เสียงเปิดประตูห้องอย่างแรง โครม! ดังขึ้นตอนเวลาสองทุ่มเศษของคืนวันศุกร์
“ใครวะ…”
ผมหันขวับไปทางผนังด้านซ้าย มือยังค้างอยู่บนเมาส์คอมพ์ที่กำลังเล่นเกมอยู่ดีๆ
นี่มันเสียงดังจากห้องข้างๆ … ห้องที่ว่างเปล่ามานานตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่คอนโดนี้เมื่อปีก่อน
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา เสียงเพลง R&B เบาๆ ก็ดังลอดผ่านผนัง
ตามด้วยเสียงเดิน สลับกับเสียงขยับของเฟอร์นิเจอร์ และ—กลิ่นน้ำหอมผู้ชายจางๆ ที่ลอยเข้ามาทางช่องระบายอากาศ
โอเค สรุปว่าข้างห้องตอนนี้มีคนย้ายเข้ามาแล้ว
แต่ขอร้อง…อย่ามาเสียงดังแบบนี้ทุกวันนะ ผมเป็นสายเนิร์ดที่รักความเงียบ และชอบอยู่กับตัวเองมากกว่าจะออกไปเผชิญโลกภายนอก
ขืนอยู่ห้องข้างๆ แล้วเสียงดังแบบนี้ทุกวัน ผมคงกลายเป็นหมีขี้โมโหในอีกไม่ช้า
ผมถอนหายใจ ยื่นมือไปปิดเกม พรุ่งนี้ต้องไปติววิชาคณิตแต่เช้า ไม่ควรนอนดึก
แต่ทันทีที่ผมกำลังจะล้มตัวลงบนเตียง…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูห้องตัวเองดังขึ้นสามครั้งติดกัน
ใครมาเคาะห้องผมตอนสามทุ่ม?
ผมลุกขึ้น เดินไปดูตาแมวหน้าประตู ก่อนจะชะงัก
หน้าประตูยืนอยู่กับเด็กผู้ชายผมสีดำสนิท ใส่เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงวอร์ม ขายาวสูงพอๆ กับกรอบประตู
หน้าตาหล่อจัดแบบที่เห็นแล้วถึงกับต้องกลืนน้ำลาย
“เอ่อ… สวัสดีครับ” เสียงทุ้มนุ่มพูดขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตู
“ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ แต่ว่าลืมพกกุญแจไว้ในห้อง ตอนนี้เลยเข้าห้องไม่ได้…”
“…”
“ผมชื่อคิรินนะ อยู่ ม.6 โรงเรียนเดียวกับนายนั่นแหละ” เขาชะโงกมองบัตรนักเรียนผมที่ห้อยคออยู่
“อย่าเพิ่งกลัว ผมแค่อยากยืมโทรศัพท์โทรหาผู้จัดการหอเฉยๆ”
ผมกะพริบตา — คิริน?
ชื่อที่ได้ยินมาหลายครั้งจากกลุ่มผู้หญิงในโรงเรียน
เจ้าชายโรงเรียน นักกีฬาบาสหล่อขั้นเทพ ผู้ชายที่มีคนแอบชอบเยอะที่สุดในรุ่น ม.6…
เขายืนอยู่ตรงหน้าห้องผม ในลุคธรรมดาที่ดูดีเกินคำว่าธรรมดา
และกำลังยิ้มให้ผม
“โทรศัพท์อยู่ไหนเหรอ?” เขาเอียงคอถามเมื่อผมนิ่งไปนาน
“…ตรงนี้ครับ” ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้แบบงงๆ มือเย็นไปหมด
ข้างห้องผมมีคนย้ายเข้ามาแล้ว… และเขาเป็นเจ้าชายที่ทั้งโรงเรียนหลงรัก
ชีวิตที่เงียบสงบของผม…จบแล้วล่ะมั้ง
.
.
.
.
.
เช้าวันถัดมา ผมตื่นด้วยเสียงแจ้งเตือนนาฬิกาในมือถือที่ตั้งไว้ตามปกติ
ลุกขึ้น ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว — ทุกอย่างดูเป็นกิจวัตรเหมือนเช่นเคย
จนกระทั่ง…
ติ๊ง!
เสียงข้อความดังขึ้นขณะผมหยิบกระเป๋าจะออกจากห้อง
จู่ๆ ก็มี LINE เด้งขึ้นมาจาก…หมายเลขไม่คุ้น
คิรินข้างห้อง:
“นายออกจากหอกี่โมงอะ? ถ้าเวลาใกล้ๆ กัน ไปด้วยกันป่ะ?”
ผมชะงักมือ หันไปมองกำแพงทางซ้ายตามสัญชาตญาณ
แม้รู้ว่าเขาคงไม่ได้มองผมผ่านกำแพงได้ แต่ก็อดรู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ไม่ได้
มีน:
“ปกติออกประมาณเจ็ดโมงสิบครับ”
ไม่ถึงครึ่งนาที ข้อความตอบกลับก็มา
“โอเค งั้นเจอกันหน้าห้องตอนเจ็ดโมงนะ :) ”
…ยิ้มส่งมาด้วย
รู้สึกเหมือนใจเต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะแบบไม่มีเหตุผล
ตอนเจ็ดโมงตรงเป๊ะ ผมเปิดประตูออกมาพร้อมกระเป๋านักเรียนในมือ
แล้วก็เจอคิริน ยืนพิงกำแพงข้างห้องในชุดนักเรียนม.ปลาย
เสื้อนักเรียนสีขาวสะอาด ผูกเนคไทเรียบร้อย ใส่หูฟังข้างหนึ่ง มืออีกข้างถือขวดนมเปรี้ยว
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณข้างห้อง” เขาทักด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
“…สวัสดีครับ” ผมตอบเบาๆ พยายามไม่สบตานานเกินไป
ระหว่างเดินไปโรงเรียนด้วยกัน เขาเป็นฝ่ายชวนคุยเรื่องทั่วไป
ตั้งแต่ “เรียนสายอะไรเหรอ?” จนถึง “ติ่งอนิเมะเรื่องไหนบ้าง?”
ผมก็เลยหลุดพูดเยอะกว่าปกติแบบไม่รู้ตัว
“แล้วนายอยู่ห้องอะไรเหรอ?”
“ห้อง 5/3 ครับ”
“หืม? ฉันก็อยู่ห้อง 6/3 … โอ้ เจอเพื่อนบ้านจริงๆ ด้วย”
เขาหัวเราะเบาๆ พลางก้มมองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“ฉันดีใจนะ ที่เพื่อนบ้านน่ารักกว่าที่คิด”
“หา…” ผมชะงัก เดินช้าลงอัตโนมัติ
“อะไรอะ?” เขาทำเป็นไม่รู้เรื่อง ยักคิ้วให้ “แซวเล่นเฉยๆ ไม่เขินดิ”
ผมเบือนหน้าไปอีกทางทันที หูเริ่มแดงนิดๆ
และมันยิ่งแดงกว่าเดิม…
เมื่อเพื่อนในโรงเรียนเริ่มมองพวกเราสองคนเดินมาด้วยกัน
โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่หันมากระซิบกระซาบ พร้อมสายตาแบบ โอ้มายก๊อด!
ผมรีบก้าวเท้าเร็วขึ้น แต่คิรินกลับเดินเท่ากัน
“ไม่ต้องรีบเดินหนีหรอกน่า นายไม่ทำอะไรผิดนี่” เขาพูดเสียงเรียบ แล้วเสริมเบาๆ
“แค่เดินกับคนข้างห้อง มันผิดตรงไหน?”
…
ใช่ มันอาจไม่ผิดหรอก
แต่สำหรับผม—เด็กม.5 ธรรมดา ที่ไม่เคยอยู่ในสายตาใคร
การถูกจับตามองเพียงเพราะเดินกับ ‘คิริน’ คือความวุ่นวายที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ
.
.
.
.
เสียงเคาะประตูดังขึ้นตอนหนึ่งทุ่มตรงเป๊ะ
ผมเงยหน้าจากชีทการบ้านคณิตฯ ที่กำลังพยายามทำด้วยความงุนงงสุดขีด
แล้วเดินไปเปิดประตูโดยไม่ทันคิดอะไร
คิรินยืนอยู่ตรงนั้น — ถือถุงเซเว่นสองใบ
“เย็นนี้ทำกับข้าวไม่ทัน เลยซื้อข้าวกล่องมาเผื่อด้วย”
เขายื่นถุงมาให้หน้าตาเฉย รอยยิ้มสดใสแบบไม่รู้สึกว่าแปลกอะไรเลยกับการมาชวนเพื่อนบ้านกินข้าวตอนค่ำ
“…ให้ผมเหรอ?”
“ก็ไม่ให้แล้วจะยืนถือทำไมอะ?”
“เอ่อ…ขอบคุณครับ” ผมรับถุงมาแบบงงๆ
แต่ก่อนที่ผมจะหันกลับเข้าห้อง คิรินก็พูดต่อ
“แล้ว…ขอเข้าไปกินด้วยได้ไหม?”
“หา?”
“ก็ห้องฉันเพิ่งจัดของเสร็จ ยังไม่มีโต๊ะกินข้าวเลย นั่งพื้นก็ยังไม่มีเสื่อ…”
เขาทำหน้าอ้อนนิดๆ แบบคนที่รู้ตัวว่าหล่อแล้วจะทำอะไรก็น่ารักไปหมด
“ขอแค่เย็นนี้เย็นเดียว ไม่วุ่นวายนะสัญญา”
ผมลังเลไม่ถึงสามวิก็พยักหน้า
แล้วคิรินก็ยิ้มกว้างทันที ราวกับรู้ผลอยู่แล้วว่าผมจะยอม
ห้องของผมไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็สะอาดและมีโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ ตัวหนึ่งหน้าทีวี
ผมจัดข้าวกล่องและน้ำให้เขานั่งฝั่งตรงข้าม คิรินถอดเสื้อคลุมไว้ที่พนักเก้าอี้ เผยให้เห็นเสื้อยืดสีเทาเข้ารูปพอดีตัว
ขอสารภาพว่า… มันทำให้ผมหลบตาแทบไม่ทัน
“ทำการบ้านอะไรอยู่เหรอ?” เขาชี้ไปที่ชีทคณิต
“บทอนุกรมน่ะครับ ยากชะมัดเลย”
“ขอดูได้ไหม?”
เขาขยับเข้ามานั่งข้างๆ ผมทันทีโดยไม่รอคำตอบ
ผมชะงักเล็กน้อยตอนไหล่เราชนกันแบบไม่ตั้งใจ แต่เขากลับเฉยๆ อย่างกับเป็นเรื่องปกติ
คิรินก้มมองชีทแล้วหยิบดินสอผมขึ้นมา
“ข้อนี้น่าจะใช้สูตรตัวนี้นะ ลองแทนค่าดู”
“…”
“เงียบทำไมอะ?” เขาหันมามอง ผมก็เลยรีบหันกลับไปที่ชีท
“…เปล่าครับ แค่ไม่คิดว่าคุณจะเก่งคณิตด้วย”
“ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ เรียก ‘คิริน’ เฉยๆ ก็พอ”
เขายิ้ม พลางเขียนสูตรให้ต่ออย่างใจเย็น
ผมนั่งนิ่ง ทำเป็นตั้งใจฟัง แต่ความจริงใจมันเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้
หลังจากกินข้าวและติวกันเสร็จ คิรินลุกขึ้นยืดตัวบิดขี้เกียจ
“อ้อ ลืมบอก ฉันใส่ไลน์นายไว้แล้วนะตอนคืนโทรศัพท์เมื่อคืน”
“หา?”
“ก็…เมื่อคืนนายให้โทรศัพท์ฉันยืมไง เลยแอบแอดไว้ นึกว่าเดี๋ยวเช้าจะคุยสะดวก”
“…คุณนี่มัน…” ผมพูดไม่จบประโยค
“น่ารัก?” เขาทำหน้าทะเล้น
ผมเอาหมอนข้างปาใส่เขาทันที — แต่ไม่แรงมากหรอก แค่พอให้เจ้าตัวหัวเราะได้
เสียงหัวเราะของเขาก้องอยู่ในห้อง
อบอุ่นเกินกว่าที่ผมจะยอมรับได้ตรงๆ ว่า…เริ่มชอบฟังมันเข้าแล้ว
.
.
.
.
“มีน! แกเดินมากับคิรินเหรอเมื่อเช้า!?”
เสียงของ “เตย” เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในห้องดังขึ้นทันทีที่ผมเดินเข้าห้องเรียน
เธอพุ่งตรงมาที่โต๊ะผมพร้อมสายตาเป็นประกายแบบสาวมโนขั้นสุด
“เมื่อเช้าอะ ฉันเดินสวนหน้าโรงเรียนพอดี แกกับเขาเดินคุยกันแบบ…เหมือนสนิทกันมากกกก”
ผมรีบก้มหน้าลงแบบไม่รู้จะตอบยังไง
“อย่าบอกนะว่าแกได้ไลน์เขาด้วย!?”
“เขาแอดมาก่อน…”
“ฮืออออออ แกมันตัวร้าย!” เตยโอดครวญเสียงดังจนเพื่อนรอบข้างเริ่มหันมามอง
ผมถอนหายใจ
นับตั้งแต่เดินไปโรงเรียนพร้อมคิรินวันก่อน และเขามานั่งกินข้าวในห้องผมอีก
ทุกอย่างก็เหมือนจะเริ่มเปลี่ยน
คนในโรงเรียนเริ่มมองผมมากขึ้น
บางคนกระซิบ บางคนแอบถ่ายตอนที่ผมกับเขานั่งกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหารเมื่อวาน
มันทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แม้คิรินจะดูเหมือนไม่สนอะไรเลยก็ตาม
เย็นวันนั้น ผมเดินกลับหอก่อนเหมือนเดิม
แต่ไม่ทันจะได้ไขกุญแจเข้าห้อง คิรินก็เปิดประตูออกมา
“กลับมาแล้วเหรอ?” เขาทัก
“อือ” ผมพยักหน้า แล้วกำลังจะเปิดประตูห้องตัวเอง แต่เขาก็พูดต่อ
“วันนี้…ไม่อยากคุยหน่อยเหรอ?”
ผมหยุดนิ่ง หันไปมองเขาที่ยืนพิงประตูห้อง สีหน้าดูจริงจังกว่าทุกครั้ง
“คือ…เห็นนายดูอึดอัดตั้งแต่เมื่อเช้า”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยอมเดินตามเขาเข้าห้อง
ห้องของคิรินตอนนี้เริ่มเป็นระเบียบแล้ว เฟอร์นิเจอร์จัดเข้าที่ มีโซฟาเล็กๆ และกลิ่นน้ำหอมจางๆ เหมือนเดิม
“ขอโทษนะที่ทำให้นายเด่นขึ้นโดยไม่ถามก่อน”
เขานั่งลงข้างๆ และพูดต่อเสียงเบา
“ฉันแค่…ไม่ชอบซ่อนว่ารู้จักใคร หรือว่าสนิทกับใครแล้วต้องทำเหมือนไม่มีอะไร”
“แต่เราไม่เหมือนกันไง” ผมพูดในที่สุด
“ฉันไม่ชินกับสายตาคนอื่น ไม่ชินกับการตกเป็นเป้าสนใจแบบนั้น…”
คิรินมองผมนิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น ต่อไปฉันจะไม่ทำให้นายลำบากใจอีก”
เขาพูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะ
ก่อนจะหยิบกรอบรูปขนาดเล็กมายื่นให้ผมดู
“นี่พ่อฉันเอง”
ผมรับมาก่อนจะชะงัก
ชายในภาพหน้าตาเคร่งขรึม สวมสูทเข้ม มีลายเซ็นกำกับชื่อที่คุ้นๆ …
“…นักการเมือง?”
“ใช่” คิรินพยักหน้า
“บ้านฉันไม่ได้ชอบให้ฉันเปิดเผยอะไรมากเกี่ยวกับตัวเอง แต่ฉันเบื่อจะหลบซ่อนแล้ว”
“แล้วนายถึงย้ายมาอยู่หอคนเดียว?”
“ใช่ พ่อแม่ฉันคิดว่าฉันมาฝึกความรับผิดชอบ แต่จริงๆ ฉันแค่อยากมีอิสระบ้าง”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วมองผมตรงๆ
“และ…เจอนาย มันก็ดีแล้วล่ะ”
หัวใจผมเต้นแรงอีกครั้งโดยไม่มีคำเตือน
ผมรีบเบือนหน้าหนี มองกรอบรูปในมือเหมือนมันคือเรื่องสำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด
เสียงแจ้งเตือนในมือถือดังขึ้น
เตย:
“แก มีคนลงรูปแกกับคิรินในแอคแฟนคลับแล้วนะ!!!”
“แคปชั่นว่า #เจ้าชายกับเด็กข้างห้อง เธอจะดังแล้ววววววว!”
ผมกุมขมับ
แล้วหันไปมองคิรินที่นั่งทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆ
…ชีวิตเงียบๆ ของผม
คงไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้วล่ะ
วันจันทร์เช้า โรงเรียนกลับมาคึกคักตามปกติ
แต่ไม่ใช่สำหรับผม…
ตั้งแต่ข่าวลือเรื่อง “เด็กข้างห้องของคิริน” เริ่มแพร่กระจาย
สายตาที่จับจ้องมาก็ยังไม่ลดลงเลยสักนิด
มีทั้งแบบอยากรู้อยากเห็น แบบอิจฉา และบางคนก็ไม่ปิดบังความรำคาญด้วยซ้ำ
ผมนั่งกินข้าวเที่ยงกับเตยตามปกติ แต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆ
โดยเฉพาะตอนที่หันไปเห็น “มุก” เด็ก ม.6 สวยดังของโรงเรียน
ยืนคุยกับคิรินอยู่ใต้ต้นไม้ตรงสนามหญ้า
เธอส่งยิ้ม หัวเราะน้อยๆ แตะไหล่เขาเบาๆ
ส่วนเขาก็…ยิ้มกลับ
นั่นมันไม่ใช่เรื่องของผมหรอก
แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกหน่วงๆ ในอก
เย็นวันนั้น ผมกลับหอพร้อมความคิดวนเวียน
แต่พอเดินถึงชั้นสาม ปรากฏว่า…คิรินยืนรออยู่หน้าห้องผม
“รอผมเหรอ?”
“อือ” เขาพยักหน้า “วันนี้กลับช้ากว่าปกตินี่นา”
“แวะห้องสมุดมาน่ะ” ผมตอบ พลางไขกุญแจห้อง
“ฉันมีอะไรจะให้ดูหน่อย” คิรินพูดพลางเดินตามเข้ามา
เขาวางกระเป๋าลง แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดแอปรูป
“มุก…” เขาพูดชื่อเธอ ขณะที่ผมหยุดหายใจนิดๆ
“เธอสารภาพรักกับฉันวันนี้”
“แล้ว…นายตอบว่าไง?” ผมถามเสียงเบา ไม่กล้ามองตาเขา
“บอกปฏิเสธไปแล้ว”
ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆ
คิรินจ้องหน้าผม แล้วพูดต่อเสียงนิ่ง
“ฉันไม่ชอบเธอแบบนั้น แล้วก็ไม่คิดจะคบกับใครเร็วๆ นี้ด้วย”
“…อืม ดีแล้วล่ะ” ผมตอบแค่นั้น แต่ไม่กล้าพูดมากกว่านี้
เพราะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงโล่งใจขนาดนี้
คืนนั้น คิรินยังไม่กลับห้อง
เรานั่งดูซีรีส์อนิเมะตอนเดียวจบด้วยกันบนโซฟาในห้องผม
เขานั่งข้างๆ ใกล้เกินไปอีกแล้ว จนแขนแทบแตะกันตลอด
ตอนช่วงท้ายเรื่อง มีฉากพระเอกสารภาพรัก
ผมหันไปมองจอแบบนิ่งๆ แต่รู้สึกถึงสายตาของคิรินมองมาข้างๆ
“มีน” เขาเรียกเบาๆ
“หือ?”
“นาย…เคยชอบใครรึยัง?”
คำถามนี้ ทำให้ใจผมสะดุดไปเสี้ยววินาที
ผมนิ่งไป ก่อนจะตอบ
“ไม่แน่ใจว่าที่รู้สึก มันเรียกว่าชอบได้รึเปล่า”
“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“…”
ผมไม่ตอบคำถามนั้น เพราะผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
แต่คิรินกลับพูดต่อเสียงเบา
“ถ้าเข้าใจเมื่อไหร่…บอกฉันได้นะ”
ผมหันไปสบตาเขาในความมืดสลัวของห้อง
และนั่นเป็นครั้งแรก ที่ผมรู้ว่า…สายตาเขาไม่เคยเล่นๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
.
.
.
.
หลังจากวันนั้น…
ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อเหมือนปกติ
แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับไม่เหมือนเดิม
ผมกับคิรินไม่ได้ดูอนิเมะด้วยกันอีก
เขาไม่ได้แวะมานั่งกินข้าวในห้องผมเหมือนเคย
และผม…ก็ไม่ได้เดินไปโรงเรียนพร้อมเขาอีก
ไม่ใช่เพราะทะเลาะกัน
ไม่ใช่เพราะพูดอะไรผิด
แต่เพราะคิริน…เริ่มหายไป
วันอังคาร เขาไม่กลับหอจนดึก
ผมได้ยินเสียงเปิดประตูตอนเกือบห้าทุ่ม
แอบเงี่ยหูฟังอยู่หลังบานไม้
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดประตูออกไปถาม
วันพุธ เขาหายไปทั้งวันอีก
จนกระทั่งวันพฤหัส เตยก็เอาข่าวใหม่มาบอก
“มีน…แกเห็นคิรินกับมุกไหม?”
“เห็นอะไร?”
“เมื่อวานทั้งสองคนไปงานนิทรรศการด้วยกันนะ แถมเหมือนจะกลับด้วยกันด้วย”
ผมใจสั่นนิดหน่อย
แต่ก็ฝืนยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไร
คืนนั้น ผมทำข้าวกล่องเหมือนเคย
แต่สุดท้ายก็นั่งกินอยู่คนเดียวเงียบๆ ในห้องมืด
ผมไม่แน่ใจว่า…กำลังรู้สึกอะไร
ผิดหวัง? น้อยใจ? หรือแค่สับสน
มือถือสั่นเบาๆ
คิริน:
“ขอโทษที่หายไปหลายวัน พรุ่งนี้ว่างนะ นายอยู่มั้ย”
ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำไปมาหลายรอบ
ก่อนจะพิมพ์ตอบไปว่า
“ว่าง”
แต่ไม่รู้เลยว่า…หัวใจตัวเองรู้สึก “ว่าง” กว่าคำตอบในแชทซะอีก
วันศุกร์ เขามาจริง
กลับมาตอนหัวค่ำแบบที่เคยเป็น
ผมเปิดประตูห้องก่อนเขาจะเคาะ
เขายืนอยู่ตรงนั้น ในมือมีขนมปังปิ้งห่อกระดาษ
รอยยิ้มดูเหนื่อยกว่าเดิมเล็กน้อย
“ขอโทษนะ ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อย”
ผมพยักหน้า ไม่ถามว่าทำอะไร หรือไปกับใคร
เรานั่งกินเงียบๆ บนโต๊ะเล็กๆ ที่เคยหัวเราะกันบ่อยๆ
เขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“ฉันไม่ได้ชอบมุกนะ”
“…อือ”
“แต่บางที…ฉันอาจจะทำให้เธอเข้าใจผิด โดยไม่ตั้งใจ”
“…อือ”
“แล้วนายล่ะ?” เขาหันมามองผม
“ช่วงนี้หลบหน้าฉันเหรอ?”
“เปล่า”
ผมตอบทันที ทั้งที่รู้ว่าโกหก
เขาจ้องตาผมนิ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“นายไม่จำเป็นต้องปิดบังฉันหรอกนะมีน”
เขาพูดช้าๆ แล้ววางมือบนโต๊ะใกล้มือผม
“ไม่ว่าความรู้สึกของนายจะเป็นอะไร…ฉันยอมรับมันได้เสมอ”
ผมนิ่งไปนานมาก
ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว
“…งั้นตอนนี้ฉันไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงน่ะ”
“ก็ดีแล้ว” เขายิ้มเบาๆ
“เพราะฉันรู้สึกแน่ๆ แล้วล่ะ”
หัวใจผมหยุดเต้นไปชั่วขณะ
แต่เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ
แค่ลุกขึ้น หยิบกระเป๋า แล้วพูดคำสุดท้ายก่อนจะเปิดประตูห้อง
“แล้วฉันจะรอวันที่นายรู้คำตอบของตัวเองนะ”
ปัง—
เสียงประตูปิดลงอย่างนุ่มนวล
ทิ้งให้ผมนั่งอยู่กับความเงียบ
กับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง
.
.
.
.
วันจันทร์เช้า
ผมเดินเข้าห้องเรียนตามปกติ แต่บรรยากาศไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
“เฮ้ยมีน! แกลืมเหรอว่าวันนี้ไปทัศนศึกษานอกโรงเรียน!” เตยวิ่งเข้ามาสะกิด
ผมกระพริบตาปริบๆ มองใบงานที่ครูแจกเมื่อต้นเดือน
…จริงด้วย วันนี้พวกเราจะไป “พิพิธภัณฑ์ศิลปะกลางแจ้ง” ทั้งระดับชั้น
ผมถอนหายใจเบาๆ
คิดว่าจะเป็นวันที่ได้อยู่เงียบๆ ซะอีก
รถบัสจอดเรียงหน้าตึก
ผมนั่งคู่กับเตยเหมือนทุกครั้ง แต่ก่อนรถจะออก เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นข้างหลัง
“มีน ขอนั่งด้วยได้ไหม?”
คิริน…
เตยยิ้มกว้างแล้วลุกทันที
“โอ้ยฉันไปนั่งกับเพื่อนอีกกลุ่มก็ได้ ฝากดูแลมีนด้วยนะคิริน!”
พูดจบเธอก็เผ่นไปทันที ปล่อยผมไว้กับสายตาทั้งรถที่เริ่มมองมาอีกแล้ว
คิรินนั่งลงข้างๆ
แต่ไม่ได้พูดอะไร
แค่นั่งนิ่งๆ ข้างกัน ตลอดทางหนึ่งชั่วโมง
พิพิธภัณฑ์ศิลปะกลางแจ้งคือสถานที่โล่งกว้าง
มีทั้งประติมากรรมสูงใหญ่ กระจกสะท้อน เงาสะท้อนแสง
คนในกลุ่มทยอยถ่ายรูปเป็นกลุ่มๆ
ส่วนผมกับคิริน…เดินแยกออกมาเงียบๆ เหมือนอยู่ในโลกอีกใบ
“รู้ไหม” คิรินพูดขณะเดินผ่านรูปปั้นรูปร่างแปลกตา
“ฉันเคยมาแล้วตอนเด็กๆ แต่ไม่รู้สึกอะไรเลย ตอนนั้นมันเงียบเกินไป”
ผมพยักหน้ารับเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร
“แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป”
เขาหยุดเดิน แล้วหันมามองผม
“เพราะฉันไม่ได้มา ‘คนเดียว’ ”
หัวใจผมเต้นแรงแบบไม่รู้ตัว
ผมเบือนหน้าหนีมองต้นไม้ริมทางแทน
“นาย…เคยรู้สึกไหม ว่าการอยู่กับใครบางคนแล้วโลกมันไม่เหมือนเดิม”
ผมกลืนน้ำลาย
แล้วตอบออกไปช้าๆ
“…กำลังรู้สึกอยู่นี่แหละ”
คิรินยิ้ม
ครั้งนี้ไม่ใช่รอยยิ้มของเจ้าชายผู้เยือกเย็น
แต่มันเหมือนเด็กคนหนึ่งที่โล่งใจมากๆ
ช่วงบ่าย นักเรียนทุกคนรวมกลุ่มถ่ายภาพหน้ากระจกเงาขนาดใหญ่ที่สะท้อนฟ้า
ครูปล่อยอิสระให้เดินเล่นก่อนกลับ
แต่เพราะบางจุดเป็นเขาวงกตกระจก นักเรียนบางคนเลยหลงทาง
รวมถึง…ผม
“มีน! อยู่นั่นไหม!?”
เสียงคิรินดังมาจากอีกฝั่ง
ผมรีบขานรับ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาใกล้ๆ
พรึ่บ!
คิรินโผล่มาตรงหน้ากระจก ก่อนจะยื่นมือมาดึงผมออกจากมุมเล็กๆ ที่เดินวนอยู่นาน
“หายไปไหนน่ะ ฉันนึกว่านายเป็นอะไรแล้ว…” เขาพูดเสียงหอบ
มือยังจับแขนผมแน่น
ผมรู้สึกถึงไออุ่นจากมือเขา
และจู่ๆ ความกลัวก็แทรกเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เมื่อกี้…ฉันกลัวมากเลยนะ”
เสียงผมสั่นเบาๆ
ไม่ใช่เพราะหลงทาง แต่เพราะคิดว่าคิรินจะไม่หา…
คิรินมองหน้าผม ก่อนจะพูดช้าๆ
“ฉันบอกแล้ว ว่าจะไม่ทิ้งนายไว้คนเดียว”
แล้วมือที่จับแขนผมก็เปลี่ยนเป็น “กุมมือ” แทน
ไม่แรง ไม่อ่อน แต่มั่นคง
“งั้นก็…อย่าทำให้ฉันกลัวแบบนั้นอีกนะ”
เขายิ้มเบาๆ แล้วพยักหน้า
“สัญญา”
ตอนขากลับบนรถ
ผมนั่งข้างเขาเหมือนตอนขามา แต่คราวนี้ไม่มีกระแสอึดอัด
เขาเอนหัวพิงหน้าต่าง หลับตาลงช้าๆ
ขณะที่มือเขายัง “กุมมือ” ผมเอาไว้ตลอดทาง
และเป็นครั้งแรก…
ที่ผมไม่คิดจะดึงมือกลับเลย
.
.
.
.
ตั้งแต่วันทัศนศึกษากลับมา
ผมรู้สึกเหมือนโลกของผม…กำลังเปลี่ยนไปทีละนิด
ผมกับคิรินกลับมาคุยกันทุกวัน
เขายังแวะมานั่งเล่นในห้องผมเสมอ บางวันก็นั่งทำการบ้านเงียบๆ ด้วยกัน
บางคืน…ก็นั่งฟังเพลงผ่านลำโพงเล็กๆ แล้วก็เงียบแค่สองคน
แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ—
ผมไม่รู้สึก “อึดอัด” เหมือนแต่ก่อน
กลับกัน…การมีเขาอยู่ข้างๆ กลายเป็นความสบายใจแบบที่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน
วันอังคารหลังเลิกเรียน
ผมเดินผ่านโรงยิมและบังเอิญได้ยินเสียงของคนคุ้นเคย
“เฮ้ย คิริน นายกับมีนเนี่ย…แฟนกันเปล่าวะ?”
ผมชะงักอยู่ข้างผนัง ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากในนั้น
เป็นเสียงคิริน
“ยังไม่ใช่หรอก”
“หืม? ยังไม่เหรอ? หรือว่านาย…ชอบเขาจริงๆ?”
“อืม” คำตอบที่ตามมาสั้นและแน่นมาก
“ฉันชอบมีนจริงๆ”
หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาทันที
เหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
ผมรีบเดินเลี่ยงออกมาก่อนที่เขาจะรู้ว่าผมได้ยิน
ทั้งใบหน้าร้อนวูบ หูแดงไปถึงต้นคอ
และหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
คิริน…
ชอบผม?
ผมย้ำคำนั้นในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันไม่ใช่เรื่องแปลก…ถ้าเป็นคนอื่นพูด
แต่นี่คือ “เขา”
คิรินที่ทุกคนมองว่าเพียบพร้อม เยือกเย็น และเข้าถึงยาก
เขาชอบผมจริงๆ เหรอ?
แล้ว…ผมล่ะ
รู้สึกกับเขายังไงกันแน่?
คืนนั้น ผมเปิดมือถือขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
ไปเจอรูปที่ถ่ายด้วยกันตอนทัศนศึกษา
ตอนที่เขายืนข้างๆ ยิ้มให้กล้อง มือผมยังถูกเขาจับไว้ไม่ปล่อย
ผมมองรูปนั้นอยู่นาน
แล้วก็รู้สึกได้ชัดเจนขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
“…ชอบเหรอ?” ผมพึมพำเบาๆ
มันไม่ใช่แค่ความสบายใจ
ไม่ใช่แค่การอยู่ใกล้กันแล้วไม่อึดอัด
มันมากกว่านั้น…
และอาจมากพอจะเรียกว่า—
ความรู้สึกดีๆ ที่อยากรักษาไว้ให้นานที่สุด
วันพุธ คิรินเดินมาหาผมที่หน้าโรงเรียน
แต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้พูดอะไรก่อน
แค่ยื่นถุงขนมจากร้านที่ผมชอบมากที่สุดให้ แล้วเดินเคียงข้างเหมือนปกติ
ผมรับถุงมาเงียบๆ
ก่อนจะกลั้นหายใจ แล้วพูดออกไป
“ฉันได้ยิน…เรื่องที่นายพูดกับเพื่อนเมื่อวาน”
คิรินชะงักนิดหนึ่ง
แต่หันมามองผมแบบไม่ตกใจเลยสักนิด
“งั้นเหรอ”
“…มันจริงไหม?”
“จริง” เขาตอบทันที
“ฉันชอบนาย”
ไม่มีความลังเล ไม่มีเล่นคำ ไม่มีคำว่า “แค่เพื่อน” มาเบี่ยงเบน
เขาพูดตรงๆ แบบที่เขาเป็นเสมอ
ผมหยุดเดิน แล้วหันไปสบตาเขา
มือผมกำถุงขนมแน่นอย่างไม่รู้ตัว
“งั้น…รออีกนิดได้ไหม”
คิรินยิ้ม
“ฉันรอได้เสมอ ถ้าเป็นนาย”
วันศุกร์เย็น
ฝนตกไม่หนักมาก แต่ก็พอให้ทุกคนรีบกลับหอเร็วกว่าปกติ
ผมวิ่งตากฝนกลับมาถึงหน้าประตู พร้อมเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยวิ่งตามมาข้างหลัง
“มีน! รอด้วยสิ!”
คิริน…
เขาถือร่มสีกรมท่าในมือ แต่ไม่ทันจะกางตอนที่ฝนเริ่มตก
ผลคือทั้งเขาและผมเปียกพอกัน
แต่ไม่รู้ทำไม เรากลับหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“โทษที ไม่คิดว่าจะตกเร็วขนาดนี้” เขาวางกระเป๋าไว้ข้างประตูห้องผม
“จะว่าไป นายมีเสื้อให้ยืมไหม?”
“มี”
ผมเปิดตู้หยิบเสื้อยืดกับผ้าขนหนูส่งให้
เขารับไปด้วยรอยยิ้ม ขอบคุณเบาๆ ก่อนเดินเข้าห้องน้ำ
คืนนั้น
เราไม่ได้ดูหนัง ไม่ได้ฟังเพลง
แค่นั่งอยู่บนพื้นห้อง เล่นเกมบอร์ดที่ผมหยิบจากใต้เตียงมาปัดฝุ่น
คิรินแพ้ตลอด แต่ก็หัวเราะเหมือนเด็ก
มันเป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่
ภาพของ “คิริน” ที่ไม่ต้องเป็นเจ้าชายของใคร
แค่เป็น “คิริน” ข้างๆ ผม
ผมมองมือเขาที่เอื้อมมาวางไว้ใกล้ๆ มือผม
ใจเต้นเร็วขึ้นนิดหน่อย
แต่ครั้งนี้…ผมไม่ได้ดึงหนีเหมือนเคย
คิรินไม่ได้พูดอะไร
แค่ยิ้มเล็กน้อย แล้ววางหน้าผากพิงไหล่ผมเบาๆ
“ขอนั่งแบบนี้สักพักได้ไหม”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
“…อือ”
เรานั่งเงียบอยู่อย่างนั้น
ได้ยินแค่เสียงฝนด้านนอก กับเสียงลมหายใจที่ทับกันเป็นจังหวะ
“ฉันดีใจนะ ที่นายไม่ได้ผลักฉันออกไป”
“ฉันก็…ดีใจที่นายไม่ไปไหน”
“เพราะฉันสัญญาแล้วไง ว่าจะไม่ปล่อยนายไว้คนเดียวอีก”
คืนนั้น ผมไม่ได้รู้สึกเหงาเลย
แม้จะไม่ได้พูดอะไรกันมาก
แต่แค่ไหล่ที่แนบกัน กับหัวใจที่ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป
มันก็เพียงพอแล้ว
วันรุ่งขึ้น
ผมตื่นขึ้นมาพร้อมแสงแดดอุ่นๆ ที่ส่องลอดม่าน
คิรินนอนขดตัวอยู่ข้างๆ บนฟูกเล็กๆ ที่เรากางเพิ่ม
เขายังหลับสนิท ใบหน้าไร้ร่องรอยความกังวลแบบที่ผมไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก
ผมหยิบมือถือขึ้นมา
ตั้งใจจะถ่ายรูปเก็บไว้
แต่จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นมา
แล้วพูดเสียงงัวเงีย
“แอบถ่ายฉันเหรอ…”
ผมสะดุ้งนิดหน่อย แต่ก็หัวเราะออกมา
“จะลบก็ได้ ไม่ต้องทำหน้าดุขนาดนั้นหรอก”
“ไม่ต้องลบหรอก”
เขายิ้มบางๆ ก่อนจะพูดต่อ
“แต่ขอถ่ายรูป ‘เราสองคน’ แทนได้ไหม?”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง
แล้วก็พยักหน้า
คิรินยกมือถือขึ้นมา ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม
มืออีกข้างจับไหล่ผมเอาไว้แน่น
แชะ!
ภาพในจอปรากฏขึ้น
ผมกับเขายิ้มอยู่ในกรอบเดียวกัน
ไม่มีใครหลบ ไม่มีใครหนี
มีแค่ “เรา” ที่อยู่ใกล้กันมากกว่าที่เคย
.
.
.
.
หลังจากเช้าวันนั้น
ที่เราถ่ายรูปคู่กันครั้งแรก
ผมก็รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวมัน…ชัดเจนขึ้นอย่างแปลกประหลาด
ผมเริ่มยิ้มคนเดียวเวลาอ่านข้อความจากเขา
เริ่มฟังเพลงช้าๆ เพราะคิรินเคยเปิด
เริ่มวางโทรศัพท์รอ…ว่าเขาจะทักมาไหม
และเริ่มถามตัวเอง…ซ้ำๆ ว่า
เราสองคนเป็นอะไรกันแน่?
เย็นวันหนึ่งในสัปดาห์ถัดมา
ผมนั่งอยู่บนดาดฟ้าของหอ
ที่นี่เงียบและลมดี มักจะไม่มีใครขึ้นมา
จนกระทั่ง…เสียงฝีเท้าคุ้นเคยดังขึ้นตามหลัง
“ทำไมไม่บอกว่าจะมานั่งตรงนี้” คิรินถาม ขณะเดินมานั่งลงข้างๆ
“แค่…อยากอยู่เงียบๆ สักพัก”
ผมตอบตามตรง
“งั้นฉันขออยู่เงียบๆ ด้วยได้ไหม”
“…อือ”
เราเงียบอยู่สักพัก
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม
แสงแดดทอดลงบนใบหน้าของเขา ทำให้ผมเผลอมองนานเกินไปหน่อย
แล้วคิรินก็หันมามองกลับ
สายตานั้นไม่ได้เฉยชาเหมือนวันแรกที่รู้จักกัน
แต่มันเต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง…ที่ไม่ต้องใช้คำพูดอธิบาย
“มีน”
เขาเรียกชื่อผมเบาๆ
“หืม?”
“นายเคยอยากรู้ไหม…ว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกัน?”
หัวใจผมกระตุกวูบ
คำถามนี้เอง—ที่ผมคิดวนไปวนมาอยู่หลายวัน
“…เคย”
ผมก้มหน้าลง มองฝ่ามือตัวเอง
แล้วพูดต่อในเสียงแผ่ว
“เคยอยากรู้มากๆ ด้วยซ้ำ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ…ยังอยากรู้ไหม”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา
“อยากรู้…แต่ก็กลัว”
“กลัว?”
“กลัวว่า…ถ้ารู้คำตอบแล้ว มันจะไม่เหมือนเดิมอีก”
คิรินยิ้ม
ยิ้มแบบที่ดูทั้งอ่อนโยนและแน่วแน่ในเวลาเดียวกัน
“ฉันจะทำให้นายไม่ต้องกลัวอะไรอีกเลย”
ว่าแล้วเขาก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
มันเป็นกล่องเล็กๆ ที่ผมจำได้ว่าเป็นกล่องใส่พวงกุญแจ
เขาเปิดมันออก
ข้างในมีพวงกุญแจคู่สองอัน
เป็นรูปเมฆกับพระอาทิตย์
หนึ่งในนั้นมีชื่อผมสลักเล็กๆ ตรงมุม อีกอันมีชื่อเขา
“ฉันซื้อไว้ตั้งแต่วันทัศนศึกษา…แต่เพิ่งมีโอกาสให้”
ผมเบิกตากว้าง ก่อนจะหลุดขำ
“พวงกุญแจคู่เลยเหรอ? โรแมนติกเกินไปรึเปล่า”
“นายเคยบอกว่าชอบของเรียบๆ ใช่ไหม”
เขายื่นอันที่มีชื่อผมให้
“งั้นอันนี้ก็เรียบ แต่ไม่ธรรมดา”
ผมหยิบมันขึ้นมาดู
มันเรียบง่ายจริงๆ
แต่ทำไมถึงรู้สึกพิเศษขนาดนี้นะ…
หลังจากนั้น เรานั่งมองฟ้าอยู่ข้างกันเงียบๆ
ไม่จำเป็นต้องพูดคำว่า “ชอบ” ซ้ำๆ
เพราะแค่การมีอยู่ของกันและกัน
มันก็เหมือนคำตอบชัดเจนอยู่แล้ว
ตอนลุกขึ้นจะกลับหอ
คิรินพูดขึ้นเบาๆ
“มีน”
“หืม?”
“งั้นต่อจากนี้…ขอเรียกเราว่า ‘คนสำคัญของกันและกัน’ ได้ไหม”
ผมยิ้ม
ก่อนจะพยักหน้า
“อือ…ฟังดูดีนะ”
.
.
.
.
เช้าวันจันทร์
ห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเรื่องสอบกลางภาคที่กำลังจะมา
ผมเดินเข้ามานั่งประจำที่ตามปกติ แต่กลับรู้สึกได้ถึงสายตา…จากหลายทิศทาง
“มี๊น\~”
เสียงของแนต เพื่อนผู้หญิงห้องข้างๆ ทักพร้อมรอยยิ้มล้อๆ
เธอเดินเข้ามานั่งตรงหน้าโต๊ะผม เอาคางเท้ากับแขน
“เมื่อวานไปไหนมาเหรอคะ\~? เห็นเดินกับพี่คิรินตรงหน้าหอด้วยกันด้วยน้า\~”
ผมชะงัก
“อะ…อ๋อ ก็เดินกลับหอน่ะ ไม่ได้มีอะไรหรอก”
“แหมๆ ทำเป็นพูดเรียบ” แนตหัวเราะ “แต่สายตานายตอนมองเขานี่มันไม่ปกติแล้วนะ เพื่อนผู้หญิงแถวหอนักกีฬาคุยกันเต็มเลยอะ”
ผมรีบหลบตาแล้วหันไปทางหน้าต่าง
หัวใจเต้นแรงโดยไม่รู้ว่าเป็นความตกใจหรือ…เขิน
พักกลางวัน
คิรินมาหาที่โต๊ะเหมือนเคย
แต่คราวนี้เขายื่นกล่องข้าวจากโรงอาหารมาให้
“อันนี้ซื้อไว้ให้นาย ไม่เอาผักเลยนะ”
“ขอบใจ” ผมรับมาเงียบๆ
พอเงยหน้าขึ้นอีกที ก็เห็นเพื่อนๆ กลุ่มผมนั่งอมยิ้มกันเป็นแถว
บางคนแกล้งไอ บางคนกระแอม บางคนก็แอบยกมือถือขึ้นมาเหมือนจะถ่ายภาพ
ผมหันไปมองคิริน เขาแค่ยิ้มเฉยๆ เหมือนไม่สะทกสะท้าน
“ไม่ต้องแคร์พวกนั้นหรอก” เขาว่าเบาๆ
“แค่เรารู้ว่าเรารู้สึกยังไงก็พอแล้ว”
ผมพยักหน้าเบาๆ
ก่อนจะพูดออกมาแบบกล้าๆ กลัวๆ
“งั้น…วันนี้เลิกเรียนไปอ่านหนังสือที่ห้องฉันไหมล่ะ”
“ไปสิ” เขายิ้ม “ฉันตั้งใจจะรอคำนั้นจากนายอยู่แล้ว”
ตอนเย็นในห้องของผม
เราเปิดชีทเรียน วางสมุดลงตรงกลางโต๊ะ
แต่เอาเข้าจริง…อ่านไปได้ไม่ถึงสิบหน้า ผมก็เริ่มเหม่อ
เพราะเสียงของคิรินเวลาที่อ่านโจทย์เบาๆ ข้างหูนั่นแหละ
“มีน”
“หือ?”
“นายไม่ได้อ่านเลยใช่ไหม”
ผมหน้าแดง
พยายามกลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะแห้งๆ
“ก็…เสียงนายมันกล่อมดีอะ”
คิรินหัวเราะ
แล้วก็พูดขึ้นเสียงเบากว่าเดิมอีก
“งั้นถ้านายเผลอหลับ ฉันจะหอมแก้มลงโทษแล้วกัน”
“เฮ้ย!!”
ผมแทบจะกลิ้งหลบจากที่นั่ง
เขาหัวเราะเสียงดังขึ้น ก่อนจะยื่นมือมาดึงแขนผมกลับมาเบาๆ
“ล้อเล่นน่า…แต่ถ้าขอจริงๆ นายจะให้ไหมล่ะ”
คำถามที่ฟังดูเล่นๆ กลับทำให้ผมเงียบไปชั่ววินาที
ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาโดยไม่สบตา
“…ถ้าแค่หอม ก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
คิรินนิ่งไป
แล้วก็ยิ้ม
ยิ้มแบบที่ตาหยีจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปาก
“นายใจร้ายว่ะ”
“หืม?”
“พูดแบบนั้น…แต่ไม่ให้ทำจริงอะ”
ผมหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะที่ผมไม่รู้เลยว่ามีความสุขแค่ไหน
แต่รู้แค่ว่า—
ตอนนี้ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้วจริงๆ
.
.
.
.
เย็นวันพฤหัสฯ
หลังจากเลิกคลาสเรียนพิเศษ คิรินนัดผมไปหาอะไรกินที่ร้านข้าวแกงหน้ามอ
ร้านนั้นคนไม่เยอะมาก บรรยากาศง่ายๆ แต่สบายใจ
เรานั่งโต๊ะมุมในสุด เหมือนทุกครั้ง
ระหว่างรอข้าว ผมเห็นสายตาคู่หนึ่งมองมาไม่วาง
เป็นกลุ่มผู้ชายสามคน ที่นั่งอยู่โต๊ะติดกัน
หนึ่งในนั้นคือรุ่นพี่สาขาเดียวกันที่เคยเล่นบอลกับคิริน
“เดี๋ยวนี้สนิทกันจังเลยนะพวกนาย” เสียงหนึ่งดังขึ้น
ท่าทางเหมือนไม่ได้ถามด้วยความสงสัย แต่แฝงอะไรบางอย่างไว้ชัดเจน
“ใช่ สนิทมาก” คิรินตอบเรียบๆ
ผมเริ่มรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย แต่ก็พยายามเก็บสีหน้า
อีกคนหันมามองผม ก่อนจะยิ้มเอียงๆ
“ระวังหน่อยนะ คนจะคิดว่าเป็นคู่รักกันเข้า”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังจากโต๊ะนั้น
ไม่ดังมาก แต่พอให้รู้ว่า…มันไม่ใช่แค่ล้อเล่นธรรมดา
ผมกำตะเกียบแน่น
ไม่ใช่เพราะโกรธพวกเขา
แต่เพราะผมไม่รู้จะรับมือยังไงกับสายตาแบบนั้น
ระหว่างทางเดินกลับหอ
ผมเงียบ
คิรินเดินข้างๆ ไม่พูดอะไรเหมือนกัน
จนกระทั่งเรามาหยุดที่หน้าห้องของผม
“โกรธเหรอ?” เขาถาม
“เปล่า” ผมตอบทันที
แต่เสียงมันเบาจนดูโกหกชัดๆ
“มีน…”
ผมนิ่ง
ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ โดยไม่หันไปมองหน้าเขา
“นายไม่อายเหรอ ที่คนอื่นคิดว่าเราคบกัน”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง
ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าทุกครั้ง
“ไม่เลย”
“แต่พวกเขาหัวเราะกัน…พูดเหมือนเราผิดปกติ”
“แล้วนายคิดว่าเราผิดปกติเหรอ?”
“…ไม่”
“งั้นก็ไม่ต้องแคร์คำคนอื่น”
เขาขยับเข้ามาใกล้ผม
“ฉันรู้ว่าคำพูดบางคำมันทำให้รู้สึกเจ็บ แต่เชื่อเถอะ…คำพูดจากคนที่ไม่เข้าใจ ไม่เคยมีค่าพอจะเปลี่ยนสิ่งที่เรารู้สึก”
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา
เห็นแววตาที่แน่วแน่ ไม่มีลังเล ไม่มีสั่นคลอน
“…นายเข้มแข็งจัง”
“เปล่าเลย” เขาส่ายหน้าเบาๆ
“แค่พอมีนายอยู่ข้างๆ ฉันก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแล้ว”
คำพูดนั้น
ทำให้หัวใจผมเหมือนโดนดึงกลับเข้าที่
จากที่เคยหล่นวูบเมื่อครู่ กลับมาเต้นแรง…แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
คืนนั้น
ผมนั่งมองพวงกุญแจ “พระอาทิตย์-เมฆ” ที่แขวนไว้บนกระเป๋า
แล้วเปิดแชทขึ้นมาพิมพ์อะไรบางอย่างถึงคิริน
มีน:
ถ้าวันหนึ่งคนทั้งโลกไม่เข้าใจเรา
แต่นายยังจับมือฉันอยู่ ฉันก็โอเค
คิริน:
ฉันจะจับมือ…
แล้วไม่ปล่อยจนกว่านายจะเป็นคนปล่อยเอง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!