“เจ้าน่ะสิ...ต้วนซิ่ว”
“ข้าไม่ใช่ต้วนซิ่ว
เจ้าต่างหากที่เป็นหมัวจิ้ง[1]ดูจากการแต่งตัวก็รู้แล้ว”
“พอเถอะเพคะ
องค์ชายสี่”
“ท่านหญิง...ทำร้ายร่างกายองค์ชายมีโทษหนักนะขอรับ”
เสียงทะเลาะวิวาท
เสียงต่อสู้ที่ฝ่ายหนึ่งกางเล็บข่วนหน้า อีกฝ่ายเอามือปัดป้องพัลวัน ผสมกับเสียงร้องห้ามปรามอย่างเสียขวัญของเหล่านางกำนัลขันทีดังอึ้งอลอยู่ภายในอุทยานหลวง
ไม่ว่านางกำนัลกับขันทีจะพยายามดึงตัวเด็กทั้งสองออกจากกันด้วยเรี่ยวแรงมากมายขนาดไหน
แต่กับคาดไม่ถึงว่าเด็กวัยสิบขวบกับสิบสองขวบจะมีเรี่ยวแรงมากราวช้างสารถึงขนาดผลักพวกเขาล้มกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง
แล้วพวกเขาก็ทะเลาะวิวาทกันต่อด้วยเล็บ หมัด ศอก เข่า
ขณะที่การวิวาทยังดำเนินต่อไป
ก็มีเสียงฝีเท้ามากมายมุ่งตรงมายังอุทยานหลวง
นางกำนัลสองคนที่พยายามห้ามปรามท่านหญิงได้ยินเสียงฝีเท้าเหล่านี้ก็ถึงกับเหงื่อตกเช่นเดียวกับขันทีที่ดูแลรับใช้องค์ชายสี่
เพราะตระหนักดีว่ายามเว่ย[2]ซึ่งเป็นเวลาหลังจากเลิกว่าราชกิจในท้องพระโรงของจู่หวงตี้
พระองค์มักจะเสด็จมาเที่ยวชมอุทยานหลวงเป็นประจำพร้อมกับหวงโฮ่วและเหล่าบริวารเพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย
“คุณหนู...ฝ่าบาทกำลังเสด็จมา
หยุดมือเถิดเจ้าค่ะ” บ่าวคนสนิทที่แต่งกายด้วยชุดสะอาดสะอ้าน เกล้ามวยคู่รีบร้องห้ามปรามเสียงหลง
ผิดกับ ‘คุณหนู’ ที่แต่งกายเป็นชาย
เกล้ามวยของเด็กชายไม่ฟังอีร้าคาอีรม พยายามจะข่วนหน้าสีเข้มของฝ่ายคู่กรณีที่กัดกันมาตั้งแต่เกิดหวังให้ได้แผลกลับไปเพื่อความสะใจที่ถูกล้อว่าเป็นหมัวจิ้ง
‘ทำไม...เป็นผู้หญิง แล้วจะแต่งตัวเป็นบุรุษไม่ได้หรือไง ข้าเป็นหลานใคร
เจ้ารู้หรือไม่!!!’
ในใจของ ‘คุณหนู’ คิดเช่นนี้
แต่อีกฝ่าย...
‘เด็กบ้า...มีสตรีดีๆคนใดบ้างกล้าลงไม้ลงมือตบตีบุรุษ ข้าเป็นโอรสของใคร
เจ้ามิรู้หรือ!!!’
เสียงทะเลาะวิวาทดังไปถึงพระกรรณของหวงตี้ที่กำลังเดินสนทนากับหญิงชราซึ่งการแต่งกายของนางบ่งบอกถึงความสูงส่ง
เต็มเปี่ยมไปด้วยบารมี น่ายำเกรง
พระองค์กับหญิงชราผู้นั้นรีบพากันเดินไปหยุดยืนหน้าลานกว้างซึ่งเป็นลานปลูกต้นจินจวี๋[3]เหลืองอร่าม
“จวี๋เอ๋อร์!” องค์หญิงใหญ่หรือหญิงชราถึงกับอุทานหน้าเสีย
เมื่อเห็นหน้าผากของหลานสาวที่รักดั่งดวงใจบวมปูด ตาเขียว เสียงร้องห้ามทำให้มือน้อยๆที่เพิ่งตวัดเล็บทั้งห้าข่วนหน้าคู่อริเป็นผลสำเร็จถึงกับชะงักงัน
หันมามองนางตาโต ก่อนจะเนื้อตัวสั่นระริก รีบคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้างุด
ขณะเดียวกัน...
“เสียเอ๋อร์!” เสียงของหวงตี้ประดุจเสียงของคนใกล้หมดลมหายใจ มันทั้งแหบทั้งแห้ง พอเห็นใบหน้าของพระโอรสที่มีรอยเล็บข่วนเป็นทางยาวตั้งแต่หน้าผากจรดปลายคาง
เลือดไหลซิบๆ แทนที่จะโกรธเจ้าของเล็บมือ หวงตี้กลับรู้สึกสะท้อนใจ หากหวงโฮ่วรู้ว่าพระโอรสองค์นี้แม้แต่สตรีตัวเล็กจ้อยยังสู้ไม่ได้
เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
จู่หวงตี้เป็นกษัตริย์ที่ภาคภูมิใจในพละกำลังความสามารถและสติปัญญาของตนเอง
จนถึงขั้นหลงตน หากมิใช่เพราะวัยหนุ่มเขารับพระบัญชาจากอดีตหวงตี้ให้ไปปราบปรามกบฏตามหัวเมืองน้อยใหญ่
โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่ที่มีราชบุตรเขยเป็นแม่ทัพใหญ่
สร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงมากกว่าองค์รัชทายาทที่เป็นคนรักในดนตรี
กลัวการหลั่งเลือดและการต่อสู้ออกรบ นิยมที่จะอยู่แต่ในตำหนักบูรพา ดีดฉินเอาอกเอาใจเหล่าสนมนางใน
นานๆครั้งจะช่วยอดีตหวงตี้ว่าราชกิจ เขาก็คงไม่มีวันได้นั่งบัลลังก์มังกร
‘เสียเอ๋อร์’ ได้ยินเสียงร้องเรียกของบิดาก็หมุนตัวกลับมามองด้วยนัยน์ตาโตเท่าไข่ห่าน
ก่อนจะทรุดลงคุกเข่า ก้มหน้างุดเช่นกัน
“จวี๋เอ๋อร์...จวี๋เอ๋อร์...เจ้าทำร้ายองค์ชายรู้ไหมว่ามีโทษสถานใด”
องค์หญิงใหญ่ตรัสถามเสียงสั่น ก่อนจะถลกชายกระโปรง
เดินไปดึงใบหูขาวนิ่มของหลานสาวจนนางต้องแหงนหน้าสูดปากคราง ลุกขึ้นยืนตามแรงดึง
หาไม่...หูคงขาด
“โอ๊ย...เจ็บ
เจ็บ เสด็จย่า หลานเจ็บเจ้าค่ะ” เด็กหญิงพยายามดึงมือข้างนั้นออกจากหูตัวเอง
“เจ็บสิดี...จะได้เลิกรังแกองค์ชายสี่เสียที”
ได้ยินผู้เป็นย่าเข้าข้างศัตรู
แทนที่จะน้ำตาร่วงเผาะด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ‘จวี๋เอ๋อร์’ กลับเบะปาก เค้นเสียงพูดออกมาจากลำคอว่า
“ข้าน่ะหรือรังแกองค์ชายสี่
เขาต่างหากที่รังแกข้า...เขากล่าวหาว่าข้าเป็นหมัวจิ้ง...เสด็จย่า
ตอนเสด็จย่ายังทรงพระเยาว์ ใช่ว่าท่านมิเคยแต่งกายเป็นชายออกขี่ม้าเที่ยวเล่นกับท่านปู่หรอกหรือ”
“เสียเอ๋อร์...เจ้าใส่ร้ายน้องว่าเป็นหมัวจิ้งจริงหรือ?”
คราวนี้เป็นอีกฝ่ายที่ถูกจู่หวงตี้ตวาดถามเสียงกร้าว
องค์ชายสี่เงยหน้าลายๆมองบิดาด้วยสายตาละอาย
เอ่ยติดๆขัดๆว่า
“จะ...จริงพะยะค่ะ...ตะ...แต่ลูกก็แค่ล้อนางเล่น
มะ...ไม่คิดว่านางจะเป็นเด็กที่ป่าเถื่อนถึง...”
“หุบปาก!” หวงตี้ตวาด ‘เสียเอ๋อร์’ หุบปากฉับ
“ฝ่าบาทเพคะ”
เสียงแหบเครือขององค์หญิงใหญ่ดังขึ้นมา หวงตี้รีบหันไปมองนาง
เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นมีร่องรอยของความเศร้าหมอง ผิดหวัง
น้ำตากำลังกลั้นออกมาจวนเจียนจะหยด เขาก็รู้สึกใจหายวาบ
องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงสะบัดแขนเสื้อ
ตั้งท่าจะคุกเข่าขอขมาหวงตี้ จู่หวงตี้รีบปราดเข้าไปประคองร่างแบบบางที่ค่อนข้างผอมทันที
“หม่อมฉันอบรมลูกหลานไม่ดี
ทำให้พวกเขากำเริบเสิบสาน ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่สนใจทำตามกฎระเบียบ
ทำตามอำเภอใจตัวเองเพราะคิดว่ามีหม่อมฉันให้ท้ายไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใด บุตรของหม่อมฉันถึงไม่อบรมบุตรีของตนให้ดี
ขอฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ลงโทษหม่อมฉันที่เป็นทั้งแม่และย่าผู้ไม่เอาไหนด้วยเพคะ”
“เสด็จอา...ท่านกล่าวผิดแล้ว
เป็นเราเองต่างหากที่อบรมโอรสไม่ดี ไม่สอนให้เขารู้จักทะนุถนอมสตรีดุจดั่งของล้ำค่า
ปล่อยให้เขากล้าทำร้ายสตรีราวกับพวกนักเลงในท้องตลาด เป็นเสียเอ๋อร์ที่ทำผิดต่างหาก
เสด็จอามิได้ยินหรือ...เสียเอ๋อร์ยอมรับเองว่าได้ล้อเลียนจวี๋เอ๋อร์ว่าเป็นหมัวจิ้ง
หากข้าเป็นนางก็ต้องโกรธเช่นเดียวกัน ดังนั้น...ความผิดย่อมตกอยู่ที่เสียเอ๋อร์
ข้าจะสั่งลงโทษเขาให้ไปคัดตำรามารยาทพิธีการอยู่ในตำหนักหนึ่งเดือน”
“ฝะ...ฝ่าบาท
หม่อมฉันเกรงว่าพระองค์จะทรงกระทำการอยุติธรรมต่อองค์ชายสี่นะเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ประท้วง หน้าตื่น
แต่จู่หวงตี้โบกหัตถ์ไปมา
ก่อนจะเดินเข้าไปหา ‘จวี๋เอ๋อร์’ จู่หวงตี้ทรุดพระวรกายลงนั่งยองๆมองหน้าเด็กหญิงที่ยกมือกุมหน้าผากที่ปูดบวมเท่าไข่ไก่
“เสี่ยวจวี๋...เจ็บมากไหม”
เด็กหญิงส่ายหน้าอย่างหนักแน่น
ก่อนเชิดคางตอบว่า “แผลแค่นี้เล็กน้อยเพคะ ที่เจ็บน่ะคือใจเพคะ”
นางทุบอกดังปึกๆอยู่สองสามที
จู่หวงตี้ยิ้ม
กลั้นเสียงหัวเราะจนปวดแก้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนประกาศว่า
“เฉียนเต๋อ...เขียนราชโองการ แต่งตั้งท่านหญิงหยางจินจวี๋เป็นท่านหญิงขั้นสอง
พร้อมมอบเครื่องประดับ ผ้าไหมแพรพรรณร้อยหีบ”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”
เฉียนกงกงค้อมเอวคำนับ
หากจู่หวงตี้ไม่เรียกใช้
คงไม่มีใครเห็นร่างผอมบางราวกับไม้ถังหูหลุของเฉียนกงกงว่ามายืนข้างหลังพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่
“จวี๋เอ๋อร์...รีบคุกเข่า
โขกศีรษะคำนับเสียสิ” เป็นองค์หญิงใหญ่ที่เตือนหลานสาวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
ขณะที่นางยืนค้อมหลัง ก้มหน้าลงหลังผละออกจากการประคองของจู่หวงตี้ ดังนั้น...จึงไม่มีใครเห็นรอยยิ้มนิดๆที่มุมปากขององค์หญิงใหญ่หย่งหนิง
[1]
สตรีรักร่วมเพศในสมัยโบราณ
[2]
13.00-15.00 น.
[3]
ดอกเบญจมาศสีเหลือง
แปดปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
หยางจินจวี๋นั่งแทะเมล็ดแตงที่เสี่ยวจู
บ่าวคนสนิทวัยเดียวกันนั่งแกะให้อย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะอ้าปากหาวหวอด หยางเจิ้งหรือเจิ้นถิงโหวผู้เป็นบิดาเดินผ่านประตูเรือนเข้ามา
หยางจินจวี๋จึงพยายามปรือตาที่จะหลับให้กว้างขึ้นอีกหน่อย
“ท่านพ่อ...ท่านมาหาข้าถึงนี่
คงมิใช่ว่ามีข่าวร้ายมาบอกข้าหรอกนะ” นางก็พูดไปอย่างนั้นเอง มิคิดว่าตนจะจี้ถูกจุด
หยางเจิ้งถอนหายใจหนักหน่วงก่อนพยักหน้า
แล้วไปนั่งแปะที่โต๊ะวางน้ำชา
บ่าวคนหนึ่งรีบนำชาร้อนอย่างดีที่ได้รับพระราชทานมาจากในวังซึ่งเป็นของบรรณาการจากแคว้นอื่นมาริน
หยางเจิ้งยกขึ้นซดจนเกือบหมดจอกแล้วพูด
“จวี๋เอ๋อร์...เจ้าช่างฉลาดจริงๆ
ผิดกับพ่อที่ไม่เอาไหน ได้แม่ของเจ้ามานับว่าเป็นวาสนาที่ฟ้าสวรรค์ประทานมาให้โดยแท้”
แล้วหยางเจิ้งก็ทำหน้าสดชื่นเมื่อนึกถึงใบหน้าสวยสะคราญของภรรยาที่ดุหยั่งกะแม่เสือ
แต่ถึงดุเขาก็รัก...ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนกลัวเมีย
หยางจินจวี๋กลอกตาไปมารอบหนึ่งพลางลอบถอนหายใจ
เร่งขึ้นว่า
“ท่านพ่อจะมาบอกข่าวร้ายแก่ข้าหรือจะมาพร่ำรำพันชีวิตรักของท่านให้ข้าฟังเป็นรอบที่หมื่นเจ้าคะ”
“เอาน่าๆ
เจ้าก็เห็นใจพ่อเจ้าหน่อยที่สมองทึ่มกว่าเจ้า ข่าวร้ายที่พ่อจะนำมาบอกก็คือ...”
ยกชาขึ้นซดจนหมดจอกแล้วจึงกล่าวต่อ ขณะที่ตาก็เหล่มองใบหน้าสวยผุดผาดขาวลออของบุตรีอย่างประเมินท่าที
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เจ้าเข้าไปเรียนศาสตร์หกแขนง[1]ที่กั๋วจื่อเจียน[2]ซึ่งองค์ชายรองเป็นซือเยี่ย[3]อยู่”
ฟันที่กำลังขบเมล็ดแตงอยู่พลันกัดเข้าที่ลิ้นตัวเองอย่างจัง
“โอ๊ย!” หยางจินจวี๋ร้องออกมาดังลั่นไม่สนใจมารยาทของอิสตรี
หยางเจิ้งรีบพุ่งเข้าไปหาบุตรีด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บตรงไหนลูก”
“ละ...ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ
ท่านพ่อ แค่ตกใจเท่านั้น” นางบอก แล้วทิ้งเมล็ดแตงลงบนโต๊ะด้วยหมดอารมณ์ทันที
“ก็สมควรที่เจ้าจะต้องตกใจอยู่หรอก
เราสองคนพ่อลูกก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าถึงเจ้าจะฉลาดกว่าพ่อ
แต่พวกเราล้วนเป็นพวกขี้เกียจใฝ่คว้าหาความรู้มาประดับสมอง ขอแค่วันๆมีกิน มีดื่ม
มีเงินใช้จับจ่ายไม่ขาดมือไปตลอดชีวิต
ชาตินี้ต่อให้ถูกแม่ของเจ้าบ่นว่าจนหูชาทุกวัน
พวกเราไม่มีทางเฉียดกรายไปยังชั้นตำราเด็ดขาดถ้าไม่จำเป็น” พูดจบ
หยางเจิ้งก็ถอนหายใจดังเฮ้อ
“นั่นสิ”
หยางจินจวี๋เอามือเท้าคาง ขบคิดข่าวร้ายที่บิดานำมาบอกด้วยความข้องใจ “ทำไมจู่ๆฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้ข้าไปเข้าเรียนกับพวกนักศึกษาตัวเหม็นเหล่านั้นกันล่ะ
ท่านพ่อ”
“พ่อคิดว่าไม่ใช่รับสั่งโดยตรงของฝ่าบาทหรอก
แต่คงเป็นเสด็จย่าของเจ้าออกคำสั่งผ่านฝ่าบาทลงมามากกว่า เจ้าก็รู้
ฝ่าบาทยอมลงให้เสด็จย่าของเจ้าถึงสามส่วนมาแต่ไหนแต่ไร” หยางเจิ้งก็มิใช่คนโง่เสียทีเดียว
“ลูกจะไปตำหนักเสด็จย่า”
หยางจินจวี๋ลุกขึ้นยืนพรวดพราด “ลูกต้องเกลี้ยกล่อมให้เสด็จย่ายกเลิกคำสั่งนี้ก่อนที่ลูกจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาของผู้คน”
นางบอกอย่างมุ่งมั่น
“พวกเจ้าสองคนพ่อลูกยังคิดว่าตอนนี้ยังเป็นตัวตลกไม่พออีกหรือ?”
เสียงนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายเหี้ยมโหดดังเข้ามาในเรือนจินจวี๋ สองพ่อลูกถึงกับขนหัวลุกชัน
ขณะเหลียวไปมองจินซื่อ ผู้เป็นทั้งมารดาและภรรยาเดินถือไม้บรรทัดตรงเข้ามา
“ท่านแม่”
เสียงของหยางจินจวี๋อ่อนลงเหมือนบัวที่ขาดน้ำในหน้าแล้งขึ้นมาทันที
ส่วนหยางเจิ้งก็รีบฉีกยิ้มประจบให้ภรรยา ยกเก้าอี้ที่ตนนั่งให้นาง
แล้วรีบรินน้ำชาเอาอกเอาใจ ก่อนจะโบกมือไล่สาวใช้ทั้งหมดให้ออกจากเรือน
หยางฮูหยินนั่งลง
ก็ใช้ไม้บรรทัดตีเก้าอี้ที่ว่างอีกตัวหลังสามีรินชาเสร็จ
หยางเจิ้งรีบเดินไปนั่งอย่างเชื่อฟัง
“เรื่องที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เจ้าไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียน
แม่รู้มาสองวันแล้ว เสด็จย่าของเจ้าส่งคนมาบอกข่าวแต่ให้แม่ปิดเรื่องไว้ก่อน
เสด็จย่ายื่นคำขาดกับแม่ว่าต่อให้เจ้าหรือท่านพ่อช่วยร้องไห้วิงวอนไม่ขอไปเรียนที่นั่นจนน้ำตาเป็นสายเลือด
แม่ก็ห้ามใจอ่อน ดังนั้น...จวี๋เอ๋อร์ ถ้าเจ้าขัดรับสั่งหวงตี้
รู้ใช่ไหมว่ามีโทษสถานใด”
หยางจินจวี๋พยักหน้าหงึกๆ
ในใจลอบเบ้ปาก บ่นว่า...เสด็จย่าใช้วิชามาร!
“ดี...ท่านพี่
วันนี้ท่านก็เข้าวังไปขอบพระทัยฝ่าบาทสักหน่อยนะเจ้าคะ” จินซื่อหันไปพูดกับสามี
หยางเจิ้งลอบเบ้ปาก
บ่นในใจเหมือนบุตรีคนงามว่า...เพราะข้ามีศักดิ์เป็นน้องของเจ้า
เจ้าถึงชอบเข้ามาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเราสามคนพ่อแม่ลูกสินะ...จู่หยวนเหวิน
“ได้...ข้าเป็นสามีที่แสนดีของเจ้ามิใช่หรือ
ไยไม่ทำตามคำขอของเจ้าเล่า” ประจบประแจงออกไป แต่ในใจเดือดปุดๆเมื่อนึกถึงใบหน้าที่เคยหล่อเหลาของจู่หวงตี้ในวัยหนุ่มซึ่งเคยคิดจะนำจินซื่อเข้าวังหลวงไปเป็นสนมคนหนึ่ง
โชคดีที่เสด็จแม่อ่านใจเขาออก ชิงตัดหน้าขอจินซื่อจากบิดามารดาของนางมาแต่งงานกับเขาก่อน
อีกอย่าง...จินซื่อก็มีใจให้เขา เรื่องนี้จึงไม่นับว่าเกินแรงเสด็จแม่
“ดีมาก...ที่นี้มีอะไรจะบ่นอีกไหม
หรือคิดจะไปเกลี้ยกล่อมเสด็จย่าอีกหรือไม่”
สองพ่อลูกสบตากัน
ก่อนหยางจินจวี๋จะเอ่ยเสียงออดๆว่า “ท่านแม่ ท่านก็รู้ว่าข้าดื่มชาไม่ได้ ดื่มแล้วจะผื่นขึ้นไปทั้งตัว
ซ้ำยังดื่มสุราไม่ได้ด้วยเช่นกันเพราะจะทำให้อาเจียนจนเป็นลม
เช่นนั้นข้าจะไปร่วมวงสนทนาพาทีกับเหล่านักศึกษาพวกนั้นได้อย่างไร
หากพกนมวัวไปดื่มให้พวกเขาเห็น ข้ามิต้องเสียหน้าแย่หรอกหรือ?”
“อย่าห่วงไปเลย
ในแคว้นเว่ย มิใช่ว่ามีเจ้าเพียงผู้เดียวที่ดื่มชากับสุราไม่ได้
แม้แต่คู่กัดของเจ้า...องค์ชายสี่ก็ดื่มของเหล่านี้ไม่ได้เช่นกัน”
จินซื่อบอกอย่างไม่ปิดบัง หยางจินจวี๋ถึงกับทำตากลมแป๋ว ละล่ำละลักถามว่า
“จริงหรือท่านแม่...เจ้าต้วนซิ่วนั่นดื่มชาดื่มสุราไม่ได้”
“ต้วนซิ่วพ่อเจ้าน่ะสิ!” จินซื่อใช้ไม้บรรทัดฟาดต้นขาบุตรีแรงๆไปที
แต่คนที่หน้าเขียวปี๋คือหยางเจิ้งที่ถูกโยงไปไกล...
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ
ก็ลองออกไปเดินเล่นในตลาด หรือแวะโรงน้ำชาดีๆสักร้านฟังเหล่าบัณฑิตนินทาเรื่องขององค์ชายสี่ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้แล้วเจ้าจะเข้าใจ
แต่...” มารดาทิ้งท้ายอย่างมีจังหวะ รอยยิ้มไม่น่าดูเริ่มคลี่ออกมา
“ขณะเดียวกันเรื่องของเจ้าสองพ่อลูกก็เล่าลือกันอย่างแพร่หลายเช่นกัน
เป็นต้นว่า เกียจคร้าน ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ พ่อเจ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นขุนนางหลักลอยไร้อำนาจในมือ
มีดีตรงที่ไม่ต้องทำอะไร
ไปยืนในท้องพระโรงให้โอรสสวรรค์ได้เห็นหน้าก็มีเบี้ยหวัดให้ใช้ฟุ่มเฟือยไปทั้งชาติ
ส่วนเจ้าก็ชอบออกไปทะเลาะต่อยตีกับนักเลงหัวไม้ เขียนตัวอักษรไก่เขี่ย
วาดภาพไม่เป็น แต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอนไม่ได้
มีดีแค่สวยแทบจะล่มเมืองทั้งเมืองลงได้... ที่นี้...รู้หรือยังว่าเหตุใดเสด็จย่าของเจ้าถึงมีรับสั่งให้เจ้าไปเข้าเรียนร่วมกับพวกบุรุษที่กั๋วจื่อเจียน
อย่างน้อยก่อนเสด็จย่าของเจ้าจะตาย พระนางจะได้ตายตาหลับ!”
“จินซื่อ...เจ้าพูดอะไร
เสด็จแม่ของข้า...”
เพียะ!
ไม้บรรทัดฟาดลงบนต้นแขนของสามีแรงยิ่งกว่าที่ตีต้นขาธิดา
จนหยางเจิ้งต้องสูดปากคราง ค้อนภรรยาตาคว่ำตาหงาย
“ข้าแค่พูดเกริ่นเอาไว้
ไม่ได้แช่งเสด็จแม่ของท่านพี่” นางค้อนประหลับประเหลือก
“อ้อ...แล้วไป
เจ้าเกือบทำให้ข้าหัวใจจะวาย” หยางเจิ้งลูบอก ก่อนจะยิ้มซื่อๆเหมือนสุนัขหน้ามอม
“แต่ท่านแม่...ข้าไม่สนใจหรอกว่าใครจะเล่าลือเรื่องในครอบครัวของพวกเราอย่างไร
ขอแค่เราไม่ไปทำร้ายใคร หรือสร้างเรื่องใหญ่โตให้เสด็จย่าต้องปวดพระเศียรก็พอแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ
ท่านแม่...” เสียงเรียกมารดาหวานเชื่อมออดอ้อนขึ้นมาทันที
“ท่านแม่ช่วยเกลี้ยกล่อมเสด็จย่าจะได้หรือไม่...เสด็จย่ารักท่านแม่ยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
หยางจินจวี๋ถึงขั้นลงไปคุกเช่าคลานเข้าหาจินซื่อ เอาศีรษะซบลงกับตักของนาง
วิงวอนออดอ้อนอยู่นาน แต่ครั้งนี้จินซื่อใจแข็งกว่าปกติ
“ถ้าเจ้าแขวนคอตายกับขื่อ
แม่จะลองไปเกลี้ยกล่อมเสด็จย่าอีกที” นั่นเป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนจินซื่อจะลุกขึ้น
เดินสะบัดก้นออกไปจากเรือนของบุตรสาว ทิ้งให้สองพ่อลูกกอดคอร้องไห้โฮ
จู่หวงตี้มองญาติผู้น้องในชุดขุนนางสีแดงเข้มทำความเคารพเต็มพิธีการ
ก่อนอนุญาตให้เขานั่งลงที่เบาะหน้าโต๊ะทรงพระอักษรของพระองค์ หยางเจิ้งฉีกยิ้มใสซื่อ
ก่อนจะวางกล่องใส่ขนมดอกท้อหยกเขียวตรงหน้าหวงตี้
“ภรรยาและบุตรีของกระหม่อมฝากกระหม่อมให้นำขนมที่พวกนางทั้งสองช่วยกันทำมาขอบพระทัยฝ่าบาทเรื่องที่ทรงจัดการส่งบุตรีของกระหม่อมไปเข้าเรียนที่สถานศึกษาชั้นสูงพะย่ะค่ะ”
‘ทรงจัดการ’เจ้าซวี่ฟัง[4]ใช้คำนี้แทนคำว่า ‘ทรงมีพระเมตตา’ เขากำลังเอ่ยเป็นนัยว่าหวงตี้เช่นเขากำลัง ‘เสือก’ เรื่องในครอบครัวของเขา นัยน์ตาของจู่หวงตี้วาววะวับ
อยากจะเอาน้ำชาร้อนๆสาดใส่หน้า แต่ยังจำได้ถึงวันคืนเก่าก่อนตอนยังเป็นเด็ก
มีซวี่ฟังเป็นเพื่อนเล่นยามเยาว์ ทั้งยังเป็นมือเป็นเท้าออกรับผิดแทนเขาทุกครั้งที่เขาทำเรื่องผิดจนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงอดีตหวงตี้จึงโมโหไม่ลง
ความสัมพันธ์ของจู่หวงตี้กับหยางเจิ้งเหนียวแน่นเรียกได้ว่าเมื่อมีปลาต้องมีน้ำ
จนกระทั่ง...พวกเขาไปพบจินหลานหลินหรือก็คือจินซื่อ ฮูหยินของซวี่ฟัง
จินหลานหลินในอดีตเป็นลูกสาวของพ่อค้าขายเปาจึ[5]จนๆคนหนึ่ง
ทว่า...นางกลับเป็นสตรีที่งามที่สุดในแคว้นเว่ย ขณะที่เขาขบคิดหาวิธีจะนำนางเข้าวังโดยไม่ให้อดีตหวงตี้ทรงพระพิโรธที่รับหญิงชาวบ้านจนๆเข้ามาเป็นสนมแทนที่จะเป็นบุตรีของขุนนางตามกฎมณเฑียรบาลที่มีมาอย่างยาวนาน
เจ้าซวี่ฟังที่รูปหล่อน้อยกว่าเขากลับสามารถช่วงชิงนางในดวงใจไปครอบครองได้ในวลาเพียงเดือนเดียวโดยอาศัยบารมีของเสด็จอา
[1]
[1]
ความรู้ขั้นพื้นฐานใน 6
ด้านของชนชั้นสูงจีนในสมัยโบราณ ได้แก่ มารยาทพิธีการ ดนตรี ยิงธนู ขับรถม้า
เขียนอ่านอักษรแต่งกลอนและคำนวณ
[2]
ราชวิทยาลัยในสมัยโบราณ
[3]
ชื่อตำแหน่งหนึ่งในกั๋วจื่อเจียน
ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการเรียนของราชนิกุลชั้นสูง
[4]
ชื่อรองของหยางเจิ้ง
[5]
ซาลาเปา
จากมีปลาต้องมีน้ำ
กลายเป็นเห็นหน้าเจ้าแล้วเหม็นขี้หน้ายิ่ง
แต่ถึงกระนั้น...ซวี่ฟังก็ยังเป็นสหายสนิทที่สุดของเขา
ซ้ำยังซื่อสัตย์จงรักภักดีไร้พิษภัย เป็นขุนนางคนเดียวที่เขาเชื่อใจและไว้วางใจ
อาจจะเป็นเพราะแม้ซวี่ฟังจะมีบิดาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แต่เมื่อราชบุตรเขยเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจ
กองกำลังในมือก็ถูกแบ่งแยกไปอยู่ในบัญชาการของแม่ทัพคนอื่นๆ
อีกทั้ง...เสด็จอาเลี้ยงซวี่ฟังอย่างตามใจ ในเมื่อเขาไม่สนใจที่จะเรียนรู้หลักการเมืองการปกครอง
ไม่เรียนรู้ที่จะจับอาวุธหรือวิทยายุทธ์ใดๆ
เสด็จอาก็ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตสนุกไปวันๆ เกียจคร้านก็เกียจคร้านไป
ขอเพียงอย่าได้สร้างเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจให้เสด็จอาหรือสร้างเรื่องเลวร้ายใหญ่โตให้หวงตี้อย่างเขาต้องปวดหัวจึงนับได้ว่าซวี่ฟังเป็นขุนนางที่ไร้พิษสง
ดังนั้นสำหรับจู่หวงตี้...ซวี่ฟังเป็นสหายสนิทที่เขาจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องทำร้าย
อีกอย่างอาจเป็นเพราะเขาไม่อยากให้จินหลานหลินต้องเสียใจหากรู้ว่าเกิดเรื่องร้ายกับซวี่ฟัง
ยิ่งนังหนูหยางจินจวี๋...เขายิ่งเอ็นดูราวกับบุตรีในอุทร
แต่ถ้าจะให้รับเข้ามาเป็นลูกสะใภ้คงไม่เหมาะ...คงไม่เหมาะ
เฮ้อ...ทำไมหนอ
จินหลานหลินถึงยอมแต่งงานกับเจ้าเต่าทึ่มนี้ได้ เขาไม่เข้าใจนางเลยจริงๆ
หากรอเขาส่งเกี้ยวไปรับนางแต่งเข้ามาเป็นสนม ป่านนี้นางคงมีชีวิตที่เต็มไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์
มีคนนับหน้าถือตา ไม่ต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าเป็นหญิงงามล่มเมืองที่เลือกแต่งงานให้กับชายที่เกียจคร้านที่สุดในใต้หล้า
จู่หวงตี้คิดในใจด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
จู่หวงตี้นอกจากจะเป็นบุรุษที่ภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเองแล้ว
ยังเป็นคนที่หลงตนเองอย่างหนัก ซ้ำยังชอบถูกเยินยอเป็นอย่างยิ่ง ความจริง...หยางเจิ้งป็นบุรุษที่รูปงามมากที่สุดในขณะนั้น
แม้เขาจะเป็นชายเสเพลแต่ไม่มีนิสัยเจ้าชู้ ไม่ชอบมั่วสุมเล่นการพนันหรือดื่มสุรา
ดังนั้น...จินหลานหลินที่มีปณิธานว่าจะแต่งงานกับชายที่รักเดียวใจเดียวเท่านั้นจึงเลือกที่จะแต่งงานกับหยางเจิ้ง
เพราะนางไม่ได้หวังเกียรติยศชื่อเสียงจอมปลอมแล้วต้องไปตบตีแย่งชิงหวงตี้กับสนมคนอื่นๆหรืออยู่ใต้อำนาจของหวงโฮ่ว
การเป็นลูกสาวของพ่อค้าเปาจึจนๆสอนให้นางรู้ว่าความสุขของชีวิตที่แท้จริงคืออะไร...
“ฝากขอบใจหยางฮูหยินกับจวี๋เอ๋อร์ด้วย”
จู่หวงตี้สั่งให้เฉียนเต๋อนำของฝากไปให้ห้องเครื่องจัดแบ่งใส่จานสองใบ
ใบหนึ่งของเขา อีกใบนำไปยังตำหนักคุนหนิง มอบให้หวงโฮ่ว
พอเห็นว่าหยางเจิ้งยังคงนั่งนิ่ง
มีรอยยิ้มประหลาดๆ ไม่ยอมลุกจากไป จู่หวงตี้จึงเลิกพระขนง ถามเสียงเรียบว่า
“ยังมีอะไรที่จะพูดกับเราอีกหรือไม่?”
“ฝ่าบาท”
หยางเจิ้งรีบคลานถอยหลัง ก่อนจะก้มลงโขกศีรษะกับพื้น จนจู่หวงตี้ต้องร้องปราม
เขาถึงจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาแดงก่ำ ทำเอาลมหายใจของจู่หวงตี้ติดขัด...เจ้าเต่าทึ่มนี่จะมาไม้ไหนอีก!
“เจ้ามีเรื่องอัดอั้นตันใจอะไรก็ว่ามาเถอะ
ซวี่ฟัง”
“ฝ่าบาททรงทราบดีว่าจวี๋เอ๋อร์เป็นสตรี
กระหม่อมไม่วางใจหากนางจะเข้าไปร่วมเรียนกับเหล่านักศึกษาชายทั้งหลายแล้วนอนค้างอ้างแรมที่เรือนนอนของกั๋วจื่อเจียน...”
“ดังนั้น...เจ้าจึงคิดอยากให้เรามีพระบรมราชานุญาตลงมาเป็นพิเศษให้จวี๋เอ๋อร์เรียนเสร็จก็กลับจวนโหวของเจ้าได้ทุกวันใช่หรือไม่”
“มะ...มิใช่พะยะค่ะ”
“เอ๋....!!!” จู่หวงตี้งงเป็นไก่ไม้
“หากให้จวี๋เอ๋อร์ได้รับอภิสิทธิ์โดยตรงจากฝ่าบาท
จวี๋เอ๋อร์จะหาสหายที่รู้ใจในกั๋วจื่อเจียนได้ยากยิ่ง
นางจะพบแต่คนหน้าไหว้หลังหลอก ประจบประแจงเอาใจ เพราะหวังจะใช้นางเป็นบันไดไต่เต้าไปยังจุดหมายที่พวกเขาต้องการ
ฝ่าบาททรงทราบดีว่าจวี๋เอ๋อร์กับกระหม่อมล้วนเป็นคนโง่เขลา...”
ใช่
ข้าทราบดี ข้าถึงต้องรับปากเสด็จอาให้ส่งจวี๋เอ๋อร์ปลอมตนเข้าไปเรียนในกั๋วจื่อเจียนอย่างไรเล่า
ทั้งที่ข้ากลัวว่านางจะไปก่อเรื่องเสียมากกว่า จู่หวงตี้ถอนพระปัสสาสะเบาๆ
“ดังนั้น...ขอให้จวี๋เอ๋อร์นำเสี่ยวจูตามเข้าไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียนในฐานะซื่อตู๋[1]ด้วยเถิดพะยะค่ะ”
จู่หวงตี้คลายพระขนงลง
ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “นึกว่าอะไรเสียอีก เรื่องแค่นี้เอง ทำไมเราจะทำให้เจ้าไม่ได้เล่า”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพะยะค่ะ”
หยางเจิ้งรีบคำนับประหลกๆ แล้วเงยหน้ายิ้มแฉ่งทูลเป็นครั้งสุดท้ายว่า
“กระหม่อมขออนุญาตอีกเรื่องพะยะค่ะ
ขอให้จวี๋เอ๋อร์กับเสี่ยวจูมีเรือนพักส่วนตัว
ไม่จำเป็นต้องเป็นเรือนพักหรูหราชั้นดี
จะเป็นเรือนพักซ่อมซอกระหม่อมก็จะไม่ต่อว่าพระองค์ ขอเพียงให้เป็นเรือนพักที่สะอาดสะอ้านก็พอแล้วพะยะค่ะ”
เอิ่ม...เจ้าซวี่ฟังนี่
มันขอได้อย่างถ่อมตนจริงๆ เพราะเรือนพักส่วนตัวมีไว้เฉพาะจี้จิ่ว[2]กับซือเยี่ยเท่านั้น!!!
หยางจินจวี๋ในคราบบุรุษ
สวมชุดผ้าไหมของบุรุษสีฟ้าอ่อน สวมรัดเกล้าหยกขาว ห้อยป้ายหยกที่เอว มีเสี่ยวจูในคราบองครักษ์เดินตามหลังเข้ามาในโรงน้ำชาเย่ว์ลี่
เพียงนางก้าวข้ามธรณีประตูพร้อมโบกพัดจีบราคาแพงลิบในมือไปมา
เสี่ยวเอ้อร์ที่หันมาเห็นก็รีบฉีกยิ้มแฉ่ง เข้ามาต้อนรับอย่างพินอบพิเทา
พอนางขอที่นั่งฟังนักเล่าเรื่องชั้นดีที่สุด
เสี่ยวเอ้อร์ก็พานางไปนั่งบนระเบียงชั้นสอง มองลงมาเห็นลานตรงกลางที่กำลังมีนักเล่าเรื่องชรากำลังเล่านิทานพื้นบ้านอยู่อย่างออกรส
หยางจินจวี๋พึงพอใจจึงสั่งอาหาร
ก่อนส่งเม็ดเงินก้อนเล็กให้เสี่ยวเอ้อร์เป็นสินน้ำใจ
พออาหารที่สั่งสองสามอย่างมาวางตรงหน้า
เรื่องเล่านิทานก็จบลงพอดี นักเล่าเรื่องกลายเป็นคนใหม่ ผู้มาใหม่เป็นคนหนุ่ม
หน้าตาซื่อๆแต่เพียงแค่เปิดปากก็ได้ยินน้ำเสียงชวนฟัง มีจังหวะจะโคน
เริ่มต้นเล่าเรื่องการศึกที่เป่ยโจวโดยอวยความดีความชอบของแม่ทัพใหญ่ที่ช่วยปราบศัตรูซึ่งเป็นพวกแคว้นเหลียงจนหมดสิ้นราบคาบ
นำชัยชนะกลับเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ โดยผู้เล่าได้เล่าเสริมเติมแต่งเรื่องเหลือเชื่อหรือปาฏิหาริย์ต่างๆเข้าไปด้วย
“น่าตลกไหมเล่า...มีบุรุษที่ไหนดื่มชาดื่มสุราไม่ได้บ้าง
ถ้าไม่ใช่เพราะแม่นางโหยวหลานให้เขาดื่มสุรา ข้าคงไม่เห็นกับตาว่าองค์ชายสี่ดื่มเหล้าแล้วจะเป็นลมไปทันที
แถมข้ายังได้รู้อีกด้วยว่าองค์ชายสี่ดื่มชาแล้วจะอาเจียน”
มีเสียงหนึ่งดังลอยมาจากโต๊ะข้างหลัง หยางจินจวี๋ยิ้มอย่างพึงพอใจ
นี่เป็นแผนการหนึ่งของนางที่ต้องการขึ้นมานั่งบนระเบียงชั้นสองเพราะรู้ว่าพวกบัณฑิตที่มองตัวเองเป็นดังเดือนล้อมดาวมักจะมานั่งร่ำสุราฟังนักเล่าเรื่องบนชั้นสองเพราะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าเนื่องจากมีฉากกั้น
“แม่นางโหยวหลาน...บุตรีของแม่ทัพใหญ่ขุยจงน่ะหรือ”
อีกเสียงถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ใช่แล้ว...ลือกันว่าองค์ชายสี่ตามจีบแม่นางโหยวหลานอยู่
แม่นางโหยวหลานเองก็มีใจให้องค์ชายสี่ไม่น้อย แต่เพราะองค์ชายสี่ดูอ่อนแอเกินไปในสายตานาง
นางจึงพยายามช่วยให้องค์ชายสี่แข็งแกร่งเหมือนบิดา เพื่อที่ว่าหากองค์ชายสี่มาสู่ขอเมื่อไหร่
แม่ทัพใหญ่ขุยจงผู้ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพไร้พ่ายจะได้ยอมรับอย่างเต็มใจ
ไม่รู้สึกเสียหน้าที่ได้ลูกเขยไม่เอาไหนมาค้ำจุนสกุล ต่อให้เป็นองค์ชายก็เถอะ”
“เฮ่ย...ข้าว่ายากที่แม่ทัพขุยจงจะยอมรับองค์ชายสี่เป็นลูกเขย
เจ้าคิดดูนะ...องค์ชายสี่ต่อสู้ก็ไม่เก่ง ซ้ำยังไม่ตั้งใจเรียนกับเส้าซื่อ[3]ด้วย
ชอบหนีออกจากวังมาพบแม่นางโหยวหลานบ่อยๆ ถึงฝ่าบาทจะไม่เอาผิด
ฮองเฮาเองก็คร้านจะใส่ใจ แต่บุรุษที่ไม่เอาไหนเหมือนเจิ้นถิงโหว
มีหรือที่แม่ทัพขุยจงจะยอมรับได้”
พอได้ยินบัณฑิตกลุ่มนี้ลากบิดาของตนเข้ามาเกี่ยวข้อง
หยางจินจวี๋ก็เกือบจะตบโต๊ะแล้วผลักฉากกั้นเตรียมหาเรื่อง
เคราะห์ดีที่เสี่ยวจูกดบ่านางเอาไว้แล้วส่ายหน้า ต่อยตีกับนักเลงยังไม่สร้างปัญหาเท่ากับต่อยตีกับบัณฑิตหรือพวกปัญญาชนที่ฝีปากกล้าสามารถกลับดำให้กลายเป็นขาวได้
“แล้วเจ้าไปเห็นกับตาตนเองตอนไหนที่องค์ชายสี่ดื่มชาแล้วอาเจียน
ดื่มสุราก็เป็นลม” มีบัณฑิตผู้หนึ่งถามขึ้นมาอย่างข้องใจ
“ใช่...เจ้าไปเห็นมาได้อย่างไร”
มีเสียงร้องเสริมอีกหลายเสียง
“จะไม่ให้ข้าเห็นได้อย่างไรเล่า
ข้าเป็นหลานชายแม่นมของคุณหนูโหยวหลาน วันนั้นข้าไปเยี่ยมท่านป้าของข้า
ท่านป้าพาข้าไปแนะนำกับขุยฮูหยินและคุณหนู ใครจะไปคิดว่าองค์ชายสี่ก็อยู่ในโถงรับรอง
กำลังดื่มสุรา ข้ากำลังจะเดินออกไปหลังคารวะเจ้าบ้านเสร็จ ก็ได้ยินเสียงร้องว่าองค์ชายสี่เป็นลม
ข้าหันไปดู องค์ชายสี่เป็นลมจริงๆในมือยังถือจอกสุราอยู่เลย
จากนั้นก็ได้ยินคุณหนูโหยวหลานรำพึงรำพันว่าเหตุใดองค์ชายสี่ถึงคออ่อนเยี่ยงนี้แม้แต่ดื่มชาก็ยังอาเจียน”
มีเสียงฮือฮาดังขึ้นอย่างประหลาดใจ
หยางจินจวี๋เดาสีหน้าของผู้พูดได้ว่าตอนนี้คงกระหยิ่มยิ้มย่องลำพองใจ จนกระทั่ง...
“พูดถึงเรื่องดื่มชาดื่มสุราไม่ได้
ท่านหญิงจินจวี๋ คู่กัดมาแต่เยาว์วัยขององค์ชายสี่ก็ดื่มไม่ได้เช่นเดียวกัน
น่าเสียดาย...พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน แต่กับมิเป็นเช่นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่”[4]
หยางจินจวี๋สำลักน้ำเปล่าที่ยกขึ้นดื่มออกมาทันที
นางไอแค่กๆ
เสี่ยวจูตกใจรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดคราบน้ำบนเรียวปากแล้วตบหลังนางเบาๆ
“ฮ่าๆๆ...มีหลายอย่างคล้ายคลึงกันก็จริง
แต่เจ้าคิดว่าถ้าทั้งสองแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้วชีวิตคู่จะสงบสุขราบรื่นอย่างงั้นหรือ
แต่ไหนแต่ไรมา คู่แต่งงานที่มีนิสัยแตกต่างกันต่างหากถึงจะครองคู่กันอย่างราบรื่น
เพราะความแตกต่างของแต่ละคนอาจจะช่วยเสริมในส่วนที่คนใดคนหนึ่งขาดได้”
บัณฑิตอีกคนพูดขึ้นมาราวกับกางตำราพูด
แต่หยางจินจวี๋ไม่เห็นด้วย...นิสัยจะคล้ายกันหรือต่างกัน
หากไม่รักกันอย่างลึกซึ้งต่างหากที่พาให้ชีวิตคู่ล่มจม
“พูดถึงท่านหญิงจินจวี๋แล้วก็น่าสงสารนางนะ
เป็นโฉมสะคราญงามที่สุดของแคว้น ทว่า...ไม่มีลูกหลานขุนนางคนใดหรือบุตรชายตระกูลชั้นสูงคนใดส่งแม่สื่อมาสู่ขอสักคนทั้งที่นางเป็นถึงหลานสาวองค์หญิงใหญ่
อายุนางก็ใกล้จะเลยวัยออกเรือนไปทุกทีแล้ว”
ชีวิตส่วนตัวของข้า
พวกเจ้ามายุ่งอะไรด้วย!
[1]
ใช้เรียกผู้เรียนเป็นเพื่อน หรือคนที่ช่วยสอนและอธิบายความรู้แก่เจ้านายเชื้อพระวงศ์
[2]
ตำแหน่งอธิการบดีของราชวิทยาลัย
[3]
ตำแหน่งอาจารย์และที่ปรึกษารองจากตำแหน่งไท่ซือหรือราชครู
[4]
เรียกหญิงชายที่รักใคร่ผูกพัน
เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!