เกิ่นตรงนี้ก่อนเลยว่าเนื้อหาในช่วงแรกจะงงๆ เอื่อยๆ เฉื่อยๆ แปลกๆ คงเพราะช่วงแรกที่ผมแต่ง ผมมั่วไปหมดเลยแบบคิดสดอะ แต่ช่วงหลังก็ดีขึ้นมาหน่อยมั้ง นั่นแหละเอาเป็นว่าไปลองชิมกันเลย
> เกี่ยวกับ SCP Foundation
SCP Foundation (Secure, Contain, Protect) คือองค์การสมมติลับระดับโลก ที่มีภารกิจหลัก 3 อย่าง: “กักกัน สิ่งผิดปกติ, ป้องกัน สาธารณะ และ ปกปิด ความจริง”
องค์กรนี้ดำเนินงานโดยนักวิทยาศาสตร์, หน่วยรบพิเศษ และเจ้าหน้าที่ผู้เสียสละ เพื่อควบคุมสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ สิ่งประดิษฐ์ประหลาด หรือแม้แต่มิติแปลกประหลาด ที่อาจเป็นภัยต่อมนุษยชาติ
แต่ละสิ่งถูกจัดประเภทและได้รับหมายเลข SCP เฉพาะ เช่น SCP-173 (รูปปั้นขยับได้), SCP-096 (สิ่งมีชีวิตที่ฆ่าทุกคนที่มองหน้า)
และในเรื่องนี้...คือ SCP-8642
แม้องค์กรจะเป็นเพียงเรื่องแต่ง แต่มันคือหนึ่งในจักรวาลร่วมที่ใหญ่ที่สุดบนโลกอินเทอร์เน็ต
และเรื่องราวนี้คือการดัดแปลงในรูปแบบนิยายแนว ลึกลับ-แอคชั่น-ไซไฟ-สยองขวัญ ที่นำแรงบันดาลใจจากองค์การนี้มาใช้เพียงเท่านั้น
__________
เสียงสัญญาณ “ติ๊ด” เบา ๆ ดังขึ้น ก่อนที่ประตูเหล็กกันระเบิดจะเลื่อนเปิดอย่างช้า ๆ
แสงไฟนีออนสีขาวหม่นวาบกระพริบข้างบนเพดานราวกับหอบ้านเก่าที่ไม่มีใครดูแล
ดร.มูน เดินเข้ามาในห้องสีขาวสะอาด ทว่าผนังกลับหนาเตอะจนไร้ช่องให้เสียงเล็ดลอด ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนไว้ภายในห้องนี้
ที่กลางห้อง...
เซนิน คิริว นั่งอยู่ในท่าทางนิ่งสงบ ดวงตาสีฟ้าครามเหลือบมองขึ้นมาเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามา มือสองข้างประสานกันบนโต๊ะเหล็กเย็นเฉียบ สายโซ่พันตรึงข้อมือไว้แน่น
เขาอยู่ในชุดนักโทษสีส้ม ทว่าสีหน้าไม่ได้บ่งบอกถึงความหวาดกลัวใด ๆ
...กลับเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายปนรำคาญใจ
ราวกับเหตุการณ์นี้เป็นเพียงเรื่องซ้ำซากของชีวิต
> “SCP-8642…”
ดร.มูนพูดช้า ๆ พร้อมก้มมองแฟ้มเอกสารหนาที่ถือมา
> “ชื่อเดิมของคุณคือ—”
> “เซนิน คิริว”
เจ้าตัวเอ่ยแทรกก่อนเสียงจะจบ ดวงตาสบตาอีกฝ่ายอย่างไร้อารมณ์
“อย่าทำเหมือนผมไม่มีชื่อจริงจะได้มั้ย มันหยาบคายไปหน่อย...ถึงแม้..จะอยู่ในที่แบบนี้ก็เถอะ”
> “โทษที” นักวิจัยหนุ่มตอบกลับเบา ๆ แล้วเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งฝั่งตรงข้าม
“แต่ชื่อของคุณไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สำหรับที่นี่ คุณคือวัตถุผิดปกติลำดับที่ 8642”
ดร.มูนเปิดแฟ้ม
เอกสารภายในเต็มไปด้วยภาพศพไหม้เกรียม บ้านที่กลายเป็นซากเถ้าถ่าน และภาพร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสจนเกินเยียวยา
หนึ่งในนั้นคือ ชายหนุ่มที่ถูกยิงตายข้างตัวเซนิน
อีกหกศพที่เหลือ...แทบไม่เหลือเค้าโครงของมนุษย์
> “พวกเราอยากรู้ว่าคุณรอดจากเหตุการณ์นั้นได้ยังไง…”
“...และที่สำคัญ—”
เขาหยุดประโยคไว้แค่นั้น เพราะดวงตาของเซนินเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นชั่วขณะ ราวกับเพียงได้ยินคำว่า "เหตุการณ์นั้น" ก็สามารถสั่นสะเทือนใจเขาได้อย่างประหลาด
> “เลิกพูดถึงเรื่องในวันนั้นจะได้มั้ย...”
เสียงพูดเบา ๆ ทว่าหนักแน่นของชายผู้ถูกขนานนามว่า SCP-8642 ทำให้ดร.มูนเงียบไปชั่วครู่
ในบันทึก ไม่มีคำอธิบายใดชัดเจนถึงความสามารถของเขา มีเพียงข้อสังเกตหนึ่งบรรทัดว่า:
> "มีอัตราการฟื้นฟูร่างกายที่ผิดธรรมชาติ และอีก.ความสามารถที่ยังไม่แน่ชัด.."
เสียงกระดาษในแฟ้มหนาถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า แสงไฟสีขาวนวลสลัวกระทบกับผิวโต๊ะโลหะเย็นเฉียบภายในห้องสอบสวนที่ไร้สิ่งปรุงแต่งใด ๆ นอกจากโต๊ะ เก้าอี้ และชายคนหนึ่ง
ดร.มูนยังคงนั่งอยู่ตรงข้าม สายตาอ่านบรรทัดเอกสารผ่านแว่นบางกรอบเงิน ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้า ๆ
“เซนิน คิริว... หรือที่ในแฟ้มระบุว่า SCP-8642”
ชายหนุ่มตรงหน้าขยับเล็กน้อย สายตาไม่หลบไม่เลี่ยง มีเพียงแววเหนื่อยล้าและความเบื่อหน่ายเจืออยู่ในแววตาสีฟ้าครามของเขา
เขานั่งหลังตรง มือทั้งสองถูกล็อกไว้กับโต๊ะด้วยโซ่เหล็กพิเศษ เสื้อนักโทษสีส้มที่เขาสวมดูจะกลืนไปกับแสงสลัวของห้องจนแทบไม่เห็นความสดของมัน
ดร.มูนเปิดแฟ้มไปยังหน้าที่มีภาพถ่ายขาวดำ พอเห็นภาพนั้น เขาก็วางมันลงตรงหน้าผู้ต้องขัง
“ไฟไหม้ทั้งหลัง ศพเจ็ดราย — หกคนไม่ทราบชื่อ และอีกหนึ่ง... เซนิน ฮานะกิ”
ทันทีที่ชื่อพี่ชายของเขาถูกเอ่ยขึ้น เสี้ยววินาทีหนึ่งในดวงตาของเซนินเหมือนจะสั่นไหว... นิดเดียวเท่านั้น แล้วก็กลับไปนิ่งเฉยเหมือนเดิม
ดร.มูนมองการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนั้นด้วยสายตาคมกริบ
“มีอะไรจะพูดไหม?”
เซนินเงียบไปอีกพัก เขามองภาพศพไหม้เกรียมที่วางอยู่ตรงหน้า ดวงตาเย็นเฉียบไร้แววสะท้อนความเสียใจ แต่กลับเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่ลึกเกินกว่าจะตีความได้
“คนพวกนั้นไม่ควรอยู่ที่นั่น” เขากล่าว
“คุณหมายถึงใคร?” ดร.มูนถามกลับ
“ทั้งหกคนนั่น... พวกมันเป็นแค่เศษขยะที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น” เขายิ้มบาง ๆ “แต่เขา... ฮานะกิ... เขาแค่พยายามจะช่วยผม”
ดร.มูนขมวดคิ้ว “แล้วคุณ... ฆ่าเขาเหรอ?”
เซนินหลุบตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากขยับ แต่ไม่มีคำพูดหลุดออกมาในตอนแรก จนกระทั่งเขาพูดด้วยเสียงเรียบเฉยว่า
“ผมไม่ได้ตั้งใจ...”
ไฟในห้องยังคงสลัว ความเงียบที่แผ่คลุมหลังบทสนทนานั้น กลับดังกว่าทุกเสียงที่เคยมี
“แล้วระเบิดล่ะ? คุณทำได้ยังไง?”
“ผมก็แค่... จับ... แล้วมันก็ ‘แล้วมันก็..’ ตู้ม!” เซนินกระตุกยิ้มข้างเดียวเบา ๆ “เรียบง่ายดีใช่มั้ย?”
“เรียบง่าย?” ดร.มูนทวนคำ รอยยิ้มบางเฉียบเจือขึ้นบนใบหน้า
เซนินยักไหล่ เหมือนเขาไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เขาเอียงคอเล็กน้อย มองเพดานห้องที่เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิดราวกับจงใจให้ใครบางคนดูอยู่เห็น
“บางคนเกิดมาแค่เพื่อดู ส่วนบางคน... ก็เกิดมาเพื่อ ‘กลายเป็น’ สิ่งที่คนอื่นหวาดกลัว”
“คุณเลือกเอง หรือมันเกิดขึ้นกับคุณ?”
คำถามนั้นทำให้เซนินนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาหลุบตาลงเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว
“ผมไม่ได้เลือก... แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธมันเลยเหมือนกัน”
เสียงหายใจจากปลายสายของเครื่องบันทึกดังแผ่วในความเงียบ ดร.มูนเปิดหน้าถัดไปของแฟ้ม เอกสารลับมากมายที่ถูกขีดไว้ด้วยหมึกแดงคำว่า EYES ONLY ทับด้วยตราสัญลักษณ์ของหน่วยงาน SCPF — หน่วยปฏิบัติการลับที่มีหน้าที่ควบคุม ป้องกัน และปกปิดทุกสิ่งที่เกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์
“คุณรู้ไหมว่าในแวดวงของพวกเรา มีชื่อเล่นให้คุณด้วย” ดร.มูนวางฝ่ามือลงบนโต๊ะ “The Null Catalyst – ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ไม่เคยถูกตรวจพบ แต่ก่อผลกระทบได้เกินการคำนวณ”
เซนินหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ชื่อเท่ดีแฮะ... แต่ก็น่าเบื่อนะ ผมไม่ใช่ตัวเร่งอะไรหรอก ผมก็แค่... อยู่เฉย ๆ แล้วอะไร ๆ มันก็พังเอง”
เสียงกุกกักดังขึ้นจากอีกด้านของกระจกเงาทึบแสง เจ้าหน้าที่ชุดดำสองคนเดินผ่านไปแบบเงียบ ๆ เซนินปรายตามองเสี้ยววินาทีก่อนหันกลับมาจ้องดร.มูน
“แล้วคุณล่ะ?” เขาถามกลับบ้าง “มานั่งตรงนี้ทำไม? อยากเข้าใจผมเหรอ?”
ดร.มูนเงียบไป ก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วตอบเรียบ ๆ
“ผมอยากรู้... ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ยัง ‘เป็นมนุษย์’ อยู่ในตัวคุณ”
เซนินนิ่งไปนานจนห้องทั้งห้องเงียบงันเหมือนโลกหยุดหมุน เขาค่อย ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ทอดสายตามองแสงไฟเหนือหัว
“ถ้ามนุษย์คือสิ่งที่ยังรู้สึกเสียใจได้... ผมคงไม่เหลือแล้วล่ะ”
ดร.มูนไม่ตอบอะไรอีก เขาเพียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ปิดแฟ้มลงอย่างเงียบงัน เสียงฝาแฟ้มกระทบกันดัง แกร็ก คล้ายเสียงฝาโลงศพที่เพิ่งปิดสนิท
“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ... เซนิน คิริว”
ชายหนุ่มไม่ได้มองเขา ดวงตาสีฟ้าครามทอดมองฝุ่นบนโต๊ะที่เขาเขียนเล่นเป็นวง ๆ ไว้ก่อนหน้านั้น ราวกับทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปแล้ว
ดร.มูนลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขยับแว่นอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังประตูเหล็กหนา เสียงล็อกนิรภัยปลดออกทีละชั้น คลิ๊ก... กึด... แกรก...
ก่อนประตูจะเปิดออก เขาหันกลับมามองเซนินอีกครั้ง เสี้ยววินาทีที่ดวงตาของทั้งคู่สบกัน มันมีบางอย่างแฝงอยู่ — ความเข้าใจที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
"เราจะเจอกันอีกแน่นอน"
เสียงประตูปิดลงตามหลังเขา ทิ้งไว้เพียงความเงียบและแสงสลัวจากหลอดไฟเหนือศีรษะที่สั่นไหวเล็กน้อย
เซนินยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ร่างนิ่งไม่ไหวติง แต่ปลายนิ้วของเขากลับขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนโต๊ะอีกครั้ง — ฝุ่นที่กระจาย
ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบแสนเงียบสงัด ไฟเพดานสลัว ๆ สาดแสงขาวลงมาตรงจุดที่เขานั่งอยู่พอดี
เสียงเครื่องบันทึกดับไปนานแล้ว เหลือเพียงความเงียบกับเสียงลมหายใจแผ่วเบาของใครคนหนึ่ง
เซนินนั่งก้มหน้าอยู่ที่เดิม สายตาไร้โฟกัสทอดมองฝ่ามือตัวเองที่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็กหนา นิ้วเรียวยาวแต่เต็มไปด้วยรอยไหม้เก่าก่อนบิดงอเล็กน้อย ยากจะรู้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่
...เขาไม่ได้ตอบคำถามของดร.มูนอีกเลยหลังจากประโยคสุดท้าย
มีเพียงเงียบงัน
เงียบ
จนเสียงในหัวดังชัดกว่า
> “คิริว... คิริวตั้งสติหน่อยสิ พวกเขา...”
เสียงในความทรงจำแว่วขึ้น ก้องเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน ทั้งที่ความจริง... เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันผ่านมาแล้วกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี
...เลือดอาบมือเขาในวันนั้น
ไฟที่กลืนทั้งหลังบ้าน
ศพของพี่ชายที่ทอดร่างนิ่งข้างเขา ดวงตาเบิกโพลงและปากยังค้างคำพูดสุดท้าย
...มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ
“คุณSCP-8642ครับ”
เสียงทุ้มของเจ้าหน้าที่กองควบคุมดึงสติของเซนินกลับมา
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แสงจากโคมไฟสะท้อนผ่านม่านผมขาวๆ ฟุ้งกระจาย ดวงตาสีครามนั้นไม่แสดงอารมณ์ใด... ราวกับทั้งร่างกายและหัวใจได้ตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว
โซ่ที่ล่ามข้อมือถูกปลด ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะล็อกสายรัดร่างใหม่อีกชุดแน่นหนากว่าเดิม
ไม่มีเสียงจากเซนิน เขาเพียงยอมให้ถูกควบคุมพาเดินไปตามทางเดินยาวแคบ
ระหว่างทางนั้นเอง—
ทันทีที่เลี้ยวหัวมุมตึก เขาก็สวนกับใครบางคน...
หญิงสาวในชุดเสื้อกราวน์สีขาว สวมแว่นสายตาขอบบาง ใบหน้าหม่นนิ่งและดวงตาที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ เธอเพียงหันมามองเขาครู่หนึ่งเท่านั้น ก่อนจะเดินสวนไปโดยไม่พูดอะไร
และเขา...
ก็เพียงแค่ชะงักก้าวชั่วขณะ
ไม่ใช่เพราะเธอสวย
ไม่ใช่เพราะแปลกหน้า
แต่เพราะในสายตาของเธอ
ไม่มีความกลัว...
ต่างจากคนอื่นที่มองเขาเหมือนกับระเบิดเวลาที่เดินได้
“ไป!” เจ้าหน้าที่ข้างหลังกระชากแขนเขาเบา ๆ
เซนินเดินต่อ
ทิ้งความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นไว้ตรงนั้น...
—แต่บางสิ่งในอกเขากลับไหววูบ
เหมือนรอยร้าวเล็ก ๆ เริ่มปริรอยในหัวใจที่ควรจะแข็งแกร่งและไร้ซึ่งความรู้สึกไปแล้ว...
เสียงประตูเหล็กปิดลงอย่างแน่นหนาพร้อมเสียงล็อกหลายชั้นดังกึกก้อง
เซนินถูกผลักเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแคบกว่าเดิม ผนังเรียบลื่นสะท้อนแสงไฟขาวจนแสบตา ไม่มีมุมให้หลบ ไม่มีพื้นที่ให้หนี และไม่มีอะไรเลย... นอกจากตัวเขาเอง
เขายืนนิ่งอยู่กลางห้องเหมือนรูปปั้น
เสียงฝีเท้าเจ้าหน้าที่จากไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ
เหลือเพียงความเงียบ
และหัวใจที่รู้สึกว่างเปล่ากว่าครั้งไหน ๆ
เซนินไม่รู้ว่าอะไรเปลี่ยนไป
เขาควรจะชินกับการถูกกักขัง ควรจะด้านชากับการถูกปฏิบัติแบบวัตถุทดลอง
แต่ครั้งนี้... ไม่เหมือนเดิม
ร่างกายเขายังเหมือนเดิม หัวใจก็เต้นจังหวะเดิม
แต่ทุกอย่างภายในมันเคว้งคว้าง ราวกับบางสิ่งในตัวหลุดออกไปแล้ว—ไม่รู้ว่าคืออะไร และไม่แน่ใจว่าจะได้มันกลับคืนหรือไม่
เขาทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพง
ภาพดวงตาคู่นั้นกลับผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
นิ่ง
เงียบ
แต่สะกิดบางอย่างในใจเขา
บางอย่างที่...
เขาไม่กล้าแม้แต่จะเรียกว่าความหวัง
ไม่สิ—มันไม่ใช่หวังหรอก
...มันแค่ทำให้เขา ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะไร้ความรู้สึกอีกต่อไปหรือเปล่า
ราวกับหัวใจที่ควรจะแข็งจนไม่เหลือเศษความเป็นคน กลับถูกกระทบจนไหว...
แล้วมันก็ค้างอยู่ในความไหวนั้น ไม่ได้ล้ม ไม่ได้ตั้ง
แค่... ล่องลอยอยู่กลางความว่างเปล่า
ภาพในวันนั้นแล่นเข้ามาในหัวเขาเป็นพักๆ เสียงกรีดร้องดังอยู่ในหัวครั้งคราว แต่สุดท้ายก็ลงด้วยความเงียบสงัด
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!