NovelToon NovelToon

Rebellion (ชื่อชั่วคราว)

ตอนที่1:ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่…

29พฤษภาคม2011 เวลา23:33น.

เสียงลมพัดกรูเข้ามาอย่างฉับพลันใบไม้ไหวกระเพื่อม เสียดสีกันดัง “กรอบแกรบ” ท่ามกลางความมืดดำในสวนด้านหลังโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนึง เงาร่างหนึ่งกระตุกเบาๆ ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า

“…อึก…หนาว…”

เด็กหนุ่มผมดำลืมตาขึ้นมาช้าๆ เขานอนอยู่บนพื้นหญ้าเย็นเฉียบ ใบหน้าเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำค้าง

แผ่นหลังรู้สึกแสบเหมือนถูกฝังลงกับดินมาหลายชั่วโมง

[ที่นี่มันที่ไหน แล้วทำไมดึกดื่นปานนี้ทำมั้ย ตรูถึงได้มานอนอยู่บนพื้นหญ้าฟะ]

เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมองไปรอบอย่างหมดแรง ท่ามกลางความเงียบไม่มีแม้แต่เสียงหมาซักตัว หรือแสงไฟจากตึกข้างเคียงมีเพียงความเงียบรอบตัวเขา เขาควักโทรศัพท์ออกกระเป๋ากางเกงมาดูตอนนี้เวลา 23:36 น.

“ชั่งเถอะ รีบกลับหอพักก่อนแล้วค่อยคิดแล้วกัน”

เขารีบคว้ากระเป๋านักเรียนที่หลนอยู่ข้างๆและปีนออกจากรั้วโรงเรียน

ถนนที่ไม่ค่อยมีคนสัญจร เวลานี้มีเพียงเด็กนักเรียนมัธยมปลายคนนึงที่กำลังเดินอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่คนเดียว เสาไฟฟ้าตามทางให้แสงสลัวๆเป็นช่วงๆ

“อะไรวะเนี่ย…”

ในขณะที่เดินอยู่คนเดียว—โดยไม่มีป้ายบอกทางหรือเสียงแม้แต่น้อย ถนนค่อย ๆ แปรเปลี่ยน

อาคารข้างทางเหมือนละลายรวมเข้าหากัน

พื้นผิวของโลกเหมือนถูกแทนที่ด้วยภาพวาดเหนือจริงในฝันร้ายของจิตรกรเสียสติ

เขาหยุดก้าว เบิกตากว้าง

เบื้องหน้าคือ… เวทีโอเปร่ากลางแจ้ง ที่เหมือนผสานเข้ากับโลกของ Wonderland ม่านเวทีสีเลือด คลี่ออกช้า ๆ กลิ่นหมึกพิมพ์เก่า ๆ และฝุ่นผสมกลิ่นเน่าโชยมาแตะจมูก

“ปัง…ปัง…ปัง…”

เสียงปืน? ไม่—มันเป็นเสียงกระทบพื้นไม้ของไม้คอนดักเตอร์

“…นั่นมัน…”

สปอร์ตไลท์สามดวงฉายลงมากลางเวที

ท่ามกลางแสงสีขาวซีด สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนมนุษย์ในชุดวาทยากร (conductor) ปรากฏตัวแต่ว่ามันไม่มีหัว… ตรงคอมีเพลิงสีฟ้าเปล่งแสงระยิบเหมือนอัญมณีลุกโชน มันทำท่าเหมือนกำลังมองเขาอยู่ แม้ไร้ตา ไร้ใบหน้า

นักเรียนมัธยมปลายชะงักนิ่งอยู่บนทางเดินยกระดับที่พาเข้าสู่โซนที่นั่งผู้ชม เสียงฝีเท้าเงียบลง แม้แต่เสียงลมหายใจยังกลัวจะไปรบกวนบรรยากาศของ “การแสดง” ที่กำลังจะเริ่ม

เวทีโอเปร่าขนาดยักษ์เบื้องหน้าเรืองแสงสลัวๆ ท่ามกลางม่านกำมะหยี่สีแดงคล้ำที่ไหวกระเพื่อมโดยไม่มีลม บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ แปรเปลี่ยนราวกับทั้งอาคารโรงละครกำลังมีชีวิต โครงสร้างเริ่มขยับ เสาและเพดานโค้งตัวไปมาได้เหมือนแขนขาของสัตว์ประหลาด

“นั่นมัน…อะไรกันแน่…”

กลางเวที สิ่งมีชีวิตในชุดวาทยากรสูงโปร่งยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ไม่มีหัว มีเพียงเปลวเพลิงสีฟ้าที่ลุกโชนแทนที่ส่วนศีรษะ

ไม้บาตองในมือถูกยกขึ้นสูงราวกับจะเปิดม่านการแสดงอันศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้น…

“ฉัวะ!”

เสียงเครื่องสายชุดหนึ่งลากโน้ตยาวราวกับกรีดร้อง

ม่านทั้งสองฝั่งเวทีเปิดออก เผยให้เห็น เหล่านักดนตรี ที่นั่งเรียงกันเป็นวงออร์เคสตรา

พวกเขาไม่ใช่มนุษย์—บางตัวคือหุ่นไม้ ผิวแตกร้าว

บางตัวมีแววตาว่างเปล่าเหมือนตุ๊กตาเก่าที่ถูกทิ้ง

พวกมันเล่นดนตรี…ประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบในความวิปลาส

เสียงไวโอลินเริ่มสูงขึ้น ค่อยๆ ซ้อนทับด้วยเสียงกลองที่กระแทกเป็นจังหวะเหมือนเสียงหัวใจเต้น

ทางเดินใต้เท้าเด็กหนุ่มเริ่มขยับ

เก้าอี้ผู้ชมโดยรอบพลันเปลี่ยนรูปร่าง—บางตัวกลายเป็นร่างมนุษย์หุ่นเชิด บ้างมีแขนยาวเกินจริง บ้างไร้หน้า พวกมัน…หันมามองเขา

“…เจ้าพวกนี้มัน…ปีศาจหรอ…”

นักเรียนมัธยมปลายพยายามถอยหลัง แต่พื้นด้านหลังกลับหายไป—ถูกแทนที่ด้วย “เวิ้งอากาศสีดำสนิท”

ไม่มีทางถอยกลับ

“ปึง!”

ไม้บาตองของ Conductor ตวัดลง

นักดนตรีเริ่มเล่นพร้อมกัน เสียงประสานวิปริตไหลทะลักออกมาเหมือนคลื่นน้ำท่วม

“ฮวู่ววววววววววววววววววววว!!”

เสียงนั้น ไม่ใช่เสียงธรรมดา

มันคือเสียงคลื่น เสียงลูกแรกพุ่งซัดใส่ร่างเด็กหนุ่มจนกระเด็นไปชนเข้ากับราวเหล็กที่ทางเดิน

เสียง “โครม!” ดังลั่น ก่อนร่างของเขาจะทรุดลงกับพื้นไม้แข็งกระด้าง ความรู้สึกเจ็บปวดแร้นไปทั่วร่าง ปอดถูกบีบอัดจนหายใจแทบไม่ออก ราวกับอากาศทั้งหมดถูกรีดออกจากอกในพริบตา แขนซ้ายที่ยกขึ้นป้องกันถูกแรงปะทะจนชา รู้สึกแสบร้อนร้าวไปถึงข้อศอก

เลือดซึมออกมาตามข้อศอกและหัวเข่าที่กระแทกพื้น

ข้างแก้มถลอกครูดกับพื้นไม้ เสี้ยวเนื้อฉีกขาดเล็กน้อยเลือดผสมกับฝุ่นละอองในอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นไม้เก่าและสนิม

[ …ขยับไม่ได้… แขน…ชาไปหมด… ]

ทุกลมหายใจกลายเป็นแรงบีบบังคับให้ร่างกายยังคงเคลื่อนไหว

หูอื้อไปชั่วขณะ เสียงออร์เคสตรายังคงดำเนินอยู่ แต่มันกลายเป็นเพียงเสียงห่างไกลเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น

เขาพยายามดันตัวขึ้น มือสั่นระริก ร่างกายไม่ตอบสนองตามใจคิด

แขนขวาถูกใช้แบกรับน้ำหนักทั้งตัว แม้จะเจ็บจนเส้นเอ็นเหมือนจะขาด

เสียงดนตรียังคงดำเนินไปอย่างไม่มีความปราณี

เหมือนโลกทั้งใบกำลังเฉลิมฉลองความตายของเขา

เงาตุ๊กตาผู้ชมขยับใกล้เข้ามาทีละตัว ทีละก้าว เสียงข้อต่อตกร่อง “กึก กึก” ดังประสานไปกับเสียงไวโอลินที่ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนย้ำเตือนว่าการแสดงนี้ยังไม่จบ

[ต้องรีบ…ต้องรีบหนี…]

ความคิดนั้นวนซ้ำอยู่ในหัว แม้ร่างกายจะไม่เชื่อฟังก็ตาม เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น เลือดจากริมฝีปากที่แตกไหลซึมลงคาง

มือขวาที่ยังขยับได้ค่อย ๆ ดันตัวขึ้นอีกครั้ง

“ปึง!!”

เสียงไม้บาตองกระแทกอีกครั้งหนึ่ง

คลื่นเสียงลูกที่สองกระแทกตามมา คราวนี้มันไม่ได้พุ่งตรงเข้าใส่เหมือนเดิม แต่กวาดเป็นระลอกขนาดมหึมา เหมือนคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าทำลายล้างทุกอย่างบนเวที

พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้าแปรเปลี่ยน—แตกออกเป็นริ้วร้าว เสาเวทีสองต้นงอเหมือนงู ทะยานฟาดลงข้างตัวเขา เฉียดไปเพียงนิดเดียว

แรงอัดอากาศกดร่างของเด็กหนุ่มจนทรุดเข่าลงอีกครั้ง หูทั้งสองข้างแทบแตกจากแรงสั่นสะเทือน สมองเหมือนจะระเบิดในพริบตา

เลือดไหลออกจากรูหูและจมูกโดยไม่รู้ตัว

ร่างกายอ่อนแรงอย่างน่ากลัว ทุกอย่างเหมือนจะดับวูบลงตรงนั้น

แต่แววตาของเขายังไม่มอดสนิท—มีบางอย่างในดวงตานั้น… ไม่ใช่ความหวัง

แต่เป็น “คำถาม” ที่ยังไม่ได้รับคำตอบ

[ที่นี่…มันคือที่ไหนกันแน่… และไอ้บ้านั่นคืออะไร…]

เสียงเครื่องสายกรีดลึกเข้าไปในโสตประสาท ม่านสีเลือดไหวระริก

เด็กหนุ่มยังคงพยายามคลานไปข้างหน้า ช้าๆ

ท่ามกลางแสงไฟประสาท และเสียงเชียร์เงียบงันจากตุ๊กตาผู้ชมที่ไม่มีปาก

…และเป็นตอนนั้นเอง

เบื้องหลังม่านเวที—มีเงาร่างสูงโปร่งในชุดยืนพิงฉากหลังอยู่ราวกับดูการแสดงนี้มานานแล้ว

ไม่มีใครสังเกตเห็นเขาหรือเธอที่กำลังรับชมอยู่เลย ราวกับหลุดจากโลกใบนี้

แม้กระทั่งเด็กหนุ่ม—ที่กำลังทรุดตัวลงบนพื้นเวที เลือดไหลเปื้อนปลายคาง ก็ยังไม่รู้ตัวว่า “ที่แห่งนี้เขาไม่ได้อยู่แค่คนเดียว”

เสียงดนตรีบ้าคลั่งยังดำเนินต่อไป

ทุกเสียงโน้ตเหมือนจะกรีดเข้าไปในกระดูก เสียดแทงสมอง และบังคับหัวใจให้เต้นผิดจังหวะ

/…โจมตีมันให้ได้…เพียงแค่หนึ่งครั้ง…/

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าในหัว…

ไม่ใช่เสียงพูดตามปกติ หากเป็นคลื่นความคิดที่ซึมเข้ามาโดยไม่ถามความสมัครใจ

เสียงนั้น…อบอุ่นอย่างน่าประหลาด แต่ก็มีกลิ่นอายของ “บางสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าความตาย”

/ถ้าไม่ทำ…เธอจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกเลย/

เด็กหนุ่มเบิกตากว้างหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ร่างกายแม้จะอ่อนแรง แต่จิตใจกลับถูกเขย่ารุนแรงจากความจริงที่ไม่รู้ว่าคือภาพหลอนหรือการเตือน

[โจมตีมัน…แค่ครั้งเดียว…งั้นหรอ?]

แต่ไม่มีอาวุธ ไม่มีอะไรนอกจากตัวเปล่า เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด กับความตายที่รออยู่ทุกวินาที

ต่อจากฉากที่เธอในชุดเดรสบอกว่า “นี่คือโอกาสเดียว… โจมตีเสีย ก่อนที่ม่านจะปิดลง”

มือขวากำแน่น เลือดไหลซึมจากรอยแตกที่นิ้ว

แม้จะยังไม่รู้ว่า “จะโจมตียังไง” เขาก็ยังฝืนก้าวไปข้างหน้า เวทีเบื้องหน้ากว้างใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

ม่านขนาดยักษ์เหนือศีรษะค่อย ๆ เลื่อนลงมาทีละน้อย เวลามีจำกัด

ทันใดนั้น—Conductor ขยับ

ไม่มีสัญญาณเตือน ไม่มีเสียงประกาศเริ่มการแสดง

ไม้บาตองในมือขวาถูกตวัดฟาดอย่างรวดเร็ว

เส้นเสียงแหวกอากาศดัง ฉัวะ เหมือนดาบที่ฟันทุกสิ่งเป็นสองท่อน

เขารีบหลบ!—แต่ว่า ไม่ทันแขนขวาโดนเสี้ยวคลื่นเสียงเฉียดจนเนื้อเปิด

เลือดสาดกระเซ็นลงบนพื้นไม้ของเวที

เจ็บ…แต่ยังพอทนไหว เขากัดฟัน กระโจนใส่ Conductor อย่างไม่คิดชีวิต

หมัดขวาฟาดไปเต็มแรง—

แต่ยังไม่พอ หมัดมันไปส่งไม่ถึง!

‘ผัวะ!’

คลื่นต้านมองไม่เห็นกระแทกหน้าอกเขาจนร่างปลิวกระเด็น

กระแทกกับเสาแสงฉากหลังอย่างแรง จนเวทีสะเทือน

หูอื้อ

ตาพร่า

เจ็บเหมือนซี่โครงหักไปสองสามซี่

\อย่าเพิ่งถอย…\

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งในหัว

นุ่มนวล แต่แฝงด้วยแรงผลักดันที่เยือกเย็น

\ดูให้ดี…จังหวะของมัน

เด็กหนุ่มกัดฟันยันตัวลุกอีกครั้ง เสียงโน้ตของเปียโนเริ่มกลับมา ไม้บาตองของ Conductor ยกขึ้นสูงอีกหน

“ฉันไม่ได้มีเซนด้านดนตรีนะเห้ย”

ครั้งที่สอง—เขาสังเกต

หนึ่ง…ยกขึ้น

สอง…เล็ง

สาม…สะบัด!

เขาพุ่งตัวหลบก่อนไม้จะฟาด

คลื่นเสียงพุ่งเฉียดใบหน้า—ปลายผมขาดเป็นริ้ว

แต่อย่างน้อย…เขาไม่ได้โดนเต็ม ๆ

ยังไม่ทันตั้งหลัก

ไม้บาตองอีกข้างสะบัดจากซ้ายเข้าหาเขา

คลื่นลูกที่สองมาเร็วกว่าเดิม

“มันมีสองจังหวะซ้อนกัน…”

เขาคลานไปข้างหน้าอีกครั้ง

เหนื่อยแทบขาดใจ

เลือดจากคิ้วหยดลงบนพื้นจนมองเห็นภาพเบลอ ๆ

แต่เขายังไม่ยอมแพ้

ครั้งที่สาม—เขาเข้าใกล้มากพอที่จะมองเห็นโครงสร้างของ Conductor ชัดเจน

ไม่มีหัว ไม่มีหน้า

แต่เปลวไฟสีฟ้าที่ลุกไหม้เหนือคอของมัน…แปลกประหลาด เหมือนเป็นจุดควบคุมกลางของทุกสิ่งบนเวทีนี้ ราวกับจงใจบอกจุดอ่อนให้เห็นกันชัดๆ

ไม้บาตองยกขึ้นอีกครั้ง

“ตอนนี้ล่ะ!”

เด็กหนุ่มกัดฟันพุ่งเข้าใส่อีกหน

ครั้งนี้เขาหลบคลื่นเสียงได้เกือบหมด

แต่ยังโดนปลายแรงกระแทกอัดเข้าที่ไหล่

ร่างหมุนเคว้งกลางอากาศก่อนจะกระแทกกับแท่นลำโพงข้างเวที แท่นแหลกละเอียด เขากลิ้งลงมากองกับพื้น หอบหนัก—แทบหายใจไม่ออก

แต่ก็ “พอจะเข้าใจแล้ว”

“สามจังหวะ…แล้วมันต้องเว้นวรรคเล็กน้อย”

ดวงตาสั่นไหว—แต่กลับเริ่มนิ่งขึ้น

ร่างกายยังเจ็บปางตาย แต่สติกลับคมกริบกว่าเดิมแม้จะเล็กน้อย สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลัง “เรียนรู้” ไม่ใช่แค่จังหวะของศัตรู

แต่เป็นจังหวะของ “เวที” ทั้งหมด

เขารวบแรงเฮือกสุดท้าย พุ่งเข้าใส่เป็นครั้งสุดท้าย

รอให้ไม้บาตองสะบัดจังหวะที่สามแล้วหยุดวูบเพียงเสี้ยววินาที จากนั้น…

“เปลี่ยนทิศ!”เขาสไลด์ตัวเข้าไปทางด้านข้าง ไม่พุ่งตรงอีก

และหมัดของเขาก็ฟาดเข้าใส่ร่างของ Conductor

แม้จะไม่ใช่หมัดที่มีอะไรพิเศษ เป็นแค่หมัดธรรมดาแต่เปลวไฟสีฟ้ากลับสั่นไหว เงาของเวทีรอบข้างแปรปรวน

“…!”

Conductor ชะงัก เสียงทั้งหมดบนเวทีแตกพร่า

หุ่นนักดนตรีล้มระเนระนาด ม่านเวที…ค่อย ๆ ลดต่ำลงจนใกล้พื้น

เด็กหนุ่มทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง

มือที่เปื้อนเลือดแนบกับหน้าอก เลือดทะลักออกมาจากปาก กระดูกส่วนต่างๆแตกระเอียด อวัยวะภายในฉีกขาด ตาค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ หัวใจยังเต้น…แม้จะเจ็บไปทั้งร่าง

เขารอดแบบเส้นยาแดงผ่าแปดและก่อนม่านจะปิดสนิท เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้งในหัว

/ดีมาก…ถึงแม้สภาพจะดูไม่ได้ก็ตาม/

เสียงนั้นแผ่วเบาลง

ก่อนจะหายไปพร้อมกับความมืดที่กลืนกินทุกอย่าง

ตอนที่2:ความฝันนั้นนะ มีอยู่จริงนะ

เพลิงสีฟ้าในโพรงหัวของ Conductor ลุกวาบอย่างบ้าคลั่ง เสียงคลื่นดนตรีกึกก้องกดทับร่างของเด็กหนุ่มที่นอนแนบพื้นเวทีราวกับถูกรัดด้วยเชือกพันธนาการนับร้อย

“————!”

ไม่มีเสียงใดหลุดจากปากเขา ความเจ็บปวดรุนแรงเกินกว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้

เสียงสั่นของสายไวโอลินและเสียงเปียโนที่ดุดันประสานกันอย่างบ้าคลั่ง ก่อน Conductor จะยกแขนขึ้น ร่างกายบิดเบี้ยวขณะรวบรวมคลื่นเสียงสุดท้าย เขากำลังจะจบการแสดงด้วย—หมายสังหารที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องสลายไปพร้อมกัน มือของมันเงื้อขึ้นเหนือหัว ท่วงท่าราวนักวาทยกรที่กวัดแกว่งชีวิตของผู้อื่นได้ด้วยปลายนิ้ว

ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกโพลงขึ้น สติสุดท้ายตะโกนให้เขาเคลื่อนไหว…แต่ร่างกายไม่ตอบสนองและในวินาทีนั้นเอง—

‘ชึบ…!’

คลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนทั่วทั้งโรงละครพลันแตกกระจายออกเหมือนกระจกถูกทุบ ใยพลังราวเงาสีดำบางอย่างแทรกผ่านกลางเวที เหมือนมีบางสิ่ง “หยุดโน้ตสุดท้าย” ไว้ก่อนที่มันจะสัมผัสร่างของเด็กหนุ่ม

เพลิงสีน้ำเงินในหัว Conductor สั่นไหวก่อนจะค่อย ๆ มอดดับไป พร้อมกับร่างสูงนั้นที่ทรุดลงเงียบ ๆ เสียงดนตรีหายไปทันที—ราวกับเวทีทั้งหมดได้ “ตัดฉากลง” ม่านเวทีค่อย ๆ ปิดลง… และสติของเด็กหนุ่มก็ดับวูบไปทุกอย่างกลายเป็นสีดำ

ฉากถัดไป: ห้องสีขาว

แสงไฟเพดานนิ่งสงบ ไม่มีการกระพริบ ไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่เสียงลมหายใจก็เหมือนถูกกลืนลงไปในความเงียบ

เตียงสีขาวตั้งอยู่กลางห้องอย่างโดดเดี่ยว ผ้าปูสะอาดเรียบตึงจนไร้รอยยับ ผ้าพันแผลแน่นรัดรอบเอวและไหล่ของเด็กหนุ่ม—รอยแผลลึกที่ควรพรากชีวิตเขาไปแล้ว ถูกประสานอย่างเร่งด่วนจนเหลือเพียงอาการบาดเจ็บระดับที่พอขยับตัวได้…แต่ความเจ็บปวดไม่ลดลงแม้แต่น้อย เหมือนทุกครั้งที่ขยับตัว

ข้างเตียงเป็นโต๊ะไม้เล็ก มีแก้วน้ำวางอยู่กับกล่องยา ไม่มีกลิ่นยา ไม่มีเสียงเครื่องมือ ไม่มีบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เขาคุ้นเคย และนอกหน้าต่าง…

ไม่มีแม้แต่เงาอาคารหรือแสงจากเมือง ไม่มีทิวทัศน์ของต้นไม้ ถนน หรือผู้คน มีเพียงม่านแห่งท้องฟ้ายามค่ำคืนที่กว้างไกลเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ ลอยนิ่งอยู่ในความเวิ้งว้างราวกับห้องนี้อยู่ท่ามกลางสุญญากาศ เป็นพื้นที่ที่ถูกแยกขาดจากโลกเดิมโดยสิ้นเชิง

“ที่นี่…คืออะไรกันแน่”

เสียงของเขาแผ่วเบา ทะลุความเงียบเหมือนเสียงกระซิบในฝัน ก่อนที่ความคิดจะไหลไปไกลกว่านั้น เสียงส้นรองเท้าดังขึ้นจากประตูที่เปิดออกอย่างช้า ๆ

หญิงสาวในชุดสูทสีดำก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ผมยาวสีนิลตกลงแนบไหล่ เธอเดินเข้ามาใกล้ มองเขาด้วยดวงตาที่นิ่งสนิทแต่ไม่เย็นชา เหมือนคนที่เฝ้าดูอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เผยความคิดใด ๆ

“ตื่นแล้วสินะ”

เด็กหนุ่มไม่ตอบในทันที เขาเพียงเหลือบมองเธออย่างระแวดระวัง

“ฉันช่วยรักษานายไว้แล้ว ถึงจะหยาบๆไปหน่อยก็ตาม…”

“และก็ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่ใช่โลกที่นายเคยอยู่ และที่สำคัญ—มันไม่มีเวลาให้พักฟื้นมากนัก”

“สรุปแล้ว…เธอเป็นใคร”

หญิงสาวยิ้มเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่รอยยิ้มที่ปลอบใจ แต่ก็ไม่ใช่เยาะเย้ย

“ตื่นมาก็ถามเข้าประเด็นหลักเลยหรอ แต่ไม่สำคัญว่าฉันจะเป็นใครหรืออะไรหรอก แล้วนายจะเรียกฉันว่าอะไรก็แล้วแต่เลย สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับนาย”

เธอเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังหมู่ดาวที่เงียบงัน ก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงที่แผ่วลง

“สิ่งที่โจมตีเธอนั่น…มันไม่ใช่แค่ฝันร้าย”

เด็กหนุ่มเงียบ เขารู้ดีว่าภาพนั้นยังชัดเจน เพลิงสีฟ้า เสียงดนตรี เสียงกรีดร้องในหัวที่ไม่มีใครได้ยินภายในโรงละคร

“พวกมันถูกเรียกว่า Nightmare—พวกมันถือกำเนิดจากความอารมณ์แง่ลบของมนุษย์ที่มาทับถมกันจนเป็นรูปร่าง และกินมนุษย์”

“................?”

เธอหันกลับมา และส่งสายตามาที่เขา

“ไอตัวที่โจมตีเธอคร่าวนี้นะเป็นแค่ของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาเอาไวทดสอบนายเฉยๆ ของจริงนะอาจะโหดกว่านี้”

“ทำไมละ…ทำไมต้องเป็นฉัน”

หญิงสาวเดินกลับมาหาเขา ชะโงกลงเล็กน้อย เงาของเธอบดบังแสงไฟบนเพดาน

“เมื่อวานนี้ เธอนะตกลงมาจากดาฟ้าโรงเรียน แล้วก็ตายและกลับมามีชีวิตเพราะอะไรไม่รู้นะสิ สำหรับสิ่งผิดปกติอย่างเธอนะพวกนั้นถือว่าเธอเป็นของหวานชั้นเลิศเลยละ ที่ส่งกลิ่นหอมเกินจะห้ามใจเลยละ เพราะงั้นเลยต้องลากเธอมาที่นี่เพื่อลองทดสอบว่าถ้าเจอของจริงจะรอดได้ซักกี่น้ำ”

เด็กหนุ่มเบิกตาขึ้น ปากของเค้าขยับเล็กน้อยและส่งเสียงอแกมาอย่างแผ่วเบา “ตายงั้นหรอ”

“ความเจ็บปวดที่นายรู้สึกตอนนั้น—มันเป็นของจริง มันไม่ใช่ควาทฝันซักทีเดียว และมันจะรุนแรงกว่านี้อีกหลายเท่าในครั้งถัดไป”

เธอหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋า เป็นวัตถุทรงเหมือนลูกเต๋า20หน้าเล็กสีดำด้าน วางไว้บนโต๊ะเหล็กข้างเตียง

“ถ้าจะปล่อยไว้เฉยๆมันก็ดูจะใจร้ายไปใช่มั้ยละ เลยอยากเสนอตัวช่วย แต่ในอีกทางหนึ่ง ถ้านายต้องการจะต่อสู้กับมัน นายก็ต้องมีพลังที่จะรับมือ”

“…พูดเหมือนให้ฉัจะนมีทางเลือก”

หญิงสาวพยักหน้า

“ทางหนึ่งคือรอให้มันมาถึงตัว แล้วตายช้าๆ โดยที่ไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร อีกทาง…คือรับสิ่งนี้มาใช้ให้เต็มที่”

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย รู้สึกว่าห้องที่เงียบอยู่แล้วกลับเงียบกว่าที่เคย เขาจ้องสิ่งของเล็ก ๆ บนโต๊ะนั้น มันดูไม่มีพิษภัย แต่กลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันแปลก ๆ

“…แล้วมันคืออะไร? และมีไว้ทำอะไร?”

“สิ่งนี้เรียกว่า Exousia—มันไม่ใช่ชื่อกลุ่ม ไม่ใช่คำสวยหรู มันเป็นคำที่เรียกผู้ที่ยอมรับในพลังที่ไม่ควรจะมีอยู่บนโลกนี้ละนะ”

“ถ้าฉันรับมันไวแล้ว…จะเป็นอย่างไง”

หญิงสาวไม่ตอบในทันที แต่สายตาของเธอเข้มขึ้นเล็กน้อย

“เป็นคำถามที่ดี เธอก็จะได้รับพลังที่สามารถรังสรรค์ปาฏิหาริย์ช่วยเหลือผู้คน ได้ยังละ”

หญิงสาวพูดด้วยเสียงที่สดใสและไม่จริง ด้วยที่ท่าเหมือนราวกับเรื่องที่คุยเมื่อกี้เป็นเรื่องตลกคาเฟ่

“มันจะทำการใช้ข้อมูลนิสัยและแนวคิดทั้งชีวิตของเธอมาออกแบบตัวตนExousiaของเธอ ก็อย่างเช่น ความเศร้าของเธอ ความรักของเธอ ความโลภของเธอ ความสิ้นหวังของเธอ และความปรารถนาของเธอ”

เด็กหนุ่มตัวค้างไปเนื่องจากความสับสน สมองของเค้ายังประมาณผลข้อมูลที่ได้รับไม่ทัน

“เรื่องที่จะบอกก็มีแค่นี้แหละ”

เธอหันหลังกลับไปและเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ ตอนที่เธอจับลูกบิดประตูเธอก็เอ่ยปากออกมา…

“จริงสิ ฉันลืมบอกไปเรื่องนึง ถ้าเธอใช้มันเธอจะเสียอะไรบางอย่างไปและจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป จงเตรียมใจและคิดให้ดีๆก่อนที่จะใช้มัน และก็เธอจะตื่นขึ้นอีกครั้งในห้องนอนของเธอ”

“เดี๋ยวก่อนยังมีเรื่องที่อยากจะ….”

สติของเขาก็ดันไป หลังจากที่ประตูถูกปิดลง

วันที่30พฤษภาคม2011 ณ เกาะกลางทะเลนอกชายฝั่งที่ถูกตัดขาดจากพื้นดินเมืองแห่งการศึกษาสึกามิมีพื้นที่47,589ตารางกิโลเมตร มีประชากรทั้งหมด5.7ล้านคน สาเหตุที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะเมืองมีประชากรส่วนใหญ่มากกว่า69%เป็นนักเรีย อีก15%นักวิจัยและครู มีนักเรียนจากทั่วโลกมารวมตัวกัน

หอพักนักเรียนชายเก่าๆแหล่งนึง ภายนอกผนังที่ควรจะเป็นสีขาวกลับถูกคราบสกปรกที่สะสมมาเป็นระยะเวลานานกลบ ที่ชั้น6บริเวณริมสุดตรงทางเดินมีห้องที่ป้ายหมายเลขและชื่อของเจ้าของห้องถูกเขียนไว้ราวกับไม่ได้ตั้งใจที่จะเขียนมันเลย643-ซาโตะ อายูมะ

แสงแดดยามเช้าส่องทะลุผ่านม่านหนาสีกรมท่า เข้าที่ดวงตาของโดเมย์ อายูมะ ที่กำลังนอนหมดสภาพหลังผ่านเหตุการณ์เมื่อคืน

“เช้าแล้วหรอ…”

เขาค่อยลุกขึ้นสลัดจากแรงดึงดูดจากเตียง

“โอ้ย!?”และทั้งที่หลังจากการก้าวขาออกจากเตียง เค้าก็ลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า และเป็นเวลานั้นเอง

“เจ็บๆ หืมมม…นี่มัน”

มันก็คือผ้าพันแผลที่พันอยู่ทั่วตัวอย่างดี และเค้าก็สังเกตได้ที่ปลายแขนขวาของเค้ามีสร้อยข้อมือที่ดูไม่เข้ากันกับตัวเขาอย่างแรง ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกคือมันไม่ได้มีไว้เพื่อผูกกับข้อมือแต่เพื่อไม่ให้หล่นมันหายไป มันคือลูกเต๋าสีดำ20หน้าที่เห็นในความฝัน

“ไม่ใช่ความฝันจริงๆสินะ”

สีหน้าของเขาซีดลง เหงื่อที่หน้ารังเกียจไหลท่วมหน้าเขา

“จริงสิวันนี้ ต้องไปโรงเรียนด้วยนิหว่า อ่าาาสายแล้ว!!”

เวลาปัจจุบัน06:32น.

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!