NovelToon NovelToon

My Stories เรื่องราว โชคชะตา ความรัก

ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของดวงดาว Part 1

Stories 1 จุดเริ่มต้นของดวงดาว

          “ท้องฟ้านั่นสวยงามจังนะว่ามั้ย”

               มือที่เล็กและบอบบางนิ้วทั้งสามที่ชี้เข้าหาตัวและนิ้วชี้ที่ชี้ไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้านั้นชี้ไปยังทางท้องฟ้าที่กว้างใหญ่และห่างไกล “ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี่มันก็สวยจริง ๆ นั่นแหละ” เสียงที่เล็กและนิ่มนวลราวกับปุยนุ่นที่ตอบกลับมา เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงทั้งสองคน

                 จุดเริ่มต้นมันเริ่มที่ดาว สาวน้อยที่ผมยาวสลวยที่พลิ้วไสวไปตามแรงลมที่พัดไสวไปมา เธอมีแววตาที่เศร้าราวกับว่าโลกใบนี้มันไร้ซึ่งแล้วทุกความสุขใด ๆ ใบหน้าที่ขาวใสอมชมพูแต่กลับเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลอาบไปทั้งสองแก้ม จากใบหน้าเรียวเล็กที่คงดูน่ารักเมื่อยามยิ้มบัดนี้หน้าตามีเพียงแต่น้ำตาพร้อมกับใบหน้าอันสุดเศร้าจนความน่ารักนั้นมันได้หายไปหมด เหมือนน้ำตาที่ไหลนั้นมันจะไหลลงมาเพื่อล้างความน่ารักบนใบหน้าเธอไปจนหมด

         “นี่เธออ่ะ…จะนั่งร้องไห้จนให้น้ำตามันท่วมโลกเลยรึไง”

              เสียงที่เล็ก ๆ ใส ๆ ที่แหวกทุกภวังค์ความเศร้าความเสียใจของดาวให้แตกกระเจิงราวกับโดนฟ้าผ่าลงที่กลางหัวในบัดดล “เราจะเสียใจหรือเราจะร้องไห้มันก็เรื่องเรา…แล้วทำไมเธอถึงเข้ามาทักเราอ่ะ เธอจะปล่อยเราไว้คนเดียวแบบที่ไม่ต้องมาสนใจเราก็ได้นี่” ดาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นน้ำเสียงที่ขัดแย้งที่ไม่รู้ว่าสรุปจะร้องไห้ดีหรือจะพูดดี จนคำพูดมันแทบจะไม่เป็นคำพูดจนเหมือนแทบจะฟังไม่รู้เรื่องของดาวก็ได้ทำให้นิทานสาวน้อยที่มาขัดขวางทุกความเศร้าของดาวก็เริ่มจะมีอาการหงุดหงิดเล็ก ๆ จนทำให้นิทานสาวน้อยผู้มองโลกในแง่ดีถึงกับต้องถามออกไป “เธอจะมานั่งเศร้านั่งร้องไห้ทำไมเยอะแยะ…เด็กวัยเรามันมีเรื่องให้ต้องเศร้าขนาดนั้นเลยรึไง” ดาวที่ฟังจบได้หยุดสะอึกสะอื้นแล้วหันหน้ามองนิทานด้วยอารมณ์ที่เหมือนจะโกรธในคำพูดที่ดูไร้เดียงสาของนิทาน “ถ้าเธอโดนคนแกล้งตลอดเวลาแบบเราเธอก็คงจะเข้าใจเองแหละ”

                  นิทานที่ฟังคำพูดเชิงน้อยใจของดาวแล้วนั้นก็ได้เริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ดาวได้เจอมานั้นมันคืออะไร “เธอคงจะถูกแกล้งทุกวันเลยสินะ…ตอนแรกเราก็มองโลกในแง่ดีนะ แต่สุดท้ายเมื่อเราเริ่มรู้ตัวว่าการจะถูกแกล้งเหมือนกับที่เธอเจออยู่ตอนนี้มันไม่โอเค เราก็เลยสู้กลับหลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าแกล้งเราอีกเลย ถ้าเธอไม่อยากถูกแกล้งเธอก็ต้องสู้” ดาวที่ฟังคำพูดของนิทานจบก็ได้แต่ทำคอตกพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ หงอย ๆ “ก็เราสู้คนไม่เป็นเหมือนกับเธอนี่…เราเองก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ” 

                   เมื่อนิทานฟังจบนิทานจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูใจเย็น “มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะสู้คนเป็นมั้ย…แค่เรารู้ตัวว่าเราต้องสู้กับอะไร ถ้าล้มก็แค่ลุกขึ้นใหม่และไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ให้ได้ก็แค่นั้น” ดาวที่ฟังจบดาวก็นั่งครุ่นคิดไปพร้อมกับน้ำตามันยังไหลต่อเนื่องราวกับสายลำธารที่หลั่งไหลไม่มีหยุด “ลืมไปเลยอ่ะ…เราชื่อนิทานนะ” นิทานได้แนะนำตัวกับดาว

                    ดาวที่กำลังครุ่นคิดก็ได้หลุดออกจากภวังค์ของห้วงความคิดของตัวเองทันที “ระ ระ ระเราชื่อดาวนะ” ดาวตอบกลับนิทาน “งั้นตั้งแต่วันนี้ไปพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ…พรุ่งนี้ตอนเย็นเรามาเจอกันอีกนะ” นิทานตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสที่ทำให้โลกที่ดูเหมือนจะมืดลงของดาวได้ส่องสว่างเจิดจรัสราวกับแสงแรกของตะวันยามเช้า แล้วนิทานก็ได้เดินจากไปค่อย ๆ ลับสายตาจากดาวไปเรื่อย ๆ 

                    ในตอนนี้ดาวที่มองตามนิทานก็เหมือนกับจะได้รับแสงแห่งความหวังเล็ก ๆ จากนิทาน และดาวก็ได้บ่นเล็ก ๆ กับตัวเอง “เธอเป็นคนที่แปลกจริง ๆ เลยนะ…ส่องสว่างจนทำเอาเราแสบตาไปหมดเลยนะนิทาน”

                      ดาวก็ได้กลับมาจนถึงบ้านพร้อมกับมีแต่เรื่องของนิทานอยู่ในหัวเต็มไปหมด ราวกับว่านิทานเป็นผู้ที่มาปฏิวัติทุก ๆ ความคิดที่อยู่ในหัวของดาว และในหัวของดาวตอนนี้มีแต่ภาพจำของนิทานเต็มหัวไปหมด ดาวก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเลยว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่

วันต่อมา ณ สนามเด็กเล่นที่เดิม

                         และแล้วดวงตะวันยามเย็นก็มาถึง และแล้วมันก็ได้ถึงเวลาตามนัดของเสียงที่ว่า “พรุ่งนี้ตอนเย็นเรามาเจอกันอีกนะ” ดาวก็มาตามเสียงนั้นที่เรียกหาตลอดทั้งวัน เวลาเดิม ม้านั่งตัวเดิม “แล้วเราจะตามเสียงในหัวมาทำไมกันนะ” ดาวก็ได้แต่นั่งบ่นกับตัวเองไปเรื่อย ๆ ถึงเสียงพูดอาจจะเบาบางราวปุยนุ่น แต่เสียงในใจและเสียงในหัวมันดังจนกลบเสียงรอบข้างในโลกใบนี้ไปหมดแล้ว “เธอมาตามที่เรานัดจริง ๆ ด้วย” เสียงที่ก้องอยู่ในหัวของดาวตอนนี้มันได้กระเจิงไปหมดแล้ว เมื่อเสียงที่เหมือนกับเสียงในหัวได้ดังขึ้นแต่เปลี่ยนประโยคพูดไปแค่นั้นเอง

               นิทานที่โผล่มากระซิบข้าง ๆ หูของดาวจากด้านหลังของดาว ก็ได้ทำให้ดาวถึงกับตกใจดิ้นแรงจนตกจากม้านั่งและลงไปกองอยู่กับพื้น นิทานก็ได้หัวเราะโดยนำนิ้วทั้งห้าเรียงชิดมาปิดที่ปากแบบบอบบางพร้อมกับพูดไปด้วย “ดาว…นี่เธอตกใจเราขนาดนั้นเลยเหรอ” 

                 นิทานค่อย ๆ หยุดหัวเราะและค่อย ๆ เริ่มยิ้มอ่อนดูมีออร่าและพูดต่อ “เราดีใจจังเลยอ่ะที่เธอตามนัดของเรานะดาว” นิทานเดินอ้อมออกจากหลังม้านั่งมายืนตรงหน้าดาวพร้อมกับยื่นมือไปหาดาวและยิ้มอย่างอ่อนโยน ดาวค่อย ๆ ยื่นมือออกไปจับมือนิทานมือที่นุ่มนิ่มสัมผัสที่อบอุ่นจากมือนั้นก็ได้แผ่ซ่านมาที่มือของดาวจนทำให้ดาวตกไปอยู่ในห้วงแห่งภวังค์อีกครั้ง และนิทานก็ได้ดึงมือของดาวขึ้นมาและร่างกายของดาวที่นั่งอยู่ก็ค่อย ๆ ขยับลุกขึ้นมาตามแรงดึงของนิทาน 

                   จนเมื่อดาวยืนขึ้นมาสายตาของทั้งสองก็ได้ประสานสบตากัน ทั้งสองได้จ้องตากันและกันตาที่กลมใสเป็นประกายราวกับสะกดให้ไม่มีสิ่งรอบข้างใด ๆ ราวกับว่าโลกใบนี้ไม่มีใครมีเพียงดาวและนิทานแค่สองคนเท่านั้น นิทานได้ออกจากภวังค์และเรียกดาว “ดาว ดาว ดาว” ดาวได้หลุดออกจากภวังค์แบบงง ๆ ไปว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ เพราะทั้งชีวิตดาวที่เกิดมาจนตอนนี้อายุ 10 ขวบแล้ว ดาวก็ไม่เคยเกิดอาการนี้หรือเป็นแบบนี้มาก่อนเลย มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก ๆ และไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ตกอยู่ในภวังค์แบบนี้มาก่อนเลย นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วที่ดาวมีความรู้สึกแบบนี้นับตั้งแต่การปรากฎตัวมาของนิทาน 

                     ทางด้านของนิทานเองถึงแม้ว่านิทานจะอัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย สดใส น่ารัก และตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่เคยมีอาการตกในอยู่ภวังค์แบบนี้มาก่อนเหมือนกันกับดาว มันจึงทำให้นิทานมีอาการที่ไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ทั้งดาวและนิทานต่างก็ก่อเกิดความรู้สึกเดียวกันในแบบที่ไม่ได้นัดหมายกันราวกับเป็นความสุดบังเอิญที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ตอนนี้โลกอันสุดเศร้าทั้งหมดของดาวกำลังจะพังทลายลงไปเพียงเพราะการมาของนิทาน “แล้วที่มาเจอกับเราวันนี้เธอจะพาเราไปไหนและทำอะไรเหรอนิทาน” 

                      ดาวถามนิทานหลังจากที่หลุดออกจากห้วงแห่งภวังค์ “เริ่มจากเข้าใจเธอและทำให้เธอพร้อมเปิดรับ เปิดใจ และยิ้มได้ทุกเมื่อก่อนดีกว่า…เพราะถ้าทำแบบนั้นได้แล้วเราจะทำให้เธอยิ้มและหัวเราะกี่ครั้งก็ได้” นิทานพูดจบก็เอามือแตะที่คางเบา ๆ และทำหน้าเหมือนครุ่นคิดเล็ก ๆ และก็พูดต่อ “งั้นเอาตามนี้แล้วกันนะ” หลังจากนิทานพูดจบนิทานก็ได้ยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจที่ได้มารู้จักกับดาว นิทานจึงได้พูดต่อ “เนี่ย…ยิ้มแบบที่เรายิ้มเมื่อกี้นี้อ่ะดาว เธอเองก็ลองยิ้มแบบนี้ดูบ้างสิ” หลังจากนิทานพูดจบนิทานก็ได้ยิ้มอย่างเปิดกว้างอีกครั้ง

               ตอนนี้ดาวไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจการกระทำของนิทานได้เลย ว่าความต้องการของนิทานคืออะไรกันแน่ เพราะดาวไม่เคยเจอคนแบบนี้ในชีวิตมาก่อนเลยตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งอายุ 10 ขวบแล้ว ก็ไม่เคยเจอมาก่อนเลย ทุกอย่างเกี่ยวกับนิทานในสายตาของดาวมันมีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด ในที่สุดความสงสัยของดาวมันก็ได้พลั้งพลูออกมาเป็นคำพูด “เราถามจริง ๆ นะ…นี่เธอต้องการอะไรจากเรากันแน่” นิทานที่ได้ยินคำถามของดาวก็ถึงกับต้องส่ายหัวแล้วถอนหายใจ

“เฮยยย~”

                   “เธอนี่น่ะ…ชาตินี้เธออาจจะไม่คิดเชื่อใจใครอีก แต่เธอเชื่อใจเราเถอะว่าเราอยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ ถ้าเธอไม่คิดจะเปิดใจรับใครก็เปิดรับเราสักคนนะดาว…ยัยขี้แง” เมื่อดาวฟังจบดาวก็หันมามองหน้านิทานอย่างไว้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวทันที “เราไม่ใช่ยัยขี้แงนะ”

                     นิทานที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับอมยิ้มก่อนจะหัวเราะลั่นพร้อมกับพูดไปด้วย “ฮ่าๆๆ เรานึกว่าเธอเอาแต่นั่งเศร้าร้องไห้เป็นอย่างเดียวซะอีก ทำสีหน้าอารมณ์อื่นก็เป็นนี่นะ…นี่แหล่ะที่เราต้องการ ฮ่าๆๆๆ” ดาวจึงถามนิทานกลับไปด้วยความที่มีอารมณ์เริ่มหัวร้อนนิด ๆ “เรื่องของเรามันน่าขำขนาดนั้นเลยรึไง” นิทานจึงได้หยุดขำพร้อมกับทำใจสงบ ๆ ก่อนจะตอบดาวไปอย่างใจเย็น ๆ ว่า “เราไม่ได้ขำเพราะเยาะเย้ยเธอหรอกนะ…แต่เราขำเพราะเราดีใจที่อย่างน้อยที่เธอเองก็มีอารมณ์อื่นเพิ่มขึ้นมาเหมือนคนอื่นน่ะ มันก็เพราะเธอเริ่มจะเปิดใจรับเราแล้วไง”

 

                      ดาวก็ได้ถามนิทาน “นี่เราเป็นเพื่อนกันแล้วจริง ๆ เหรอ” นิทานยิ้มกว้างอย่างจริงใจก่อนที่จะตอบกลับดาว “ใช่สิ…จากนี้และตลอดไปเลย” เวลาที่ล่วงเลยผ่านไปทั้งนิทานกับดาวก็ได้มาเจอกันที่สนามเด็กเล่นทุกวัน เป็นเวลาสามสัปดาห์แล้วที่ทั้งคู่ได้เจอกันนับตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกัน 

3 สัปดาห์ผ่านไป

                     จนกระทั่งได้เกิดจุดพลิกผันขึ้น เมื่อแม่ของดาวได้บอกกับดาวว่าเราจะต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่กรุงเทพฯกันนะลูก ในวันนี้ดาวจะมาเจอนิทานเพื่อจะบอกถึงเรื่องที่ดาวจะต้องย้ายบ้านจากโคราชไปอยู่ที่กรุงเทพฯ 

              ตอนนี้ดาวรู้สึกเสียใจกับการที่ได้มีเพื่อนคนแรกและคนเดียวแต่สุดท้ายแล้วต้องจากกันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าวันนี้มันจะเป็นวันศุกร์แต่สำหรับดาวมันดูไม่มีความสุขเหมือนชื่อวันศุกร์เลย มันเป็นวันศุกร์ที่มีแต่ความเศร้าเต็มไปหมด ความสับสนของดาวที่เกิดขึ้นเพราะการได้พานพบและการที่จะต้องลาจากกับนิทาน 

              ความรู้สึกมันพัวพันกันจนตอนนี้ดาวไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกตอนนี้ยังไง จะห้ามไม่ให้ตัวเองไม่เสียใจได้ยังไง จะบอกทุกความรู้สึกที่มีกับนิทานยังไง ตอนนี้ดาวได้รู้ตัวแล้วว่าตัวเองผูกพันธ์กับนิทานมากแค่ไหนเพราะเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับนิทานเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ความสุขเท่านั้นที่ดาวจะนึกถึงได้

ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของดวงดาว Part 2

ณ สนามเด็กเล่นเย็นวันศุกร์

         “ดาว…รอนานมั้ย” เสียงที่คุ้นเคยที่ดาวได้ยินมาตลอดสามสัปดาห์ก็ได้ดังขึ้นและเรียกชื่อของดาว ในขณะที่ดาวก็เอาแต่นั่งร้องไห้ไม่หยุดเพราะดาวคิดแล้วว่าวันนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกับนิทาน และต่อจากนี้ไปก็คงจะไม่มีวันที่จะได้เจอกันอีกแล้ว 

              นิทานที่เดินมาจากด้านหลังของดาวเหมือนอย่างเคยก็ได้เดินเข้ามาเรื่อย ๆ จนถึงตัวของดาว และนิทานก็ได้เห็นว่าดาวกำลังเอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนวันแรกที่เจอกัน แต่เหมือนว่าครั้งนี้ดาวจะร้องไห้หนักกว่าเดิม นิทานที่เห็นแบบนั้นจึงรีบเข้ามานั่งข้าง ๆ ดาว พร้อมดึงตัวดาวเข้ามากอดและถามดาวไปว่า “ดาว ดาว เธอเป็นอะไรไปน่ะ เธอร้องไห้ทำไม มีใครมาแกล้งอะไรเธอเหรอ” นิทานที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เอาแต่พยายามที่จะถามพยายามที่จะปลอบประโลมดาว 

               ขณะที่ดาวก็เอาแต่ร้องไห้และกอดนิทานอยู่แบบนั้น “ดาว…เธอหยุดร้องไห้แล้วบอกเราก่อนได้มั้ยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอและเธอร้องไห้ทำไม” นิทานดึงตัวของดาวขึ้นมาเพื่อถามและดึงสติของดาวให้กลับมา 

               ดาวจึงเริ่มค่อย ๆ ที่จะหยุดร้องไห้และมองหน้าของนิทาน ดาวได้มองตาของนิทานด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ด้วยใบหน้าที่แต่ความอาลัย และด้วยใบหน้าที่รู้ว่ากำลังจะต้องจากลากับนิทาน เมื่อนิทานเริ่มเห็นว่าดาวเริ่มที่จะหยุดร้องไห้แล้ว นิทานจึงได้ถามดาวอีกครั้ง “ดาว…เธอเป็นอะไรน่ะ เธอบอกเราได้มั้ย”

                ตอนนี้นิทานได้เอามือทั้งสองข้างจับไปที่หน้าของดาวด้วยสัมผัสที่อ่อนโยน ไออุ่นจากมือทั้งสองของนิทานที่ได้แผ่ซ่านไปที่สองแก้มของดาวและเริ่มทำให้ดาวสงบลง “นิทาน…เรามีเรื่องจะบอกเธอนะ” ดาวพูดในขณะที่มือทั้งสองของนิทานยังวางอยู่บนสองแก้มของดาว

               “มีอะไรเหรอดาว” นิทานได้ถามดาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนก่อนที่จะเอาทั้งสองมือออกจากทั้งสองแก้มของดาวแล้วค่อย ๆ เอื้อมมือไปคว้าจับสองมือของดาวเอาไว้ ตอนนี้ในใจของนิทานมันเต็มด้วยไปความรู้สึกที่เป็นห่วงดาวเอามาก ๆ สงสัยว่าทำไมดาวถึงเอาแต่นั่งร้องไห้หนักมากขนาดนั้น

                     

                  “วันอาทิตย์นี้เราจะต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่กรุงเทพฯแล้วนะ” ดาวพูดน้ำเสียงที่สั่นเครือพร้อมกับมองหน้าของนิทานไปด้วย นิทานก็มองหน้าดาวอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “ไอเราก็นึกว่าเรื่องอะไรก็แค่ย้ายบ้านเอง…ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้ โถ~ ยัยขี้แง” ดาวจึงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง นิทานที่เริ่มเห็นว่าดาวจะร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกแล้ว นิทานจึงรีบพูดต่อทันทีว่า “ถึงเธอจะย้ายบ้านไปแล้วแต่เราก็ยังเขียนจดหมายหากันได้นะ” นิทานนึกในใจดีนะที่เรารีบชิงพูดไปก่อนไม่งั้นยัยนี่ได้ร้องไห้เป็นยัยขี้แงอีกแน่ ๆ

                      ดาวที่ฟังนิทานพูดจบก็ได้ตอบกลับนิทาน “แต่เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ” นิทานจึงเอามือทั้งสองไปจับที่สองแก้มของดาวอีกครั้งก่อนจะพูดกับดาว “ไม่เห็นยากเลยนะยัยขี้แง…ตราบเท่าที่เรายังเขียนจดหมายหากันอยู่ เราก็รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เราสัญญาว่าถ้าเราได้ไปกรุงเทพฯ เราจะให้พ่อแม่พาไปหาเธอแน่นอน”

                      ดาวที่ฟังนิทานพูดจบก็สงสัยว่านิทานจะต้องไปทำอะไรที่กรุงเทพฯ ดาวจึงถามนิทาน “เธอจะไปทำอะไรที่กรุงเทพฯล่ะ” นิทานก็ยิ้มให้กับดาวก่อนจะตอบดาว “เรามีน้องชายอยู่ที่กรุงเทพฯนะ น้องเราเป็นเด็กที่น่ารักมากไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ร้องงอแงด้วย ทั้งที่ตอนนี้อายุแค่ 4 ขวบเอง และบ้านเราก็ต้องไปทำธุระที่กรุงเทพฯ และเราก็จะต้องไปหาน้องชายเราอยู่แล้ว เพราะงั้นเราต้องได้เจอกันแน่นอน”

                       ดาวทำสีหน้าที่ดูกังวลและก็ถามนิทานกลับไปว่า “จริง ๆ เหรอ” นิทานก็ได้ตอบกลับดาวทันที “ก็จริงสิ…เราจะโกหกเธอทำไมล่ะ” นิทานทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดกับดาวต่อ “งั้นไหน ๆ เธอก็จะต้องย้ายบ้านแล้ว และนาน ๆ ทีเราคงได้เจอกันทีเธอไปนอนบ้านเรามั้ย เดี๋ยวเราบอกให้แม่เราไปรับเรากับเธอที่บ้านเธอกันนะ” นิทานได้ลุกขึ้นมาจากม้านั่งพร้อมกับดึงตัวดาวให้ลุกขึ้นมาด้วย 

                       นิทานได้จูงมือของดาวพร้อมกับพูด “เราไปบ้านเธอกันเถอะ” ตอนนี้ดาวพูดอะไรไม่ออกได้แต่ไหลตามตัวตนของนิทานไป นิทานกับดาวได้เดินจูงมือกันเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าไปยังบ้านของดาว ทั้งสองคนได้เดินจูงมือกันไปแบบนั้นตลอดทางพร้อมด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่แสนจะมีความสุข ถึงในใจลึก ๆ ของทั้งสองคนจะรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ววันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกัน

                         

                    “ถึงสักที” ในที่สุดทั้งสองคนก็ได้มาถึงบ้านของดาว แม่ของดาวที่กำลังเก็บขยะมาวางที่ถังขยะหน้าบ้าน เมื่อได้เห็นทั้งสองคนก็ได้ทักทาย “อ้าวนิทาน…หนูพาดาวมาส่งเหอจ๊ะ” เมื่อนิทานฟังแม่ของดาวจบก็ได้พูดต่อ “แม่ค่ะ…วันนี้หนูขอพาดาวไปนอนที่บ้านหนูได้มั้ยค่ะ เห็นดาวบอกว่าแม่จะย้ายบ้านแล้วหนูเลยอยากอยู่กับดาวก่อนที่ดาวจะย้ายบ้านไปอ่ะคะ” แม่ของดาวก็คิดอยู่ชั่วครู่ก็ได้ตอบนิทานกลับไป “ได้สิจ๊ะ…งั้นดาวหนูไปเอาเสื้อผ้านะ ส่วนนิทานเข้าบ้านมานั่งทานของว่างรอก่อนนะจ๊ะ” ดาวและนิทานจึงได้ตอบรับแม่ของดาว “คร้าาา~”

                        นิทานก็ได้มานั่งคุยกับแม่ของดาวพร้อมกับทานอาหารว่างที่แม่ของดาวนำมาเสริฟพร้อมกับน้ำ ส่วนดาวนั้นก็ขึ้นไปเตรียมชุดนอนและชุดที่จะใส่กลับบ้านในวันรุ่งขึ้น สักพักเสียงกริ่งของบ้านดาวก็ได้ดังขึ้นพร้อมกับดาวที่กำลังเดินลงมาจากบันไดพอดี “เดี๋ยวแม่ไปดูก่อนนะจ๊ะว่าใครมา” เมื่อแม่ของดาวเปิดประตูในของบ้านออกไปก็ได้ว่าเป็นแม่ของนิทานแม่ของดาวจึงเรียกดาวและนิทาน “นิทานจ๊ะ…แม่หนูมาแล้วนะจ๊ะ” นิทานและดาวจึงได้เดินตามเสียงของแม่ของดาวไป

                         จนทั้งสองคนได้เดินมาถึงที่ประตูบ้านของดาว แม่ของดาวจึงพูดกับแม่ของนิทาน “ฉันขอฝากเด็ก ๆ ด้วยนะค่ะ” แม่ของนิทานจึงตอบกลับแม่ของดาว “ไม่ต้องห่วงนะค่ะ…ฉันจะดูแลเด็ก ๆ ต่อให้เองคะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะค่ะ” จากนั้นแม่ของนิทานก็ได้หันมาพูดกับเด็ก ๆ ทั้งสอง “ป่ะ…เด็ก ๆ ไปขึ้นรถกันได้แล้ว” อันที่จริงบ้านของดาวและนิทานก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันนะ เพียงแต่บ้านของนิทานอยู่ลึกกว่าบ้านของดาวเมื่อรวมระยะทางแล้วจึงเป็นระยะที่ห่างกันพอสมควร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแม่ของนิทานจึงขับรถออกมารับเด็ก ๆ

                          “ถึงบ้านแล้วนะเด็ก ๆ” เมื่อ นิทาน ดาว และแม่ของนิทานได้เดินเข้ามาถึงในบ้านก็ได้พบกับพ่อของนิทานที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ดาวจึงทักพร้อมกับยกมือพนมไหว้ “พ่อค่ะ…สวัสดีคะ” พ่อของนิทานลดหนังสือพิมพ์ลงและวางหนังพิมพ์ลงข้าง ๆ “มากันแล้วเหรอ…ทำตัวตามสบายนะ” พ่อของนิทานตอบกลับดาว และเมื่อพูดจบพ่อของนิทานก็ได้ลุกขึ้นยืนและเดินมาหาดาวกับนิทาน เมื่อพ่อของนิทานเดินมาถึงตัวทั้งสองคนแล้วพ่อของนิทานจึงพูดต่อ “นิทานพาเพื่อนไปอาบน้ำป่ะ…เดี๋ยวจะได้มาทานข้าวเย็นกัน” ดาวและนิทานจึงขานรับคำพูดพ่อของนิทาน “คะ” นิทานและดาวได้เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองเพื่อไปเตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

                      พ่อของนิทานจึงหันมาหาแม่ของนิทาน “เออนี่คุณ” แม่ของนิทานก็ได้ตอบรับพ่อของนิทาน “ว่าไงค่ะคุณ” พ่อของนิทานจึงถามต่อไปว่า “เห็นคุณบอกว่าเด็กคนนั้นจะย้ายบ้านไม่ใช่เหรอ” แม่ของนิทานจึงตอบกลับ “ใช่คะ…ทำไมเหรอค่ะคุณ มีอะไรกังวลใจเหรอค่ะคุณ” พ่อของนิทานจึงถอนหายใจก่อนจะตอบกลับไป “ผมห่วงลูกเรากลัวลูกจะเศร้ามากกว่า…เห็นดูท่าทางสนิทกันขนาดนั้น ผมเลยแอบห่วงลูกของเราอยู่นิด ๆ” แม่ของนิทานจึงถอนหายใจตามก่อนจะตอบกลับ “ลูกเราก็คงจะเศร้าบ้างแหละคะช่วงแรก ๆ แต่ฉันเชื่อนะค่ะว่าลูกเราแข็งแกร่งพอ ก็คุณกับฉันดูแลเขามาเป็นอย่างดีนี่ค่ะ” พ่อของนิทานจึงตอบกลับ “ก็นั่นสินะ”

                          

                        เมื่อนิทานและดาวได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อกันเสร็จแล้วก็ได้ลงมาที่ห้องรับแขก และเสียงแม่ของนิทานก็ได้ดังขึ้น “เด็ก ๆ มาทานข้าวเย็นกันได้แล้วจ่ะ” ทั้งสองคนตอบรับเสียงแม่ของนิทาน “คร้าาา~” และแล้วนิทานและดาวก็ได้เดินมาจนถึงโต๊ะอาหาร ตอนนี้พ่อและแม่ของนิทานได้นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมหน้าเรียบร้อยแล้ว 

                        เมื่อนิทานและดาวได้นั่งลงประจำที่แล้ว ดาวก็ได้เอื้อมมือไปคว้าซอสมะเขือเทศที่วางตั้งอยู่บนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้ามาเปิดฝา ก่อนที่ดาวจะบีบซอสมะเขือเทศมาวาดเป็นรูปหัวใจและเอื้อมมือไปสลับจานกับนิทาน ทำเอานิทานถึงกับงงไปเลย ก่อนที่นิทานก็จะหยิบซอสมะเขือเทศมาเปิดฝาและหยิบจานเปล่าเบื้องหน้าของดาวมาวาดรูปหัวใจและส่งจานกลับคืนไปเบื้องหน้าดาวที่เดิม ทำเอาพ่อและแม่ของนิทานถึงกับนั่งอมยิ้มราวกับว่ามีความสุขที่เห็นเด็กสองคนเล่นกัน

  

                          และเมื่ออาหารมื้อเย็นได้นั้นจบลงในที่สุดก็ได้เวลาที่เด็ก ๆ จะต้องขึ้นห้องและนอนกันแล้ว นิทานและดาวก็เดินมายังห้องนอนของนิทาน “ดาว…เรามาดูดาวก่อนนอนกันมั้ย” นิทานถามดาวไป ดาวที่ได้ยินคำชวนของนิทานก็ได้ตอบรับนิทานกลับไป “ได้สิ…เรามาดูดาวก่อนนอนกันนะ” นิทานฟังดาวพูดจบแล้วก็ได้ยิ้มให้ดาวอย่างอ่อนโยน

          22.49 น. “ท้องฟ้านั่นสวยงามจังนะว่ามั้ย”

นิทานพูดและยืนดูดาวอยู่ที่หน้าต่างและมีดาวยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่นิทานจะเอามือที่เล็กและบอบบางนิ้วทั้งสามที่ชี้เข้าหาตัวและนิ้วชี้ที่ชี้ไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าของนิทานและชี้ไปยังทางท้องฟ้าที่กว้างใหญ่และห่างไกล “ดาว…เธอว่าท้องฟ้ามันมีจุดสิ้นสุดมั้ย“ นิทานได้ถามดาวและพร้อมกับมองท้องฟ้าไปด้วย ดาวที่ฟังคำถามของนิทานก็ได้ตอบกลับนิทาน “เราก็ไม่รู้เหมือนอ่ะ…แต่เราอยากหยุดเวลาของพวกเราไว้ที่ช่วงนี้มากกว่านะ” นิทานฟังจบนิทานก็ได้ถามดาวต่อ “ท้องฟ้าสวยมั้ย” และนิทานก็ยืนรอฟังคำตอบของดาวโดยที่ตายังคงมองท้องฟ้าอยู่ “ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี่มันก็สวยจริง ๆ นั่นแหละ” ดาวตอบกลับด้วยเสียงที่เล็กและนิ่มนวลราวกับปุยนุ่น

                     ตอนนี้นิทานและดาวได้ยืนมองดาวผ่านหน้าต่างจากในห้องของนิทาน และแล้วมือของทั้งสองก็เริ่มค่อย ๆ ขยับเข้าหากันที่ละนิด ๆ มันใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ ราวกับว่ามือของทั้งสองคนนั้นมันมีแรงดึงดูดที่ค่อย ๆ ดูดมือของทั้งสองคนเข้าหากัน และเมื่อมือสองคนได้แตะกัน ในที่สุดทั้งสองคนก็ค่อย ๆ ประสานมือกันและจับมือกันในที่สุด 

                     ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมามองหน้ากันและแล้วทั้งสองคนก็ได้ตกลงไปในห้วงแห่งภวังค์อีกครั้ง พร้อมกับลมหายใจที่แผ่วเบาแต่กลับร้อนซ่านไปหมดทั้งตัว หัวใจที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะราวกับกลองชุดที่ตีรัวจนนับจังหวะไม่ได้ ใบหน้าที่ค่อย ๆ ขยับเข้าหากันและไม่อาจจะหยุดยั้งร่างกายได้ เหงื่อที่ค่อย ๆ ซึมออกจากมือและหน้าผาก อากาศรอบข้างที่หนาวเย็นกลับกลายเป็นร้อนราวกับไฟที่กำลังจะเผาร่างให้หลอมละลาย และแล้วริมฝีปากที่เล็กและเบาบางของทั้งสองคนก็ได้เริ่มเข้าใกล้กันเรื่อย ๆ ราวกับว่าเป็นแม่เหล็กที่กำลังดึงดูดกันและกัน จนตอนนี้อยู่ในระยะที่ห่างกันเพียงแค่เอื้อม และในที่สุดริมฝีปากของทั้งสองคนก็ได้ประกบเข้าหากัน และหลังจากที่ริมฝีปากของทั้งสองคนประกบกันแล้ว ทุกอย่างและทุกสิ่งในโลกใบนี้มันเหมือนจะถูกหยุดไว้แค่นั้น เสียงในใจของทั้งสองก็ได้ตั้งคำถามเดียวกันในตอนนี้

“นี่น่ะหรือคือสิ่งที่เรียกว่าความสุข”

                      และนี่คือจูบแรกของนิทานและดาวเป็นจูบที่ทำให้ทั้งสองคนได้รับรู้แล้วว่านี่คือความรู้สึกที่มันไปกว่าเพื่อนกันแล้ว ในที่สุดนิทานและดาวก็ได้รู้ใจกันและกันสักที เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองคนยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจว่าสิ่งนี้มันเรียกว่าอะไร แต่ที่แน่ ๆ ทั้งสองคนมีความสุขมาก ๆ ในค่ำคืนนี้ เมื่อรุ่งเช้าได้มาถึง เวลาแห่งความสุขมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน 

                       “ก็อก ก็อก ก็อก”

                   เสียงเคาะประตูห้องของนิทานได้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแม่ของนิทาน “เด็ก ๆ ตื่นกันได้แล้วจ่ะ ๆ ๆ” นิทานที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องแล้วก็เริ่มรู้สึกตัวและค่อย ๆ ลืมตาพร้อมกับได้ยินเสียงเรียกของแม่ตัวเองด้วยก็เลยต้องตื่นขึ้น เมื่อนิทานขยับตัวขึ้นมานั่งบนเตียง นิทานก็ได้หันไปมองดาวที่ยังคงหลับอยู่ข้าง ๆ นิทาน “น่ารักจัง” นิทานบ่นกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับมองหน้าดาวด้วยความรู้สึกที่มีความสุขไปด้วยพร้อม ๆ กัน

                   “ดาว…ตื่นได้แล้ว ๆ ๆ” นิทานเอื้อมมือไปแตะไหล่ดาวพร้อมเขย่าไหล่ดาวเบา ๆ ดาวก็เริ่มรู้สึกงัวเงีย ๆ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัว “เช้าแล้วเหรอ” ดาวพูดด้วยเสียงในลำคอพร้อมกับอาการที่ยังคงงัวเงียและสลึมสลือไปด้วย จากนั้นดาวก็ค่อย ๆ เริ่มลืมตาตื่น และเมื่อดาวลืมตาตื่นก็ได้เห็นว่าแววตาที่กลมใสคู่นั้นที่กำลังจ้องมาที่ดาว จึงทำให้ดาวเกิดอาการตกใจสะดุ้งและรีบดีดตัวลุกขึ้นจากหมอนทันที “นี่เธอนั่งจ้องหน้าเรานานรึยังเนี่ยนิทาน” นิทานก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงตอบดาวกลับไป “ก็แปปนึงแล้วนะ…ถ้ารู้ว่าปลุกแล้วจะตกใจรีบลุกขนาดนี้เราไม่ปลุกหรอก” ดาวจึงตอบกลับนิทาน “อย่าพูดเล่นหน่า” นิทานอมยิ้นก่อนจะตอบดาวกลับไป “ก็เธอตอนหลับมันน่ารักอ่ะ…ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ไม่ปลุกดีกว่า”

                        ดาวที่ได้ยินนิทานพูดแบบนั้นก็ถึงกับหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก หลังจากนั้นดาวจึงรีบลุกจากเตียงลงจากเตียงและวิ่งไปยังประตูพร้อมกับพูดไปด้วย “เราไปอาบน้ำก่อนนะ” นิทานที่ได้เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของดาวแล้วก็ทำเอานิทานถึงกับอมยิ้มไปเลย

                    “เด็ก ๆ อาบน้ำกันเสร็จรึยังจ๊ะ” เสียงแม่ของนิทานที่เรียกหาเด็ก ๆ เมื่อนิทานและดาวได้ยินเสียงแม่ของนิทานจึงขานรับ “กำลังจะลงไปแล้วคะแม่” นิทานและดาวได้ลงจากบันไดที่ชั้นสองลงมายังห้องรับแขก แม่ของนิทานที่เดินมาพอดีได้เรียกให้ดาวและนิทานมาทานข้าวเช้า “มาลูก…มาทานข้าวเช้ากันได้แล้วจ่ะ” ดาวและนิทานได้เดินไปนั่งประจำที่ ณ โต๊ะอาหาร และก็เช่นเดิมพ่อของนิทานก็ได้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เดี๋ยวทานข้าวกันเสร็จแล้วเดี๋ยวแม่ไปส่งนะลูก” ตอนนี้ พ่อของนิทาน แม่ของนิทาน ดาว และนิทาน ก็ได้นั่งทานข้าวกันอย่างมีความสุข

                      เมื่อกิจกรรมบนโต๊ะอาหารจบลงก็ได้ถึงเวลาแล้วที่ดาวจะต้องกลับบ้าน แม่ของนิทานไปออกไปเตรียมรถรอแล้ว “ได้เวลาแล้วจ่ะเด็ก ๆ” นิทานและดาวได้เดินตามเสียงแม่ของนิทานจนได้มาถึงที่รถ นิทานและดาวก็ได้เดินมาขึ้นรถและเมื่อทั้งสองคนขึ้นรถแล้ว แม่ของนิทานก็ออกรถเพื่อไปส่งดาว ในใจลึก ๆ นิทานรู้ว่าดาวเศร้าแต่พยายามจะไม่แสดงออก นิทานจึงนั่งจับมือของดาวไปตลอดทาง

                     “ถึงแล้วจ่ะเด็ก ๆ” ณ หน้าบ้านของดาวตอนนี้ก็ได้มีพ่อและแม่ของดาวที่กำลังรอคอยการกลับของนางฟ้าตัวน้อย ๆ ของทั้งสองคนอยู่ “ฉันพาเด็ก ๆ มาส่งแล้วนะค่ะ” แม่ของนิทานได้บอกกล่าวกับพ่อแม่ของดาว “ขอบคุณนะค่ะที่คุณเอ็นดูลูกสาวของเราและช่วยดูแลลูกสาวของพวกเรา” แม่ของดาวตอบกลับแม่ของนิทาน แม่ของนิทานก็ได้โอบตัวของนิทานเข้าหาตัวก่อนจะตอบแม่ของดาว “หนูดาวเป็นเด็กดีคะ…และอีกอย่างนิทานดูเหมือนจะชอบหนูดาวเอามาก ๆ เลยล่ะคะ เพราะหนูดาวคือเพื่อนคนแรกเลยนะค่ะที่นิทานยอมให้มานอนด้วย”

                       “งั้นเราสองแม่ลูกขอกลับก่อนนะค่ะ” แม่ของนิทานบอกกับแม่ของดาว ก่อนที่จะหันไปหานิทานพร้อมกับพูดกับนิทาน “กลับบ้านกันได้แล้วยัยตัวแสบ” นิทานได้โบยมือลากับดาวก่อนจะพูดกับดาวว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาส่งนะ” เมื่อทั้งสองกล่าวลากันแล้วแม่ของนิทานจึงพานิทานขึ้นรถ ตอนนี้บนรถมีกันแค่เพียงสองคนแม่ลูกแล้ว แม่ของนิทานจึงได้หันมองหน้านิทานก่อนที่จะถามนิทาน “โอเคมั้ย…ยัยตัวแสบ” นิทานก็ได้ถามแม่กลับไป “จะเอาตรง ๆ หรือโกหกดีล่ะค่ะแม่” แม่ของนิทานจึงได้บอกกับนิทาน “ตอนนี้หนูอาจจะยังไม่รู้จักกับคำว่าโชคชะตา…แต่ถ้าดาวกับหนูมีโชคชะตาร่วมกันเดี๋ยวโชคชะตามันก็จะเหวี่ยงพวกหนูสองคนกลับเจอกันเองนั่นแหละ” นิทานที่ฟังแม่พูดจนจบแล้วก็ได้ตอบรับ “คะ…หนูเชื่อคะว่าพวกเราจะต้องได้เจอกันอีก”

วันอาทิตย์

              วันนี้เป็นวันที่ดาวจะต้องย้ายบ้านแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่านิทานจะมาส่งอย่างที่ได้บอกไว้เมื่อวาน “นี่ดาว…เพื่อนแกที่ว่ามันจะส่งแกจริง ๆ เหรอ ทำไมป่านนี้ยังไม่อีก” เสียงของเด็กผู้ชายที่ยืนพูดอยู่ข้างหลังของดาว “ขอรออีกแปปนึงได้มั้ยพี่อาทิตย์” ดาวตอบกลับเสียงนั้น เสียงนั้นคืออาทิตย์พี่ชายของดาวที่อายุห่างกัน 1 ปี ที่อาทิตย์รู้เรื่องของนิทานก็เป็นเพราะดาวกับอาทิตย์เป็นคู่พี่น้องที่รักและสนิทกันมาก ๆ ดาวจึงเล่าทุกเรื่องเกี่ยวกับนิทานให้อาทิตย์ฟัง จึงเป็นสาเหตุที่ว่าอาทิตย์ถึงรู้เรื่องนิทานด้วย

                “นั่นไงมาแล้ว…รถของแม่นิทาน” เมื่อรถจอดนิ่งสนิทนิทานก็ได้ลงจากและเดินตรงเข้าหาดาว “ขอโทษนะที่มาช้า…เรามาส่งเธอแล้วนะดาว” ดาวเอื้อมมือทั้งข้างออกไปคว้าสองมือของนิทานและยกขึ้นมาระดับอก “ขอบคุณนะนิทาน” ดาวพูดพร้อมกับร้องไห้ไป นิทานเลยตอบกลับดาว “ร้องไห้อีกแล้วนะยัยขี้แง…เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีกไม่ต้องร้องไห้หน่า” แม่ของดาวได้เดินเข้ามาแตะที่ไหล่ของดาวพร้อมบอกดาว “ได้เวลาไปแล้วลูก” มือทั้งสองข้างของดาวและนิทานที่จับอยู่ก็ค่อย ๆ หลุดออกจากกันทีละนิด ๆ จนในที่สุดมือของทั้งสองคนก็ได้หลุดออกจากกัน ตอนนี้ครอบครัวของดาวก็ได้ขึ้นไปกันหมดแล้ว และกำลังออกรถไปเรื่อย ๆ นิทานที่ยืนมองรถของดาวที่กำลังเคลื่อนห่างออกไปเรื่อย ๆ จนเมื่อรถของดาวได้ลับจากสายตาของนิทานไปแล้ว เด็หญิงผู้ไม่เคยร้องไห้บัดนี้น้ำตาก็ได้หลังไหลราวกันสายธารที่ไหลมาอย่างต่อเนื่อง แม่ของนิทานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ได้โอบไหล่ลูกตัวเองหาตัวพร้อมกับตบบ่าเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมลูกตัวเองที่เพิ่งจะร้องไห้เป็นก่อนจะพูดกับนิทาน “เรากลับบ้านกันเถอะลูก”

ตอนที่ 2 คุณหมอนิทาน

Stories 2 คุณหมอนิทาน

13 ปีต่อมา

        ณ ร้านนั่งดื่มชิลล์ ๆ ร้านหนึ่ง “ได้มีวันหยุดตรงกันสักทีนะเหนื่อยจะแย่” สามเพื่อนซี้นักเรียนแพทย์ประกอบไปด้วย นักศึกษาแพทย์ ณัฐ อาณัฐพล ผู้ชายคนเดียวของกลุ่ม นักศึกษาแพทย์ เอม เอมิกา และคนสุดท้าย นักศึกษาแพทย์ นิทาน นิทรารัตน์ ที่ต้องหมุนเวียนกันไปฝึกปฏิบัติจริงตามแผนกต่าง ๆ เพื่อลงไปศึกษากับคนไข้ตัวจริงและศึกษาการทำงานต่าง ๆ

                   ตอนนี้นิทานได้มาเรียนเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ที่กรุงเทพฯ นอกจากการเรียนแพทย์อันสุดแสนจะตรึงเครียดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหลุดออกไปจากหัวของนิทานได้เลย คือจดหมายฉบับสุดท้ายจากดาวเมื่อ 8 ปีก่อน ที่จู่ ๆ ดาวก็ได้หายไปไม่เขียนจดหมายมาคุยกับนิทานเหมือนอย่างเคย รูปสุดท้ายของดาวที่ดาวส่งมาพร้อมกับจดหมายนั้น ตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของนิทาน นิทานที่ยังคิดไม่เคยตกเลยสักครั้งว่ายัยขี้แงนั่นหายไปไหนกันนะ และเราควรจะต้องทำยังไงเพื่อให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

                    “นิ นิ เฮ้ย…ไอนิทาน” หมอนิทานที่ตกใจสะดุ้งแรงและหลุดออกจากภวังค์ก็พูดขึ้นด้วยอาการตกใจ “ห๊ะ ๆ ๆ มีอะไรกันเหรอ” หมอนิทานที่ตกใจเมื่อกี้ก็ค่อย ๆ เริ่มสงบลง “เหม่ออีกแล้วนะมึงอ่ะ“ เสียงที่เรียกหมอนิทานก็คือเสียงของหมอณัฐหนึ่งในสองเพื่อนสนิทของนิทานนั่นเอง หมอเอมได้เอื้อมมาแตะไหล่หมอนิทานพร้อมกับถามหมอนิทาน “แกเป็นอะไรรึเปล่า” หมอณัฐจึงพูดแทรกสวนหมอเอมทันที “มันก็คงคิดถึงแต่เรื่องเพื่อนสมัยเด็กอะไรของมันนั่นแหละ…ใช่มะ” หมอนิทานก็เลยสวนกลับหมอณัฐทันทีเหมือนกัน “มึงไม่ต้องรู้มากทุกเรื่องก็ได้นะไอ้ณัฐ” หมอณัฐก็เริ่มอมยิ้มอ่อนก่อนจะขำออกมา “โทษทีนะ…กูมันคนขี้เสือกว่ะเพื่อน ฮ่า ๆ ๆ ๆ” หลังจากหมอณัฐพูดจบหมอณัฐก็นั่งหัวเราะต่อไป

                        หมอเอมก็เลยบอกกับหมอนิทาน “ปล่อยมันบ้าไปคนเดียวเถอะแก” อันที่จริงหมอณัฐหรือไอ้ณัฐของกลุ่มนี้เขาจะมีอุปนิสัยที่ค่อนข้างจะเฟรนลี่ เฮฮา เป็นตัวสร้างสีสันให้กับกลุ่ม พูดตรงบ้างเป็นบางที จนเพื่อน ๆ ก็ถึงกับต้องเรียกเป็นฉายาเลยว่าไอ้หมอปากหมากันเลยทีเดียว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นหมอณัฐก็ไม่เคยโกรธเพื่อนทั้งสองคนเลย และก็ยังเฮฮาดีอยู่เหมือนเดิม

                          คนที่ดูจริงจังที่สุดในกลุ่มนี้ก็น่าจะเป็นหมอเอม เพราะหมอเอมเป็นนักเรียนทุนก็เลยต้องทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนัก เพื่อให้เต็มที่กับทุนเรียนแพทย์ที่ได้มา หมอเอมจะมีนิสัยที่เข้าใจทุกคนและทุกคนก็คุยกับหมอเอมได้ทุกเรื่อง แต่ติดตรงเวลามีหมอณัฐอยู่ด้วยสองคนจะปะทะฝีปากปะทะคารมกันประจำราวกับไปแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนเลยงั้นแหละ

                            ส่วนหมอนิทานก็เรียนได้อันดับ 1 ตลอด จนเพื่อน ๆ จะชอบแซวกันประจำว่า “เบา ๆ ความเก่งลงบ้างเหอะพวกกูตามไม่ทันละ” อันที่จริงแล้วที่นิทานเรียนแพทย์ได้ดีก็เพราะพ่อของนิทานก็เป็นหมอเหมือนกัน และพ่อของนิทานก็เป็นคนเทรนนิทานมากับมือ เลยทำให้นิทานรู้ว่าตัวเองจะต้องเจอกับการเรียนยังไง เวลาเรียนวิชาไหนต้องทำยังไง เรียกได้ว่าเมื่อนิทานบอกกับพ่อว่าอยากเป็นหมอ พ่อของนิทานก็ได้อัดความรู้พื้นฐานให้เต็มที่ รวมถึงติดขัดตรงไหนก็ถามพ่อได้ตลอด เลยทำให้หมอนิทานนำหน้าเพื่อนในรุ่นอยู่หนึ่งก้าว เวลาเรียนหมอนิทานก็จะค่อนข้างจริงจัง แต่ถึงเวลาสนุกกับเพื่อนหมอนิทานก็เต็มที่เหมือนกัน

                           “เออ…ถึงเวลาที่พวกเราต้องเปลี่ยนแผนกกันแล้วนี่หว่า พวกมึงจะต้องไปลงอยู่แผนกไหนกันต่อวะ” หมอณัฐได้ถามหมอเอมและหมอนิทาน “ฉันต้องไปลงสูติ” หมอเอมได้ตอบหมอณัฐไป “แล้วมึงอ่ะนิ” หมอณัฐได้ถามหมอนิทานต่อ “กูอ๋อ…กูต้องไปลงจิตเวชว่ะ” หมอณัฐดื่มเหล้าต่อก่อนจะตอบหมอเอมและหมอนิทานไป “กูลงอายุ…กูน่าจะสบายสุดป่ะ” หมอเอมกับหมอนิทานเลยตอบแบบประสานเสียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย “เออ”

                              “เออนิ…ถ้ามึงต้องไปลงจิตเวชมึงก็ต้องไปทำงานที่โรงจิตเวชเลยป่ะ” หมอณัฐถามหมอนิทาน หมอนิทานก็ทำหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะตอบหมอณัฐกลับไป “เห็นพ่อกูบอกมาแบบนั้นอ่ะนะ” หมอเอมเลยพูดเสริมต่อ “ตอนที่ฉันไปฝึกที่จิตเวชอ่ะ…เจอคนไข้สารพัดจะรูปแบบเลย หนึ่งวันพันกว่าเรื่องเลยอ่ะแก”

               บรรยากาศดนตรีสดที่ไพเราะ จนเมื่อดนตรีสดได้จบลงหมอเอมก็ได้ยกแขนและเหวี่ยงข้อมือเข้ามาเพื่อที่จะดูเวลา “เฮ้ย…พวกแกเที่ยงคืนกว่าแล้วอ่ะ พวกเรากลับกันเลยมั้ย” หมอเอมถามหมอณัฐและหมอนิทาน “มึงเอาไงอ่ะไอนิ” หมอณัฐมองหน้าหมอนิทานพร้อมถามออกไป หมอนิทานก็ลังเลใจหนึ่งก็อยากจะดื่มต่ออีกหน่อยแต่อีกใจหนึ่งกลับก็ได้ไม่ได้ซีเรียสอะไร “มึงว่าไงอ่ะไอณัฐ” หมอนิทานจึงถามหมอณัฐเพราะในใจตัวเองกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเอายังไงดี หมอนิทานกะว่าถ้าหมอณัฐให้คำตอบไหนก็เอาคำตอบนั้นแหละ หมอณัฐเลยทำหน้าชี้ไปทางหมอเอม “กูว่ามันน่าจะไม่ไหวละ” หมอนิทานก็หันไปมองหน้าหมอเอม “งั้นกลับก็ได้” หมอนิทานตอบกลับหมอณัฐและหมอเอม 

                    เมื่อทั้งสามคนออกมาจากร้านเหล้าหมอณัฐจึงถามหมอนิทานกับหมอเอม “เออพวกมึง…ให้กูไปส่งมั้ย” หมอเอมสะกิดแขนเสื้อหมอนิทานเบา ๆ และถามหมอนิทาน “ฉันไปนอนบ้านแกได้มั้ย” หมอนิทานเลยตอบหมอณัฐที่กำลังรอคำตอบของทั้งสองคนอยู่ “ไม่เป็นไรณัฐ…เดี๋ยวพวกกูกลับกันเองขอบใจนะ” หมอณัฐจึงยกมือโบกไปมาเพื่อเป็นการบอกลาหมอเอมและหมอนิทาน “กลับดีๆนะมึง” หมอนิทานยกมือไปมาเพื่อบอกลาหมอณัฐพร้อมคำกล่าวลา หมอณัฐยกมือขึ้นมาทำเป็นรูปโทรศัพท์แล้วเอามาแนบหู “งั้นมึงถึงบ้านแล้วโทรบอกกูด้วยนะนิ” หมอนิทานจึงตอบหมอณัฐกลับทันที “อืม” หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงได้แยกย้ายกันโดยที่หมอณัฐเดินไปที่ลอนจอดรถคนเดียว ส่วนหทอนิทานและหมอเอมก็ยืนรอรถที่เรียกไว้ในแอพมารับ

                    หมอณัฐเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อจะไปที่รถ แต่หมอณัฐไม่ทันได้สังเกตจึงได้เดินไปชนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า “ขอโทษครับ…พอดีผมไม่ทันมองต้องขอโทษด้วยนะครับ” หมอณัฐกล่าวคำขอโทษ “ฉันเองก็ซุ่มซ่ามเองเหมือนกันค่ะ…ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หมอณัฐได้มือขึ้นมาลูบหลังหัวด้วยอาการที่ออกจะเขินผู้หญิงคนนั้นนิด ๆ “คุณชื่อะไรเหรอคะ” ผู้หญิงคนได้ถามพร้อมกับยิ้มให้หมอณัฐไปด้วย ทำเอาหมอณัฐทำตัวไม่ถูก “ผมชื่อณัฐครับ…ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” หมอณัฐรีบตอบผู้หญิงคนนั้นเพื่อเก็บอาการเขิน “ฉันชื่อนานะ…ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” นานะเธอยื่นมือออกไปด้านหน้านิ้วทั้งห้าเรียงชิดไปตรงหน้าหมอณัฐ หมอณัฐจึงยื่นมือออกไปจับมือกับนานะด้วยอาการที่ยังคงเขิน ๆ นิด ๆ

                 ในขณะที่อีกด้านหมอนิทานและหมอเอมก็กำลังนั่งรถกลับไปยังบ้านของหมอนิทาน อันที่จริงนักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่หอพักแพทย์ หอพักพยาบาล แต่ด้วยความที่หมอนิทานมีบ้านของพ่ออยู่ที่กรุงเทพฯและบ้านที่หมอนิทานอยู่ก็ไม่ได้อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ หมอนิทานจึงไม่ได้ไปอยู่หอพักแพทย์เหมือนกับคนอื่น ๆ และบ้านหลังนี้ก็จะมีหมอณัฐและหมอเอมมาอยู่บ่อย ๆ 

                     ตอนนี้หมอเอมและหมอนิทานก็ได้กลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อทั้งสองเข้ามาในบ้านแล้วหมอนิทานก็ได้บอกกับหมอเอม “เดี๋ยวแกขึ้นห้องไปแกอาบน้ำก่อนได้เลยนะ…เดี๋ยวฉันจะคุยกับเจ้าน้องชายตัวแสบสักหน่อย” หมอเอมฟังแล้วก็ทำหน้าสงสัยและในความสงสัยนั้นมันก็หลุดออกมาเป็นคำพูด “นี่ก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว…ป่านนี้แชมป์มันยังไม่นอนอีกเหรอ” หมอนิทานจึงตอบกลับหมอเอม “ปิดเทอมแล้วเจ้าแสบมันนอนดึก…อีกอย่างเรารอคำตอบเรื่องเรียนต่ออยู่ ก็ถามไปแล้วแหละแต่เจ้าน้องชายตัวดีมันยังไม่ยอมตอบเราสักทีว่าจะเอายังไง” หลังจากหมอนิทานพูดจบหมอนิทานก็ได้เดินไปนั่งที่โซฟากลางบ้านพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อพิมพ์หาแชมป์

นิทาน : ไง…ไอแสบ นอนรึยัง

             (นิทานก็ได้นั่งรอให้น้องชายตัวแสบสุดที่รักตอบแชทอยู่)

แชมป์ : ยังอ่ะเจ้

             (ด้วยความที่ตระกูลนี้เป็นคนไทยเชื้อสายจีนจึงมีแชมป์คนเดียวที่เรียก

นิทานว่า “เจ้”)

นิทาน : สรุปเรื่องเรียนอ่ะ…แกคิดได้รึยังว่าจะไปเรียนที่ไหน คณะอะไร

แชมป์ : ยังไม่แน่ใจอ่ะเจ้…ที่บ้านก็น่าจะมีประเด็นอีกละ

นิทาน : แกทะเลาะกับพ่อแกอีกแล้วรึไง

แชมป์ : ก็ประมาณนั้นแหละ

นิทาน : แล้วทะเลาะกับพ่อเรื่องอะไร…เรื่องยัยหนูเมเปิ้ลรึเปล่า

แชมป์ : เจ้รู้จักกับบ้านภนินันท์คนโตนี่แล้วคนเล็กล่ะ…เจ้พอรู้อะไรมั้ย

นิทาน : ไม่เลยสักนิด

แชมป์ : เหมือนพ่อจะไม่ทำตามข้อตกลงของผมนะเจ้

นิทาน : เรื่องที่แกยอมหมั้นกับยัยหนูเมเปิ้ลน่ะเหรอ

แชมป์ : ตอนนี้เขาพยายามหาลูกเพื่อนมาให้ไอเอิร์ธรู้จักแบบเนียน ๆ

นิทาน : หมายความว่าถ้าเด็กมันรักกันก็ไม่ผิดข้อตกลงของแก…แถมยังได้สิ่งที่

            ต้องการด้วยงั้นสิ

แชมป์ : ประมาณนั้น

                   นิทานจึงตัดจบประโยคสุดท้ายก่อนจะไปดูหมอเอมที่ห้อง “เอาเป็นว่าแกคิดเรื่องเรียนมาก่อนละกัน…ส่วนเรื่องอื่นเราค่อยมาว่ากันอีกที เพราะยังไงฉันก็อยู่ข้างแกอยู่แล้ว” หมอนิทานก็ได้วางโทรศัพท์ลงที่ข้างตัวและเอนตัวพิงโซฟาเต็มตัวด้วยท่าทางที่เหมือนจะเหนื่อยล้า สักพักก็ได้มีมือเข้ามาลูบไล้มาที่ไหล่ของหมอนิทานก่อนจะค่อย ๆ บีบนวดอย่างทนุถนอม “เป็นไงบ้างแก” เสียงและมือนั้นก็คือหมอเอมที่อาบน้ำเสร็จแล้วนั่นเอง “เอม…แกไม่ต้องทำให้เราขนาดนี้ก็ได้” หมอนิทานพูดกับหมอเอม “แกอย่าขัดฉันสิ…ฉันอยากทำแกให้ฉันทำเถอะ” หมอเอมได้ตอบหมอนิทานด้วยน้ำเสียงที่ดูหงอย ๆ อ้อน ๆ นิด ๆ หมอนิทานเห็นแบบนั้นก็เลยปล่อยให้หมอเอมทำต่อไปโดยไม่ได้คิดอะไร

                     หมอเอมที่ได้ทำแบบนี้ให้หมอนิทานก็ทำหน้าเหมือนจะมีความสุขที่ได้คอยดูแลหมอนิทานแบบนี้ “แกไปอาบน้ำเถอะนิ…เราจะได้ไปนอนกัน” หมอเอมชวนให้หมอนิทานไปอาบน้ำ “เออจริงสิ…เราลืมไปสนิทเลยอ่ะ” นิทานสะดุ้งดีดตัวอย่างแรงพร้อมกับคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา

นิทาน : อีณัฐพวกกูถึงบ้านละนะ

            (หมอนิทานรีบทักหาหมอณัฐทันที…เพราะมัวแต่คุยกับแชมป์จนลืมหมอณัฐไปสนิท)

ณัฐ    : ลืมกูเลยสิท่า

             (หมอณัฐตอบกลับหมอนิทานในเชิงแซะหน่อย ๆ )

นิทาน : โทษทีว่ะมึง…กูคุยกับไอน้องตัวแสบจนลืมมึงไปเลยอ่ะ

ณัฐ    : ไอแชมป์อ่ะนะ

นิทาน : เออสิ…น้องกูก็มีอยู่คนเดียวมะ

ณัฐ    : ป่ะ ๆ ๆ ไปนอนได้แล้วป่ะ เดี๋ยวสาย ๆ เดี๋ยวกูไปนั่งกินกาแฟที่บ้านมึงนะ โอเคป่ะ

นิทาน : เจอกันพรุ่งนี้

                         หมอนิทานจบบทสนทนากับหมอณัฐและหันไปหาหมอเอม “งั้น…เราจะไปอาบน้ำละ” หมอนิทานได้บอกกับหมอเอม “รีบไปเถอะ…เราจะได้ไปเข้านอนกัน” หมอเอมบอกกับหมอนิทาน จากนั้นหมอนิทานก็ได้ลุกจากโซฟาและขึ้นไปชั้นสองและมีหมอเอมเดินตามอยู่ข้างหลัง

                    เมื่อหมอนิทานได้ทำอะไรเสร็จสรรพหมดแล้วหมอเอมและหมอนิทานก็เตรียมตัวนอน ตอนนี้ทั้งสองคนได้นอนบนเตียงเดียวกันและด้วยความเหนื่อยล้าจึงทำให้หมอนิทานหลับสนิท หมอเอมที่เห็นว่าหมอนิทานหลับไปแล้วหมอเอมก็นอนหันหน้ามาทางหมอนิทาน และหมอเอมก็ได้จ้องมองหน้าของหมอนิทานเมื่อยามนิทรา เสียงหัวใจของหมอเอมมันได้สั่งให้หมอเอมทำอะไรบางอย่าง เสียงหัวใจของหมอเอมมันดังขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้หมอเอมเริ่มที่จะหัวใจเต็นเร็วและแรง ร่างกายหมอเอมเริ่มร้อนผ่าวถึงแม้ว่าในห้องนี้จะเปิดแอร์ก็ตาม เสียงในใจหมอเอมมันยังคงสั่งร่างอย่างต่อเนื่อง หน้าของหมอเอมได้เข้าใกล้แก้มของหมอนิทานเข้าไปเรื่อย ๆ ๆ เมื่อหน้าของหมอเอมกำลังจะถึงแก้มของหมอนิทานเสียงในใจของหมอเอมมันก็ควบคุมร่างกายจนได้ หมอเอมได้หอมเข้าไปที่แก้มที่เนียนหนุ่ม ผิวขาวอมชมพูที่ใสเนียน เป็นสัมผัสที่ใคร ๆ ต้องหลงไหลราวกับต้องมนต์สะกด ตอนนี้หมอเอมเธอได้ทำสิ่งมันล้ำเส้นคำว่าเพื่อนไปแล้วโดยที่หมอนิทานก็ยังคงหลับสนิทและไม่รู้สึกตัว

                    “กริ่ง กริ่ง กริ่ง~”

                     “เช้าแล้วเหรอ” เสียงหมอนิทานบ่นงัวเงียที่บ่นขึ้นได้เพราะได้ยินเสียงกดกริ่งของบ้านปลุกให้ตื่น “ใครมาแต่เช้าเลยอ่ะ” หมอเอมถามหมอนิทานด้วยอาการที่งัวเงียเพิ่งรู้สึกตัวเช่นกัน หมอนิทานจึงลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะเอาสองมือตบไปที่สองแก้มเบา ๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่น จากนั้นหมอนิทานจึงได้หันไปตอบหมอเอม “น่าจะเป็นไอณัฐอ่ะแหละ…เมื่อคืนมันบอกว่าสาย ๆ มันจะเข้ามานั่งกินกาแฟด้วย เดี๋ยวเราลงไปเปิดประตูก่อนนะ แกไปอาบน้ำก่อนได้เลย” เมื่อนิทานพูดจบหมอนิทานก็ลุกเดินยังประตูและออกจากห้องไป

                    “กว่าจะลงมาได้นะมึง…เพิ่งตื่นรึไง” หมอณัฐทักทายหมอนิทานตามสไตล์กวนประสาทเหมือนอย่างเคย “เออ…กูก็มาเปิดประตูให้แล้วนี่ไง” หมอนิทานตอบหมอณัฐ เมื่อหมอณัฐกับหมอนิทานเข้ามาในบ้านแล้ว “ณัฐ…มึงนั่งรอกูอาบน้ำแปปนึงละกัน เดี๋ยวเอมลงมาเอมก็คงเตรียมกาแฟให้แหละ” หมอนิทานเดินขึ้นชั้นสองจากหมอณัฐไป

                    หมอณัฐที่นั่งอยู่ที่โซฟาสักพักหมอเอมก็ได้เดินลงมาจากชั้นสอง “นี่อีณัฐ…ทำไมแกไม่ไปชงกาแฟกินเองล่ะ” หมอเอมถามหมอณัฐ “ฝากชงให้หน่อยได้ป่ะล่ะเพื่อนสาว” หมอณัฐถามหมอเอม หมอเอมจึงส่ายหน้าก่อนที่จะเดินไปที่ครัวเพื่อไปชงกาแฟรอหมอนิทาน

                    อีกสักพักหมอนิทานก็ได้มาจากห้องนอนที่ชั้นสอง หมอนิทานเดินมานั่งที่โซฟาที่มีหมอณัฐและหมอเอมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เออพวกมึง…เมื่อคืนตอนที่เราแยกกันกลับบ้านอ่ะ กูไปเดินชนผู้หญิงคนหนึ่งมาว่ะ เธอน่ารักโคตร ๆ เลยนะ” หมอณัฐพูดด้วยท่าทีออกอาการมีความสุขออกนอกหน้านอกตา “ถ้ามันเม้าส์มาขนาดนี้นะชัดเลย…มันชอบเขา” หมอนิทานได้แซะจิกกัดหมอณัฐเล็ก ๆ “ก็เขาน่ารักอ่ะ…ใครบ้างไม่ชอบวะ ที่สำคัญนะเว้ย…กูอ่ะได้ contact เขามาแล้วด้วยนะเว้ย” หมอณัฐตอบหมอนิทาน “อีนี่ถ้าจะเป็นเอามาก” หมอเอมก็ได้แซะหมอณัฐด้วยเช่นกัน “ใครจะเหมือนมึงล่ะ…ที่แอบชอบเขาแต่ไม่กล้าบอก” หมอณัฐสวนหมอเอมแบบทันควัน

                     หมอนิทานยกมือชี้หน้าหมอเอมทันที “ใคร ใคร เอมแกมีความลับกับเราเหรอ” พอหมอนิทานพูดจบ หลังจากนั้นทั้งหมอนิทานและเอมจึงหยอกล้อกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างสนุกสนาน ส่วนหมอณัฐที่นั่งมองสองคนเล่นกันอยู่หมอณัฐก็ได้บ่นออกมาเบา ๆ “ก็มึงไงไอนิ” ใช่…หมอณัฐดูออกมาตลอดว่าหมอเอมรู้สึกยังไงกับหมอนิทาน แต่ที่หมอณัฐไม่พูดไปเลยตามสไตล์หมอปากหมาก็เพราะหมอณัฐอยากให้หมอเอมสารภาพทุกอย่างกับหมอนิทานด้วยตัวเอง

                     “นิ…แกพอได้แล้วเราเหนื่อยแล้วนะ” หมอเอมหยุดหมอนิทานไว้พร้อมกับพูดไปด้วย “นั่นดิ…หยอกกันอย่างกับเป็นแฟนกันไม่สนใจกูเลยนะ” หมอณัฐพูดออกแนวจิกกัดเล็ก ๆ “ทำมะ…อิจเหรอพ่อหนุ่ม” หมอเอมสวนกลับหมอณัฐทันที “ฮ่า ๆ ๆ ~ หล่อ ๆ อย่างพี่นี่นะอิจฉาน้อน เร็วไปล้านปีโว้ย” หมอนิทานเบ้ปากตามองบนพร้อมกับพูดลอย ๆ “เบื่อพวกหลงตัวเองจริง ๆ” หมอนิทานทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะพูด “เออจริงสิณัฐ…เดี๋ยวกูฝากมึงไปส่งเอมที่หอหน่อยได้มั้ย” หมอเอมทำสีหน้าเหมือนแมวที่กำลังอ้อนเจ้าของและถามหมอนิทาน “ทำไมอ่ะ…แกไปส่งเราไม่ได้อ๋อ” หมอณัฐก็เลยเสริมทันที “นั่นดิวะ” หมอนิทานนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบทั้งสองคน “นัดกับไอตัวแสบไว้อ่ะ…เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะมาแล้วแหละ” หมอณัฐเลยตบเข่าตัวเองก่อนจะตอบหมอนิทาน “โอเค…กูเกทละ”

                       หมอเอมที่มองหมอนิทานจึงถามหมอนิทาน “มีเรื่องด่วนกันเหรอ” หมอนิทานจึงนิ่งไปก่อนจะตอบหมอเอม “ก็นิดหน่อยอ่ะ…พวกแกจำพี่มิวนิค อันธิกาได้มั้ย” หมอเอมและหมอณัฐก็นั่งนึกกันอยู่ชั่วครู่ หมอณัฐเหมือนจะนึกออกก่อนจะถาม “อ๋อ…พี่มิวนิคคณะแพทย์เราที่เพิ่งเรียนจบไปใช่ป่ะ หมอนิทานพยักหน้ารับก่อนจะตอบกลับหมอณัฐ “อืม…นั่นแหละ”

                  หมอเอมเลยถามหมอนิทานเหมือนกัน “ทำไมเหรอแก” หมอนิทานเลยถอนหายใจก่อนจะตอบทั้งสองคน “ดู ๆ ไปแล้วคงจะได้มีเรื่องวุ่นวายในอีกไม่ช้าอ่ะ” หมอณัฐเลยตัดบท “เอาเหอะ ๆ มึงก็รอน้องมึงไปละกัน…เอมมึงไปเก็บเตรียมตัวกลับได้ละ” หมอเอมเลยทำหน้านอยด์ ๆ ก่อนจะตอบหมอณัฐไป “กูรู้แล้วล่ะหน่า” แล้วหมอเอมก็ลุกเดินไปชั้นสองเพื่อไปเก็บของเตรียมตัวกลีบหอ”

                    

                    หมอณัฐที่นั่งจิบกาแฟอยู่ก็ได้ถามหมอนิทานขึ้น “ไอนิ…สรุปมึงตามหาเพื่อนสมัยเด็กของมึงไปถึงไหนแล้ววะ” หมอนิทานส่ายหน้าก่อนจะตอบหมอณัฐ “ไม่ได้เรื่องอะไรเลยว่ะ” หมอณัฐพยักหน้ารับ หมอนิทานจึงถามกลับไป “แล้วมึงนึกยังไงถึงถามเรื่องนี้” หมอณัฐเลยตอบกับหมอนิทาน “กูเห็นถ้านอกจากไอแชมป์น้องมึง…ก็เด็กที่ชื่อดาวอะไรนั่นน่ะที่มึงคิดถึงจังเลย” หมอนิทานก็ได้แต่นิ่งเงียบไป

                    “ณัฐ…มึงว่ากูจะได้เจอเขาอีกมั้ยวะ” หมอนิทานถามหมอณัฐ หมอณัฐเลยวางแก้วกาแฟเอนตัวลงโซฟาก่อนที่จะตอบหมอนิทาน “กูจะไปรู้เหรอ…เรื่องนั้นมึงต้องหาคำตอบเอาเองนะไอนิ” ในขณะที่หมอเอมก็กำลังยืนแอบฟังทั้งสองคุยกันอยู่ ใบหน้าของหมอเอมตอนนี้มันเป็นรู้สึกที่เสียใจปนเปผสมกับความโกรธ มันชัดเจนในใจของหมอเอมแล้วว่าตัวเองรู้สึกกับหมอนิทานแค่ไหนกันแน่

                    “เอม…มึงเสร็จยังวะ” หมอณัฐตะโกนถามหมอเอม เสียงของหมอณัฐที่แหวกว่ายผ่านอากาศไปก็ได้ไปถึงตัวหมอเอมที่กำลังยืนแอบฟังหมอณัฐคุยกับหมอนิทานอยู่ หมอเอมเลยรีบขานรับตอบกลับเสียงหมอณัฐเพื่อไม่ให้ผิดสั่งเกตุ “เออ…เสร็จแล้ว ๆ” หมอเอมก็ค่อย ๆ เดินไปหาหมอณัฐกับหมอนิทาน “พร้อมละ” หมอเอมบอกกับหมอณัฐ หมอนิทานเลยบอกกับหมอณัฐ “กูฝากด้วยนะ” หมอณัฐเลยพยักหน้ารับและตอบหมอนิทาน “เดี๋ยวกูจัดการเอง” หมอนิทานพยักหน้าแล้วตอบหมอณัฐ “ขอบใจนะมึง”

                    “งั้นกลับเลยละกัน…ไปกันเลยไอเอม” หมอณัฐถามหมอเอม “กลับก็กลับ” หมอเอมตอบหมอณัฐด้วยน้ำเสียงเหมือนจะนอยด์ ๆ “งั้นพวกกูไปก่อนนะไอนิ” หมณัฐบอกหมอนิทาน “กลับกันดี ๆ นะ” หมอนิทานตอบกลับทั้งสองคน และแล้วหมอณัฐและหมอเอมก็ได้เดินออกจากบ้านหมอนิทานไปเพื่อที่จะกลับบ้านกัน

                    ตอนนี้หมอณัฐและหมอเอมกำลังนั่งกลับไปทางหอของหมอเอมโดยมีหมอณัฐเป็นคนขับรถ “มึงคิดจะบอกไอนิมันเมื่อไหร่วะว่ามึงชอบมันอ่ะ” หมอณัฐถามหมอเอมขณะที่ขับรถอยู่ “ไม่รู้ว่ะ…มึงคิดว่ากูจะพูดได้จริงอ๋อ” หมอเอมตอบหมอณัฐในขณะที่มองทางไปด้วย “ถ้ามึงไม่อยากเสียไอนิมันไปให้ใคร…กูว่ามึงบอกมันไปเหอะ” หมอณัฐบอกกับเอม “ถ้ามันง่ายขนาดนั้นกูคงบอกไปนานแล้วล่ะ” หมอเอมตอบกลับหมอณัฐ

                    “ถึงหอละ” หมอณัฐบอกกับหมอเอม “ขอบใจละกันนะ” หมอเอมตอบกลับหมอณัฐด้วยท่าทางจิกกัดเล็ก ๆ จากนั้นหมอเอมก็ได้เปิดประตูรถและลงจากรถไป หมอณัฐได้แต่นั่งส่ายหัวพร้อมกับบ่นอยู่ในรถไปด้วย “ถ้ามึงไม่บอกให้ไอนิมันรู้…มึงก็จะไม่มีวันที่จะมีโอกาสเข้าถึงใจมันได้หรอก” และหมอณัฐก็ได้ขับรถออกไปจากหอพักของหมอเอม

                      ขณะที่หมอนิทานก็กำลังรอน้องชายตัวแสบมาหาที่บ้าน ประตูบานในของบ้านก็เปิดออก “หวัดดีเจ้” การทักทายและเรียกนิทานแบบนี้มีเพียงแค่คนเดียว “มาได้แล้วเหรอเจ้าน้องตัวแสบ” นิทานตอบกลับเสียงนั้นและคน ๆ นั้นก็คือแชมป์น้องชายสุดรักสุดห่วงของนิทาน “พี่นิทานสวัสดีครับ” เสียงทักทายนิทานตามอีกสองเสียง “นี่มากันครบแก๊งเลยเหรอ” สองคนที่ทักนิทานคือธีมและแดนเพื่อนสนิทของแชมป์ที่สนิทกันมาตั้งแต่ ม.1 และสามคนนี้ก็มักจะไปไหนมาไหนด้วยบ่อยมาก ๆ นิทานในฐานะพี่สาวก็เลยพลอยได้รู้จักกันไปด้วย “พอดีพวกเราคิดถึงพี่นิทานครับ…ก็เลยตามมันมาด้วย” ธีมและแดนตอบกลับนิทานอย่างเคารพและยิ้มอย่างจริงใจให้กับนิทาน

                       “ลืมอะไรไปรึเปล่าไอตัวแสบ” นิทานถามแชมป์ด้วยท่าทีคล้ายจะนอยด์ ๆ แต่ก็ไม่ได้นอยด์ แล้วแชมป์ก็เดินเข้าไปยืนตรงหน้านิทานก่อนที่ทั้งสองคนจะกอดกัน ที่คือการทักทายกันอันเป็นปกติของพี่น้องคู่นี้ที่ทำเอาคนอื่นที่ไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องกันเข้าผิดกันไปหลายคนแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังทำแบบนี้กันเป็นเรื่องปกติโดยที่ไม่ค่อยจะสนใจใครสักเท่าไหร่

                         เมื่อแชมป์กับนิทานปล่อยอ้อมกอดและแยกตัวออกจากกันด้วยสายตาท่าทางที่ห่วงหาอาทรต่อกัน แชมป์จึงได้พูดต่อทันที “เจ้จะคุยเรื่องเรียนต่อใช่มั้ย…ผมคิดมาให้แล้ว พวกผมสามคนจะเข้าเรียนคณะนิเทศ” นิทานที่ฟังจบแล้วก็เอามือตบบ่าแชมป์เบา ๆ ก่อนที่นิทานจะพูด “เอาละ…ถ้าแกตัดสินใจแบบนี้แกคงได้ทะเลาะกับพ่อแกแน่ ๆ แต่เอาเถอะ…ยังไงฉันก็อยู่ข้างแกอยู่ดี”

                    “ขอบคุณนะเจ้…ที่เข้าใจกันมาตลอด” แชมป์กล่าวขอบคุณนิทานด้วยท่าทีที่เคารพและนอบน้อมในตัวนิทานอย่างมาก “พี่นิทาน…พี่ไม่ต้องห่วงนะครับพวกเราจะดูแลไอแชมป์เองครับ” ธีมกล่าวกับนิทาน เมื่อนิทานฟังจบนิทานก็ถอนหายใจพร้อมกับพูด “พี่สบายใจแล้วล่ะ…ที่พวกเราสามคนรักกันมากขนาดนี้” จากนั้นนิทานก็ยิ้มให้กับแชมป์

วันต่อมา

                        วันนี้เป็นวันแรกที่นิทานจะต้องไปรายงานตัวและฝึกปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นวันแรก นิทานขับรถมาจนถึงโรงพยาบาลจิตเวช นิทานก็ได้เดินไปห้องอาจารย์หมอเพื่อไปรายงานตัว สถาบันจิตเวชศาสตร์ที่นิทานต้องมาทำงานนั้นเป็นที่ ๆ มีแต่ผู้ป่วยระดับเสียสติหรือถ้ามาปรึกษาหมอก็คืออาการเริ่มรุนแรงแล้ว จึงทำให้สถาบันจิตเวชศาสตร์แห่งนี้มีผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ที่สถาบันฯแห่งนี้

 

ก็อก ก็อก ก็อก~

                          “เชิญเข้ามาได้เลยครับ” ตอนนี้หมอนิทานได้มาถึงห้องของอาจารย์หมอและเคาะประตูเพื่อขออนุญาตเข้าพบอาจารย์หมอ หมอนิทานได้เปิดประตูเข้าไปในห้องของอาจารย์หมอ “คุณคือนักศึกษาแพทย์ที่จะมาฝึกงานที่นี่ใช่มั้ยครับ” อาจารย์หมอถามอนิทาน “ดิฉันชื่อ นิทรารัตน์ วิริยเทพา ค่ะ” หมอนิทานแนะนำตัวกับอาจารย์หมอ “งั้นไปกันเถอะครีบ…เดี๋ยวพาไปชมเคส แล้วก็จะให้คุณทดลองเคสเลยครับ เพราะที่นี่มีหมอและพยาบาลไม่พอ คุณอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะครับ”

                             อาจารย์หมอได้พาหมอนิทานเดินดูเคสไปเรื่อย ๆ “เริ่มจากเคสนี้ครับ เขาพยายามอัตวินิบาตกรรมตัวเองมาหลายครั้งจนเขาเสียสติไป พอเขาเสียสติเราก็เลยรับเขามาดูแล” อาจารย์หมอพาดูเคสต่อไปและต่อไปเรื่อย ๆ จนมาถึงเคส ๆ นี้ที่อาจารย์มีอาการลำบากใจที่จะพูดอย่างชัดเจน เหมือนว่าอาจารย์หมอจะดูเศร้าสลดกับเคสนี้พอสมควร “มาดูเคสนี้กันเถอะครับ เธอชื่อรุ้งดาวครับ เธอเสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุเมื่อ 8 ปีที่แล้ว จึงทำให้มีอาการ PTSD อย่างรุนแรง เพราะเธอเกิดอาการช็อคอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ครั้งนั้น แล้วจากนั้นเธอจึงถูกส่งตัวมาที่นี่”

                    หมอนิทานที่ฟังอาจารย์หมอบรรยายมาถึงจุดนี้จึงเกิดความสงสัย “เห็นอาจารย์หมอดูเศร้ากับเคสนี้มากเป็นเพราะอะไรเหรอคะ” อาจารย์หมอจึงตอบหมอนิทานพร้อมมองผ่านช่องกระจกของประตูห้องไปด้วย “คุณนี่ช่างสังเกตุดีนะ…จริง ๆ ถ้าเรารู้ว่ากุญแจที่ปิดใจของเธอคืออะไรเราน่าจะรักษาเธอได้ แต่ผ่านมา 8 ปีแล้ว ผมยังหาคำตอบไม่ได้ เลยปลดปล่อยจิตใจเธอไม่ได้ แล้วเธอก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้นเลยด้วย ผมเลยอยากให้คุณลองรักษาเคสนี้ดูหน่อย คุณโอเคมั้ยครับ” หมอนิทานจึงตอบรับอาจารย์หมอ “ค่ะ”

                     “งั้นผมฝากเคสนี้กับไว้คุณนะครับ”อาจารย์หมอพูดจบก็พาหมอนิทานไปดูเคสอื่น ๆ ต่อจนครบ

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!