บทที่ 1 ชายเเดน
เมืองเล็ก ๆ ตรงชายแดนนามเยี่ยนหุย มีเนินเขาแห่งหนึ่งเรียกว่า “เป็นขุนพล” ชื่อเสียงเรียงนามฟังดูน่าเกรงขาม แท้จริงแล้วกลับเป็นเพียง เนินดินขนาดเล็กเท่านั้น หากลำคอยาวหน่อย แค่ขำเลืองตาเล็กน้อยก็มองข้าม ไปยังอีกฟากหนึ่งของเนินเขาได้
เนินขุนพลแห่งนี้มิได้มีมาแต่เดิม ตามตำนานเล่าขานกันว่าเมื่อสี่สิบปีก่อน กองทัพอาชาอันดับหนึ่งของแคว้นต้าเหลียงสามค่ายเหล็กทมิฬยกทัพ พิชิตเหนือ ปราบปรามอนารยชนสิบแปดเผ่าสำเร็จ ยามกองทัพหวนคืนราชสำนักเดินทางผ่านเมืองเยี่ยนหุย จึงถอดชุดเกราะสภาพชำรุดเสียหายทิ้งไว้ที่นั่น วางกองรวมกันแล้วสูงพะเนินเทียบได้กับเนินเขาขนาดย่อมเลยทีเดียว ต่อมาฝุ่นธุลีทรายกลบฝังวายุพัดโหมพิรุณซัดสาด จนกลายเป็นเนินขุนพล เฉกเช่นทุกวันนี้
เนินขุนพลเป็นเพียงเนินดินรกร้าง เพาะปลูกพืชผลไม่ขึ้น กระทั่งต้นหญ้ายังขาดแคลน จะมาลักลอบพลอดรักกันยังไร้ที่กำบัง สภาพโล้นเลี่ยน เตียนตั้งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะเอาไว้ทำอะไร คนแก่เฒ่าเล่ากันว่าเป็นเพราะกองทัพ ค่ายเหล็กทมิฬฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก่อกรรมทำเข็ญหนัก จึงก่อให้เกิดพลังอาฆาต รุนแรง ทว่าวันเวลาเคลื่อนผ่านไป เหล่าอันธพาลว่างงานมิมีอันใดทำก็มักใช้ ที่นั่นเป็นบ่อกำเนิด เสกสรรปั้นแต่งตำนานเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับภูตผีดุร้ายออกอาละวาดตรงชายแดน นานวันเข้าจึงไม่ค่อยมีผู้คนแวะเวียนไปที่นั่นอีก ยามพลบค่ำวันนี้ กลับมีเด็กวัยสิบกว่าปีสองคนวิ่งตรงไปที่เนิน สองคนนี้หนึ่งผอมสูงหนึ่งอ้วนเตี้ย มองรวมกันแล้วคล้ายชามกับตะเกียบวิ่งไล่ตามกัน
คนผอมสูงแต่งกายเฉกเช่นดรุณีน้อย เมื่อพิศดูค่อยพบว่าแท้จริงแล้ว เป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง มีชื่อเล่นว่าเฉาเหนียงจื่อ เนื่องจากหมอดูทำนายว่าเดิมที เขามีดวงเป็นสตรี แต่มาเกิดผิดท้อง เกรงว่าสวรรค์อาจเรียกตัวกลับไปเกิดใหม่ ทางบ้านกลัวว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน จึงเลี้ยงดูเยี่ยงสตรีมาโดยตลอด
ส่วนคนอ้วนเตี้ยนั้นเป็นบุตรคนเล็กของคนขายเนื้อแซ่เก๋อ มีชื่อเล่นว่า เก๋อพั่งเสี่ยว ตัวคนสมดังนาม เนื้อตัวอ้วนท้วนผิวเป็นมันเลื่อมคล้ายเคลือบด้วยน้ำมัน
ทั้งสองคนยึดคอยาวมองเนินขุนพล ทว่าต่างก็หวาดกลัวตำนานภูตผีอาละวาด จึงไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปใกล้ที่นั่น
เก่อพั่งเสี่ยวกำกระบอกสำริด “เนตรพันลี้” อยู่ในมือ พลางชะเง้อคอมองไปทางเนินขุนพล ปากเอ่ยพึมพำ
“เจ้าว่าตะวันตกดินแล้ว เหตุใดยังไม่ลงจากเขาอีก พี่ใหญ่ข้านี่ก็จริง ๆ เลย...เขาเรียกอะไรนะ....แขวนคอทิ่มกัน!”
เฉาเหนียงจื่อ
“เขาเรียกว่าแขวนขื่อทิ่มขา ต่างหากเล่า เจ้าเลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว รีบส่งเนตรพันลี้ให้ข้าเร็ว”
(เเขวนขื่นทิ่มขา อุปมาถึงความพากเพียรอุสาหะ)
ดรุณีปลอมผู้นี้แสร้งแสดงละครบ่อยเสียจนติดเป็นนิสัยและดูสมจริงอย่างมาก ทว่าน่าเสียดายตรงที่ความสมจริงนั้นกลับมีปัญหา เพราะมันหาได้เหมือนกุลสตรีในห้องหอไม่ แต่ดูคล้ายสตรีกร้านโลกปากร้ายเสียมากกว่า โดยเฉพาะนิสัยชอบฟ้อนกงเล็บหยิกเนื้อคน พอเขายื่นมือออกมาร่างเจ้าเนื้อของเก๋อพั่งเสี่ยวพลันรู้สึกเจ็บแปลบนิด ๆ จึงรีบส่งเนตรพันสี่ให้ไป พร้อมกำชับ
“เจ้าก็ระวังหน่อย อย่าทำมันเสียหายล่ะ ประเดี๋ยวบิดาได้สับข้าเป็นหมูบะช่อแน่”
“เนตรพันลี้” ที่ว่านั้นเป็นกระบอกขนาดเล็กทำจากสำริด โดยรอบสลักลวดลาย “ห้าค้างคาว” ด้านในติดแผ่นกระจกไว้ เมื่อยกขึ้นมองส่องแนบดวงตา กระทั่งกระต่ายที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้ก็สามารถมองเห็นชัดเจนว่าเป็นตัวผู้ หรือตัวเมีย เนตรพันลี้ของเก๋อพั่งเสี่ยวจัดทำอย่างประณีตเป็นพิเศษ เพราะเป็นสมบัติตกทอดจากปู่ที่เคยเป็นทหารสอดแนมมาก่อน
เฉาเหนียงจื่อถือไว้ในมือพลางพิศดูด้วยความแปลกตาแปลกใจอยู่ เป็นนาน ก่อนยกขึ้นมองส่องดวงดาว
“ชัดมาก”
เก่อฟังเสี่ยวมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป แล้วชี้ว่า
“ข้ารู้ นั่นเรียกว่า ดาวประจำเมือง หรือเรียกอีกอย่างว่า 'ฉางเกิง' ชื่อเดียวกับพี่ใหญ่ข้าเลย อาจารย์เสิ่นเคยสอนไว้ ข้าจำได้”
เฉาเหนียงจื่อเบ้ปาก
“ใครเป็น “พี่ใหญ่” ของเจ้ากันหา? เจ้าดูสิว่า คนอื่นเขาสนใจเจ้าด้วยหรือ หน้าด้านวิ่งไล่ตามก้นเรียกเขาเป็นพี่ใหญ่อยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักอับอายบ้างหรือ...โอ๊ะ ช้าก่อน เจ้าลองดูสิว่านั่นใช่เขาหรือไม่”
เก๋อพั่งเสี่ยวมองตามนิ้วที่อีกฝ่ายชี้นำไป ใช่จริงด้วย
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งสะพายกระบี่ ก้มหน้าเดินดุ่ม ๆ ลงมาจากเนินขุนพล เก๋อพั่งเสี่ยวก็ราวกับลืมเลือนความหวาดกลัวภูตผีจนหมดสิ้น รีบร้อนวิ่งรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายทันที
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่!”
เขารีบร้อนวิ่งเกินไปทำให้ปลายเท้าสะดุดอะไรบางอย่างแถวตีนเนินขุนพลเข้าจึงหกคะเมนล้มกลิ้งกลุก ๆ ไปหยุดตรงข้างปลายเท้าเด็กหนุ่มพอดี เก๋อพั่งเสี่ยวเงยใบหน้าเปื้อนฝุ่นขึ้นมา แต่แทนที่จะรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน กลับฉีกยิ้มโง่งมหวังประจบอีกฝ่าย พร้อมอ้าปากเอ่ย
“แหะ ๆ พี่ใหญ่ ข้ารอท่านตรงนี้มาทั้งวันแล้ว”
เด็กหนุ่มนามว่าฉางเกิงชักเท้าที่เกือบเหยียบตัวเก๋อพั่งเสี่ยวกลับไป อย่างเงียบ ๆ
ทุกครั้งที่เห็นเก๋อพั่งเสียว เขามักรู้สึกแปลกใจเสมอ และคิดว่าคนขายเนื้อแซ่เก๋อที่เคยฆ่าหมูมาแล้วนับพันตัวอาจจะมีตาทิพย์ก็เป็นได้ เพราะตลอดหลายปีมานี้ยังไม่เคยพลาดพลั้งจับบุตรของตนเองมาเชือดแทนหมูเสียที ทว่าฉางเกิงนั้นมีนิสัยสุขุมหนักแน่น ปากยิ่งสั่งสมบุญบารมี ไม่ว่าในใจจะคิด เช่นไรก็ไม่เคยเอ่ยปากทำร้ายผู้คน
ฉางเกิงวางตัวสมดังที่ถูกเรียกขานเป็นพี่ใหญ่ ยื่นมือไปพยุงเก๋อพั่งเสี่ยวให้ลุกขึ้นมา ทั้งยังช่วยปัดฝุ่นละอองที่เปรอะเปื้อนตามตัว
“วิ่งทำไม ระวังสะดุดล้มได้แผล มาหาข้ามีธุระหรือ”
เก่อฟังเสี่ยว
“พี่ใหญ่ฉางเกิง พรุ่งนี้พวกบิดาท่านจะกลับกันมาแล้ว พวกเราก็ไม่มีเรียนเช่นกัน เช่นนั้นท่านไปร่วมวงแย่งอาหารห่านกับพวกเราดีหรือไม่ รับรองว่าต้องเล่นงานพวกเจ้าลิงหลี่จนปัสสาวะราดได้แน่!”
บิดาของฉางเกิงคือนายกองสวี....ทว่าแท้จริงแล้วมิใช่บิดาผู้ให้กำเนิด
ตอนฉางเกิงอายุประมาณสองสามปี เขาติดตามมารดาม่ายนาม ซิ่วเหนียงเดินทางมาหวังพึ่งพิงญาติพี่น้องที่นี่ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าญาติพี่น้องกลับอพยพครอบครัวโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว ทั้งสองจึงเดินทางมาเสียเที่ยว ประจวบกับคู่ชีวิตของนายทหารรักษาการณ์เมืองเยี่ยนหุยอย่างนายกองสวี ลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควรโดยไร้บุตรธิดา เขารู้สึกพึงใจในตัวซิ่วเหนียง จึงสู่ขอนางมาเป็นภรรยาคนใหม่
เวลานี้นายกองสวีพาผู้ใต้บังคับบัญชาเดินทางออกนอกด่านไปขนเครื่องบรรณาการรายปีจากพวก “ชาวหมาน” (ชาวหมาน หมายถึง คนเถื่อน หรือพวกอนารยชน เป็นคำเรียกคนต่างแดนอย่างดูแคลน อาทิ เป่ยหมาน คือ พวกคนเถื่อนทางเหนือ หนานหมาน คือ พวกคนเถื่อนทางใต้ เป็นต้น)
ลองคำนวณดูแล้วน่าจะเดินทางกลับมาถึงตัวเมืองอย่างเร็วก็ภายในวันสองวันนี้
หมู่บ้านชายแดนยากจนขนแค้น พวกเด็ก ๆ จึงไม่มีของกินเล่น ดังนั้นทุกครั้งที่พวกทหารขนเครื่องบรรณาการกลับมาจึงมักจะนำเนยแข็งและ เนื้อตากแห้งของพวกชาวหมานติดไม้ติดมือมาด้วย เพื่อโปรยแจกข้างทาง ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดพวกเด็กซุกซนให้เข้ามาแย่งชิงกันทุกครั้ง นี่ก็คือ “การ แย่งอาหารห่าน” นั่นเอง ในเมื่อต้อง “แย่งชิง” กัน เด็กเหล่านี้จึงหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทได้ยาก ทว่าขอเพียงมิได้ต่อยตีกันจนแขนขาหัก พวกผู้ใหญ่มักไม่ค่อยสนใจ และปล่อยให้พวกเขาหาสมัครพรรคพวกมาแก่งแย่งกันเอง พวกเด็ก ๆ ในเมืองนี้ต่างรู้กันดีว่าเวลาไปแย่งอาหารห่าน ใครดึงตัวฉางเกิงเข้ากลุ่มได้ รับรองว่าไม่มีทางพ่ายแพ้เด็ดขาด
เพราะฉางเกิงตั้งใจฝึกฝนวิชาการต่อสู้อย่างไม่เคยย่อท้อมาตั้งแต่เด็ก... ในเมืองชายแดนแห่งนี้มีครอบครัวทหารอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมี เด็ก ๆ ฝึกฝนวิชาการต่อสู้กันไม่น้อย ทว่าการฝึกวิชาการต่อสู้นั้นจำเป็นต้อง อดทนต่อความเหนื่อยยากและความลำบาก ทำให้เด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยตั้งใจ ฝึกฝนอย่างจริงจัง จึงไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวนัก มีเพียงฉางเกิงเท่านั้นที่นับตั้งแต่ วันเริ่มฝึกกระบี่ ก็ยังคงเดินทางขึ้นไปฝึกฝนวิชากระบี่บนเนินขุนพลตามลำพังทุกวัน ไม่เคยหยุดพักเลยตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ นับว่าเป็นผู้ที่มีความพากเพียรอุตสาหะสูงจนน่าทึ่งคนหนึ่ง
บัดนี้ฮางเกิงยังมีอายุไม่เต็มสิบสี่ดี แต่สามารถถือกระบี่หนักหกสิบกว่า จินได้ (จิน คือ หน่วยชั่งตวงวัดของจีน โดย 1 จินเท่ากับ 0.5 กิโลกรัม )
ด้วยมือข้างเดียวแล้ว แม้เขาจะมีวิชาฝีมือติดตัว แต่ก็ไม่เคยเข้าร่วม วงต่อสู้วิวาทกับเหล่าเด็กซุกซน ทว่าเด็กพวกนั้นกลับมีท่าทีกลัวเกรงเขาโดยไม่ทราบสาเหตุ
ฉางเกิงฟังแล้วก็มิได้นำพา เพียงยิ้มตอบ
“ข้าโตป่านนี้แล้ว ยังจะให้ไปแย่งอาหารห่านอะไรอีก”
เก๋อพั่งเสียวยังพยายามอ้อนวอนต่อ
“ข้าอุตส่าห์ขออาจารย์เสิ่นแล้ว อาจารย์เสิ่นยังพยักหน้าอนุญาตให้เราหยุดเรียนกันได้ในช่วงหลายวันนี้”
ฉางเกิงเอามือไพล่หลังเดินต่อไปเรื่อย ๆ กระบี่หนักแกว่งไกวมา ตีกระทบน่องเป็นครั้งคราว แต่เขาก็มิได้สนใจฟังคำพูดของเด็ก ๆ อย่างเก๋อพั่งเสี่ยวแม้แต่น้อย เขาจะเรียนหรือไม่เรียนหนังสือ จะฝึกหรือไม่ฝึกกระบี่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับคำอนุญาตของ อาจารย์ไม่
เก๋อฟังเสี่ยว
“อาจารย์เสิ่นยังบอกอีกว่าเขาต้องเปลี่ยนยาให้ท่านอาสือลิ่วพอดี หลายวันนี้คงไม่อยู่บ้านเช่นกัน เพราะต้องออกจากบ้านไปหาซื้อสมุนไพร ไหน ๆ ท่านก็ไม่มีที่ไปแล้วก็ไปกับพวกเราเถอะนะ วัน ๆ เอาแต่ฝึกกระบี่ สนุกตรงไหนกัน”
ในที่สุดคำพูดประโยคนี้ก็กระตุ้นความสนใจจากฉางเกิงจนได้ เขาชะงักเล็กน้อยก่อนถาม
“สือลิ่วเพิ่งกลับมาจากด่านฉางหยางมิใช่หรือ เหตุใดจึง ล้มป่วยอีกเล่า"
เก่อฟังเสี่ยว
“อา...ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เขายังไม่หายดีสักที"
“เช่นนั้นข้าคงต้องไปดูเขาเสียหน่อย”
ฉางเกิงโบกมือไล่ผู้ติดตามน้อย ทั้งสองคน
“รีบกลับบ้านไปเสีย ฟ้าใกล้ค่ำเต็มที กลับไปไม่ทันอาหารเย็น ระวังบิดาเจ้าจะฟาดก้นเอา"
เก่อฟังเสี่ยว
“เอ่อ พี่ใหญ่ เรื่องนั้น...."
ฉางเกิงไม่สนใจฟัง “เรื่องนี้” “เรื่องนั้น” ไม่รู้จักจบจักสิ้นของอีกฝ่าย เด็กชายอายุเท่านี้ อายุมากกว่าหนึ่งปีก็คือหนึ่งปี ส่วนสูงกับความคิดอ่าน ย่อมผิดแผกกัน ฉางเกิงไม่อาจเข้าร่วมวงเล่นสนุกซุกซนกับพวกเก๋อพั่งเสี่ยวอีกต่อไปแล้ว เขาอาศัยความสูงกับช่วงขายาวของตนให้เกิดประโยชน์ แค่ชั่วพริบตาเดียวก็เดินทิ้งห่างไปไกลแล้ว
เจ้าอ้วนน้อยวิ่งมาเสียเที่ยวเปล่า ชักชวนคนเข้ากลุ่มไม่สำเร็จ ก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ก่อนหันกลับไปถลึงตาใส่เฉาเหนียงจื่อ
“เจ้าก็ ช่วยพูดอะไรบ้างสิ!”
เฉาเหนียงจื่อหน้าแดงก่ำ แววตาเลื่อนลอย สีหน้าบูดบึงตอนชี้บอกเมื่อครู่นี้เลือนหายไปหมดสิ้น เวลานี้กลับเอามือกุมอกทำท่าเหมือนดรุณีน้อยเพ้อรัก
“พี่ใหญ่ฉางเกิงของข้า แค่ท่าเดินยังน่าดูกว่าผู้อื่น”
เก๋อฟังเสี่ยวพูดไม่ออก หมายมั่นปั้นมือว่าต่อไปจะไม่ชวนเจ้าตัวตลก น่าขายหน้านี่มาด้วยอีกแล้ว
"อาจารย์เสิ่น” กับ “ท่านอาสือลิ่ว” ที่เก๋อฟังเสี่ยวกล่าวถึงนั้นเป็นพี่น้องกัน และเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับฉางเกิงมาก่อน
เมื่อสองปีก่อน ตอนฉางเกิงยังเยาว์วัยกว่านี้ เขาลอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกประตูเมืองตามลำพัง ทำให้พลัดหลงโดยไม่ทันได้ระวังตัว จึงไปเจอกับฝูงหมาป่าเข้า และเกือบโดนคาบตัวไปแล้ว เคราะห์ดีที่สองพี่น้องแซ่เสิ่น เดินทางผ่านมาพอดี จึงสาดผงสมุนไพรขับไล่ฝูงหมาป่าหิวโหยไป และช่วยชีวิต น้อย ๆ ของเขาเอาไว้ได้ ต่อมาสองพี่น้องตัดสินใจพำนักอยู่ที่เมืองเยี่ยนหุยต่อในระยะยาว นายกองสวีจึงแบ่งเรือนที่ยังว่างในบ้านให้พวกเขาพักอาศัยโดย ไม่คิดค่าเช่า เพื่อตอบแทนบุญคุณที่พวกเขาช่วยชีวิตฉางเกิงไว้
สองพี่น้องคู่นี้ คนพี่มีนามว่า “เสิ่นอี้” เป็นบัณฑิตสอบตกที่เข้าสอบมาหลายครั้งก็สอบไม่ผ่านสักที แม้ยังอายุไม่มาก แต่สิ้นหวังและหมดใจกับเส้นทางรับราชการเสียแล้ว จึงปลีกตัวมาใช้ชีวิตเป็นผู้ซ่อนเร้นกายในถิ่นทุรกันดาร เช่นนี้ ชาวบ้านร้านตลาดล้วนเรียกขานเขาอย่างยกย่องว่า “อาจารย์เสิ่น”
นอกจากอาจารย์เสิ่นจะมาใช้ชีวิตเป็นยอดคนผู้ซ่อนเร้นกายที่นี่แล้ว ยังรับหน้าที่เป็นทั้งหมอรักษาคน คนช่วยเขียนสาสน์ อาจารย์สอนตามบ้าน และ “ช่างกล” อีกด้วย เขามีความสามารถหลากหลายด้าน ไม่เพียงรักษา บาดแผลฟกช้ำได้ ยังทำคลอดให้แม่ม้าเป็น ตอนกลางวันเปิดสอนหนังสือในบ้าน สอนพวกเด็ก ๆ อ่านหนังสือเรียนรู้ตัวอักษร พอตกเย็นหลังจากไล่ พวกเด็ก ๆ กลับไปแล้ว ยังม้วนแขนเสื้อลงมือซ่อมแซมเครื่องจักรไอน้ำ ชุดเกราะเหล็ก และหุ่นจักรกลต่าง ๆ เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในบ้าน เรียกว่า ซ่อนเร้นกายจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้จริง ๆ
อาจารย์เสิ่นทั้งรู้จักหาเงิน ทั้งดูแลบ้าน กระทั่งจุดเตาก่อไฟทำอาหารยัง ทำได้ดี เรียกว่าเก่งกาจไปเสียทุกด้าน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้น้องชายของเขาไม่มี อะไรทำ นอกจากทำตัวเป็นคนไม่เอาถ่านไปวัน ๆ...น้องชายของอาจารย์เสีน มีนามว่า “เสิ่นสื่อลิ่ว” ได้ยินว่าสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทางบ้านเกรง จะเลี้ยงได้ไม่ถึงตอนโต จึงมิได้ตั้งชื่อจริงให้ เนื่องจากเขาเกิดในวันที่สิบหกเดือนหนึ่ง จึงใช้คำว่า “สือลิ่ว” เป็นชื่อตัวไป
วัน ๆ สือลิ่วไม่อ่านตำราวิชาความรู้ ไม่ทำงานทำการอื่นใด ขนาดขวดน้ำมันล้มหกเรี่ยราดยังไม่รู้จักหยิบจับตั้งขึ้นมา กระทั่งถังน้ำยังไม่เคยเห็นเขาแบกหิ้วมาก่อน ถ้าไม่ออกไปเที่ยวตะลอนก็เอาแต่ดื่มสุรา ไม่เคยสนใจศึกษา ศาสตร์วิชาใด ๆ เรียกว่าแทบมองหาข้อดีไม่ได้สักอย่าง
นอกจากหน้าตาดีเท่านั้น
เขาหน้าตาดีมากจริงแท้ กระทั่งผู้เฒ่าอายุยืนในเมืองยังออกปากว่า เขามีชีวิตอยู่มาจนอายุเกือบเก้าสิบปี ยังไม่เคยพบเจอคนหนุ่มที่ไหนหน้าตาดี พร้อมสมบูรณ์เท่านี้มาก่อน
แต่น่าเสียดายว่าต่อให้หน้าตาดีสักแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี...เพราะ เสิ่นสือลิ่วเคยป่วยหนักในวัยเยาว์ ไข้ขึ้นสูงจัดจนส่งผลเสียต่อร่างกาย ดวงตา สามารถมองเห็นสิ่งของชัดเจนเพียงแค่ในระยะสองฉือ เท่านั้น หากเดินถอยห่างออกไปสักสิบก้าว กระทั่งว่าเป็นบุรุษหรือสตรียังแยกแยะไม่ออก นอกจากนี้แล้วยังหูตึงอีกด้วย เวลาจะสนทนากับเขาทีก็ต้องตะโกนกรอกหูทุกวัน เวลาเดินผ่านหน้าประตูบ้านเสิ่น แม้จะมีกำแพงสวนขวางกั้น แต่ยังได้ยินคนสุภาพนุ่มนวลเป็นนิจอย่างอาจารย์เสิ่นแผดเสียงตะโกนใส่เขาราวกับสุนัขคลั่ง สรุปว่าเสิ่นสือลิ่วเป็นตัวอมโรคที่ทั้งหูหนวกและตาบอดนั่นเอง
หากอาศัยรูปร่างหน้าตาของเขา เดิมที่สามารถใช้ชีวิตเป็นเจ้าหนุ่ม หน้าขาวเกาะภรรยาฐานะร่ำรวยอยู่กินดีมีสุขได้ ทว่าน่าเสียดายที่ในเมืองเล็ก ๆ ตรงชายแดนเช่นนี้ นอกจากผียาจกก็มีแต่เทพยาจกเท่านั้น ต่อให้เซียนสวรรค์ลงมาที่นี่เองยังเลี้ยงดูเขาไม่ไหว
นอกจากนี้แล้วตามธรรมเนียมในท้องถิ่น หากผู้ใดมีบุญคุณใหญ่หลวง จนยากจะตอบแทนหมดสิ้น มักใช้วิธีกราบไหว้อีกฝ่ายเป็นพ่อบุญธรรม ถ้ามีลูกหลานให้ลูกหลานกราบไหว้ แต่ถ้าไม่มีลูกหลานก็กราบไหว้เสียเอง สองพี่น้องแซ่เสิ่นช่วยฉางเกิงจากคมเขี้ยวหมาป่า นับว่ามีบุญคุณช่วยชีวิต ดังนั้นฉางเกิงย่อมต้องกราบไหว้หนึ่งในสองคนเป็นพ่อบุญธรรม
อาจารย์เสิ่นร่ำเรียนตำรามามากจนสมองมีปัญหา รีบโต้แย้งทันทีว่า ไม่เหมาะสม ทั้งยังยืนกรานหนักแน่นไม่ยอมรับเด็ดขาด กลับเป็นน้องชายของเขาท่านสือลิ่วที่ยอมรับได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งจัดแจงเปลี่ยนคำเรียกขาน เป็น “เจ้าลูกชาย” ในทันที
เช่นนี้แล้ว จอมเสเพลเสิ่นสือลิ่วจึงเป็นฝ่ายได้กำไรมหาศาล...เพราะถ้า ตัวอมโรคที่ดีแต่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายไปวัน ๆ เกิดตกทุกข์ได้ยากในภายภาคหน้า ฉางเกิงก็ต้องรับเลี้ยงดูเขาไปจนตายนั่นเอง
ฉางเกิงเดินทะลุผ่านสวนบ้านตนเองอย่างคุ้นเคยดี จากนั้นเลี้ยวออกประตูข้างไปก็ถึงบ้านอาจารย์เสิ่นแล้ว บ้านสกุลเสิ่นมีบุรุษหนุ่มโสดเพียง สองคนเท่านั้น กระทั่งไก่ตัวเมียสักตัวยังจะไม่มี จึงไม่จำเป็นต้องระมัดระวังผู้ใด แต่ไหนแต่ไรมาฉางเกิงก็เดินเข้าออกตามใจชอบ กระทั่งประตูยังไม่เคาะให้เสียเวลา
พอสาวเท้าเข้าไปในลานบ้าน กลิ่นยาสมุนไพรกับเสียงชวิน ก็ดังแว่วออกมา
อาจารย์เสิ่นกำลังนั่งขมวดคิ้วเคี่ยวยาอยู่ในลานบ้าน เขาเป็นบุรุษหนุ่มที่มีลักษณะเช่นเดียวกับบัณฑิตทรงภูมิ สวมเสื้อคลุมยาวตัวเก่า หน้าตายังไม่แก่ แต่เพราะชอบขมวดคิ้วอยู่เป็นนิจ จึงแลดูเย็นชาไปบ้าง
เสียงชวินลอยออกมา( ชวินเป็นเครื่องคนตรีประเภทเป่าอย่างหนึ่ง ทำด้วยดินเหนียว ลักษณะเหมือนขวดกลม ๆ มีรูเป๋าที่ปากขวด ด้านข้างจะมีอีกหลายรูสำหรับใช้นิ้วปิดเปิดเปลี่ยนเสียง )จากในห้อง แสงสลัวของตะเกียงส่องกระทบตัวคนเป่าซวิน ปรากฏเป็นเงาสูงโปร่งบนหน้าต่าง แม้ฝีมือการเป่าจะไม่เลว แต่ก็ฟังไม่ออกว่าเป็นเพลงอะไร และมักจะมีอยู่สองสามเสียงที่เป่าไม่ดัง กลายเป็นเสียงลมเสียงบอด จึงฟังดูอ่อนล้าปนวังเวงอย่างประหลาด ถ้าบอกว่านี่เป็นเสียงดนตรี อาจต้องฝืนใจสักนิด ฉางเกิงเงี่ยหูฟังอยู่
ครู่หนึ่ง พลางคิดว่าหากจำเป็นต้องเอ่ยชมจริง ๆ คงกล่าวได้แค่ว่าเขาร้องคร่ำครวญได้ชวนหวนไห้มาก
เสิ่นอี้ได้ยินเสียงฝีเท้าก็ส่งยิ้มให้ฉางเกิง ก่อนตะคอกเสียงเข้าไปในห้อง
“พ่อบรรพบุรุษเอ๊ย โปรดยั้งปากไว้ไมตรีด้วยเถิด ข้าแทบปัสสาวะราดเพราะ เสียงเป่าของเจ้าแล้ว ฉางเกิงมา!”
คนที่กำลังเป่าชวินแสร้งทำหูทวนลม แต่ดูจากความสามารถในการรับฟังเสียงของเขาแล้ว คิดว่าคงจะไม่ได้ยินจริง ๆ
ฉางเกิงฟังแล้วรู้สึกว่าผู้เป่าชวินมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม ไม่คล้ายคนล้มป่วย จึงรู้สึกโล่งใจไปกว่าครึ่ง ก่อนเอ่ยถาม
“ข้าได้ยินเก๋อพั่งเสี่ยวบอกว่าอาจารย์ ต้องเปลี่ยนยาให้สือลิ่ว เขาเป็นอะไรหรือ”
อาจารย์เสิ่นมองยาสมุนไพรที่ต้มเคี่ยวจนเริ่มออกสี พลางเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองนิด ๆ
“มิได้เป็นอันใด แค่เปลี่ยนฤดูกาลเท่านั้น สี่ฤดูใช้ตัวยาแตกต่างกัน โรคนี้ต้องคอยประคบประหงมให้ดี ปรนนิบัติเอาใจยากนัก...จริงสิ เจ้ามา ได้จังหวะพอดี ไม่รู้วันนี้เขาไปได้ของเล่นอะไรมา เห็นว่าพรุ่งนี้เข้าจะเอาไปให้ เจ้าพอดี รีบเข้าไปดูเถอะ”
ฉางเกิงยกชามยาที่ต้มเสร็จแล้ว เดินเข้าไปในห้องพ่อบุญธรรมของเขา
ในห้องของเสิ่นสือลิ่วมีแค่ตะเกียงน้ำมันที่กำลังส่องแสงสลัว ๆ เท่านั้น เปลวไฟเท่าเม็ดถั่วแลดูคล้ายหิ่งห้อยตัวน้อย เจ้าตัวกำลังนั่งพิงหน้าต่าง ใบหน้า กว่าครึ่งซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด เผยให้เห็นชัดเจนแค่บางส่วนเท่านั้น ดูท่าคงใกล้จะเข้านอนแล้ว เพราะเส้นสือลิ่วมิได้สวมกวาน เพียงปล่อยเส้นผมทิ้งตัว แผ่สยาย ตรงหางตากับติ่งหูมีแต้มไฝสีชาดเม็ดเล็ก ๆ คล้ายรอยเข็มตำ แสงสว่างอันน้อยนิดจากตะเกียงในห้องเหมือนถูกดึงมากระจุกรวมกันอยู่ตรงไฝสีชาดคู่นั้น จึงขับเน้นให้ดูเด่นสะดุดตายิ่ง
ยามมองคนท่ามกลางแสงตะเกียง มักแลดูงดงามกว่าปกติสามส่วน
ทุกผู้คนล้วนชมชอบสิ่งสวยงาม ต่อให้เคยเห็นจนชินตา ทว่าฉางเกิง ยังคงเผลอกลั้นหายใจไปชั่วอึดใจหนึ่ง เขารีบกะพริบตาอย่างรวดเร็ว ราวกับต้องการสลัดภาพแต้มไฝสีชาดเด่นสะดุดตานั่นออกไปจากนัยน์ตา จากนั้นกระแอมให้ลำคอโล่ง แล้วกล่าวเสียงดัง
“สือลิ่ว ดื่มยา"
เด็กหนุ่มกำลังอยู่ในช่วงเสียงแตกหนุ่ม เวลาพูดกับคนกึ่งหูหนวกจึง สิ้นเปลืองแรงไม่น้อย ดีที่คราวนี้เสิ่นสือลิ่วได้ยิน เสียงชวินชวนปวดปัสสาวะ ค่อยหยุดเงียบลง
กวาน คือ เครื่องประดับศีรษะของจีน เมื่อผู้ชายอายุครบยี่สิบปี จะมีพิธีสวมกวานเพื่อแสดงว่าบรรลุ นิติภาวะแล้ว
เสิ่นสือลิ่วหรี่ตาเพ่งมอง จนแยกแยะได้ว่าเป็นฉางเกิง
“ไม่รู้จักเด็กรู้จัก ผู้ใหญ่ เรียกใครกันหา"
อันที่จริงแล้วเขาอายุมากกว่าฉางเกิงแค่เจ็ดแปดปีเท่านั้น ยังไม่มีครอบครัว อาจเพราะตระหนักดีว่าตนเองเป็นเสมือนโคลนเหลวมิอาจก่อเป็นกำแพง จึงเตรียมใจไว้แล้วว่าคงหาภรรยามาตบแต่งด้วยไม่ได้ และต้องใช้ชีวิต โดดเดี่ยวไปจนตาย ดังนั้นเมื่อมีคนเสนอตัวยกบุตรให้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงเลี้ยงดูเช่นนี้ จึงแทบจับมัดติดตัวไว้ให้แน่น ยามว่างก็ชอบหยิบยกฐานะ “บิดา” ของตนเองมาตอกย้ำให้จำขึ้นใจ
ทว่าฉางเกิงหาได้สนใจไม่ ยกชามยาเดินเข้าไปตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
“ดื่มเสียตอนยังร้อน นี่ก็ค่ำแล้ว ดื่มเสร็จแล้วรีบนอนเถอะ"
เสิ่นสือลิ่ววางชวินลงด้านข้าง รับชามยามา
“เจ้าหมาป่าตาขาว เป็นบุตรข้าไม่ดีหรือ เสียแรงทำดีกับเจ้าจริง ๆ"
เขาดื่มยาได้โดยไม่รู้สึกกล้ำกลืนลำบาก เห็นได้ชัดว่าเคยชินแล้ว ยกกระดกดื่มรวดเดียวหมดชาม จากนั้นรับน้ำที่ฉางเกิงรินให้มาดื่มล้างปาก อึกสองอึก ก่อนโบกมือบอกพ่อแล้ว
“วันนี้มีตลาดนัดที่ด่านฉางหยาง ข้าเลยเอาของเล่นมาฝากเจ้า เข้ามานี่สิ”
กล่าวจบ เสิ่นสือลิวก็โน้มตัวลง ควานมือค้นหาใต้โต๊ะหนังสือให้วุ่น แต่เขามองเห็นไม่ชัด จึงต้องก้มลงต่ำเสียจนปลายจมูกแทบถูกับพื้นโต๊ะ ฉางเกิง เห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างระอาใจ
“หาอะไรหรือ ข้าหาให้"
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ฉางเกิงทนไม่ไหว บ่นอุบขึ้นมา
“ข้าโตป่านนี้แล้ว ท่านยังจะสรรหาของเล่นหลอกเด็กมาให้ข้าอีกทำไม”
แทนที่จะทำเช่นนั้นมิสู้ก่อเรื่องวุ่นวายให้มันน้อยลงหน่อย ข้าจะได้มีเวลาไปศึกษาอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้บ้าง...คำพูดประโยคหลังดังอยู่ในใจ ฉางเกิงรอบหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว พอคำพูดมาถึงข้างปากก็รู้สึกว่าคงทำร้ายจิตใจคนฟังเกินไป จึงมิได้เอ่ยออกไป
เสิ่นสือลิ่วเป็นคนเสเพลที่ไม่เอาไหนสักอย่าง ทำตัวลอยชายไปวัน ๆ คนเดียวยังพอว่า กลับชอบลากฉางเกิงติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด ถ้าไม่เรียกเขาไปตลาดก็ต้องลากตัวเขาไปขี่ม้า มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่รู้ไปเก็บ 'ลูกสุนัข' จากที่ไหนมาให้เขาเลี้ยง...ครั้งนั้นทำเอาอาจารย์เสิ่นตกใจจนหน้าดำหน้าเขียวไปหมด เพราะเจ้าบอดนี่แยกแยะสุนัขกับหมาป่าไม่ออก ดันอุ้มลูกหมาป่า กลับมาเสียอย่างนั้น
นายกองสวีมักไม่อยู่บ้าน อีกทั้งเป็นคนไม่ค่อยพูดจา แม้จะดีกับ ฉางเกิงไม่น้อย แต่ก็มิได้คลุกคลีกับบุตรเลี้ยงมากนัก นับ ๆ ดูแล้ว ตลอด ช่วงสองปีสำคัญในวัยสิบสองสิบสามของฉางเกิง ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นข้างกาย พ่อบุญธรรมที่พึ่งพาไม่ค่อยได้อย่างเสิ่นสือลิ่วเสียมากกว่า
นับตั้งแต่เด็กน้อยเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาคมคาย เขาต้องพยายามข่มใจมากขนาดไหนถึงไม่โดนเสิ่นสือลิ่วชักนำให้เสียผู้เสียคน ไปก่อน
ฉางเกิงไม่อยากหวนคิด
เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยร่าเริงรักสนุก ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องวางแผนล่วงหน้า เวลาลงมือทำอะไรมักเคร่งครัดจริงจังมากเป็นพิเศษ ไม่ชอบให้ใครมารบกวน ดังนั้นจึงถูกเสิ่นสือลิ่วก่อกวนจนต้องหัวเสียอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็หัวเสียไม่ได้นานนัก เพราะเสิ่นสือลิ่วไม่ได้เอาเปรียบเขาด้วยคำเรียกขานเท่านั้น แต่ยังรักและเอ็นดูเขาเสมือนเป็นบุตรของตนจริง ๆ
มีอยู่ปีหนึ่งฉางเกิงป่วยหนัก นายกองสวีไม่อยู่บ้านเหมือนเช่นเคย หมอบอกว่าอาการน่าเป็นห่วงมาก พ่อบุญธรรมน้อยคนนี้นี่แหละที่อุ้มเขากลับบ้าน และคอยเฝ้าดูแลจนไม่ได้หลับได้นอนถึงสามวัน ทุกครั้งที่พ่อบุญธรรม สือลิ่วออกจากบ้าน ไม่ว่าจะไปใกล้หรือไกล ไม่ว่าจะไปทำอะไรก็มักจะมีของ เล่นหรือขนมของว่างติดไม้ติดมือกลับมาฝากฉางเกิงเสมอ
ฉางเกิงไม่ชอบของเล่น แต่ไม่อาจไม่รักหัวใจที่มักจะคิดคำนึงถึงเขาอยู่เสมอ
สรุปว่าทุกครั้งเวลาฉางเกิงพบสือลิ่ว เพลิงโทสะมักลุกโชนติดง่ายกว่า ปกติ แต่ถ้าไม่เจอกันเลยก็เป็นต้องคิดถึงเสียทุกครั้งไป
บางครั้งฉางเกิงยังเคยคิดว่าแม้เสิ่นสือลิ่วจะเป็นพวกไหล่ไม่แบกหาม มือไม่หิ้วของ บุ๋นไม่ได้บู๊ไม่รอด แต่ต่อไปอาจจะมีใครสักคนมาถูกตาต้องใจ หน้าตาของเขาก็เป็นได้ ภายภาคหน้าเกิดพ่อบุญธรรมน้อยแต่งภรรยาสร้างครอบครัว และมีบุตรของตนเองแล้ว ยังจะคิดถึงบุตรบุญธรรมอย่างเขาคนนี้ อีกหรือไม่
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ ฉางเกิงก็รู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เขาค้นเจอกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งจากโต๊ะของสือลิ่ว จึงสลัดความคิดเหลวไหลออกจาก หัว ก่อนยื่นกล่องส่งให้เสิ่นสือลิ่วโดยมิได้ใส่ใจมากนัก
“อันนี้หรือ”
เสิ่นสือลิ่ว
“ให้เจ้า ลองเปิดดูสิ”
คงเป็นง่ามไม้ยิงนก หรือไม่ก็เนยแข็งสักห่อกระมัง อย่างไรเสียก็คงไม่ใช่สิ่งของได้เรื่องได้ราวอะไร....ฉางเกิงเปิดดูโดยมิได้คาดหวังมากนัก ปากก็พร่ำบ่น
“มีเงินทองเหลือใช้ก็รู้จักประหยัดเสียบ้าง อีกอย่างข้าก็..."
อึดใจต่อมา พอฉางเกิงมองเห็นของในกล่องชัดถนัดตาพลันชะงักค้าง ดวงตาเบิกกว้าง
ในกล่องนั่นมีปลอกแขนเหล็ก!
“ปลอกแขนเหล็ก” ที่ว่านั้นแท้จริงแล้วเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของเกราะเบาที่ ใช้กันในกองทัพ แค่สวมไว้ตรงข้อมือเท่านั้น ใช้งานสะดวกมาก ด้วยเหตุนี้จึงมักถูกถอดแยกออกมาใช้เพียงชิ้นเดียว ตัวปลอกแขนเหล็กมีขนาดกว้างประมาณ สี่ชุ่น” ด้านในสามารถซุกซ่อนใบมีดเล็ก ๆ ได้สักสามสี่เล่ม แต่มีดดังกล่าวต้องสั่งทำเป็นพิเศษ บางเฉียบดุจปีกจักจั่น จึงเรียกกันว่า “มีดปีกจักจั่น”
กล่าวกันว่ามีดปีกจักจั่นที่ดีที่สุดนั้น ยามกดกลไกในปลอกแขนเหล็ก ยิงออกไป มันสามารถตัดเส้นผมที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายจิ้ง “ขาดเป็นสองท่อนได้”
ฉางเกิงถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“นี่...ท่านเอามาจากไหนหรือ”
เสิ่นสือลิ่ว
“ชู่ว์...อย่าให้เสิ่นอี้ได้ยินนะ นี่ไม่ใช่ของเล่น ถ้าเขามาเห็นเข้า ประเดี๋ยวจะบ่นยืดยาวอีก...เจ้าใช้เป็นหรือไม่”
อาจารย์เสิ่นกำลังรดน้ำอยู่ในลานบ้าน อีกทั้งมิได้หูหนวก ย่อมได้ยิน เสียงคนในเรือนสนทนากันชัดเจน เขาลอบรู้สึกจนใจกับเจ้าคนกึ่งหูหนวกที่ชอบเอามาตรฐานของตนเองมาวัดผู้อื่นเสียจริง ๆ
ฉางเกิงเคยศึกษาวิธีถอดรื้อชุดเกราะเหล็กจากเสิ่นอี้มาบ้าง จึงสวมปลอกแขนเหล็กอย่างคล่องแคล่ว แต่แล้วกลับค้นพบความพิเศษอย่างหนึ่ง ของมัน
มีดปีกจักจั่นมิได้ผลิตขึ้นโดยง่าย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วจึงพบเห็นน้อยมาก ปลอกแขนเหล็กในตลาดส่วนใหญ่ล้วนเป็นของเก่าที่โละออกมาจากกองทัพ ย่อมเป็นขนาดของบุรุษวัยฉกรรจ์ แต่อันที่เสิ่นสือลิ่วนำมาฝากนี้กลับ มีขนาดเล็กกว่าเท่าตัว จึงพอดีกับขนาดข้อมือของเด็กหนุ่ม
พอเห็นฉางเกิงนิ่งอึ้งไป เสิ่นสือลิ่วก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดจะถามอะไร จึงเอ่ยเสียงเนิบ ๆ
“ข้าได้ยินพ่อค้าบอกว่านี่เป็นของมีตำหนิ ไม่ได้มีปัญหาตรงไหน แค่ขนาดเล็กไปหน่อย เลยไม่มีใครสนใจ ถึงได้ขายให้ข้าแบบถูก ๆ ข้าเอง ก็ไม่ได้ใช้ เจ้าเอาไปเล่นเถอะ แต่ต้องระวังหน่อย อย่าทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ”
ฉางเกิงทำหน้าดีใจอย่างที่น้อยครั้งจะแสดงให้เห็น
“ขอบคุณ...”
สือลิ่ว
“ขอบคุณใคร”
ฉางเกิงตะโกนทันที
“พ่อบุญธรรม!”
“แค่มีนมก็นับเป็นแม่ เจ้าเด็กแสบเอ๊ย”
เสิ่นสือลิ่วหัวเราะพลาง โอบไหล่ฉางเกิงพาเดินออกไป
“รีบกลับบ้านไป ช่วงเดือนผีเช่นนี้ อย่าออกไป วิ่งเพ่นพ่านข้างนอกยามค่ำคืน"
ฉางเกิงฟังแล้วค่อยนึกขึ้นได้ ที่แท้วันนี้ก็เป็นวันที่สิบห้า เดือนเจ็ด เขาเดินออกประตูข้างกลับเข้าบ้านตนเอง ตอนก้าวเข้าประตูบ้าน จู่ ๆ ก็รู้สึกว่า เพลงท่อนที่เสิ่นสือลิ่วเป่าชวินเมื่อครู่นี้ฟังคุ้นหูอยู่ไม่น้อย แม้จะเป่าเพี้ยนไปไกล แต่พอนึกย้อนให้ดีก็ฟังคล้ายเพลง “สู่สุขาวดี” ที่ชาวบ้านมักเล่นในงานศพเช่นกัน
“เป่าเพลงตามเทศกาลหรือ" ฉางเกิงครุ่นคิดเงียบ ๆ
เสิ่นสือลิ่วส่งฉางเกิงกลับไปแล้วก้มหน้าลง พยายามเพ่งสายตามองอยู่พักหนึ่ง ค่อยเห็นภาพธรณีประตูอยู่ราง ๆ จึงก้าวข้ามอย่างระมัดระวังเพื่อไป ปิดประตู อาจารย์เสิ่นที่ยืนรออยู่ในลานบ้านยื่นมือมาช่วยพยุงแขนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นพาเดินกลับเข้าไปในห้อง
อาจารย์เสิ่น
“ปลอกแขนทำจากเหล็กทมิฬเนื้อดีที่สุด มีดปีกจักจั่น สามเล่มด้านในยังเป็นผลงานที่ปรมาจารย์ชิวเทียนหลินผลิตขึ้นเองกับมือ นับตั้งแต่ปรมาจารย์ตายไปก็ไม่มีใครทำอีก...ช่างเป็นของมีตำหนิที่ค่าสูงควรเมืองจริง ๆ"
เสิ่นสือลิ่วมิได้โต้ตอบ
อาจารย์เสิ่น
“เอาเถอะ อย่ามาแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้ใส่ข้าหน่อยเลย.... เจ้าคิดจะเลี้ยงดูเขาเป็นบุตรจริงหรือ”
“ย่อมจริง ข้าชอบเด็กคนนี้มีคุณธรรมดี”
ในที่สุดเสิ่นสือลิ่วก็ยอม เอ่ยปาก
“ท่านผู้นั้นก็คงจะมีความตั้งใจเช่นเดียวกัน...ภายภาคหน้าหากยกเด็กคนนี้ให้ข้าจริง ๆ คนพวกนั้นน่าจะยอมไว้วางใจ อีกทั้งตัวเขาเองก็จะได้ใช้ชีวิตสุขสบายขึ้นด้วย ออกจะเป็นเรื่องดีต่อกันทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ”
อาจารย์เสิ่นนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเบา ๆ
“คงต้องทำให้เขาไม่เกลียดเจ้าเสียก่อน...เจ้าไม่วิตกเรื่องนี้บ้างเลยหรือ"
เสิ่นสือลิ่วหัวเราะ ยกชายเสื้อคลุม ผลักประตูเข้าไปในห้อง พลางเอ่ยตอบด้วยสีหน้าชวนโดนต่อย
“คนเกลียดข้ามีถมไป”
ราตรีนี้ ลอยโคมในนทียามวิกาล ดวงวิญญาณหวนคืนสู่เคหา
ยังไม่ถึงยามอิ๋นดี ฉางเกิงก็ร้อนรุ่มจนรู้สึกตัวตื่นขึ้น แผ่นหลังขึ้นเหงื่อกางเกงชั้นในก็เปียกชุ่ม เด็กหนุ่มทุกคนเมื่อใกล้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ล้วนต้องเคย ผ่านเหตุการณ์ชวนแตกตื่นเช่นนี้กันทั้งนั้น...ต่อให้เคยมีคนช่วยชี้แนะมาก่อนก็ตาม แต่ฉางเกิงกลับไม่แตกตื่น และไม่ลนลานสักนิด ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาช่างเฉยเมยผิดปกติ แค่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้นทำความสะอาดอย่าง ลวก ๆ สีหน้าแฝงความระอาน้อยนิดจนแทบมองไม่ออก
เขาเดินออกจากห้องไปตักน้ำเย็นมาถังหนึ่ง ราดรดตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ขัดถูร่างกายที่กำลังอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโตรอบหนึ่ง ก่อนหันไปหยิบเสื้อผ้าที่วางพับไว้เรียบกริบข้างหมอนมาเปลี่ยน จากนั้นกระดกดื่มน้ำชาที่ชงทิ้งไว้ข้ามคืนหมดจอก แล้วเริ่มต้นศึกษาบทเรียนในวันนี้
ฉางเกิงไม่รู้ว่าครั้งแรกของคนอื่นเป็นเช่นไร แต่อันที่จริงแล้วเขาก็มิได้ฝันวาบหวามอันใดเลย
สิ่งที่เขาฝันเห็นคือทุ่งหิมะนอกด่านอันหนาวเหน็บจนทำให้ผู้คนแข็งตายได้
สายลมในวันนั้นดูคล้ายเส้นขนสีขาว พัดกระโชกรุนแรงอย่างไร้ปรานี เลือดยังไม่ทันไหลออกจากบาดแผลก็จับตัวเป็นน้ำแข็งเสียก่อน เสียงฝูงหมาป่า คำรามอย่างเกรี้ยวกราดดังแว่วจากไกลเข้ามาใกล้ ทว่าประสาทดมกลิ่นที่สูญเสียประสิทธิภาพไปแล้วทำให้ไม่ได้กลิ่นคาวเลือด เพียงแค่สูดลมหายใจก็ ต้องสำลักความหนาวยะเยือกจนเสียดลึกถึงกระดูก ฉางเกิงแขนขาแข็งทือ และ ร้อนรนใจมาก คิดว่าตัวเองคงต้องโดนกลบฝังใต้กองหิมะเสียแล้ว
ทว่าเหตุการณ์กลับมิได้เป็นเช่นนั้น
ตอนเขารู้สึกตัวอีกครั้ง พบว่ามีคนเอาเสื้อคลุมห่อตัวเขาแล้วอุ้มไว้ เขาจำได้ว่าคอเสื้อของคนผู้นั้นเป็นสีขาวสะอาดดุจดังหิมะ ในอ้อมกอดอวลกลิ่นสมุนไพรรสขมอยู่จาง ๆ พอเห็นเขาฟื้นคืนสติก็ไม่ได้ซักถามอะไรมาก แค่ล้วงขวดสุราส่งให้เขาดื่มอึกหนึ่ง
ฉางเกิงไม่รู้ว่านั่นเป็นสุราอะไร เพราะหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ลิ้มลองอีกเลย ตอนนั้นเขารู้สึกแค่ว่าสุราเผาดาบของนอกด่านยังไม่แรงเท่านี้ คล้ายกับมีลูกไฟร้อนผ่าวไหลวาบลงไปตามหลอดอาหารของเขา แค่จิบเพียงอึกเดียวก็จุดเลือดในกายของเขาให้เดือดพล่านขึ้นมา
คนผู้นั้นก็คือสือลิ่ว
ภาพในความฝันชัดเจนมาก วงแขนของสือลิ่วที่โอบอุ้มตัวเขาในฝัน คล้ายยังติดค้างอยู่บนตัว ฉางเกิงขบคิดหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจอยู่ดี คนผู้นั้นมิใช่ตัวอมโรคหรอกหรือ เหตุใดตอนอยู่ในทุ่งหิมะอันน่ากลัวถึงได้มีวงแขนที่ทั้งแข็งแกร่งและมั่นคงเช่นนั้น
ฉางเกิงก้มหน้าลงมองปลอกแขนเหล็กตรงข้อมือแวบหนึ่ง ของสิ่งนี้ไม่รู้ว่าทำจากวัตถุดิบใด ยามสวมแนบกระชับแขน กลับไม่รู้สึกร้อนอบอ้าว ฉางเกิง อาศัยความเย็นเฉียบจากเนื้อเหล็ก นั่งรอให้จิตใจกับเลือดลมที่ปั่นป่วนสงบลง ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา พลางสลัดความคิดเหลวไหลเรื่อง “ฝัน วาบหวามถึงพ่อบุญธรรม” ทิ้งไปจากนั้นจุดตะเกียงอ่านตำราเหมือนเช่นเคย
จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง “ครืน ๆ” มาแต่ไกล พื้นดินกับตัวบ้านหลังน้อยสั่นสะเทือน ฉางเกิงตกตะลึง ก่อนฉุกคิดขึ้นได้ ลองคำนวณวันดูแล้ว 'อินทรียักษ์' ที่ออกลาดตระเวนขึ้นเหนือคงใกล้เดินทางกลับมาแล้ว
“อินทรียักษ์” เป็นเรือลำใหญ่ยาวถึงห้าพันฉื่อ ด้านข้างตัวเรือลำนี้ยังมีปีกสองข้าง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของ “ปีกเพลิง” นับพันนับหมื่นอัน ยามที่อินทรียักษ์บิน ปีกเพลิงทั้งหมดจะพ่นไอน้ำสีขาวออกมามากมายจนแลดูคล้ายห้วงฝัน ด้านในปึกเพลิงแต่ละอันจะเผาทองคำเหลวม่วงชามใหญ่ ซึ่งส่องแสงสีม่วงแดงวูบวาบอยู่ท่ามกลางม่านหมอก มองดูผิวเผินเหมือนโคมไฟนับหมื่นดวง
นับตั้งแต่พวกเป่ยหมานยอมก้มหัวถวายบรรณาการเมื่อสี่สิบปีก่อน
วันที่สิบห้า เดือนหนึ่งของทุกปี จะมีอินทรียักษ์จำนวนสิบกว่าลำบินออกจากเมืองสำคัญตรงชายแดนแล้วออกลาดตระเวนขึ้นเหนือ เพื่อแสดงแสนยานุภาพ โดยแต่ละลำล้วนมีเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัว หากพวกชาวหมานมีความเคลื่อนไหวผิดปกติย่อมสังเกตเห็นได้ชัดเจน นอกจากออกปราบปราม และลาดตระเวนแล้ว อินทรียักษ์ยังทำหน้าที่คุ้มกันเครื่องบรรณาการจากพวกเป่ยหมานเผ่าต่าง ๆ ส่งกลับราชสำนักอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทองคำ เหลวม่วง”
อินทรียักษ์ลำหนึ่งขนทองคำเหลวม่วงกลับมาจนเต็มลำก็เป็นจำนวน มากถึงเกือบล้านจิน เสียงฝีเท้าตอนขากลับย่อมหนักอึ้งกว่าตอนขาไปหลายส่วน ดังนั้นแม้จะอยู่ห่างกันไกลเกือบสามสิบลี้ก็ยังได้ยินปึกเพลิงกระพือลม เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
การลาดตระเวนขึ้นเหนือของอินทรียักษ์จะเริ่มออกเดินทางในช่วงเดือนหนึ่ง เดินทางคราหนึ่งก็กินระยะเวลายาวนานถึงครึ่งปี ประมาณช่วงไฟลามทุ่ง ค่อยเดินทางกลับมา
บรรพบุรุษสกุลสวีมีที่ดินสืบทอดต่อกันมาจำนวนหนึ่ง อีกทั้ง นายกองสวียังเป็นทหาร สภาพความเป็นอยู่ในท้องถิ่นจึงจัดว่าไม่เลวนัก งานการในบ้านก็มิได้มีอะไรมากมาย จึงรับเลี้ยงแค่หญิงสูงวัยผู้หนึ่งไว้คอย หุงหาอาหารและทำความสะอาดเท่านั้น เมื่อท้องฟ้าด้านนอกเริ่มทอแสงสว่าง แม่ครัวบ้านสกุลสวีค่อยลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ไปเคาะ ประตูห้องฉางเกิง
“คุณชาย ฮูหยินให้มาเรียนถามท่านว่าจะไปรับสำรับที่เรือน ด้วยหรือไม่เจ้าคะ"
ฉางเกิงกำลังตั้งอกตั้งใจคัดลายมือ พอได้ยินดังนั้นก็ชะงักมือที่กำลังถือพู่กัน ก่อนตอบกลับไปเหมือนเช่นเคย
“ไม่ล่ะ นางชอบความเงียบสงบ ข้าไม่ไปรบกวนจะดีกว่า รบกวนเจ้าช่วยบอกมารดาข้าด้วยว่าผู้บุตรฝากคำนับ”
แม่ครัวมิได้แปลกใจกับคำตอบของเขา เพราะสองมารดาบุตรคู่นี้มักถามคำตอบคำเช่นนี้อยู่เป็นนิจ จึงไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่
แต่จะว่าไปก็น่าแปลก ตามหลักแล้วนายกองสวีเป็นแค่บิดาเลี้ยง ฉางเกิงกับซิ่วเหนียงต่างหากที่เป็นมารดาบุตรกันจริง ๆ ทว่ามารดาบุตรคู่นี้ กลับมีแค่ช่วงไม่กี่วันที่นายกองสวีอยู่บ้านเท่านั้น ที่ยอมออกมานั่งรับประทาน อาหารร่วมโต๊ะ และแวะเวียนคำนับเข้าเย็น แสร้งแสดงความกตัญญูกตเวที ขอเพียงเจ้าบ้านฝ่ายชายออกจากบ้านไป พวกเขาก็ใช้ชีวิตเสมือนเป็นคน แปลกหน้ายิ่งกว่าคนแปลกหน้ากันจริง ๆ เสียอีก ไม่มีใครสนใจใคร ต่างคน ต่างอยู่ในเรือนของตน กระทั่งประตูใหญ่ฉางเกิงยังไม่เดินเข้าออกด้วยซ้ำ
ทุกวันจะเดินออกประตูข้างไปบ้านข้างเคียง บางครั้งสองมารดาบุตรคู่นี้ก็มิได้ พบหน้าค่าตากันนานสิบวันหรือครึ่งเดือนเลยทีเดียว
กระทั่งตอนฉางเกิงป่วยหนักจนเกือบทิ้งไปครึ่งชีวิตเมื่อปีก่อน ซิ่วเหนียง ยังแค่เหลือบมองแวบเดียวอย่างไม่ไยดี ดูเหมือนไม่สนใจความเป็นตายของ บุตรโทนผู้นี้เอาเสียเลย ยังคงเป็นท่านสือลิ่วที่อุ้มตัวไปประคบประหงมดูแล อย่างใกล้ชิด
แม่ครัวอดสงสัยไม่ได้ว่าฉางเกิงอาจจะมิได้ถือกำเนิดจากนาง แต่มองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว มารดาบุตรคู่นี้ก็หน้าตาคล้ายคลึงกันมาก ดังนั้น ย่อมต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันอย่างแน่นอน เพราะหากมิได้เป็นผู้ให้กำเนิดแล้ว สตรีอ่อนแอบอบบางเยี่ยงซิ่วเหนียง เดินทางร่อนเร่พเนจร มาต่างถิ่น กระทั่งตนเองยังแทบปกป้องคุ้มครองไม่ได้ ไยต้องลำบากหอบหิ้ว เด็กคนนี้มาด้วยเล่า
ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แม่ครัวถือถาดอาหารเข้ามา เอ่ยกับฉางเกิง
“วันนี้นายท่านคงกลับเข้าเมืองแล้ว ฮูหยินกำชับให้คุณชายรีบกลับมาเร็วหน่อยเจ้าค่ะ"
ฉางเกิงเข้าใจความหมายของนางดี นายกองสวีกลับมา พวกเขาก็ต้องแสร้งแสดงบทบาทมารดาผู้การุณกับบุตรแสนกตัญญูเหมือนเช่นเคย จึงพยักหน้าตอบรับไปคำหนึ่ง
"เข้าใจแล้ว"
สายตาของเขาเลื่อนมาจับที่ถาดอาหาร จู่ ๆ ฉางเกิงก็สังเกตเห็นเส้นผม ยาวเส้นหนึ่งติดอยู่ตรงที่จับถาด มือที่กำลังยื่นออกไปรับพลันหดกลับทันที ผมของแม่ครัวขาวโพลนหมดแล้ว เส้นผมสีดำนุ่มลื่นเส้นนี้ย่อมมิใช่ของนาง ส่วนนายกองสวียังไม่กลับมา ในบ้านนับนายรวมบ่าวแล้ว มีทั้งสิ้นสามชีวิต ดังนั้น ถ้าไม่ใช่แม่ครัว ย่อมต้องเป็นซิ่วเหนียงแล้ว
ฉางเกิงเป็นโรครักสะอาดอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง...เพียงนึก รังเกียจมารดาเท่านั้น
ตอนอยู่บ้านข้างเคียง จะให้เขาใช้ขามที่พ่อบุญธรรมใช้แล้วมากินข้าวต่อก็ยังได้ แต่พอกลับมาบ้าน ขอเพียงเป็นสิ่งที่ซิ่วเหนียงเคยสัมผัสมาก่อน เขาจะไม่ยอมแตะต้องมันอีกแม้แต่นิดเดียว แม่ครัวล่วงรู้นิสัยแปลกประหลาดของเขาดี จึงรีบเก็บผมเส้นนั้นอย่างระมัดระวัง เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ฮูหยินคงทำร่วง โดยมิได้ตั้งใจ ของว่างนี้ออกจากเตาก็ไม่มีใครเคยแตะต้อง โปรดวางใจได้เจ้าค่ะ"
ฉางเกิงยิ้มให้นางอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไร วันนี้ข้ามีเรื่องอยากขอคำชี้แนะ จากอาจารย์เสิ่นพอดี ประเดี๋ยวจะไปกินที่เรือนพ่อบุญธรรม"
สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้รับถาดอาหารมา เพียงหยิบตำราบนโต๊ะมาหนีบ ไว้ใต้รักแร้ คว้ากระบี่หนักอึ้งที่แขวนไว้ด้านหลังประตู แล้วเดินออกจากเรือนไป
ในบ้านข้างเคียง อาจารย์เสิ่นกำลังม้วนแขนเสื้อ ลงมือทาน้ำมันให้ชุดเกราะที่โดนถอดรื้อเป็นชิ้น ๆ อยู่ในลานบ้าน
ชุดเกราะเหล่านี้ถูกส่งมาจากทหารป้องกันเมือง ในกองทัพทหารของ เมืองเยี่ยนหุยก็มี “ช่างกล” คอยดูแลชุดเกราะโดยเฉพาะเช่นกัน แต่ชุดเกราะ ของทางกองทัพมีจำนวนมากเกินไป มักจะทำไม่ทันเสมอ จึงต้องแบ่งกระจาย งานให้ช่างกลชาวบ้านทั่วไปรับไปทำบ้าง “ช่างกล” คือคนที่คอยดูแลซ่อมแซม ชุดเกราะเหล็กและเครื่องจักรกล วัน ๆ ต้องคอยทะเลาะต่อยตีกับท่อนเหล็กพวกนั้น นับว่าเป็นช่างฝีมืออย่างหนึ่ง แต่ในสายตาของคนทั่วไปแล้ว “ช่างกล” ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตีสุนัขทำเล็บเท้าโกนผม ล้วนจัดอยู่ใน “เก้าระดับชั้นล่าง เช่นกัน ทว่าทำอาชีพนี้ไม่ต้องห่วงว่าจะอดตาย แต่ก็ไม่ได้มีหน้ามีตาอะไร ไม่รู้ ทำไมบัณฑิตรู้หนังสืออย่างอาจารย์เสิ่นถึงได้มีงานอดิเรกแปลกประหลาดเช่นนี้ นอกจากชอบทำสิ่งเหล่านี้ในยามว่างแล้ว ยังใช้ฝีมือทางด้านนี้หาเงินอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนเสิ่นสือลิ่วที่โผล่เข้ามาในฝันของเด็กหนุ่มโดยไม่ตั้งใจกำลังนั่งอยู่ ตรงธรณีประตู เหยียดขาทั้งสองข้างออกมา และเอนตัวพิงกรอบประตูเสมือนไร้กระดูก ข้างกายยังมีชามยาว่างเปล่าวางอยู่ใบหนึ่งเขาดื่มหมดแล้วก็ไม่รู้ จักเอาไปเก็บล้าง
สื่อลิ่วยืดตัวบิดขี้เกียจ กวักมือเรียกฉางเกิงด้วยสภาพที่เหมือนใกล้ตาย เต็มที พร้อมสั่ง
“เจ้าลูกชาย ไปหยิบกาสุรามาให้ข้าที”
อาจารย์เสิ่นที่สองมือเปื้อนน้ำมันเครื่อง เหงื่อไหลโซมกายเอ่ย
“ไม่ต้อง สนใจเขา กินข้าวมาหรือยัง"
ฉางเกิง
"ยัง"
อาจารย์เสิ่นหันไปตะโกนใส่สือลิ่ว
“ตื่นเช้ามาก็ดีแต่นั่งรอกิน! ไม่รู้จักทำงานทำการบ้างหรือ ไปตักข้าวสารมาต้มโจ๊กสิ!"
เสิ่นสือลิ่วเอียงคอ แสร้งทำหูหนวกได้จังหวะพอดี ย้อนถามอย่างช้า ๆ
"หา? อะไรนะ"
“ข้าทำเอง”
ฉางเกิงเจอจนชินแล้ว
“เอาข้าวอะไรดี"
คราวนี้ท่านสือลิ่วได้ยินชัดแล้ว เขาเลิกคิ้วเรียวยาว ถามอาจารย์เสิ่น
“ใช้งานเด็กให้มันน้อยหน่อย เหตุใดเจ้าไม่ไปทำเอง”
คนสุภาพอย่างอาจารย์เสิ่นโดนเจ้าน้องชายตัวแสบยั่วโมโหให้ต้องเดือดดาลทุกวันสิน่า
“ไหนตกลงกันไว้ว่าจะผลัดกันทำไม่ใช่หรือ ลูกผู้ชายชาตรี เจ้าไม่ได้ยินก็ช่างเถิด แต่พูดแล้วไม่รักษาคำพูดมันใช้ได้หรือ!”
เสิ่นสือลิวยังคงเล่นลูกไม้เดิม แสร้งทำเป็น “ไม่ได้ยิน” แล้วเอ่ยถาม
“เขากำลังเห่าอะไรอยู่ตรงนั้น”
ฉางเกิง
“.......”
อันที่จริงแล้วบางครั้งการเป็นคนหูหนวกก็สะดวกดีไม่น้อย
“เขาบอกว่า...”
ฉางเกิงก้มหน้าลงก็มองสบสายตาขี้เล่นของสือลิ่วพอดี พริบตานั้นภาพความฝันในคืนก่อนหน้าพลันผุดแวบขึ้นมาทันที จู่ ๆ เขาก็ค้นพบว่าแท้จริงแล้วตนเองใช่ว่าจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยอย่างที่คิด ลำคอฉางเกิงแห้งผาก รีบตั้งสติเอ่ยต่อด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
“ท่านผู้เฒ่าก็นั่ง ต่อไปเถอะ อย่าสิ้นเปลืองแรงเล่นลูกไม้แต่เช้าเลย”
วันนี้เสิ่นสือลิ่วไม่ได้ดื่มจนเมา มโนธรรมที่พอมีอยู่บ้างยังไม่โดนแช่บ่มจนกลายเป็นกากสุรา เขายิ้มหน้าระรื่นพลางดึงมือฉางเกิง อาศัยยืมแรงฉุดตัวเองลุกขึ้นยืน จากนั้นตบศีรษะเด็กหนุ่มเบา ๆ อย่างสนิทชิดเชื้อ ก่อนเดินกระย่องกระแย่งเข้าครัว เตรียมตัวลงมือทำงานแล้วจริง ๆ...ร้อยวันพันปี
ท่านสือลิ่วจะยอมลงมือทำงานสักครั้ง หาได้ยากมากจริง ๆ ยากยิ่งกว่ารอต้นปรงออกดอกเสียอีก
ฉางเกิงรีบเดินตาม ก็เห็นพ่อบุญธรรมของเขาเดินอาด ๆ ตรงเข้าไปคว้าข้าวสารหลายกำ โยนลงหม้อ ตักน้ำเทโครมตามเพื่อชาวข้าวจนน้ำหก กระเซ็นไปทั่ว จากนั้นยอมลดตัวยื่นสองนิ้วลงไปทำท่ากวนในน้ำอย่างส่ง ๆ แล้วดึงออกมาสะบัดไล่น้ำ ก่อนประกาศเสียงดัง
“ล้างไปครึ่งหนึ่งแล้ว เสิ่นอี้ มาผลัดกันได้แล้ว"
อาจารย์เสิ่น
“.......”
เสิ่นสือลิ่วสะบัดมือแล้วคว้ากาสุราบนชั้นวางเหนือเตาเดินออกมา แหงนหน้ากระดกดื่ม ท่วงท่าดุจเมฆเหินน้ำไหล แม่นยำไร้ที่ติ...บางครั้งฉางเกิง ก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะแกล้ง 'ตาบอด' ด้วยก็เป็นได้
อาจารย์เสิ่นคงยอมแพ้แล้ว เพราะไม่ได้โต้แย้งสิ่งใดอีก แค่สบถด่าพลางคว้าจ้าวเจียว มาล้างมือให้สะอาด จากนั้นวิ่งเข้าห้องครัวไปนึ่งขนม แล้วเริ่มต้น เก็บกวาดสิ่งที่สือลิ่วทำเละเทะไว้ ฉางเกิงหยิบบทความที่ตนเองหัดคัดลอกเมื่อเช้าออกมา ส่งให้อาจารย์เสิ่นดูทีละแผ่น เสินอี้ตรวจดูและวิจารณ์เสร็จ ฉางเกิงก็ยัดกระดาษแผ่นนั้นเข้าเตา ช่วยก่อไฟอีกแรง
“ลายมือเขียนพู่กันนับว่าก้าวหน้าขึ้นมาก ช่วงนี้คงลงแรงไปไม่น้อย” อาจารย์เสิ่นเอ่ย
“บทความที่เจ้าคัดลอกมาคือบทศาลาริมทางของอันติ้งโหว กู้อวิ๋นสินะ”
ฉางเกิง
“อืม”
สือลิ่วที่กำลังนั่งเอ้อระเหยลอยชายได้ยินดังนั้นก็หันขวับไปมองทันที สีหน้าฉายแววแปลกใจแวบหนึ่ง
อาจารย์เสิ่นไม่ได้เงยหน้าขึ้น
“อันติ้งโหวนำกองทัพทหารออกรบตอนอายุสิบห้า ศึกเดียวสร้างชื่อเสียงเลื่องลือ ตอนอายุสิบเจ็ดเป็นแม่ทัพใหญ่ รับพระบัญชาไปปราบปรามตะวันตก ระหว่างยกทัพไปปราบปรามตะวันตกเดินทางผ่านนอกเมืองซีเหลียง เห็นซากปรักหักพังโบราณ จึงทอดถอนใจว่าทิวทัศน์ในอดีตยังคงเดิม ขุนเขาสายธารไหลผ่านร้อยปี จึงหยิบพู่กันมาแต่ง “ลำนำ ศาลาริมทาง เดิมทีเขียนแล้วก็แล้วไป คิดไม่ถึงว่าพวกชอบประจบสอพลอข้างกายจะลักลอบเก็บงำไว้ แล้วยังนำไปสลักลงบนแผ่นหิน...จะว่าไปแล้ว ลายมือของกู้อวิ๋นก็ได้รับการสอนมาจากปราชญ์เมธีผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคอย่าง อาจารย์โม่เซิน ดังนั้นย่อมมีค่าคู่ควรให้เก็บรักษา ทว่าตอนเขียนบทศาลาริมทาง เขายังเยาว์วัยนัก อีกทั้งเปี่ยมล้นด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ของคนหนุ่ม จึงแสดงความคิดไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำออกไปบ้าง เพราะยังไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอในเมื่อเจ้าคิดจะฝึกคัดลายมือเขียนพู่กัน มีบทความโบราณตั้งมากมายไม่ยอมคัดลอก เหตุใดจึงเลือกบทความของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้เล่า”
ฉางเกิงม้วนกระดาษที่เขียนคัดลายมือจนเต็มแผ่นยัดเข้าเตาไฟอย่าง ไม่เสียตมเสียดาย
“ข้าเคยได้ยินคนเล่าขานกันมาว่าตอนยังอยู่ในมือของท่านโหวผู้เฒ่า เหยี่ยวทมิฬ เกราะทมิฬ อาชาทมิฬ สามค่ายใหญ่เหล็กทมิฬพิชิต พวกเป่ยหมานสิบแปดเผ่าจนราบคาบ ต่อมาพอตกทอดถึงมือท่านโหวน้อย ยังสามารถปราบปรามกลุ่มโจรซีอวี้ จนยอมก้มหัวศิโรราบอีก...ข้ามิได้ชมชอบลายมือเขาเป็นพิเศษ เพียงอยากรู้ว่าลายมือของผู้ที่กุมสามค่ายใหญ่เหล็กทมิฬ ไว้ในมือเป็นเช่นไรเท่านั้น”
ทัพพีในมืออาจารย์เสิ่นขยับคนหม้อโดยไม่รู้ตัว แต่สายตาคล้ายมอง ล่องลอยไปไกล ครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยขึ้นอย่างข้า ๆ
“อันติ้งโหวแซ่กู้นามอวิ๋น มีนามรองว่าจื่อซี เป็นบุตรโทนขององค์หญิงใหญ่ในอดีตฮ่องเต้กับอันติ้งโหวผู้เฒ่า บิดามารดาลาจากโลกนี้ไปตั้งแต่เขายังเยาว์วัย เบื้องบนในเวลานี้ทรงเมตตาสงสาร จึงรับเลี้ยงไว้ในวัง พร้อมทั้งพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ สืบทอดต่อ เดิมทีเกิดมาเป็นชนชั้นสูงใช้ชีวิตสุขสบาย แต่กลับดึงตนจะไปนอนกลางดินกินกลางทรายที่ซีอวี้ จะเป็นวีรบุรุษหรือไม่ใช้วีรบุรุษ ข้าเองก็สุดรู้ แต่เกรงว่าสมองคงไม่ค่อยดีนัก”
อาจารย์เสิ่นสวมเสื้อตัวเก่าผ่านการซักล้างบ่อยครั้งจนสีซีดขาว ชายเสื้อยังเปรอะเปื้อนคราบน้ำมันเครื่องจากชุดเกราะ ตรงลำคอคล้องผ้ากันเปื้อน สภาพอนาถไว้ผืนหนึ่ง....สองพี่น้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อีกทั้งในบ้านยังไม่มีสตรีคอยดูแล แต่ละคนจึงมีสภาพดูไม่ได้ อย่างผ้ากันเปื้อนผืนนั้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เอากลับมาก็ไม่เคยนำไปซักล้างเลยหรือไม่ เพราะมองแทบไม่เห็นเนื้อสีเติมแล้ว เวลาพันสวมไว้บนตัวจึงดูไม่ได้เอาเสียเลย
มีแค่ใบหน้าที่ดูเด่นชัดดี
เสิ่นอี้มีจมูกโด่งเป็นสัน ยามมิเอ่ยวาจาหรือยิ้มแย้ม ใบหน้าด้านข้าง แทบจะเรียกได้ว่าเคร่งขรึมเย็นชา เปลือกตาของเขาเต้นกระตุกเล็กน้อย จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“นับตั้งแต่ท่านโหวผู้เฒ่าจากไป ค่ายเหล็กทมิฬสร้างผลงานดีเด่นเกินหน้านาย จนเบื้องบนนึกหวาดระแวง กอปรกับขุนนางสอพลอในราชสำนัก สร้างเรื่องวุ่นวาย...."
จู่ ๆ สือลิ่วที่นั่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขัดขึ้น
“เสิ่นอี้”
ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตาต่างหันกลับไปมองพร้อมกัน สือลิ่วกำลังจ้องมองใยแมงมุมเล็ก ๆ เหนือขอบประตู ปกติแล้วสือลิ่วเป็นคนดื่มสุราไม่แสดงออกทางสีหน้า ยิ่งดื่มมากใบหน้าก็ยิ่งซีดขาว เก็บงำอารมณ์ทุกอย่างเข้าไปในดวงตาหมดสิ้น จนอ่านความรู้สึกไม่ออก
เขาเอ่ยเสียงต่ำ
“อย่าพูดเหลวไหล”
ปกติแล้วสองพี่น้องสกุลเสิ่นไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องอาวุโส น้องชายไม่เคารพพี่ชาย พี่ชายยังตามใจน้องชายจนเสียคน วัน ๆ ทะเลาะกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่ความสัมพันธ์ยังคงแน่นแฟ้นดี
ฉางเกิงไม่เคยได้ยินสือลิ่วเอ่ยเสียงแข็งเช่นนี้มาก่อน
เขาเป็นคนค่อนข้างความรู้สึกไว แต่เพราะไม่รู้ความนัย จึงขมวดคิ้ว
ขากรรไกรของเสิ่นอี้หดเกร็ง พอรู้สึกได้ว่าฉางเกิงกำลังมองสังเกตนเอง จึงพยายามเก็บงำอารมณ์ แล้วยิ้มตอบ
“ถือเสียว่าข้าพลั้งปาก...แต่การดำทอราชสำนักก็เป็นเสมือนกับแกล้มสุราหลังมื้ออาหารอยู่แล้วไม่ใช่หรือข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”
ฉางเกิงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วน จึงหาเรื่องเปลี่ยนบทสนทนาอย่างหัวไว ถามว่า
“แล้วช่วงสิบปีนับจากยกทัพพิชิตเหนือจนถึง ปราบปรามตะวันตกเล่า ใครเป็นผู้คุมค่ายเหล็กทมิฬหรือ"
“ไม่มีใครคุม” เส้นอี้ตอบ
“หลังจากยกทัพพิชิตเหนือ ค่ายเหล็กทมิฬก็ ซบเซาลง บ้างจากไป บ้างล้มตาย พวกคนเก่าแก่ที่ยังอยู่ในกองทัพล้วนท้อแท้ หมดสิ้นกำลังใจ สิบกว่าปีผ่านไป ยอดขุนพลทหารในเวลานั้นผลัดเปลี่ยนรุ่น ใหม่ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนใหม่มานานปีล้วนเก่าชำรุดหมดสภาพ จวบจนเมื่อหลายปีก่อนเกิดเหตุจลาจลในซีอวี้ ราชสำนักจนปัญญา จึงให้อันติ้งโหวรับภารกิจในยามวิกฤต รื้อฟื้นค่ายเหล็กทมิฬขึ้นใหม่ แต่แทนที่จะบอกว่าแม่ทัพกู้รับดูแลค่ายเหล็กทมิฬต่อ มิสู้กล่าวว่าเขาขัดเกลากองกำลังอันแข็งแกร่งขึ้นใหม่ที่ซีอวี้จะเหมาะสมกว่า หากเจ้ามีโอกาส จะลองศึกษาจากบทความของเขาในเวลานี้ก็ได้”
ฉางเกิงนิ่งอึ้ง
“หรือว่าอาจารย์เสิ่นเคยเห็นบทความในภายหลังของอันติ้งโหว?”
เสินอี้ยิ้มตอบ
“แม้จะหายาก แต่ก็มีหลุดลอดออกมาตามท้องตลาดบ้าง สักหนึ่งถึงสองฉบับ ล้วนกล่าวอ้างว่าเป็นลายมือจริง ส่วนจะจริงหรือปลอมนั้น ข้าเองก็ดูไม่ออก”
เขาเล่าพลางพ่นควันขาวออกจากปาก จากนั้นยกชามข้าวกับอาหารขึ้นโต๊ะ ฉางเกิงตาไวรีบขยับเข้าไปช่วย ตอนเขายกโจ๊กเดินเฉียดไหล่เสิ่นสือลิว กลับถูกตัวอมโรคผู้นั้นยื่นมือมาคว้าไหล่เขาไว้ก่อน
ฉางเกิงเจริญเติบโตรวดเร็วกว่าเด็กทั่วไป จึงมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน แม้เนื้อตัวกระดูกจะยังไม่โตเต็มที่ แต่ส่วนสูงเกือบไล่ตามพ่อบุญธรรมน้อยของเขาทันแล้ว ดังนั้นแค่เงยหน้าเล็กน้อยก็มองเข้าไปในดวงตาของสือลิ่วได้พอดี อันที่จริงแล้วสือลิ่วมีดวงตาดอกท้อตรงตามตำราคู่หนึ่ง แต่มีเพียงตอนทอดสายตามองอย่างไร้จุดหมายเท่านั้นถึงจะพอดูออกบ้าง เพราะยามเขาเพ่งสายตาจดจ่อ ดวงตาคู่นั้นก็คล้ายเหวลึกที่ปกคลุมด้วยม่านหมอก แลดูดำมืดจนอ่านอะไรไม่ออก
ฉางเกิงพลันใจสั่นลดเสียงลงต่ำ จงใจเอ่ยคำเรียกขานที่ปกติแล้วไม่ค่อยยอมใช้นัก
“พ่อบุญธรรม มีอะไรหรือ"
สือลิ่วเอ่ยเหมือนไม่ใส่ใจ
“เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าเอาแต่คิดจะทำตัวเป็น วีรบุรุษ คนเป็นวีรบุรุษเคยมีจุดจบที่ดีด้วยหรือ ขอแค่เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีสุข กินอิ่มสวมใส่อุ่น นอนตื่นโดยปราศจากเรื่องทุกข์กังวลก็พอ นั่นคือชีวิตที่ดีที่สุด แล้ว ต่อให้ยากจนข้นแค้นหรือว่างไปบ้างก็ไม่เป็นไร”
โดยมากแล้วสือลิ่วมักแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้ประจำ นาน ๆ จะพูด ภาษาคนยืดยาวสักครั้ง แต่พอเอ่ยปากกลับสาดน้ำเย็นใส้หน้าฉางเกิง คนพิการกึ่งหนวกกึ่งใบ้อย่างเขาย่อมปราศจากปณิธานอันสูงส่ง ไร้ซึ่งความฮึกเหิม แต่คำพูดชวนผิดหวังอย่างให้ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เช่นนั้น เด็กหนุ่มมีหรือจะยอมรับฟัง?
ฉางเกิงไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะรู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายดูแคลน จึงคิดในใจด้วยความขุ่นเคือง ถ้าขืนใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ อย่างท่าน ภายภาคหน้าใครจะหาเลี้ยงปากท้องคนในบ้าน ใครจะคอยดูแลท่านกินข้าวสวม เสื้อผ้า นี่มันคนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอวโดยแท้
เขาปัดมือสือลิ่วทิ้ง เอ่ยอย่างขอไปที
“อย่าจับชี้ขั้ว ระวังโจ๊กจะหกลวก ท่าน"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!