ณ ทะเลทรายที่ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้าพร้อมเเสงเเดดที่สาดส่องกระทบกับผืนทรายโดยไร้ซึ่งสิ่งกำบังใดๆบนที่โล่งกว้าง จนปรากฎให้เห็นเป็นไอร้อนระอุที่พวงพุ่งออกมาจากผิวทราย เเละสายลมเบาๆที่พัดนำเอาเศษฝุ่นทรายไปตามลม มีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เธอเป็นคนที่ตัวเล็กมีไหล่ที่เเคบ เเละ สูงประมาณ170ซม. ทั่วทั้งตัวสวมเครื่องเเบบทหารลายพรางสีน้ำตาลอ่อนที่เหมาะเเก่การใช้พลางตัวในทะเลทราย เเต่ทั้งชุดกลับดูใหญ่เกินขนาดตัวของเธอจนดูเเปลกเกินจนเห็นได้ชัด ลำตัวท่อนบนถูกปกคลุมไปด้วยผ้าสีน้ำตาลอ่อนบางๆที่มีรอยขาดรุ่งริ่งผืนใหญ่สำหรับป้องกันเเดดในที่โล่งเเจ้ง มันถูกสวมคลุมทับทั้งศรีษะเเละหมวกปีกกว้างเเต่ไม่ได้บังส่วนใบหน้าไว้สำหรับมองทางตรงหน้าได้ชัดเจน บนใบหน้าสวมเเว่นตากันลมอันใหญ่เอาไว้สำหรับป้องกันฝุ่นทรายเข้าตา ที่ไหล่มีปืนไรเฟิลสีน้ำตาลที่ทำจากไม้ พร้อมกับติดสายสะพายเอาไว้สำหรับใช้พาดเพื่อความสะดวกในการพกพา ข้างหลังเเบกกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่ลายพลางสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างของกระเป๋าดูอวบจากการยัดของจำนวนมากเอาไว้ รองเท้าที่สวมเป็นรองเท้าคอมเเบททหารลายพลางสีน้ำตาลอ่อนที่ใหญ่เกินกว่าเท้าของเธอจนหลวมทำให้เดินลำบากในทุกๆย่างก้าว มือทั้ง2ข้างสวมถุงมือหนาๆสีดำเอาไว้สำหรับป้องกันการสัมผัสสิ่งต่างๆโดยตรงซึ่งเเน่นอนว่าถุงมือก็ใหญ่กว่ามือของเธอเช่นกัน เด็กสาวก้าวเดินไปบนผืนทรายพร้อมกับทิ้งรอยเท้าที่ทั้งลึก เเละ ใหญ่มาตลอดทาง ถึงเเม้ว่ารองเท้าคอมเเบตทหารจะถูกออกเเบบมาให้เดินได้บนสภาพเเวดล้อมที่หลากหลายเเต่ด้วยน้ำหนักของมันทำให้ทุกครั้งที่เหยียบย่ำลงไปบนทรายมันก็มักจะจมเสมอจนต้องออกเเรงในการยกเท้าเพื่อก้าวต่อ อีกทั้งรองเท้าที่เธอสวมเอาไว้ก็ยังใหญ่เกินไปให้ความรู้สึกหลวมจนไม่สบายเท้าอยู่ตลอด เเต่เมื่อผ่านไปซักพักรอยเท้าเหล่านั้นก็จะถูกกลบเลือนหายไปเอง จากลมที่ผัดเอาทรายมาเเทนที่จนเป็นการลบรอยเท้าเดิมไม่ให้เหลือร่องรอยให้เห็น
ในระหว่างที่กำลังก้าวเดินไปเรื่อยๆอย่างทุลักทุเลเด็กสาวก็เอาเเต่มองตรงไปทางข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ราวกับถูกบางสิ่งล่อหลอกให้ตรงไปเข้าหา จนกระทั่งในที่สุดเธอก็ได้หยุดเดินเมื่อมาถึงสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เด็กสาวเปิดผ้าคลุมศรีษะของตนออกพร้อมเเว่นตากันลมที่ครอบทั้งเบ้าตาของเธอเอาไว้เพื่อเปิดมุมมองของตนให้รับรู้สิ่งที่อยู่ตรงกน้าได้กว้าง เเละ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เผยให้เห็นถึงใบหน้าสีขาวที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อไคล บนหัวสวมหมวกปีกกว้างเเบบยื่นไปข้างหน้าลายพลางสีน้ำตาล นัยตาสีดำสนิทพร้อมกับผมสีดำยาวปลิวไสวไปตามลมอ่อนๆของทะเลทราย เธอเเหงนหน้ามองบางสิ่งขนาดใหญ่อีกทั้งมันยังสะท้อนเเสงของดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าจนเห็นมาเเต่ไกล เหมือนเป็นการหลอกล่อให้เด็กสาวสามารถมองเห็นรูปร่างของสิ่งที่เเปลกตาเเละมีขนาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน จนเป็นการนำพาเธอให้เดินตรงเข้ามาหา เจ้าสิ่งนั้นมันคือเครื่องบินที่ใช้สำหรับรรทุกกองกำลังทหารรวมไปถึงยานพาหนะ ตัวเครื่องบินมีความกว้างอยู่ที่8เมตร เเละ ยาวถึง28เมตรทั่วทั้งตัวเครื่องล้วนถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นทรายสีเหลืองเเดงอ่อนจนไม่เหลือเค้าโครงของสีเดิม ตัวเครื่องเหมือนจมลงไปเล็กน้อย ปีกซ้ายหลุดออกในขณะที่ปีกขวายังคงติดอยู่กับลำตัวในสภาพที่สมบูรญ์ ส่วนหางมีรอยต่อจนดูเหมือนจะหลุดออกได้ทุกเมื่อ เครื่องบินลำนี้เป็นเพียงสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในยุคสงครามที่ผ่านมาเเล้ว เเต่ในสายตาของเด็กสาวเเล้วนั้นมันเป็นสิ่งเเปลกปะหลาดที่ไม่สามารถเข้าใจได้ เเละ ไม่เคยรู้จักหรือเคยพบเจอมาก่อนในชีวิต
เเววตาของเด็กสาวที่จ้องไปยังสิ่งนั้นเเฝงไปด้วยความตื่นตาตื่นใจจนไม่อาจละสายตาต่อวัตถุขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อได้ยืนสังเกตุอยู่นานในที่สุดเธอก็เริ่มที่จะก้าวเดินเข้าไปใกล้สิ่งที่ตนไม่รู้จักมากขึ้น ท่าทางของเด็กสาวไม่เเสดงออกถึงความระวังตัวเเม้เเต่น้อยเเต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้เธอก็เลือกนำมือที่ยังคงสวมถุงมือไปสัมผัสกับผนังเครื่องบินพลางรูปคลำไปมาเป็นการลองเชิงดูก่อน เเต่สุดท้ายกลับไม่สามารถที่จะรับรู้อะไรได้เลย นั่นเป็นเพราะถุงมือที่หนาจนบดบังสัมผัสบนฝ่ามือของเด็กสาวจนมิดชิด เธอจึงถอดถุงมือข้างซ้ายออกก่อนที่จะใช้มือเปล่าสัมผัสลงไปบนเเผ่นโลหะโดยตรง ทันทีที่วางมือลงไปความรู้สึกเเสบร้อนก็ได้เเล่นผ่านไปทั่วฝ่ามืออันบอบบางของเด็กสาวในทันที เป็นผลมาจากการที่เเผ่นโละภายนอกตัวเครื่องถูกเเสงเเดดสาดส่องเป็นเวลาตลอดวัน นั่นจึงทำให้สิ่งที่เธอทำไม่ต่างอะไรกับการเอามือไปสัมผัสกับกาต้มน้ำที่กำลังเดือดระอุ
"โอ้ย!!!"
เด็กสาวชักมือออกทันควันในขณะที่ใบหน้าเเปรเปลี่ยนด้วยความเจ็บปวดจูดูราวกับจะร้องไห้พลางส่งเสียงร้องดังลั่น เธอสะบัดมือข้างซ้ายไปมาในขณะที่กำลังเดินถอยห่างออกจากสิ่งที่เพิ่งจะสัมผัสเมื่อครู่ ก่อนจะเริ่มเอาปากเป่าฟู่ๆใส่ฝ่ามือข้างซ้ายของเธอที่ถูกความร้อนจนเเดงก่ำไปหมด เมื่อได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของการสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยตรง เธอก็หันกลับไปจ้องมองผนังของเครื่องบินด้วยความโกรธเเค้นที่เกิดจากความไม่รู้ของตัวเอง
เด็กสาวเริ่มเดินเรียบจากด้านซ้ายไปสู่ส่วนท้ายของตัวเครื่อง พร้อมกับเว้นระยะห่างเอาไว้โดยที่ยังคงทำหน้าหงุดหงิด เพื่อไม่ให้เดินเข้าไปใกล้จนไปสัมผัสกับผนังเครื่องบินร้อนๆอีกเป็นครั้งที่2 หลังจากที่เธอได้นำเอามือเปล่าๆของตนวางทาบลงบนเเผ่นโลหะที่ร้อนระอุ จนได้เเผลติดไม้ติดมือมาย่อมเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำพลาดอีก อีกทั้งเเผลเก่าก็ยังคงปรากฎอยู่ที่มือซ้ายของเธอพร้อมกับอาการเเสบร้อนที่ยังคงเด่นชัดจนยากจะลืมเลือน เเต่ก็โชคยังดีที่มือซ้ายนั้นไม่ใช่มือข้างที่ถนัดของเธอ มิฉะนั้นเธอคงทำอะไรๆได้อย่างลำบากไปอีกสักพักใหญ่ เมื่อเด็กสาวเดินมาถึงตรงท้ายเครื่องบินสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือพื้นที่กว้างเหมือนท่อขนาดใหญ่ที่ดูราวกับอุโมงโลหะ ที่เมื่อมองลึกเข้าไปข้างในมันก็ทั้งมืดทึบจนสนิท ตรงส่วนผนังเต็มไปด้วยอุปกรณ์บางอย่างที่ยึดติดหรือเเขวนเอาไว้เต็มไปหมด ตรงกลางนั้นว่างเปล่าดูโล่งจนกว้างมากพอจะให้คนจำนวน100คนเข้าไปยืนอยู่ข้างในพร้อมกันได้โดยไม่เเออัด หรือเเม้เเต่นำเอายานพาหนะคันใหญ่ยัดเข้าไปได้ทั้งคัน
เด็กสาวเริ่มทำตาลุกวาวจนความรู้หงุดหงิดเมื่อครู่ได้เลือนหายไปพร้อมเดินเข้าไปในตัวเครื่องบินอย่างช้าๆ เมื่อก้าวลงบนพื้นโลหะก็เกิดเสียงเเก้งดังขึ้นตลอดการก้าวเดิน เมื่อมองไปรอบๆจากด้านในตัวเครื่องมันกลับเเตกต่างจากด้านนอกลิบลับ ด้านในตัวเครื่องถึงเเม้จะเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นทรายที่ทั้งพื้นเเละผนังไปบ้าง เพราะส่วนท้ายที่ถูกเปิดโล่งโจ้งเอาไว้ตลอดจนลมทะเลทรายพัดเข้า เเต่ถ้าหากนำไปเทียบกลับด้านนอกที่ต้องโดนทั้งเเสงเเดด เเละ ลมทะเลทรายอยู่ตลอดเวลาเเล้วนั้น ด้านในกลับดูสะอาดต่างกันราวฟ้ากับเหวจนน่าประหลาดใจ ผนังที่ทั้งหนาเเละใหญ่ของเครื่องบินเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันทั้งเเดด เเละ อากาศร้อนของทะเลทรายในตอนเช้าได้เป็นอย่างดีเยี่ยม จนทำให้รู้สึกไม่อยากเดินออกไปเผชิญโลกข้างนอกอีก เก้าอี้จำนวนมากถูกยึดติดเอาไว้กับผนังด้านข้างทั้ง2ของเครื่องบินไปจนเกือบจะสุดทาง ภาพของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในมุมมองของเด็กสาวนั้นมันเเทบจะไม่ต่างอะไรกับสรวงสวรค์ หากนำไปเทียบกับการที่ต้องเดินเตร็ดเตร่อยู่บนทะเลทรายด้วยรองเท้าที่ใหญ่จนเดินลำบาก เเละ ถูกเเสงเเดดสาดส่องไปทั่วทั้งร่าง จนเเม้เเต่ผ้าคลุมบางๆที่สวมใส่ก็ยังไม่สามารถจะปกป้องเธอจากอากาศร้อนได้ ข้างในนี้ให้ความรู้สึกที่ยังคงร้อนอบอ้าวอยู่บ้างจากลมร้อนของทะเลทรายที่ยังคงพัดเข้ามาอยู่ตลอด เเต่กลับถูกห่อหุ้มไปด้วยผนังที่ทั้งหนา เเละ ใหญ่จนให้ร่มเงาเเก่ผู้พักพิง สถาณที่เเห่งนี้ทำให้เด็กสาวรู้สึกทั้งผ่อนคลาย เเละ ไว้วางใจ จนอยากให้ที่เเห่งนี้กลายมาเป็นที่อยู่อาศัยของเธอ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กสาวผู้เดินทางจนเหนื่อยล้าก็ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นดังตุ้บ ก่อนจะเเนบหลังพิงกับผนังที่ไร้ซึ่งความรู้สึกเเสบร้อนใดๆ ผิดกับผนังด้านนอกของเครื่องบิน ก่อนจะนำทั้งกระเป๋าสะพาย ปืนไรเฟิล หมวกปีกกว้าง รวมไปถึงถุงมือออกมาวางเอาไว้ข้างๆลำตัว เด็กสาวทอดเสื้อออกก่อนจะวางไว้ตรงจุดเดียวกันกับของชิ้นอื่นๆ เผยให้เห็นเสื้อยืดสีขาวสะอาด เเละ เนินอกเล็กๆที่สังเกตุได้จากรอยนูนบนเสื้อ เเล้วจึงค่อยถอดรองเท้าที่ใหญ่เกินไปออกมา เผยให้เห็นรอยเเผลจากการถูกรองเท้ากัดที่ขา เเต่ก็ยังคงสวมถุงเท้าสีน้ำตาลเอาไว้เอาไว้ เธอหันมองไปมารอบๆด้วยความดีอกดีใจจนหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อนั่งพักจนหายเหนื่อยเด็กสาวก็เริ่มเดินสำรวจข้างในของเครื่องบินด้วยความตื่นเต้นทันที เธอเริ่มที่จะเดินไปรอบๆพร้อมกับมองดูด้านในเครื่องบินอย่างละเอียดถี่ท้วน ทั้งผนังด้านข้างที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่รู้จักเต็มไปหมด บางสิ่งที่ดูเหมือนเเก้วโค้งนูนติดผนังตลอดทางเเต่กลับไม่ใช่หน้าต่าง ผนังด้านบนที่ทั้งมืด เเละ สูงพอๆกับเธอจำนวนเกือบ5คนยืนซ้อนกัน หรือเเม้เเต่พื้นที่เธอเหยียบตลอดทางล้วนเเต่ก็ทำมาจากโลหะทั้งสิ้น สัมผัสตอนที่เหยียบมันให้ความรู้สึกที่หนักเเน่น จนผิดกลับการก้าวเดินบนทะเลทรายที่ให้ความรู้สึกร่วนยุบลงไป เเละ ไม่เป็นเนื้อเดียวกันจนเดินไม่สบายเท้า จากการได้พบเจอสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นเป็นครั้งเเรกเหล่านี้ ก็ยิ่งเป็นการปลุกความอยากรู้อยากเห็นในตัวของเด็กสาวมากขึ้นไปอีก เธอจึงเริ่มเดินเข้าไปข้างในจนสุดทาง ยิ่งเข้าไปมากเท่าไหร่ทิวทัศน์ตรงหน้าก็เริ่มมองยากมากขึ้นเรื่อยๆ จนเด็กสาวต้องเดินชิดข้างซ้ายของผนังพร้อมเอามือคลำทาง จนในที่สุดเธอก็ได้เดินมาถึงสุดทางจนพบเข้ากับบางสิ่ง เมื่อเด็กสาวได้ลองเอามีอลูบคลำดูถึงได้รู้ว่า สิ่งนั้นมันคือบานประตูบานที่ไม่มีกระจก เเละ ดูเหมือนจะถูกล็อคเอาไว้อย่างเเน่นหนา
เพื่อตอบสนองต่อความสงสัยของตน เด็กสาวจึงเริ่มพยายามลองเปิดประตูทุกวิธีทาง ทั้งลองเอาร่างกายของเธอดันจนสุดเเรง ดึงสิ่งที่ดูเหมือนขันโยกอย่างสุดกำลังบนประตูด้วยมือเปล่าทั้งๆที่ไม่รู้วิธีเปิด ยืนถีบไปที่ประตูซ้ำๆอย่างเเรงจนปวดเอว นำพานท้ายของปืนไรเฟิลมากระเเทกลงบนประตูจนมีรอยร้าว หรือเเม้เเต่วิ่งเข้าใส่ประตูก่อนจะเอาไหล่ของตนเองกระเเทกใส่จนไหล่ซ้ายปวดระบม เเต่สุดท้ายประตูบ้านนี้กลับไม่มีเเม้เเต่รอยยุบ มีเพียงรอยขีดข่วนจากการใช้พานท้ายปืนกระเเทกใส่เท่านั้น เด็กสาวจึงถอดใจพร้อมก้มหน้าทำหน้าตาผิดหวังก่อนจะหันหลังกลับ ในตอนนั้นเองที่เธอได้เหลือบไปสังเกตุเห็นเก้าอี้ที่ติดอยู่กับทั้งผนังด้านซ้าย เเละ ขวามือของเธอ ตรงจุดที่ใกล้กับส่วนท้ายของเครื่องบิน ข้างใต้ของเก้าอี้เหล่านั้นมีบางสิ่งที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมใบใหญ่หลายใบ ถูกผ้าผืนใหญ่ลายพลางสีเขียวที่เลาะฝุ่นทรายเล็กน้อยจนดูน่าสงสัย เมื่อเห็นดังนั้นเด็กสาวจึงปรี่ตรงเข้าไปหาสิ่งที่ถูกผ้าคลุมเอาไว้เหล่านั้นทันที ก่อนจะลากกล่องสี่เหลี่ยมที่ทั้งหนักเเละใหญ่ออกมาชิ้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง เเล้วจึงค่อยๆเอาผ้าลายพรางที่คลุมอยู่ออก สีหน้าของเด็กสาวเเสดงออกอย่าตื่นเต้นราวกับนักล่าขุมทรัพย์ ที่เพิ่งจะพบเจอเข้ากับสมบัติที่ยังไม่เคยถูกใครค้นพบมาก่อน เมื่อเปิดผ้าออกเธอถึงกลับยิ้มเเป้นต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือกล่องโลหะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทั้งหนา เเละ สะอาดสะอ้านจนผิดธรรมชาติ เด็กสาวจึงรีบปลดตัวล็อคที่ปากกล่องออกทันที เเต่ก่อนที่จะได้เปิดฝากล่อง ในตอนนั้นเองที่เจ้าของกล่องเหล่านี้ได้กลับมาถึงบ้านของเขาเเล้ว
"ลุกขึ้นเเล้วเอามือวางเอาไว้เหนือหัว"
เสียงของชายคนหนึ่งดังออกมาจากด้านขวาของเด็กสาวตรงส่วนท้ายของเครื่องบินที่เปิดโล่ง ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงที่เเหบ เเละ ทุ้มต่ำเหมือนกับผู้ชายเเก่ๆ ทันทีที่เธอได้ยินก็ถึงกับทำตัวเเข็งทื่ออยู่ในท่านั่งคุกเข่า จากการที่อยู่ตัวคนเดียวมานานทันทีที่ได้ยินเสียงของคน มันก็ถึงกับทำให้เธอกับสะดุ้งก่อนจะเริ่มหันหน้าไปหาเจ้าของเสียงนั้นอย่างช้าๆ เป็นเพราะผนังเครื่องบินที่ปิดทึบจนเกือบจะมืดสนิทไปทั้งลำ เเละ มีเเสงส่องมาจากตรงท้ายเครื่องเพียงทางเดียว ทำให้เห็นชายคนนั้นเเบบย้อนเเสงจนทั่วทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยเงามืด เเต่ถึงอย่างนั้นก็พอจะเห็นใบหน้าของเขาได้ลางๆ คนที่เธอเห็นคือผู้ชายคนหนึ่งที่มีลักษณะตัวสูงใหญ่ประมาณ 180 ซม. สวมเเต่เสื้อกล้ามพร้อมกางเกงลายพลางสีเขียว เสื้อผ้าเต็มไปด้วยการซ่อมเเซมจากการเย็บปะมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ผิวทั่วทั้งตัวคล้ำจนเป็นสีน้ำตาล ใบหน้ามีริ้วรอยตามอายุ ดวงตามีสีน้ำตาล มีหนวด เเละ เคราสีขาว ผมขาวปกคลุมไปทั่วทั้งศรีษะที่ไม่ยาวมากนัก ชายชราทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางจ้องมองไปยังเด็กสาว ที่กำลังรื้อข้าวของของตนออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาติ ในขณะที่มือทั้งสองข้างกำลังถือปืนลูกซองเเบบชัก พร้อมกับเล็งไปที่ ช่วงลำตัวของเด็กสาวตรงๆ เเต่ถึงเเม้ว่าเธอจะถูกข่มขู่โดยการถูกจ่อปืนใส่ในระยะเผาขน เด็กสาวกลับทำเพียงหันไปหาชายชราเเละนิ่งเฉย เนื่องมาจากอาการตกใจกลัวที่รวดเร็วจนสับสน ทำให้สูญเสียวิธีการคิดตัดสินใจไปชั่วขณะเพราะถูกทักโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของเด็กสาวยังคงเเสดงออกถึงอาการตื่นตระหนก จนเธอทำตัวไม่ถูกต่อสถาณการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
"ฉันบอกว่าให้ลุกขึ้นยืนเเล้วเอามือไปวางไว้เหนือหัว!!!"
ครั้งนี้ชายชราตะคอกเสียงดังจนเด็กสาวสะดุ้งเเรงกว่าเดิม เธอถึงกับต้องรีบลุกขึ้นโดยไวพร้อมหันทั้งตัวไปยังชายคนนั้น เด็กสาวทั้งรู้สึกเครียดตัวเกร็งซะจนเก็บความรู้สึกกลัวของตนออกไปไม่ได้ จนเผลอเเสดงออกมาให้เห็นผ่านมือทั้ง2ข้างของเธอที่สั่นเกร็งไม่หยุด ลมหายใจหอบเหนี่อยดวงตาเเฝงไปด้วยความหวาดกลัว พลางจ้องมองไปยังปืนที่อยู่ในมือสลับกับใบหน้าของชายชรา พร้อมกับคิดในใจ
"จะทำยังไงดี นี่ฉันจะต้องตายหรือเปล่า เวรเอ้ยไม่น่าเข้ามาเเต่เเรกเลย ฉันต้องออกไปจากที่นี่ เเต่จะออกไปยังไง เขาจะยิงจริงๆใช่ไหม บัดสบเอ้ย เฮงซวย"
ในตอนนั้นเด็กสาวก็เพิ่งจะตระหนักรู้เรื่องหนึ่งได้ว่าเธอมีปืนไรเฟิลอยู่กระบอกหนึ่ง เเต่ทว่าเเทนที่จะพกพาไว้กับตัวเด็กสาวกลับวางมันเอาไว้ใกล้กับประตูสุดทางด้านหลังของเธอ เด็กสาวเหลือบตาไปมองด้านหลังของตนที่ซึ่งวางปืนไรเฟิลเอาไว้ จนเห็นว่ามันถูกวางเอาไว้ห่างจากตัวเธออย่างมาก ก่อนที่เด็กสาวจะหันกลับมามองที่ดวงตาของชายชราอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้คนตรงหน้าของเธอได้รับรู้ ว่าเธอคิดที่จะทำอะไร
"อย่าเชียวนะ"
ทันทีที่ชายชราพูดเตือนเด็กสาวพร้อมกับส่ายหัวช้าๆเพื่อเป็นการเตือนอีกเป็นครั้งที่3 เเต่ทว่าเทันทีที่พูดจบเธอกลับหันหลังเเล้วออกตัววิ่งอย่างสุดเเรงเเบบไม่คิดชีวิต เมื่อชายชราเห็นดังนั้นเขาจึงวิ่งตรงเข้าใส่เด็กสาวทันที เสียงฝีเท้าของทั้ง2ที่กระทบกับโลหะดังสนั่นไปทั่วเครื่องบิน เเม้เด็กสาวจะเป็นผู้ออกตัวก่อนเเต่ด้วยความยาวของเครื่องบินที่มากกว่า20เมตร เเละ อาการตื่นกลัวจนวิ่งอย่างลุกลี้ลุกลน สุดท้ายก็เป็นฝ่ายของชายชราที่เข้าถึงตัวเด็กสาวได้ก่อน เขานำเอาพานท้ายของปืนลูกซองกระเเทกเข้ากับท้ายทอยของเธออย่างจังในขณะที่กำลังวิ่ง จนเด็กสาวล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น เเล้วจึงกดเธอลงเอาไว้จนไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก
"ไอ้เด็กบ้าเอ้ย"
ทันทีที่สิ้นสุดคำสบถชายชราก็เเกะนำเอาเชือกที่ติดอยู่กับผนังของเครื่องบินออกมา เเล้วจึงค่อยนำมือของเด็กสาวมาไขว้กันก่อนจะลงมือมัดทั้งมือเเละเท้าของเธออย่างหนาเเน่นจนไม่อาจดิ้นหลุด ในขณะนั้นเองเด็กสาวกำลังไม่ได้สติจากการที่ศรีษะถูกกระทบอย่างรุนเเรง จนรู้สึกวิงเวียนเหมือนจะสลบก่อนที่เธอจะค่อยๆหลับไปอย่างช้าๆ
"มันไม่ง่ายกว่าหรือไงวะที่เเกจะฟังคำพูดของคนที่ถือปืนจ่อเเกน่ะ"
ชายชราพูดอีกครั้งในขณะที่กำลังมัดมือ เเละ เท้าของเด็กสาวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะลากขาที่ถูกมัดของเธอไปผูกไว้กันเชือกอีกจุดหนึ่งบนผนัง
เด็กสาวลืมตาตื่นขึ้นนอนตะเเคงขดตัวอยู่ข้างในเครื่องบิน ก่อนจะพบว่าศรีษะของตนถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าบางๆ อากาศที่ร้อนอบอ้าว นัยตาของเธอมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดสนิท ทั่วทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อจาก มือทั้ง2ข้างถูกมัดให้อยู่ในท่าไขว้หลัง ไม่ว่าจะออกเเรงดึงมากเเค่ไหนปมเชือกก็ไม่มีทีท่าว่าะขาด หรือ คายออกจากกันเลยเเม้เเต่น้อย มีเเต่จะทำให้ข้อมือของเธอเจ็บจากการพยายามออกเเรงดึง
เมื่อพยายามเอาขาถีบตัวเองให้เคลื่อนไหว ก็กลับพบอีกว่าขาทั้ง2ข้างก็ถูกมัดเอาไว้จนเเน่นเช่นกัน อีกทั้งถุงเท้าที่สวมเอาไว้ก็ยังถูกถอดออก เชือกที่ขาถูกมัดเข้ากับปมเชือกอีกจุดที่อยู่ตรงผนังของด้านในเครื่องบิน จนไม่สามารถหนีไปไหนได้ เเต่โชคยังดีที่ภายใต้ผ้าคลุมศรีษะไม่ได้มีอะไรมาปกปิดปากของเธอเอาไว้ จนสามารถหายใจหรือส่งเสียงได้อย่างสะดวก เเม้ว่าจะมีผ้าคลุมทั้งใบหน้าอยู่ก็ตาม
"เฮ้.......!!!"
เธอเปร่งเสียงเรียกอย่างเเหบเเห้งหวังให้ใครสักคนเข้ามาช่วยเหลือ เเต่ก็กลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ ในกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่ อีกทั้งตัวของเธอนั้นถูกมัดอยู่ในเครื่องบินที่ทั้งมืดทึบ เเละ ยังปิดกั้นเสียงได้ดีระดับหนึ่ง หากไม่ได้มีใครเดินเข้ามาสังเกตุ หรืออยู่ใกล้กับเครื่องบินจริงๆ ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีคนอยู่ข้างในนี้
"เฮ้........!!! มีใครอยู่ไหม ขอร้องล่ะถ้ามีใครได้ยินก็ช่วยตอบด้วย เอาฉันออกไปที เฮ้........!!!"
เด็กสาวยังคงตะโกนคำขอร้องอ้อนวอนออกมาเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุด เพื่อหวังให้ใครสักคนที่ได้ยินรู้สึกสงสาร พร้อมกับเดินเข้ามาช่วยปลดเชือกที่มัดเธอเอาไว้ เเต่เเม้ว่าจะตะโกนเสียงดังมากเท่าไหร่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงอื่นใด นอกจากสายลมที่ยังคงพัดเข้ามาจากทางท้ายเครื่องที่เปิดโล่งอยู่ตลอด
ไม่ว่าจะพยายามดิ้นจนสุดเเรง ดึงเชือกที่รัดเเน่นจนข้อมือเเดงไปหมด หรือเเม้เเต่พยายามเค้นเสียงตะโกนไม่หยุด เเต่กลับไม่มีวิธีใดเลยที่จะช่วยให้เธอหลุดออกจากการพันธนาการ ความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของเด็กสาว จนรู้สึกสิ้นหวังต่อสถาณการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ทำให้เธอเริ่มรู้สึกสิ้นหวังส่งเสียงสะอื้นพรางคิดในใจ
"ไม่เอานะฉันยังไม่อยากตาย ไม่เอาเเบบนี้ ของร้องล่ะใครก็ได้เข้ามาช่วยฉันที ฉันยอมทำทุกอย่าง ได้โปรดขอเเค่ใครซักคน ใครก็ได้"
ในตอนนั้นเองเเด็กสาวก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆกับจุดที่เธออยู่ มันได้ช่วยจุดประกายความหวังในตัวเธอขึ้นมาอีกครั้ง ทันทีที่ได้ยินดังนั้นเด็กสาวก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เเต่ทว่าเสียงนั้นกลับเป็นเสียงที่อยูข้างในของเครื่องบิน มันเป็นเสียงก้าวเดินบนเเผ่นโลหะที่เริ่มดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าคนๆนั้นที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอโดยตรง ทำให้รู้ได้ว่ามีใครบางคนอยู่ข้างในตัวของเครื่องบินอยู่เเล้วตั้งเเต่เเรก
เเต่สำหรับเด็กสาวเธอไม่สนว่าจะเป็นใคร ขอเเค่เป็นคนที่เข้ามาช่วยเหลือตน ในเวลานี้ได้ก็พอ อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมันเป็นเสียงของปะตูโลหะที่ถูกเปิดออก ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ากระทบกับโลหะอย่างช้าๆเป็นจังหวะ เเละเเหล่งที่มาของเสียงนั้นก็กำลังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆกว่าเดิม
เเม้ว่าเด็กสาวจะรู้สึกประหลาดใจไปบ้าง เเต่การได้รับรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในที่เเห่งนี้ ก็ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ จนกระทั่งเสียงนั้นมันหยุดลงใกล้กับบริเวณศรีษะของเธอ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงครืดคราดเเปลกๆ เหมือนเสียงไขลานที่ดังจนน่ารำคาญ พร้อมกับเเสงไฟที่สว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ ลอดผ่านรูเล็กๆของผ้าคลุมจนรู้สึกได้
เขาคนนั้นหยิบผ้าที่คลุมศรีษะของเด็กสาวออกมาอย่างช้าๆ เเสงสว่างที่กระทบเข้ากับใบหน้าทำให้เธอถึงกับต้องหยีตา หันหน้าหลบเลี่ยงไปทางอื่นจากการที่ได้เเต่มองในที่มืด ในไม่ช้าดวงตาของเธอก็ปรับให้เข้ากับเเสง เด็กสาวจึงได้มองตรงไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าของเธอ เธอถึงกับขวัญผวาเมื่อได้เห็นว่าคนที่นั่งยองอยู่ตรง คือชายชราคนเดียวกันกับที่เอาพานท้ายปืนกระเเทกเข้าที่ท้ายทอยของเด็กสาวจนสลบ
ในมือซ้ายของเขาถือไฟฉายสำหรับไขลานที่เป็นที่มาของเสียงดังครืดคราดที่น่ารำคาญเอาไว้ มือขวาถือกรรไกรที่ดูใหญ่ มันดูเหมือนถูกเตรียมมาสำหรับใช้ตัดบางสิ่งที่หนาเป็นพิเศษ เเต่นั่นไม่ได้ช่วยทำให้เด็กสาวรู้สึกดีเลยเเม้เเต่น้อย กลับกันนั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่ เธอทั้งถูกชายคนนี้ทำให้สลบ มัดทั้งมือ เเละ เท้าจนเเน่น พร้อมกับลากมามัดไว้ในห้องที่ไม่ค่อยมีเเสงสว่าง เเม้เเต่จะลุกขึ้นยืน หรือ เเก้มัดก็ยังทำไม่ได้ ในตอนนี้สภาพของเด็กสาวจึงไม่ต่างอะไรเลย กับลูกไก่ในกำมือของชายชรา
"ไง...ฉันอยากจะคุยด้วยสักหน่อย เเต่ฉันกลัวว่าถ้าเธอตื่นขึ้นมา จะวิ่งหนีไปตายที่ไหนสักที่เเถวๆนี้ เพราะงั้นฉันก็เลย...มัดเธอเอาไว้กันเธอหนีไปไหน เเล้วที่เอาผ้าปิดหน้าเธอกับมัดเธอไว้ในนี้ ก็เพราะฉันกลัวว่าทรายจะเข้าตา กับ จมูกของเธอน่ะ ส่วนที่ลากเธอเข้ามาลึกๆในที่มืดก็เเค่เพราะว่ากลัวเธอจะโดนเเดดเผา เพราะฉะนั้นฉันจะปลดเงื่อนที่มัดมือเธอออก เเล้วเรามานั่งคุยกันดีๆได้ไหม"
เเม้ชายชราจะพูดยาวเหยียดอย่างช้าๆ เเต่เด็กสาวที่ตื่นกลัวกลับไม่ได้มีสมาธิ จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขาพูดเลยเเม้เเต่น้อย เธอมีเเต่จะเเสดงอาการหวาดกลัวต่อชายตรงหน้ามากขึ้น จนเผลอพยายามขยับตัวไปมาเพื่อออกห่าง น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาจนไหลอาบเเก้ม พลางพูดในใจอย่างวิตกังวล
"ตายเเน่ ตายเเน่ ตายเเน่ ตายเเน่ ตายเเน่"
เด็กสาวเริ่มหายใจรุนเเรง จนได้ยินเสียงหัวใจของตนเอง มือสั่นจนชายชราสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน สายตาของเธอดูหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าชายที่ตรงหน้าเธอจะพูดยังไง เเสดงท่าทีที่เป็นมิตรมากเเค่ไหน นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เด็กสาวรู้สึกปลอดภัยขึ้นเลยเเม้เเต่น้อย เเม้เเต่ในขณะที่กำลังดิ้นไปมาอยู่นั้น ชายชราก็ยังคงพูดไม่หยุด ไม่ว่าคนที่ล้มตัวนอนอยู่ข้างหน้าจะทำใบหน้าหวาดกลัวอย่างสุดขีดอยู่ก็ตาม
"นี่ไม่ต้องสั่นกลัวเป็นจ้าวเข้าขนาดนั้นหรอกน่า เดี๋ยวฉันจะค่อยๆปลดเชือกที่มัดเธออยู่ออกอย่างช้าๆให้"
ชายชรานำไฟฉายมาติไว้ที่ไหล่ซ้ายของตน ทำให้สามารถมองเห็นส่วนที่ถูกมัดได้อย่างชัดเจน โดยที่ไม่ต้องถือไฟฉายเอาไว้ ก่อนจะพลิกตัวเธอให้อยู่ในท่านอนคว่ำ เด็กสาวพยายามหันหน้าไปมองยังใบหน้าของผู้ที่กำลังเเก้มัดให้เธอ เเต่ในตอนนี้เเทนที่จะหวาดกลัว เธอกลับพยายามอดกลั้นเก็บอาการเอาไว้ ราวกับว่ากำลังรอโอกาสที่จะทำบางสิ่ง ในขณะที่กำลังปลดเชือกอยู่นั้น ชายชราก็ยังคงเอาเเต่พูดพล่ามไม่หยุด เเม้ว่าเด็กสาวจะไม่มีท่าทีตอบสนองต่อคำพูดของตนเลยก็ตาม
"เเดงซะขนาดนี้เลยเเหะ ขอโทษทีที่ฉันต้องมัดเเน่นขนาดนี้ พอดีมันเป็นนิสัยเสียที่ฉันชอบมัดอะไรๆให้เเน่นเอาไว้ จะได้ไม่มีอะไรหลวมจนหลุดออกมา นี่คงไม่ว่ากันหรอกใช่ไหม"
ทันทีที่ปมเชือกตรงมือของเด็กสาวคลายออก เธอก็ยังคงนิ่งเงียบต่อไป เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อจนกว่าจะถึงเวลา ในไม่ช้าชายชราก็เริ่มเเก้ปมที่เท้าของเด็กสาวออกทันที จนกระทั่งมันคลายออก เป็นการมอบอิสระให้เธอได้ขยับตัวได้ตามใจชอบอีกครั้ง
"เอาล่ะเรียบร้อย เพียงเเค่นี้เราก็มาคุยกันอย่างสัน-"
ผลั่ก!!!
เมื่อสบโอกาส เด็กสาวก็ออกเเรงถีบขาทั้ง2ข้างของเธอ เข้าที่ใบหน้าของชายชราอย่างจัง จนส่งเขาล้มหงายหลังลงหัวกระเเทกพื้น ไฟฉายที่ติดเอาไว้กับหัวไหล่ กระเด็นตกลงกระเเทกกับพื้นจนดับไป เธอรีบออกตัวลุกขึ้นวิ่งทันที โดยที่ไม่ได้หยิบอะไรติดไม้ติดมือออกไปด้วย เเม้เเต่รองเท้าของเธอก็ถูกวางทิ้งเอาไว้ เมื่อเด็กสาววิ่งออกมาจากท้ายเครื่องบินได้ เเสงอาทิตย์เวลาเที่ยงวันก็กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอทันที เเต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดวิ่งเลยเเม้เเต่น้อย ในขณะที่ชายชราก็ลุกขึ้นวิ่งตามมา
"รอเดี๋ยวก่อน!! อย่าไปทางนั้น"
ทันทีที่เท้าเปล่ากระทบลงบนพื้นทราย ความร้อนเเผ่ซ่านไปทั่วฝ่าเท้าทั้ง2ข้าง จนรู้สึกเเสบร้อนทุกครั้งที่ย่ำเท้าลง เเต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงฝืนอดกลั้นวิ่งต่อไป ทิวทัศน์เบื้องหน้าของเธอนั้นไม่ใช่ทะเลทราย หากเเต่เป็นภูเขาหินเเห้งเเล้งสีส้มที่สูงชันเป็นเเนวยาวจนปิดกั้นไม่ให้เห็นอีกฝากของภูเขาลูกนี้เอาไว้ เเต่ถึงเเม้จะเป็นภูเขาสูงก็พอจะมีช่องว่างตัดผ่านจากการกัดเซาะของลม ที่มากพอจะให้เด็กสาวเเทรกตัวผ่านเข้าไปได้ให้ผ่านเข้าไปได้ เธอจึงไม่ลังเลที่จะวิ่งตรงไปยังซอกเเคบๆนั้นทันที
เเต่ในระหว่างที่กำลังวิ่งอยู่บนพื้นทรายนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น บางสิ่งที่เเหลมคมพุ่งเข้าใส่ที่ขาของเด็กสาวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งนั่นมันไปขัดกับขาทั้ง2ข้างที่กำลังวิ่งอยู่ก่อนจะถูกดึงกลับ ส่งผลให้เธอล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นทรายร้อนๆ จนถึงกับต้องรีบลุกขึ้นโดยไวจากความร้อนที่เเผ่ซ่านไปเกือบทั้งร่าง ก่อนจะเอามือปัดทรายที่ติดอยู่เต็มตัวไปหมด เเล้วจึงค่อยพร้อมหันหลังไปมองสิ่งนั้นที่พยายามจะทำร้ายเธอ เผยให้เห็นหางสีเหลืองมีลักษณะเป็นข้อปล้อง ชูขึ้นมาจากพื้นทรายพรางขยับไปมาอย่างโค้งงอ ที่ตรงปลายของมันมีลักษณะเป็นเข็มขนาดใหญ่ ก่อนที่สิ่งนั้นจะค่อยๆเริ่มผุดขึ้นมาจากพื้นทรายอย่างช้าๆ มันคือเเมงป่องทะเลทรายสีเหลืองตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่พอๆกับสุนัขตัวเต็มวัย หางที่โค้งมาข้างหน้าของมันมีความยาวมากกว่าส่วนสูงของเด็กสาวด้วยซ้ำ ราวกับเเมลงที่มีชีวิตอยู่ในยุคของไดโนเสาร์ไม่มีผิด ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยทรายที่ค่อยๆหลุดล่วงลงมาอย่างช้าๆ จากการพรางตัวเพื่อซุ่มรอเหยื่อให้มาติดกับ
ทันทีที่เด็กสาวเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่กว่าตน เธอก็ถึงกลับกรีดร้องเสียงดังลั่น พลางตะกุยทรายเพื่อยกตัวเองให้ออกห่างจากอสูรกายที่อยู่ตรงหน้า ถึงเเม้เเมงป่องจะเป็นนักล่ายามราตรีที่มีสายตามองเห็นได้อย่างย่ำเเย่ เเต่ก็ถูกทดเเทนด้วยการรับรู้จากการสั่นสะเทือน ยิ่งถ้าเกิดการสั่นสะเทือนเกิดขึ้นบนพื้นทราย มันก็สามารถระบุตำเเหน่งเหยื่อของมันได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่เเมงป่องรับรู้ได้ถึงทรายที่ถูกเด็กสาวเหยียบย่ำ มันก็รีบตรงเข้าหาเด็กสาวอย่างไม่รอช้าพร้อมยกหางของมันขึ้น เด็กสาวทำได้เเต่เพียงคว้าเอาทรายมาปาใส่สิ่งมีชีวิตที่ตนไม่รู้จัก จากการกลัวว่าจะถูกมันทำร้าย พร้อมพยายามพาตัวเองออกมาให้ไกลจากมันให้ได้มากที่สุด
เเต่ก่อนที่เเมงป่องจะเข้าถึงตัวเด็กสาวชายชราก็ยิงปืนลูกซองใสที่โคนกางด้านหลังของมันทันที หางของมันขาดกระเด็นก่อนจะดิ้นทุลนทุลาย พร้อมกับของเหลวใสที่ไหลออกมากระจายเต็มพื้นทราย
ในตอนนั้นเองเเมงป่องตัวอื่นก็ผุดขึ้นจากทรายตามๆกัน พวกมันทุกตัวล้วนพากันพร้อมใจวิ่งกรูเข้าไปหาเเมงป่องที่ได้รับบาดเจ็บตัวนั้น โดยไม่สนใจเด็กสาวที่กำลังนั่งขวัญผวา พวกมันนับ10เข้ารุมทึ้งฉีกกระชากตัวที่บาดเจ็บออกเป็นชิ้นๆอย่างน่าสยดสยอง เด็กสาวทำได้เเต่จ้องมองไปยังฝูงเเมงป่องตรงหน้าโดยไม่กระพริบตา
ก่อนที่ชายชราจะรีบเดินตรงเข้ามา ฉุดกระชากเเเขนที่บอบบางของเธอจนลุกขึ้นอย่างเเรง เเม้ว่าเด็กสาวจะยังคงเหม่อลอยไม่ได้สติก็ตาม เขาเริ่มเดินลากเเขนของเธออย่างไม่สนใจใยดี ในขณะที่เด็กสาวก็ได้เเต่พยายามใช้ขาที่หมดเรี่ยวเเรงของตน ในการประคับประคองให้เดินต่อไปได้ตามที่ถูกลากโดยชายชรา เธอยังคงหันไปมองกลุ่มก้อนของเเมงป่องพวกนั้นที่กำลังกินกันเองอย่างบ้าคลั่งอย่างไม่ลดละ
ทันทีที่ทั้งคู่กลับมายืนอยู่ที่เครื่องบินด้วยกันอีกครั้ง เมื่อเธอหันกลับมามองชายชราผู้ที่ลากเเขนของเธอมาตลอดทาง ก็ได้มีหมัดพุ่งเข้าที่หน้าของเธออย่างจัง จนล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
"นั่นสำหรับที่เเกถีบขาคู่ใส่หน้าฉัน ไอ้เด็กบ้า!!!"
ชายชราทำหน้าโกรธจัด จนถึงขั้นลงมือกับคนที่เขาตั้งใจจะคุยด้วย ทางฝ่ายเด็กสาว เมื่อถูกชกเข้าที่หน้าก็ถึงกับได้สติ หนังตาข้างซ้ายปูดโปนมีรอยฟกช้ำจนเกือบลืมตาไม่ขึ้น เธอตกใจจนตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน เเต่สุดท้ายก็หันไปมองที่ชายชรา ก่อนที่เขาจะนั่งยองให้อยู่ในระดับสายตา ของเด็กสาวเเล้วพูดอย่างดีๆ
"ฉันจะให้โอกาศเเกอีกเเค่ครั้งเดียว จะคุยกันดีๆ หรือจะให้ฉันจับเเกโยนให้พวกมันกิน"
เด็กสาวทำได้เเต่เพียงพยักหน้าอย่างกลัวๆ เมื่อต้องนึกถึงสภาพของตัวเอง ที่ถูกเเมงป่องเหล่านั้นรุมกินอย่างหิวโหย
"ดี... งั้นก็เดินตามฉันมา"
ชายชราพูดขึ้นพร้อมทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินไปยังด้านขวาของเครื่องบินที่ซึ่งมีร่มเงาจากปีก โดยไม่หันกลับมามองที่เด็กสาวอีก เธอผู้ไม่มีทางเลือกอื่นคิดว่าถ้าคิดจะทำอะไรเเปลกๆก็คงถูกชก หรือทุบตีอีกเเน่ๆ เด็กสาวจึงค่อยๆลุกเอาตัวเองออกมาจากพื้นอย่างช้าๆ เเต่ก่อนจะเดินตามไปเธอก็ได้เลียวหันกลับไปมองที่ๆเคยมีซากของเเมงป่องอยู่กันยั้วเยี้ยอีกครั้ง เเต่ในตอนนี้กลับไม่เหลือร่องรอยอะไรให้พบเห็น ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ถึงจะเป็นเช่นนั้นเเต่ภาพของเเมงป่องที่กินกันเองอย่างสยดสยองที่เพิ่งจะได้เห็นไป ก็ได้ถูกสลักลึกในหัวของเธอจนยากที่จะลืมเลือน
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!