NovelToon NovelToon

เมื่อใจ ข้ามภพ

ตอนที่ 1

ชีวิตของภาคิน

เขาเกิดมาในโลกที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเดินไปข้างหน้า ยกเว้นเขาเอง

พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เคยไปถึงเป้าหมาย สอบซ่อมกลายเป็นเรื่องประจำ ความหวังในอนาคตแทบจะไม่หลงเหลือ

จนกระทั่งวันหนึ่ง

เขาได้พบกับ อลัน เพื่อนร่วมชั้นที่ดูไม่เคยตั้งใจเรียนแต่กลับสอบผ่านทุกครั้ง และคำแนะนำแปลกประหลาดจากอลันได้นำเขาไปยังร้านเช่าหนังสือเก่าในซอยเล็กข้างโรงเรียน… และที่นั่นเอง เขาได้พบกับ คัมภีร์

คัมภีร์ลึกลับที่พาเขาข้ามกาลเวลา

คัมภีร์ที่พา ใจ ของเขาไปอยู่ในโลกอีกใบ ที่แตกต่างจากทุกอย่างที่เขาเคยรู้จัก

โลกที่เขาได้พบกับ องค์ชายรอง

ชายผู้เปลี่ยนโลกทั้งใบของภาคิน ด้วยรอยยิ้มเดียว ด้วยแววตาเดียว

ชายผู้ที่หัวใจของเขา… ไม่เคยลืม แม้จะข้ามผ่านห้วงเวลา

เมื่อโชคชะตานำพาให้เขาต้องเลือกระหว่างโลกเดิม กับหัวใจที่ข้ามภพ

เขาจะเลือกพาหัวใจของเขาได้ไปไกลแค่ไหน

และรักแท้นั้น… จะสามารถฝ่าทุกขอบเขตของกาลเวลาได้จริงหรือไม่กริ่งโรงเรียนดังขึ้นหลังหมดคาบบ่าย ภาคินไม่รอช้า เขารีบเก็บหนังสือแล้วตรงไปยังห้องสมุดทันที สถานที่ประจำที่เขานั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวเดิมทุกเย็น หยิบตำราเล่มหนาออกมาเปิดทบทวน ทั้งที่ใจเขารู้ดีว่าเนื้อหาบางเรื่องเขาอ่านซ้ำกี่ครั้งก็ยังไม่เข้าใจ

ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของการเป็นนักเรียน ม.6 และเป็นปีที่ภาคินตั้งใจจะเปลี่ยนชีวิต เขาอยากสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐ อยากพิสูจน์ให้แม่เห็นว่า “คนอย่างเขาก็ทำได้”

แต่ปัญหาเดิม ๆ ก็ยังตามหลอกหลอนคะแนนที่ไม่เคยถึงเกณฑ์, การสอบซ่อมที่เป็นเรื่องปกติของชีวิต และความรู้สึกสิ้นหวังที่กัดกินหัวใจเขาทุกครั้งที่ประกาศคะแนนสอบออก

วันนี้ขณะกำลังอ่านบทเรียนอยู่ เขาได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้องสมุด ก่อนที่ใครคนนั้นจะทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“อ่านอะไรน่ะ?” เสียงทุ้มต่ำถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

ภาคินเงยหน้าขึ้น เห็นว่าเป็น “อลัน” เพื่อนร่วมชั้นเรียน หนุ่มมาดนิ่งแต่ติดจะกวนที่มักสอบผ่านแบบเฉียด ๆ ทุกครั้ง แถมยังไม่ค่อยเข้าเรียนด้วยซ้ำ

“คณิตฯ” ภาคินตอบเสียงเบา

“เอ่อ…เราอยากถามนายมานานแล้ว” ภาคินเม้มปากก่อนพูดต่อ “ทำไมถึงสอบผ่านทุกครั้ง ทั้งที่…คือ นายไม่ค่อยเรียนเลยใช่ไหม?”

อลันหันมามองเขานิ่งๆ ไม่พูดอะไรสักพัก แล้วก็ลุกขึ้นยืน

“เรื่องของฉัน” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนเดินจากไป ทิ้งให้ภาคินนั่งอยู่กับความสงสัย

แต่เขาไม่ยอมแพ้แค่นั้น ภาคินยังคงไปห้องสมุดทุกเย็น หวังจะเจออลันอีก และหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมเปิดปากสักครั้ง

จนกระทั่งวันหนึ่ง อลันเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เขาเงียบ ๆ แล้วพูดว่า

“ฉันจะบอกก็ได้ แต่นายต้องทำตามที่ฉันบอกทั้งหมด เข้าใจไหม?”

“นายต้องไปที่ซอยเล็ก ๆ ข้างโรงเรียน…ถ้าไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็น”

อลันพูดเสียงเรียบ ขณะเดินเคียงกับภาคินในช่วงเย็นของวันศุกร์

“ซอย? อะไรของนายอีกวะ…” ภาคินทำหน้างง

“เข้าไปแล้วจะเจอร้านดอกไม้เก่า ๆ หน้าร้านมีชื่อว่า ‘มะลิหลังฝน’ อย่าสนใจร้านนั้น เดินเลยเข้าไปด้านใน จะเจอบันไดไม้แคบ ๆ ขึ้นไปชั้นสอง มันคือร้านเช่าหนังสือ”

ภาคินยังคงขมวดคิ้ว “แล้วมันเกี่ยวกับการสอบยังไง?”

“ฟังก่อนสิ” อลันหันมามองเขานิ่ง ๆ “ไปถึงแล้ว มองหาชั้นหนังสือสุขศึกษา…ชั้นที่สอง ล็อกที่สาม จำให้แม่นนะ นายจะเจอ ‘คัมภีร์’ เล่มหนึ่ง”

“เฮ้ย! นายหลอกฉันแน่ ๆ!” ภาคินร้องเสียงหลง

“เอ้า จะเชื่อมั้ยเนี่ย ฟังก่อนสิ”

อลันยกมือห้าม ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น

“เปิดคัมภีร์นั้น มันจะมีบทให้ท่องตาม แล้วนายจะสามารถ ‘ขอ’ ได้หนึ่งอย่าง…แลกกับของสำคัญที่สุดในชีวิตนายหนึ่งชิ้น”

ภาคินนิ่ง…สายตาสั่นไหว

อลันถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูด “แต่ฉันไม่แนะนำนะ ของฟรีไม่มีในโลก แต่ถ้านาย…จำเป็นจริง ๆ นายก็ต้องตัดสินใจเอง”

“แล้วนาย…แลกอะไรไป?”

ภาคินถามเบา ๆ

อลันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ

“…รูปของแม่ฉันที่เสียไปแล้ว รูปเดียว…ใบสุดท้าย”

“และฉันขอให้บ้านฉันมีเงินไม่ขาดมือ”

ภาคินเม้มปากแน่น ใจเริ่มลังเล แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า “งั้น…ฉันจะลองดู”

วันต่อมา ภาคินหาทางไปซอยนั้นจนเจอจริง ๆ ซอยแคบจนเหมือนทางหนีไฟมากกว่าจะเป็นทางเข้าร้าน เขาเดินไปตามคำบอก จนเจอร้านดอกไม้ตามที่อลันว่า และเจอบันไดไม้เก่าที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดในทุกก้าว

ร้านเช่าหนังสือเงียบและเก่า โต๊ะไม้หยาบ ๆ กับโคมไฟสีส้มสลัวให้บรรยากาศแปลกตา

เขาเดินไปที่ “ชั้นหนังสือสุขศึกษา” — แต่ด้วยความตื่นเต้น…เขาจำผิด

เขาหยิบหนังสือจาก “ชั้นสาม ล็อกที่สอง” แทนที่จะเป็น “ชั้นสอง ล็อกที่สาม”

คัมภีร์เล่มนั้นอยู่ในสภาพเก่าผิดจากหนังสือเล่มอื่น ปกสีเทาไหม้ ขลิบทองจาง ๆ ไม่มีชื่อเรื่อง…

แต่ภาคินกลับรู้สึกเหมือนมัน “เรียกหา” เขา

เมื่อเขาเปิดมันออก…ข้อความแปลกประหลาดปรากฏขึ้นด้วยลายมือที่ไม่คุ้นเคย

“…เจ้าผู้มืดบอดด้วยความหวัง หากจงรักในสิ่งนั้นยิ่งนัก จงมอบมันเพื่อแลกเปลี่ยน…”

หน้าถัดไปเริ่มเลือนลาง และคำภาวนาโบราณค่อย ๆ ปรากฏขึ้นทีละบรรทัด…

เสียงท่องบทมนตร์ยังคงก้องอยู่ในหัวของภาคิน แม้คัมภีร์ในมือจะเลือนหายไปทันทีหลังจากเขาอ่านจบ…

ทันใดนั้น

พรึ่บ!

อากาศเบื้องหน้าบิดเบี้ยวราวม่านน้ำ กระแสลมพัดวนรอบตัวเขา ก่อนที่แสงสว่างจะสาดวาบออกมาจากกลางอากาศ

“เฮ้ยย!!”

ภาคินร้องออกมาทั้งตกใจและหวาดกลัว ก่อนจะถูกแรงบางอย่างดูดเข้าไปในแสงนั้น ร่างของเขาลอยเคว้งคว้างคล้ายถูกฉุดกระชากผ่านอากาศ ความรู้สึกเหมือนกำลังตกจากฟ้าผสมกับวังวนลึกลับจนเขาแทบจะหมดสติ

พอรู้สึกตัวอีกที…

เสียงนก เสียงลม และกลิ่นดินชื้นเข้ามากระทบประสาทสัมผัสทั้งหมด

ภาคินลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้นหินในถ้ำแห่งหนึ่ง ชุดนักเรียนของเขายังอยู่ครบ ทั้งเสื้อเชิ้ตแขนยาว รองเท้าและกระเป๋าเป้ แม้จะเลอะไปบ้างจากการตกกระแทก

“…นี่มันที่ไหนวะ…”

เขาพึมพำ พร้อมกับลุกขึ้น เดินช้า ๆ ออกมาที่ปากถ้ำ

เบื้องหน้า คือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีภูเขาเขียวครึ้มและท้องฟ้าที่ดู “บริสุทธิ์” กว่าในยุคที่เขาเคยอยู่ ไม่มีเสาไฟ ไม่มีถนน ไม่มีแม้แต่เสียงเครื่องยนต์

ภาคินยืนงุนงง ใจเริ่มสั่น เขามองไปรอบตัวแล้วเริ่มครุ่นคิด

“อลัน…นี่นายก็มาอยู่ที่นี่ใช่มั้ย…”

เขาพึมพำ ก่อนความรู้สึกโดดเดี่ยวจะเริ่มกัดกินหัวใจ

เขานั่งลงหน้าถ้ำ ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เสียงแตรแหลมก้องมาแต่ไกล พร้อมเสียงม้าเหยาะย่างเป็นจังหวะ

ภาคินเช็ดน้ำตาหันไปมอง และต้องตกใจเมื่อเห็น ขบวนราชรถ ม้าสีขาวบริสุทธิ์ลากเกี้ยวประดับทอง ที่รายล้อมด้วยทหารแต่งชุดเกราะโบราณ คนหนึ่งในนั้นมีใบหน้าอ่อนเยาว์ ร่างสูงสง่า สวมชุดคลุมไหมปักดิ้นทอง เขานั่งอยู่บนเกี้ยวด้วยท่าทีองอาจและสง่างาม

“นั่น…องค์ชายรองแห่งแคว้นหลิงหลาน!” เสียงทหารคนหนึ่งกล่าวขณะชี้ไปยังภาคิน

ขบวนหยุดลง

สายตาคมขององค์ชายรองจ้องมายังเขาเด็กหนุ่มแปลกหน้าในชุดประหลาด

เสียงเกือกม้าหยุดลงตรงหน้าภาคิน ฝุ่นคลุ้งบางเบาตามแรงเบรกของม้า ขบวนราชรถที่สง่างามยิ่งใหญ่ยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าถ้ำ ภาคินยืนตะลึง เหงื่อผุดทั่วหน้าผาก ขณะสายตาไล่มองเครื่องแต่งกายของเหล่าทหารและบุรุษผู้แต่งตัววิจิตรเหนือเกี้ยวทอง

“เจ้าคือผู้ใด มาทำอะไรที่นี่?”

เสียงทุ้มต่ำ ทรงอำนาจ แต่ไม่หยาบคายเอ่ยขึ้นจากองค์ชายรอง ผู้ที่นั่งอยู่กลางราชรถ

ภาคินกลืนน้ำลาย คิดวนในหัว

“ที่นี่ที่ไหนกันแน่…ทำไมแต่งตัวย้อนยุคแบบนี้…หรือว่ากำลังถ่ายหนัง!?”

เขาพึมพำออกมาเบา ๆ ทั้งยังไม่แน่ใจ

“นี่…ที่นี่ถ่ายละครอยู่เหรอครับ? ปีอะไรแล้วเนี่ย…ผม…หลุดมาจากตรงไหนกันแน่…”

ทันใดนั้น

“บังอาจ!! เจ้านั่นพูดอะไรออกมา!?”

ทหารนายหนึ่งตะโกนเสียงดัง พร้อมชักดาบออกมาเล็กน้อยอย่างข่มขู่

ภาคินสะดุ้งเฮือก ถอยหลังแทบจะสะดุดล้ม

แต่ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น

“พอเถอะ”

เสียงขององค์ชายรองเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงอำนาจจนทุกคนเงียบกริบ

“เขาไม่รู้ความ…เขาไม่ได้มาจากแผ่นดินของเรา”

องค์ชายเหลือบตามองภาคินอย่างพินิจ

ใบหน้าเด็กหนุ่มแปลกประหลาดในชุดขาวแปลกตานั้นเปรอะเปื้อนฝุ่น แต่แววตามีความบริสุทธิ์และความสับสนจริงใจ

“จงพาเขากลับวัง…จัดหาที่พักให้ และส่งคนไปตามหมอหลวง ตรวจดูว่าเขาได้รับอันตรายจากการเดินทางมาหรือไม่”

องค์ชายรองสั่งโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่ม

ภาคินถูกพาขึ้นเกี้ยวเล็กอีกคันด้านหลัง เดินทางเข้าเมืองหลวงอันตระการตา ภาพบ้านเรือน เครื่องแต่งกาย ผู้คน และกำแพงวังทำให้เขาเริ่มแน่ใจว่า

นี่…ไม่ใช่แค่ละคร

หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะถูกพาเข้าไปในเขตพระราชฐาน

ตอนที่ 2

แม้ใบหน้าขององค์ชายรองจะนิ่งเรียบ เยือกเย็นไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา

แต่ในห้วงลึกของหัวใจ…

ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเห็นเด็กหนุ่มชุดขาวจากโลกอื่น ดวงตาสั่นไหวของเขาก็ไม่เคยนิ่งอีกเลย

“เขาดูแตกต่างจากทุกคนที่ข้าเคยพบ…กลิ่นอายบางอย่างที่ข้าอธิบายไม่ได้”

องค์ชายรองหันกลับสั่งขันทีเบา ๆ

“จัดหาที่พักให้เขาในตำหนักเย็น จัดเสื้อผ้า อาหาร และส่งคนไปช่วยดูแล อย่าให้ขาดตกบกพร่อง”

“พอเขาเรียบร้อยแล้ว ให้มาตามข้า…เราจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพี่”

ภาคินถูกพาข้ามสะพานหิน ผ่านบ่อน้ำ สวนดอกไม้ จนมาถึงตำหนักหลังหนึ่ง

ขันทีและนางใน พากันช่วยถอดเสื้อผ้าเก่าให้เขาอาบน้ำในอ่างไม้ใหญ่ ก่อนจะจัดชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนแต่งตัวให้เรียบร้อย

“ชุดนี้…คือเครื่องแบบของแขกผู้มีเกียรติในวัง” ขันทีน้อยกระซิบบอก

อาหารหลายสำรับถูกจัดวางไว้ ทั้งข้าวหอม ซุปใส เนื้อเป็ดอบน้ำผึ้ง และขนมลูกเต๋าแป้งนุ่ม ภาคินแทบจะกลั้นน้ำลายไม่อยู่

“นี่มัน…ข้าวในละครจีนแน่ ๆ” เขาพึมพำเบา ๆ

หลังจากนั้นไม่นาน

องค์ชายรองก็ปรากฏตัว เขาเดินมาอย่างสง่างาม แต่สายตานั้น…ยังแอบมองภาคินบ่อยครั้งโดยไม่รู้ตัว

“พร้อมหรือยัง…จะพาเจ้าไปเข้าเฝ้าเสด็จพี่”

องค์ชายพูดเสียงเรียบ แต่แววตากลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

ท้องพระโรงใหญ่เปิดออก

ภาคินเดินตามหลังองค์ชายรองเข้ามาอย่างไม่มั่นใจ เหล่าขุนนางและทหารต่างพากันจ้องเขาอย่างแปลกใจ

พระราชานั่งอยู่เบื้องบน ทรงมีพระพักตร์สุขุม ปัญญาเฉียบแหลม

“เด็กผู้นี้คือใคร องค์ชายหยางหลง?”

กษัตริย์ถามพลางจ้องมองมาที่ภาคิน

ภาคินอึกอัก ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เขามองซ้ายขวา แล้วหลบตา

องค์ชายรองจึงก้าวออกมาข้างหน้า

“เขาเป็นคนที่ข้าพบที่ถ้ำทางทิศตะวันตก เขาไม่ได้มาจากเมืองของเรา…แต่มาจากที่ที่ไม่มีใครรู้จัก”

“เขาอ้างว่า…ไม่รู้จักปีที่นี่ ไม่รู้จักพวกเรา และแต่งตัวประหลาด”

กษัตริย์นิ่งไปชั่วครู่…ก่อนจะหันไปหานักพยากรณ์ของราชสำนัก

“โหร…คำทำนายเมื่อปีก่อนยังจำได้หรือไม่”

โหรชราโค้งคำนับ

“จำได้พ่ะย่ะค่ะ…มีคำพยากรณ์ว่า จะมีผู้มาเยือนจากต่างดินแดน ผู้ที่ไม่เคยมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ของเรา เขาจะเป็นกุญแจนำพาเมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองเหนือแผ่นดินใด ๆ”

กษัตริย์พยักหน้าอย่างพอใจ

“เด็กผู้นี้อาจเป็นผู้ที่โชคชะตาเลือกมา”

“ข้าจะให้เขาอยู่ในวัง…ในฐานะแขกของราชวงศ์ และอยู่ภายใต้ความดูแลขององค์ชายหยางหลง”

ภาคินยังอึ้ง พูดไม่ออก

แต่ภายในใจกลับรู้สึกว่าชีวิตของเขา…กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

เวลาในวังผ่านไปหลายสัปดาห์…

ภาคินเริ่มปรับตัวได้ดีเกินกว่าที่ใครคาดคิด

เขาตื่นเช้า ท่องตำราอย่างตั้งใจ จน พระอาจารย์ใหญ่ถึงกับเอ่ยปากชมว่า “ขยันและมีปัญญาเหนือสามัญชนทั่วไป”

เพียงเวลาไม่นาน ภาคินสอบได้ที่หนึ่งของสำนักศึกษาในวัง ทิ้งห่างบรรดาองค์ชายและขุนนางรุ่นเยาว์คนอื่นอย่างขาดลอย

แต่ไม่เพียงเท่านั้น…

ในสนามฝึกดาบ

เมื่อครั้งแรกที่เขาจับดาบ เขายังถอยหลังกลัว

แต่เพียงไม่กี่วันถัดมา

ท่าฟันดาบและการป้องกันของเขากลับเฉียบคมยิ่งกว่าใคร

รวดเร็ว ดุดัน และแม่นยำ…ราวกับเคยฝึกฝนมาแล้วนับปี

“ข้า…ทำได้ยังไง?”

ภาคินมองดาบในมือ พลางถามตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ

ในโลกเดิม…เขาไม่เคยเก่งอะไรเลย

สอบตก

โดนตำหนิ

ไม่มีใครเหลียวแล

แต่ที่นี่เขามี “ตัวตน”

ภายในวัง

ข่าวเรื่องภาคินแพร่ไปอย่างรวดเร็ว

เหล่านางในเริ่มซุบซิบกันว่าหนุ่มน้อยจากต่างเมือง “รูปงามและฉลาดล้ำ”

หลายคนถึงกับแอบฝันว่า

“หากเขาได้เป็นคู่ครอง คงโชคดีที่สุดในชีวิต”

องค์ชายรอง หยางหลง ยืนอยู่บนระเบียงตำหนักของตน แววตาเขาเงียบสงบ

แต่มือกลับกำราวบันไดแน่นอย่างไม่รู้ตัว

เสียงขันทีน้อยรายงานว่า

“นางในตำหนักหลวงแอบส่งพวงมาลัยให้คุณภาคินพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายหลับตาแล้วถอนหายใจแผ่วเบา

“เป็นแค่เด็กหนุ่มจากอีกโลกแท้ ๆ…เหตุใดข้าต้องรู้สึก…”

รู้สึกหวง

รู้สึกไม่พอใจ

รู้สึกอยากให้คนผู้นั้น…มองแค่ตน

ในท้องพระโรงวันหนึ่ง

กษัตริย์เอ่ยขึ้นระหว่างทานอาหารค่ำร่วมกับองค์ชายและขุนนาง

“ข้าเห็นแล้วว่าเด็กผู้นี้คือของขวัญจากสวรรค์”

“หากเขาปรารถนาสิ่งใด…ให้พวกเจ้ารีบจัดหาให้ อย่าให้ขาด”

“วันหนึ่ง…เขาอาจเป็นผู้นำพาแผ่นดินนี้สู่รุ่งเรืองเหนือทุกแคว้น”

ภาคินนั่งอยู่ข้างองค์ชายรอง ก้มหน้าด้วยความประหม่า แต่ในใจอบอุ่นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ในหูเขา แว่วเสียงองค์ชายรองพูดเบา ๆ

“อย่าเหลิง…เจ้าต้องอยู่กับข้าให้มากกว่านี้ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเก่งได้แค่ไหน”

แต่ในแววตา…ภาคินไม่รู้หรอก

ว่าในแววตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน

คืนหนึ่ง

ภาคินนอนหลับในตำหนักเย็นที่เขาได้รับพระราชทานเป็นที่พักประจำ

อากาศในค่ำคืนนั้นเย็นสบาย ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาว

แต่ในความเงียบสงบนั้น…

เขาฝัน

ฝันเห็นแสงสว่างสีทองสาดเข้าตา

ในมือเขาคือ “คัมภีร์” เล่มที่เขาเปิดผิดล็อกวันนั้น

เสียงหนึ่งดังขึ้นในฝัน

“เจ้าคือผู้เลือกสิ่งนี้เอง…ของที่เจ้ารักมาก เจ้าลืมแล้วหรือ?”

“สิ่งที่แลกเปลี่ยนไป…คือบางสิ่งในใจเจ้าที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป”

ภาคินสะดุ้งตื่น

เหงื่อซึมเต็มแผ่นหลัง

มือขวายังกำแน่นเหมือนยังถืออะไรอยู่

“มันคือ…ความฝันเหรอ?”

แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนจริงขนาดนั้น?

วันต่อมา เขารู้สึกเหนื่อยล้าและใจลอย

องค์ชายรองเห็นท่าทางของเขาไม่เหมือนเดิม จึงสั่งให้ขันทีพาเขาไปนั่งพักในตำหนักรองที่อยู่ติดสวนดอกไม้

ไม่นาน

องค์ชายรองเดินเข้ามาเงียบ ๆ พร้อมถาดผลไม้และน้ำหวานในมือ

“กินเสียหน่อย เจ้าเหมือนคนไม่ได้นอน”

ภาคินสะดุ้ง

“ขะ…ขอบคุณพ่ะย่ะค่ะ…ข้าแค่ฝันร้ายหน่อย ๆ ไม่เป็นไร”

องค์ชายวางถาดแล้วนั่งลงข้าง ๆ ชิดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ดวงตาของเขาจับจ้องภาคินอย่างจริงจัง

“ฝันอะไร…”

“แปลกมาก…เกี่ยวกับคัมภีร์น่ะพ่ะย่ะค่ะ”

ภาคินตอบเบา ๆ ขณะยกมือจับต้นคอ รู้สึกประหม่า

องค์ชายขมวดคิ้วเล็กน้อย

“คัมภีร์…? หรือเจ้าอาจไม่ได้บังเอิญมาที่นี่อย่างที่ข้าคิด”

ภาคินหันมองหน้าองค์ชาย

แล้วก็…เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง

แววตาของชายหนุ่มทั้งสองสบกัน

ในความเงียบ…หัวใจของภาคินเต้นแรง

ส่วนองค์ชายหยางหลงกลับใจสั่นไหวโดยไม่รู้ตัว

“ข้า…”

ภาคินเผลอหลุดเสียงออกมาเบา ๆ

แต่เขาก็ไม่พูดต่อ เพราะไม่รู้ว่าคำที่อยากพูดคืออะไร

“เจ้ารู้สึก…แปลกกับข้าหรือไม่”

เสียงองค์ชายรองถามแผ่ว ๆ ใกล้ใบหู

ภาคินนิ่ง

หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นทุกที

และแทนคำตอบ เขาได้แค่พยักหน้าเบา ๆ…โดยไม่กล้าหันหน้ากลับไปมอง

ในขณะเดียวกันนั้น

ที่ชั้นใต้ดินของหอคัมภีร์

แสงสีทองบางอย่างค่อย ๆ แผ่กระจายออกมา

หนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่ควรเปิด…กำลังเปิดออกอีกครั้งเองโดยไม่มีใครแตะต้อง

วันแล้ววันเล่า

ภาคินใช้ชีวิตในวังอย่างสงบและอบอุ่น

เขายังคงเรียนหนังสือ ฝึกดาบ และช่วยเหลืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในวัง

แต่ที่สำคัญที่สุด…เขาอยู่ข้างองค์ชายรองแทบทุกวัน

“ภาคิน ข้าอยากให้เจ้าช่วยอ่านจดหมายนี้ให้หน่อย”

เสียงทุ้มขององค์ชายดังขึ้นแทบทุกเย็น

บางวันเรียกให้มาช่วยแปลจดหมายจากต่างเมือง

บางวันก็ชวนมานั่งจิบชา ฟังเสียงพิณ

บางวันไม่พูดอะไรมาก แค่ขอให้อยู่ใกล้ ๆ เงียบ ๆ ก็พอ

ห้องลับใต้ตำหนักรอง…คือที่ที่พวกเขามักใช้เวลาด้วยกัน

ไม่มีนางใน ไม่มีขันที ไม่มีใครอื่น

มีเพียงความเงียบ…เสียงหัวเราะเบา ๆ

และหัวใจสองดวงที่ค่อย ๆ พัวพัน💞

“เจ้าชอบเมืองนี้หรือไม่”

องค์ชายรองเอ่ยถามในคืนหนึ่ง ขณะนั่งมองแสงจันทร์จากหน้าต่าง

ภาคินพยักหน้า

“ข้าชอบที่นี่…มากกว่าที่ไหน ๆ ที่เคยอยู่”

องค์ชายหันมามองเขา เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเบา ๆ

“ถ้าข้า…ไม่ใช่องค์ชาย เจ้าจะยังอยากอยู่กับข้าไหม”

ภาคินตกใจนิดหน่อย แต่ก็หัวเราะเบา ๆ

“เจ้าก็ยังเป็นเจ้าอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าก็อยากอยู่ข้างเจ้า”

ณ ตำหนักองค์ชายรอง

คืนนั้น…

หลังจากภาคินกลับตำหนักไปแล้ว

องค์ชายรองหยิบ “สร้อยหยก” ที่เคยเป็นของพระมารดาขึ้นมามอง

“ข้ากำลังจะรู้สึกมากเกินไปหรือเปล่า…กับคนที่อาจไม่ได้อยู่ในโลกนี้ตลอดไป”

ขณะเดียวกัน

ณ หอคัมภีร์

ที่มุมลึกของห้อง

โหราจารย์ประจำวังเปิดตำราดูดาว

หน้าผากเขาเริ่มมีเหงื่อไหลช้า ๆ

“จุดไขว้ระหว่างโลก…กำลังเคลื่อนเข้าใกล้คืนจันทร์แดง”

“เด็กหนุ่มจากต่างแดนอาจต้องจากไปในไม่ช้า”

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า

ในใจมีเพียงคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ว่า…

“หากหัวใจสองดวงเชื่อมถึงกันแล้ว…จะมีสิ่งใดแยกมันออกได้หรือไม่?”

ตอนที่ 3

ณ ตำหนักเย็น

หลังจากกลับจากตำหนักรอง ภาคินนอนหลับตามปกติ อากาศเย็นสบาย เงียบสงบจน…

กลางดึก

เขาฝันเห็นแสงสีทองที่เคยเห็นในความฝันครั้งก่อนอีกครั้ง…และในครั้งนี้…มันกลับพาเขาย้อนกลับมาที่โลกปัจจุบัน

ณ ร้านเช่าหนังสือ

ภาคินลืมตาขึ้น…เสียงพัดลมร้านเช่าหนังสือยังคงหมุนอยู่ช้า ๆ กลิ่นหนังสือเก่าและแสงแดดยามเช้าผ่านหน้าต่างบานเดิม

แต่ตัวเขา…ยังสวมชุดจากวังหลวงแห่งอดีต

เขามองมือตัวเอง

แตะเสื้อลายปักที่ละเอียดจนไม่เหมือนสิ่งใดในยุคนี้

“นี่มัน…อะไรกันแน่”

เขานั่งนิ่งอยู่นาน

ใจเต้นแรงเหมือนเพิ่งวิ่งไกล

คำพูดในฝันยังดังอยู่ในหู

“เจ้ามาได้เพราะยังไม่แลกเปลี่ยนอะไรเลย…

หากอยากกลับไปอีกครั้ง เจ้ารู้ว่าต้องเสียอะไรไปใช่หรือไม่?”

ภาคินพึมพำเบา ๆ

“ของที่เรารัก…งั้นเหรอ…เรายังไม่ได้แลกอะไรเลย… เราเลยกลับมา…”

ขณะที่เขากำลังคิดไม่ตก

เสียงประตูร้านเปิดดัง กริ๊ง…

“ภาคิน!”

เสียงหนึ่งตะโกนดัง ทำเอาเขาสะดุ้ง

อลัน วิ่งเข้ามา หน้าตาตื่น ๆ

เขาหอบหายใจแรง สะพายกระเป๋านักเรียนอยู่

“นายหายไปไหนมา!? ฉันไปหานายทุกที่…ไม่มีใครเจอนายเลย!”

ภาคินหันมองอลัน

มองหน้าเพื่อนที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ในใจเขาเต็มไปด้วยคำถาม…ความสับสน…และความคิดถึงคนที่เขาทิ้งไว้

อลันนิ่งไปเมื่อเห็นชุดของภาคิน

“นาย…ใส่ชุดแบบนั้น? อย่าบอกนะว่า…”

ภาคินไม่ตอบ

เขาแค่ค่อย ๆ ลุกขึ้น เดินไปหยิบคัมภีร์เล่มเดิมที่อยู่บนชั้น 3 ล็อก 2

มือเขาสั่นเล็กน้อย

“อลัน…ตอนนายแลกของไป…รู้ไหมว่านายจะไม่มีวันได้สิ่งนั้นคืนอีก”

อลันเงียบ

ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเศร้าและยอมรับ

“รู้…แต่ฉันเลือกแล้ว เพราะตอนนั้นฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”

“นายอยากกลับไปที่นั่นอีก…หรือไง?”

ภาคินกำคัมภีร์แน่น

ภาพองค์ชายรองแวบเข้ามาในหัว ใบหน้าที่ใจดี ดวงตาที่มักมองเขาด้วยความอ่อนโยน มือที่เคยจับมือเขาไว้แน่นยามฝึกดาบ…

“หัวใจที่ไม่เคยพูดออกมา…แต่เขารู้ว่าอยู่ตรงนั้น”

“ฉันอยากกลับไป”

ภาคินพูดทั้งน้ำเสียงและแววตาที่แน่วแน่

อลันมองเขาอยู่นาน ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้า

“งั้น…นายต้องเลือกแล้ว ว่าจะแลกอะไรกับโอกาสนั้น”

ภาคินหลับตา มือหยิบของบางอย่างจากกระเป๋านักเรียน มันคือ…สมุดสเก็ตช์ภาพเก่าเล่มหนึ่ง

ข้างในเต็มไปด้วยภาพวาดครอบครัวของเขาภาพพ่อแม่ ภาพหมาที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ภาพเพื่อน ๆ ในวัยประถม มันคือสิ่งที่เขาเก็บไว้เสมอมา…“สิ่งที่เขารักมากที่สุด…และเก็บมานานที่สุด”

หลังจากภาคินหายไปจากวัง…

เขากลับมาในโลกปัจจุบัน ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวกอดแม่แน่น ๆ กินข้าวพร้อมพ่อ ดูทีวีกับน้อง หัวเราะ เสียงสดใส ทุกคนในบ้านต่างแปลกใจและดีใจที่เขาดู “เป็นตัวเอง” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

1 อาทิตย์ผ่านไป…

ณ บ้านภาคิน

“แม่ครับ… ผมจะไปแล้วนะ”

เขาพูดในตอนเย็นขณะช่วยล้างจานในครัว

“ไปไหนลูก?”

แม่ถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

ภาคินเงียบไปนิด แล้วก็ยิ้ม

“ที่ที่ไกลมาก…ไม่มีใครตามไปได้หรอกครับ แต่ที่นั่น…ภาคินมีตัวตน มีความสุข และรู้สึกว่าตัวเองมีค่า”

ครอบครัวเงียบ แต่พ่อกับแม่มองหน้ากัน แล้วก็พยักหน้า

“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน…เป็นใคร…จะเป็นยังไง..จำไว้นะลูก เราจะรักแกเสมอ”

ภาคินยิ้ม😊

เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุดที่เขาเคยมีในชีวิตนี้

….

คืนนั้น…

ณ ร้านเช่าหนังสือ

เขากลับมาที่ร้านเช่าหนังสืออีกครั้ง…คัมภีร์ยังคงอยู่ตรงเดิม เหมือนรอให้เขากลับมาเปิดอีกครั้ง ขณะที่เขากำลังจะเปิดมัน…

เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง

“ภาคิน”

เขาหันไป อลัน ยืนอยู่ที่มุมมืดของร้าน สีหน้าเรียบนิ่ง

“ฉันรู้ว่านายต้องกลับมาแน่ ๆ”

อลันเดินเข้ามาใกล้

“นายจะไม่เสียใจเหรอ ที่เลือกทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง?”

ภาคินนิ่งไป แล้วพูดช้า ๆ

“อยู่ที่นี่ฉันไม่มีความสุขเลย ไม่เคยมีตัวตนไม่มีใครเห็นค่าของฉัน แต่ที่นั่น…ฉันมีตัวตน เป็นคนสำคัญ มีคนที่เห็นค่าของฉันจริง ๆ”

อลันมองเขานิ่ง ๆ ก่อนพูด

“องค์ชายรอง…ใช่ไหม?”

ภาคินยิ้มบาง ๆ

“แค่เห็นหน้าเขา ฉันก็รู้ว่าฉันอยากอยู่ตรงนั้น…มากแค่ไหน”

อลันไม่ถามอะไรอีก แค่ยื่นมือออกมา แล้วพูดเบา ๆ ถ้านายเลือกแล้ว “ขอให้โชคดีกับทางที่นายเลือกนะ…ถ้ามีโอกาสได้กลับมาอย่าลืมมาเล่าให้ฉันฟังบ้างนะ ถ้าโลกนั้นยังมีทางเชื่อมกันอยู่”

ภาคินจับมือนั้นแน่น…แล้วเปิดคัมภีร์ แสงสีทองปรากฏขึ้นอีกครั้ง พลังดูดหมุนวน ดึงร่างเขากลับไป หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้งแต่ครั้งนี้…ไม่ใช่เพราะกลัว…แต่เพราะคิดถึง

ในวังหลวง…

ณ ตำหนักองค์ชายรอง

องค์ชายรองยืนอยู่ที่หน้าต่างตำหนัก เขามองท้องฟ้าทุกคืน หวังเพียงว่า

“เสียงหนึ่ง”

“เงาหนึ่ง”

หรือแค่ “สายลมบางเบา” จะพาเขากลับมา

“เจ้ากลับไปยังที่ที่เจ้าจากมาอย่างนั้นหรือ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินภาคิน”

จนกระทั่ง…

แสงสว่างพุ่งลงจากฟ้า ตรงสู่หน้าถ้ำแห่งหนึ่งนอกวัง และใครบางคน ยืนอยู่ตรงนั้น.

นอกวัง…

แสงสีทองเจิดจ้าสว่างวาบกลางท้องฟ้า ร่างของภาคินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่หน้าถ้ำเดิมอีกครั้ง กลิ่นลมเย็นของป่าในยุคอดีตตีเข้ามาเต็มจมูก…

เขากลับมาแล้ว…

ขบวนทหารลาดตระเวนแถวนั้นตกใจและรีบรายงานกลับไปยังวังทันที..และไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม องค์ชายรอง ก็ขี่ม้าเร่งฝีเท้ามาด้วยตนเอง

ณ หน้าถ้ำ

ภาคินยืนอยู่ตรงที่เดิม..

แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร เสียงม้าควบมาตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว องค์ชายรอง กระโดดลงจากหลังม้า เดินเร็วด้วยแววตาแข็งกร้าว จนภาคินต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“เจ้ากลับมาเพราะเหตุใด”

เสียงนั้นไม่ใช่เสียงยินดี แต่มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสะสมที่ระเบิดออกมา

ภาคินนิ่ง ไม่พูด

“เจ้าทิ้งข้าไว้โดยไม่บอกลา… ข้าหาเจ้าแทบพลิกแผ่นดิน!”

เสียงขององค์ชายเริ่มสั่นเล็กน้อย

“เจ้ารู้ไหม…ข้าไม่ได้นอนหลับสบายเลยสักคืน ข้ารู้สึกเหมือนสูญเสียบางสิ่งในชีวิตไป…และมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยกับข้า”

ภาคินก้มหน้า มือกำแน่น พูดเบา ๆ

“ข้าก็ไม่ได้อยากกลับไป… ข้าถูกบังคับให้กลับ ข้าไม่ได้เลือกที่จะจากท่านไปเลย…”

องค์ชายรองนิ่ง ดวงตาสั่นไหว ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว “แล้วเหตุใดเจ้าจึงกลับมา?”

ภาคินเงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอในดวงตา

“เพราะหัวใจข้ายังอยู่ที่นี่ กับท่าน”

องค์ชายรองสะอึกไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้…เสียงของเขาแผ่วเบากว่าเดิม

“เจ้ารู้ไหม… ข้าภาวนาแค่จะได้เห็นหน้าเจ้าอีกครั้ง

แต่ตอนนี้…เจ้ามายืนอยู่ตรงหน้า ข้า…ไม่รู้จะทำเช่นไรกับหัวใจข้าดีแล้ว”

ภาคินเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาทั้งสองสบกันเต็ม ๆ เป็นครั้งแรก ไม่มีคำใดอีกแล้วที่ต้องพูด มีเพียงการกอดแน่น ๆ ที่เต็มไปด้วยความคิดถึง

ณ วังหลวง

ยามเย็น..

ภาคินกลับเข้าวังอีกครั้งพร้อมองค์ชายรอง ข่าวการกลับมาของเขากระจายไปทั่ว ขุนนางบางคนยินดี บางคนหวาดระแวง

แต่สายตาขององค์ชายรองในวันที่จับมือเขาไว้กลางลานวังนั้น มันชัดเจนเกินกว่าคำพูดใด

“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ…ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอีก”

หลังจากภาคินกลับมาไม่นาน..โหรหลวงก็เข้ามาเข้าเฝ้ากษัตริย์อย่างเร่งด่วน

“พระเจ้าข้า… ดาวอังคารกับดาวศุกร์โคจรมาบรรจบกันตรงกลางฟ้า เหมือนเมื่อสิบห้าปีก่อน… เหตุการณ์จะเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

กษัตริย์นิ่งคิด แล้วหันไปหาภาคิน

“เจ้าต้องเตรียมตัว…ถึงเวลาของภารกิจนั้นแล้ว”

ภาคินขมวดคิ้ว

“ภารกิจอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

วันรุ่งขึ้น…

โหรหลวงอธิบายให้ภาคินฟังถึงคำทำนายโบราณว่าบ้านเมืองจะเข้าสู่ยุคใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อ “คนจากโลกอื่น”

ปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งเพื่อฟื้นพลังแผ่นดินที่เสื่อมถอย

“แต่ผู้ที่มาจากต่างภพ…หากใจยังไม่มั่นคง ย่อมไม่อาจทำภารกิจนั้นได้เพียงลำพัง”

เริ่มภารกิจ

• จุดแรกคือ ศิลาแห่งแสง บนยอดเขาน้ำแข็ง

• เขาเดินฝ่าความหนาว เหงื่อแตกซ่ก แต่พลังที่ต้องใช้กลับไม่แสดงผลออกมา

• ถึงแม้จะท่องบทในคัมภีร์ ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง

เขาล้มลง หมดแรง… และน้ำตาเริ่มรื้น…

“ฉันมันก็แค่คนที่ล้มเหลวเหมือนที่ผ่านมา…”

ทันใดนั้น…

มืออุ่น ๆ วางลงบนไหล่เขาเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง

“เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใด…คนเดียวอีกแล้ว”

องค์ชายรอง ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเปื้อนเหงื่อจากการปีนเขา แต่สายตายังอ่อนโยนและมั่นคงเขานั่งลงข้าง ๆ และจับมือภาคิน

“เจ้าเคยให้ข้าเห็นโลกที่ต่างจากที่ข้ารู้จัก…ครั้งนี้ให้ข้าเป็นคนช่วยเจ้ากลับคืนพลังให้แผ่นดิน”

เมื่อมือทั้งสองประสานกันศิลาแห่งแสงสว่างวาบขึ้นทันที ลำแสงสีทองพุ่งขึ้นสู่ฟ้า แผ่นดินสะเทือนเล็กน้อยราวกับตอบรับ

หลังเสร็จภารกิจ…

เสียงปริศนาดังแว่วมาในลมหนาว

“แสงแรกแห่งคำทำนายถูกปลุกขึ้นแล้ว…

จงระวัง… ไม่ใช่ทุกคนในวังจะต้องการให้มันสำเร็จ”

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!