกงขาสั้น และดวงตาคู่นั้น ที่มองเธอเหมือนเคยมองมานานแล้ว
“ทำไมเธอถึงเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต”
เสียงของเจินหลานเรียบ แต่น้ำเสียงไม่มีความดุดันเลย
“เพราะหนูเคยอยู่ที่นี่มาก่อนค่ะ”
คำพูดนั้น ทำให้เธอชะงัก
“หมายความว่าไง?”
ซูเหยียนปิดประตูอย่างเบามือ
เดินเข้ามาใกล้ ไม่เร่ง แต่มั่นคงทุกก้าว
“เมื่อห้าปีก่อน…มีเด็กคนหนึ่งเคยหลงทางในงานอีเวนต์ของกลุ่มบริษัทนี้ ตอนนั้นฝนตก และเธอไปแอบอยู่ที่มุมหลังเวทีเพราะกลัว”
เจินหลานจ้องอีกฝ่ายนิ่ง
“แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ชุดสูทสีดำ สะพายไอแพดและมีตาเศร้ามาก…เดินเข้ามาหาเด็กคนนั้น แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้”
“เธอ…?”
ซูเหยียนยิ้มบางๆ
“หนูจำพี่ได้ตั้งแต่วันนั้น”
“แต่—”
“พี่จำไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนั้นพี่กำลังหาคำตอบเรื่องบริษัทในช่วงเปลี่ยนผ่าน หน้าพี่เครียดมาก เหมือนไม่ได้นอนมาเป็นอาทิตย์ แต่หนูกลับรู้สึกว่า…ไม่มีใครอบอุ่นกว่านี้อีกแล้ว”
เจินหลานนิ่งไป
เธอจำเหตุการณ์นั้นได้ — แต่ไม่ได้จำเด็กผู้หญิงคนนั้นเลย
เธอจำได้แค่…ฝนตก
เธอเหนื่อยจนตัวสั่น และไปเจอเด็กคนหนึ่งที่นั่งหลบอยู่หลังฉาก และเธอยื่นผ้าเช็ดหน้าให้โดยไม่คิดอะไร
แต่สำหรับเด็กคนนั้น…
“พี่คือคนแรกที่สังเกตเห็นหนูในตอนที่ไม่มีใครมองเลยด้วยซ้ำ”
“หนูเคยสาบานกับตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งโตพอ หนูจะกลับมาหา…”
เสียงแผ่วลง
“…แล้วทำให้พี่ไม่มีทางลืมหนูไปได้อีกเลย”
เจินหลานหลับตาลง มือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นเล็กน้อย
“แล้วตอนนี้ล่ะ…จะทำยังไงต่อ ถ้าเธอทำให้ฉันลืมเธอไม่ได้แล้วจริง ๆ”
ซูเหยียนเดินมาใกล้อีกก้าว
เธอวางมือบนหัวเข่าของเจินหลาน แล้วนั่งลงตรงหน้าช้าๆ เงยหน้ามองเธอเหมือนเด็กคนเดิมที่เคยอยู่ตรงนั้นเมื่อห้าปีก่อน
“หนูไม่อยากเป็นแค่ความลับแล้วค่ะ…”
ฝ่ามือของเธอแตะลงบนข้อมือของเจินหลาน
แล้วลากเบา ๆ ขึ้นไปจนถึงไหล่ ช้า ๆ นุ่มนวล
“แต่ถ้าพี่บอกว่ามันจะพัง ถ้าหนูเปิดเผย…”
“งั้นหนูก็จะเป็นความลับที่ทำให้พี่สุขที่สุดก็ได้”
เจินหลานโน้มตัวลงช้าๆ
หน้าผากของทั้งสองสัมผัสกันเบา ๆ
ไม่มีคำพูดใด
ไม่มีคำอธิบาย
มีเพียงจังหวะลมหายใจที่ตรงกัน
และมือที่ประสานกันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
จากนั้นซูเหยียนก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเม็ดแรกของเสื้อเชิ้ตเธออย่างช้า ๆ
ไม่ใช่เพื่อเร่ง
แต่เพื่อ “ขออนุญาต”
เจินหลานไม่หยุด
เธอเพียงยกมือขึ้นแตะแก้มอีกฝ่าย
“ฉันกลัวนะ…”
“หนูก็กลัวค่ะ แต่ถ้าพี่สั่น หนูจะเป็นมือที่กอดพี่ไว้เอง”
ห้องทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง
แต่ในเงียบนั้นกลับเต็มไปด้วยลมหายใจสองคน
พวกเธอไม่ต้องมีคำพูดว่ารัก
ไม่ต้องพูดว่าเป็นของกันและกัน
ร่างทั้งสองเพียงแค่ขยับใกล้กันช้าๆ
จูบกันอย่างเบาที่สุด
สัมผัสกันในระดับที่ลึกที่สุด
โดยไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหนังใดเปลือย
ซูเหยียนพิงอยู่บนอกของเจินหลานที่นั่งพิงเก้าอี้ มือของเธอกอดรอบเอวอีกฝ่ายไว้แน่นเหมือนเด็กเล็ก
“คืนนี้…อย่าฝันถึงใครเลยนะคะ นอกจากหนูคนเดียว”
“อืม…”
และก่อนที่ทั้งสองจะหลับไป
เจินหลานเอ่ยออกมาเบา ๆ ราวกับฝัน
“ฉันจำเธอไม่ได้…แต่ใจฉันรู้ว่าเธอคือคนสำคัญ”
…
และโลกของเธอ ก็ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
ห้องฝึกงานชั้น 47 ในช่วงสายของวันศุกร์เริ่มคึกคักกว่าปกติเล็กน้อย อาจเพราะใกล้สิ้นสัปดาห์ หรือเพราะวันนี้เป็นวันมอบหมายงานภาคสนามจากฝ่ายการตลาด ซึ่งเปิดโอกาสให้นักศึกษาฝึกงานสามารถเลือก “ติดตามงานภาคปฏิบัติ” กับทีมบริหารได้โดยตรง
เสียงพูดคุยดังเบา ๆ ภายในห้องประชุมเล็ก
แต่ในมุมใกล้หน้าต่าง ร่างของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งยังคงนั่งสงบนิ่ง ก้มหน้าจดบันทึกอย่างไม่สนใจใคร
ซูเหยียนในวันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับปลายแขนเล็กน้อย กระโปรงดำเข้ารูป และผูกผมครึ่งศีรษะ ทำให้ดูเรียบร้อยแต่ก็มีเสน่ห์แปลกตาอย่างประหลาด
ชายหนุ่มในแผนกฝ่ายกลยุทธ์ที่เข้ามาเป็นแขกรับเชิญในห้อง แอบเหลือบมองเธอเป็นระยะ ๆ ระหว่างที่พูดถึงโครงการ
และตอนที่เขาเดินไปยืนข้างโต๊ะเธอเพื่อชี้กราฟที่ฉายบนหน้าจอ
ซูเหยียนก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย — แล้วยิ้มบาง ๆ
เป็นรอยยิ้มมารยาทธรรมดา
แต่ผู้ชายคนนั้นหน้าแดงทันที
และสิ่งที่เธอไม่รู้คือ…
มุมกล้องฝั่งขวาของห้องนั้น เชื่อมต่อกับห้องควบคุมชั้นบนสุดโดยตรง
เพราะเป็นห้องที่ประธานสั่งติดตั้งระบบสังเกตการณ์ไว้สำหรับตรวจสอบประสิทธิภาพทีมฝึกงานโดยเฉพาะ
และอี้เจินหลาน…กำลังนั่งไขว้ขาอยู่หน้าจอนั้น พร้อมกาแฟดำที่ยังไม่ถูกแตะ
เธอไม่ขยับ
ไม่พูด
แต่แววตาใต้ขนตายาวนั้นเย็นลงทุกวินาที
เธอเห็นสายตาผู้ชายคนนั้น
เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้น
และที่เธอรู้สึกชัดที่สุดคือ — เธอไม่ชอบเลย
…
หกโมงเย็น
พนักงานทยอยกลับออกจากตึก
แต่ซูเหยียนยังอยู่
เธอได้รับข้อความสั้น ๆ จากผู้ช่วยประธานว่า “ให้นำรายงานต้นฉบับขึ้นไปส่งโดยตรงที่ห้องประธานก่อนกลับ”
ไม่มีชื่อผู้ส่ง
แต่เธอรู้ว่าใครสั่ง
เธอเดินขึ้นชั้น 49 ด้วยฝีเท้านิ่ง
และเมื่อเปิดประตูเข้าไป
ก็พบว่าห้องมืดเกือบทั้งห้อง มีเพียงแสงไฟจากโต๊ะทำงานของอี้เจินหลานที่เปิดไว้ และเจ้าของร่างสูงสงบกำลังนั่งไขว้ขา พิงเก้าอี้ หันหน้าออกไปทางกระจก
ซูเหยียนวางรายงานลงบนโต๊ะช้า ๆ
“พี่เรียกหนูมาเหรอคะ?”
ไม่มีเสียงตอบ
เธอเดินอ้อมโต๊ะไปด้านหลังเบา ๆ
จนกระทั่งหยุดอยู่ข้างเก้าอี้
“…เป็นอะไรคะ?”
เจินหลานพูดช้า ๆ โดยไม่หันกลับมา
“เธอยิ้มให้เขา”
“…”
“ฉันเห็น”
ซูเหยียนหรี่ตาเล็กน้อย
ไม่ปฏิเสธ
แต่ก็ไม่พูดอะไร
“รอยยิ้มที่ไม่ใช่ของฉัน”
เสียงนั้นเบา และไม่มีแววโกรธ แต่กลับทำให้บรรยากาศในห้องเย็นลงทันที
ซูเหยียนเอียงศีรษะเล็กน้อย มือข้างหนึ่งแตะแผ่นหลังของเก้าอี้เบา ๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้หูของอีกฝ่าย
“พี่หึงเหรอคะ?”
เจินหลานหันกลับมาในจังหวะนั้น
เร็ว
แน่น
และสายตา…เฉียบคมจนซูเหยียนแทบหยุดหายใจ
“เธอคิดว่าเธอควรเล่นแบบนี้กับฉันเหรอ ซูเหยียน?”
ยังไม่ทันได้ตอบ
ข้อมือของเธอก็ถูกคว้าไว้แน่น — ร่างเธอถูกดึงลงไปกระแทกกับโซฟายาวด้านข้างห้องในชั่วพริบตา
เธอล้มลงนั่ง และอีกฝ่ายก็โน้มตัวตามมาอย่างเงียบ ๆ
เจินหลานยกมือขึ้น
ปลายนิ้วแตะที่คางของซูเหยียน
แล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้นสบตากันตรง ๆ
“ครั้งหน้า…ถ้าคิดจะยิ้มให้ใครอีก — ก็เตรียมใจไว้ให้ดีว่าฉันจะทำยังไงกับเธอ”
เสียงกระซิบเบามาก
แต่แรงกดของมือกลับไม่เบาเลย
“หรือหนูจะลองตอนนี้เลยก็ได้นะคะ”
ซูเหยียนยิ้มบาง ๆ
ในแววตามีประกายบางอย่างที่เจินหลานคุ้นดี — ดื้อเงียบ
เธอลากฝ่ามือขึ้นจากเอวของอีกฝ่าย วางไว้ที่หน้าอกของเจินหลานตรงตำแหน่งหัวใจ
“มันเต้นแรงมากเลยนะคะ”
“พี่แสดงออกไม่ได้ แต่หนูรู้…”
เจินหลานยิ้มเย็น
“งั้นเธอควรรู้ด้วยว่าฉันจะลงโทษเธอยังไงเวลาหึง”
พูดจบ เธอก็โน้มตัวลงจูบอีกฝ่ายอย่างแนบแน่นทันที
ไม่อ่อนโยน
ไม่รออนุญาต
แต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่เก็บไว้มาทั้งวัน
ซูเหยียนไม่ขัด
กลับจูบตอบอย่างแนบเนียน
มือเธอเลื่อนไปที่ต้นคอของเจินหลานแล้วดึงอีกฝ่ายลงมาแนบชิดขึ้นอีก
จากนั้นเธอก็พลิกตัวขึ้นช้า ๆ จนกลายเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน
เจินหลานชะงัก
“ทำอะไรของเธอ…”
ซูเหยียนโน้มตัวลง จูบเบา ๆ ที่มุมปากอีกฝ่าย พร้อมกระซิบ
“เมื่อกี้พี่หึง…”
“ตอนนี้หนูก็หึงค่ะ เพราะสายตาผู้หญิงแผนกบัญชีคนหนึ่งมองพี่ตอนประชุมเมื่อเช้า หนูเห็น…”
เจินหลานเบิกตากว้าง
“เธอ…”
“แล้วหนูก็ไม่ยิ้มให้ผู้ชายคนนั้นด้วยนะคะ มันเป็นรอยยิ้มมารยาท…”
“แต่กับพี่ หนูจะไม่ยิ้มเฉย ๆ หรอก”
เธอก้มลงแตะแนบริมฝีปากบนลำคออีกฝ่าย
ลากไล้ลงมาช้า ๆ จนถึงไหปลาร้า
แล้วกระซิบเสียงต่ำจนแทบไม่ได้ยิน:
“เพราะหนูอยากให้พี่รู้ว่า ไม่มีใคร…มีสิทธิ์มองหนู หรือครอบครองหนู นอกจากพี่คนเดียว”
…
ห้องทั้งห้องเงียบงัน
มีเพียงลมหายใจที่ปะทะกัน
และความจริงที่พวกเธอ “ไม่กล้าพูดต่อหน้าใคร”
ทั้งหวง
ทั้งรัก
และต่างฝ่ายต่างไม่ยอมเสียอีกคนให้ใคร
แม้จะต้องกลายเป็นนักโทษในอ้อมแขนของกันและกัน
…
และเมื่อทุกอย่างจบลง
เจินหลานนอนอยู่บนโซฟา หอบเบา ๆ ขณะมองเพดาน
ส่วนซูเหยียนพิงอยู่ตรงอกเธอ มือเกี่ยวกันไว้แน่น
“คืนนี้…ไม่ต้องลงโทษหนูแล้วนะคะ”
“หึ…จะขึ้นเองยังกล้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ”
“พี่ก็ชอบไม่ใช่เหรอ…”
เจินหลานไม่ตอบ
แต่กอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นช้า ๆ
ไม่ใช่เพราะยอมแพ้
แต่เพราะ…เธอรู้ตัวดีว่าไม่มีทางหนีออกจากอ้อมแขนของเด็กคนนี้ได้อีกแล้ว
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!