🎀 ตัวละครหลัก
นางเอก: อลิษา (ลิซ) — อายุ 23 ปี เรียบร้อย เก็บอารมณ์เก่ง อ่อนไหวง่ายแต่ไม่เคยยอมให้ใครเห็นน้ำตา
มาจากครอบครัวนักธุรกิจระดับกลางที่กำลังจะล้มละลาย จึงถูกผลักดันให้แต่งงานกับลูกชายตระกูลใหญ่เพื่อ “รักษาเกียรติ”
พระเอก: คิรัน — ลูกชายคนโตของตระกูล “คิซึกิ” มหาเศรษฐีเชื้อสายลูกครึ่งญี่ปุ่น
นิ่ง เงียบ ไม่ค่อยพูด มีสายตาคมแบบที่สบทีเดียวใจสั่นสามวัน
เอกลักษณ์คือจดจำรายละเอียดของคนที่รักได้แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่สุด
🕊️ บทเริ่มต้น
“อลิษา...พรุ่งนี้ลูกต้องไปดูตัว”
“เราไม่มีทางเลือกอีกแล้วนะลิซ…”
เสียงของแม่ดังลอดโทรศัพท์ตอนที่ฉันกำลังนั่งเงียบอยู่ริมระเบียงหอพัก
พ่อของฉันเพิ่งถูกศาลฟ้องล้มละลาย บริษัทกำลังจะโดนยึดบ้าน โดนฟ้อง โดนล่า
และทางเดียวที่จะ “รักษาเกียรติ” ของตระกูลเอาไว้ได้...ก็คือการ “แต่งงาน”
แต่งกับลูกชายตระกูลคิซึกิ — เจ้าของเครือธุรกิจส่งออกระดับประเทศ
แต่ฉันไม่รู้แม้แต่ชื่อของเขา
รู้แค่ว่า...เขามีฝาแฝด และต้องแต่งกับฉันเพราะ “คุณย่า” สั่งไว้
💍 วันดูตัว
คฤหาสน์คิซึกิใหญ่โตจนรู้สึกเหมือนตัวเองเล็กลงไปเป็นเด็กประถม
โต๊ะน้ำชาถูกจัดเรียงอย่างหรูหรา แต่เขา...นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแบบเงียบงัน
ไม่พูด ไม่มองหน้า ไม่ยิ้ม ไม่มีท่าทีแม้แต่น้อยว่าเต็มใจ
“คุณคิรัน...ไม่ขัดข้องใช่ไหมคะ?”คุณย่าเป็นคนถาม
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเพียงนิด
...นั่นคือการตอบตกลงแต่งงานของเขา
ฉันไม่ได้พูดอะไรกลับไป รู้เพียงอย่างเดียวว่า ฉันได้แต่งงานกับคนที่ไม่แม้แต่จะถามชื่อฉันด้วยซ้ำ
👰♀️ พิธีแต่งงาน
งานแต่งจัดเรียบง่ายตามคำสั่งผู้ใหญ่ ฉันสวมชุดเจ้าสาวสีงาช้างเรียบหรูแบบที่แม่เลือก
แต่แม่ก็ไม่ได้มา...เพราะอายที่ต้อง “ยกลูกสาว” แลกหนี้
ฉันนั่งอยู่นิ่งๆ คนเดียวที่ริมห้องแต่งตัว พยายามไม่ร้องไห้
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
เขา คิรัน ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ฉันแบบไม่พูดอะไร
ผืนผ้าสะอาด เรียบ หอมกลิ่นชาอ่อนๆ แบบเดียวกับตอนที่เจอเขาครั้งแรก
ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตานั้นไม่ได้แข็งกระด้าง แต่เย็น เงียบ และ...แปลกประหลาด
“จะเริ่มเดินได้หรือยัง?”
เสียงของเขานิ่ง เรียบ ราวกับกำลังถามเรื่องอากาศ
ฉันพยักหน้า
ในระหว่างที่เดินเคียงกันในโบสถ์ ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ได้ประคองแขนฉันแน่น
...แต่มั่นคงมากพอจะทำให้ฉันไม่ล้ม
🌒 ค่ำคืนหลังแต่ง
เราไม่ได้มีงานเลี้ยง ไม่มีการเปิดแชมเปญ ไม่มีแม้แต่คำว่า "ขอแสดงความยินดี"
ห้องนอนที่ถูกจัดไว้เต็มไปด้วยกลิ่นดอกไม้แห้งและความเงียบ
“คุณจะนอนเตียงฝั่งซ้ายหรือขวา?” ฉันถามแบบประหม่าเขาถอดเสื้อสูทแล้ววางเรียบไว้บนเก้าอี้
...ติดกระดุมคอไม่สุดแบบที่เคยเห็น...กลิ่นชาเอิร์ลเกรย์แตะจมูกฉันอีกครั้ง
“แล้วแต่เธอ”
“ฉันไม่ทำอะไรโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว”
เขาพูดเพียงแค่นั้น แล้วเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาอ่านที่มุมห้อง
ฉันมองเขาเงียบๆ อยู่พักใหญ่
...ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้หัวใจฉันเต้นแรง
โดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลยแม้แต่ประโยคเดียว
แต่งงานมาได้สัปดาห์หนึ่ง ฉันกับเขายังแทบไม่ได้คุยอะไรกันจริงจังเลย
ในห้องนอนเดียวกัน ฉันนอนฝั่งซ้าย เขาฝั่งขวา
ในห้องอาหาร เขาแค่รินชาร้อนให้ทุกเช้า ก่อนลุกไปโดยไม่ถามอะไร
...แต่ความเงียบนั้น กลับไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
วันหนึ่ง ฉันเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วพบว่าชุดทำงานของฉันถูกจัดเรียงใหม่ทั้งหมด
ชุดที่เคยยับยู่ยี่ กลับเรียบร้อยราวกับผ่านมือช่างรีดระดับโรงแรม
ฉันถามแม่บ้าน...ทุกคนส่ายหน้า
และคืนนั้น ฉันเห็นเขาถือเครื่องรีดไอน้ำไว้ในห้องซักรีดหลังคฤหาสน์เงียบๆ
ตอนฉันเดินผ่าน เขาแค่หันมาสบตา แล้วพูดเบาๆ:
“เธอชอบใส่ชุดสีฟ้า...แต่ตัวนั้นยับมาก”
ฉันไม่ได้พูดอะไรออกไป นอกจากยืนนิ่ง รู้สึกเหมือนบางอย่างในอกอุ่นวาบขึ้นมา
อีกวันหนึ่ง ฉันกลับจากงานแล้วบ่นเบาๆ ว่า:
“อยากกินข้าวต้มปลาแบบที่แม่เคยทำ...แต่คงไม่มีอีกแล้ว”
วันรุ่งขึ้น...โต๊ะอาหารเช้าของฉันมีกลิ่นปลาหอมๆ ลอยขึ้นมา
ข้าวต้มปลาแซลมอนถูกวางไว้ตรงหน้า พร้อมขิงซอยบางเฉียบ
ฉันตะลึงไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเขาที่กำลังจิบชาตรงข้าม
“คุณทำเหรอ?”
เขาไม่ตอบ
แค่หยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมา แล้วพูดเรียบๆ:
“ปลาซื้อจากร้านญี่ปุ่นตรงหัวมุม เธอไม่แพ้แซลมอนใช่ไหม?”
แค่นั้น...หัวใจฉันก็แทบจะหลุดออกมาเต้นบนโต๊ะอาหาร
บางที...การไม่พูด อาจไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไร
แต่อาจเพราะเขา “พูดไปหมดแล้ว” ผ่านการกระทำ
แม้แต่เรื่องเล็กๆ เช่นการวางแก้วน้ำเย็นไว้ที่โต๊ะตอนฉันกลับบ้าน
การเปิดไฟทางเดินไว้ให้ทุกคืน
หรือการเปลี่ยนหลอดไฟห้องน้ำที่ฉันบ่นว่าแสงมันแสบตา…โดยไม่เคยขอ
คืนนั้น...ฝนตก
ฉันนั่งซบหมอน อ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ฝนกระทบกระจกเป็นจังหวะ
แล้วเขาก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมผ้าห่มผืนใหม่
สีชมพูอ่อน แบบเดียวกับผืนที่ฉันเคยพูดติดตลกว่า "ตอนเด็กชอบใช้"
“เผื่อเธอจะนอนสบายขึ้น”
เขาวางผ้าไว้ปลายเตียง แล้วเดินกลับไปโดยไม่รอคำตอบ
ฉันเงยหน้ามองแผ่นหลังของเขา — คนที่ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่แต่งงานกัน
แต่กลับเป็นคนเดียว...ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า “ฉันสำคัญ”
และนั่นอาจเป็นครั้งแรกในชีวิต
ที่ฉันรู้สึกว่า...การถูกคลุมถุงชน ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป
เช้าวันนั้น ฉันตื่นแต่เช้า
ตั้งใจทำข้าวกล่องด้วยตัวเองครั้งแรก
ข้าวอบมันฝรั่งกับไก่ทอดซอสกระเทียม
เมนูโปรดของเขา...ที่เคยได้ยินแม่บ้านพูดถึง
“วันนี้ฉันจะเอาไปให้เขาที่บริษัท”
ฉันยิ้มเบาๆกับตัวเอง
ไม่รู้ทำไม…แค่อยากทำให้
ฉันมาถึงบริษัทของเขาตอนสาย
แอบเขินนิดๆ ตอนเดินผ่านพนักงาน
แล้วบอกว่ามาหาคุณคิรัน
พนักงานหญิงตรงเคาน์เตอร์ทำหน้าแปลกๆ ก่อนชี้ไปที่ห้องรับรองชั้นบน
“คุณคิรันอยู่กับแขกค่ะ ถ้าคุณอลิษาไม่รีบ จะรอสักครู่ก็ได้ค่ะ”
ฉันพยักหน้า แต่ขาเหมือนเดินเองไปจนถึงหน้าห้องประตูแง้มอยู่เล็กน้อย
และแค่หนึ่งก้าวที่ฉันมองเข้าไปในห้องนั้น…
โลกทั้งใบก็เงียบลงในทันที
เขานั่งอยู่บนโซฟา
ข้างกายเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าหวานจัดแต่งเนี๊ยบ
ทั้งสองคนดูสนิทกันจนฉันรู้สึกจุกในอก
เขาไม่ได้ยิ้ม
แต่แววตาของเขา…ไม่เคยมองฉันแบบนั้นเลย
ฉันหายใจไม่ออก
รีบก้าวถอยออกจากตรงนั้นแทบจะทันที
“ฝากกล่องนี้ไว้ให้เขาทีค่ะ”
“บอกว่า...บังเอิญผ่านมาพอดี”
แล้วฉันก็เดินออกจากที่นั่นโดยไม่หันหลังกลับ
4 วันต่อมา
ฉันไม่พูดกับเขาแม้แต่คำเดียว
ไม่ร่วมโต๊ะอาหาร
ไม่แตะของกินที่เขาทำไว้
ไม่แม้แต่สบตา
คิรันไม่ถามอะไร
แต่ฉันรู้ว่าเขารู้
…รู้ว่าฉันกำลังหนี
วันที่ห้า เขามาหาฉันที่หน้าห้อง
เสียงเคาะเบาๆ
ก่อนเปิดประตูเข้ามาเงียบๆ
“อลิษา”
“เธอเป็นอะไร”
ฉันไม่พูด
ก้มหน้าเก็บเสื้อใส่กระเป๋าเงียบๆ
ไม่แม้แต่จะสบตาเขา
“อลิษา” เขาเรียกอีกครั้ง เสียงเข้มขึ้นนิดหน่อย
“พูดกับฉันหน่อย”
ฉันหมุนตัวจะเดินหนี
แต่เขาก็พุ่งเข้ามากอดจากด้านหลังแน่น
“ปล่อยนะ…”
ฉันดิ้น แต่เขาไม่ยอมปล่อย
“ฉันบอกให้ปล่อย!!”
เขายังกอดแน่น ไม่พูดอะไร
“คิรัน…ปล่อยฉันไปเถอะ…”
“เราหย่ากันเถอะ”
เขานิ่ง…
แต่ไม่ปล่อย
ฉันผลักตัวเองออกมาจนหลุดจากอ้อมกอด
แล้วเปิดตู้เสื้อผ้า ลากกระเป๋าอย่างรีบร้อน
หยิบของทุกชิ้นเท่าที่จำเป็น
มือสั่น หัวใจก็สั่นไม่ต่างกัน
“ฉันจะกลับบ้าน…”
“ขอโทษที่มันเป็นแบบนี้…”
แล้วทันใดนั้น…
หมับ!
เขาคว้าแขนฉันไว้
ไม่แรง…แต่แน่นพอจะหยุดฉัน
“ปล่อยฉัน—”
จุ๊บ!
ริมฝีปากของเขาประทับลงมาแรงจนแทบหายใจไม่ทัน
ร้อน…ดุดัน…ลึกซึ้งและเต็มไปด้วยความอดทนที่พังลงในพริบตา
ฉันตาเบิกโพลง ผลักเขาออกเล็กน้อย
แต่เขาเอื้อมมารั้งเอวไว้แน่นกว่าเดิม
“ฉัน…” เขากัดฟันกรอด
“ไม่! หย่า!”
ฉันยืนค้างอยู่ตรงนั้น น้ำตารื้นเต็มขอบตา
ไม่รู้ว่าตกใจเพราะจูบ…หรือคำพูดของเขากันแน่
คิรันยังคงกอดฉันไว้แน่น
เหมือนกลัวฉันจะหายไปจากอ้อมแขนจริงๆ
และในอ้อมกอดนั้นเอง…
ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ฉันยังอยากจะไปจริงๆ หรือเปล่า
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!