ยามจื่อ (23.00-24.59น.) จวนแม่ทัพเเห่งเเคว้นเต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องเพราะความหวาดกลัว ประตูจวนนั้นบ่าวไพร่วิ่งพร่านหนีตายกันออกมา เปลวเพลิงสีส้มลุกโชนย้อมสีท้องฟ้ายามค่ำคืนให้สว่างไสว ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพหวงเจี้ยนทะยานข้ามกำเเพงสูงของจวน ในอ้อมแขนนั้นโอบอุ้มหญิงงามที่แม้ผิวกายจะเปื้อนด้วยคราบเขม่าก็มิอาจปิดบังความงามได้ แววตาเฉยชากวาดมองบรรดาบ่าวไพร่ที่ต่างหมดเเรงหมดสภาพจากการวิ่งหาน้ำเพื่อดับไฟ หากแต่เปลวไฟกลับลุกไหม้อย่างรวดเร็วจึงต้องหนีเอาชีวิตรอด
" เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าไหวหรือไม่ "
น้ำเสียงที่แม้จะติดเย็นชาหากแต่ก็เจือด้วยความอ่อนโยนอยู่หลาย ส่วนหญิงงามในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษผู้เป็นที่รัก
" คะ..คุณชาย..คุณชายของข้ายังไม่ออกมา ปล่อย!! เข้าจะเข้าไปช่วยคุณชายของข้า "
บ่าวไพร่ที่รอดชีวิตจากเปลวเพลิงแม้จะเเปลกใจว่าบ่าวผู้นี้กล่าวถึงคุณชายที่ไหน ผู้ใดกันจะเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพ ในใจหวงเจี้ยนกระตุกวูบไปชั่วครู่เมื่อนึกถึงใครผู้หนึ่งที่ทุกคนแทบจะลืมเลือนไปหมดแล้ว หวงเจี้ยนหันกลับไปมองจวนที่กำลังลุกไหม้ทันที เปลวเพลิงนั้นลุกโชน เสียงไม้ที่แตก และไม่นานก็มีเสียงถล่มของเรือนนั่นทำให้ใจเขาแทบหยุดเต้น เปลวไฟยังคงลุกไหม้อยู่เกือบสองชั่วยามจึงได้ดับมอดลง ใต้ฝุ่นเถ้าเเละควันไฟมีผู้สิ้นชีวาด้วยเปลวไฟนี้เพียงผู้เดียว
ฮูหยินเอกจางซูเหวิน
" อั๊ก " ใบหน้างดงามล่มแมืองที่แม้ตอนนี้จะซีดเผือดไร้สีเลือดกระอักเลือดสีดำออกมาหนึ่งคำ ร่างระหงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นเพื่อนั่งลงที่ตั่งไม้ในเรือนเล็กของตน เสียงไม่แตกลั่นจากเปลวเพลิงได้ยินเป็นระยะๆ กลิ่นควันไฟและเปลวเพลิงอยู่ในครรลองสายตา ความร้อนระอุของเปลวเพลิงนั้นเทียบมิได้กับความรู้สึกเจ็บปวดที่เเล่นไปทั่วร่าง แววตาที่เคยทอประกายสุกใสกลับมืดมน
" หึ ซูเหวินเจ้าช่างโง่นัก "
คนงามยกยิ้มเย้ยหยันตน คาดหวังสิ่งใดจากคนผู้นั้นกันช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นข้าเป็นเพียงสิ่งที่ไม่น่าจดจำ ถูกให้อยู่ในเรือนห่างไกลทอดมองคนผู้นั้นเเละหญิงผู้นั้นเคียงคู่กัน
ข้าผิดอันใด...เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายกับข้าเยี่ยงนี้ หยดเลือดสีดำไหลจากมุมปากหยัก ลมหายใจเริ่มขาดห้วงเมื่อเปลวไฟเเห่งชีวิตใกล้ดับมอดแล้วนั้น ในใจกล่าวโทษสามีที่มิคิดจะช่วยเหลือ ได้เเต่เวทนาตน ในห้วงเวลาสุดท้ายซูเหวินคิด หากไม่รักท่าน เขาคงมีความสุขมากกว่านี้ หากชาติหน้ามีจริง จะมิขอเกี่ยวด้ายเเดงผูกปอยผมกับเจ้า
เปลวไฟพัดโหมย้อมนภามืดมิดให้เเดงฉาน ร่างของฮูหยินทอดกายสิ้นลมหายใจอยู่ที่เรือนพร้อมคำอธิษฐานห้วงสุดท้ายของชีวิต
หลังจากเปลวเพลิงมอดดับบ่าวเกอตัวน้อยวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปทางท้ายจวนเพื่อไปยังเรือนน้อยที่คุณชายตนอยู่ เรือนเล็กเหลือเพียงเศษเถ้าสีดำ บ่าวตัวน้อยยังหวังว่าคุณชายตนนั้นจะหนีรอด หากแต่วิ่งตามหาจนรอบจวนแล้วยังไม่พบผู้เป็นนาย
" คุณชาย ฮืออออออออ "
หวงเจี้ยนที่เดินตามหลังมามองซากเรือนด้วยใบหน้านิ่งเฉย ก้าวข้ามเศษไม้และขี้เถ้ากวาดสายตามองรอบๆ แม้จะไม่เด่นชัดหากแต่มีที่หนึ่งที่ไม้ยังไหม้ไม่หมด แม้จะมิเห็นร่างเเต่ก็พอจะคาดเดาได้ หากแต่สิ่งที่ดึงสายตาคู่คมให้หยุดนิ่งคือปิ่นหยกขาวที่แม้จะมีคราบดำหรือจะหักครึ่งไปแต่เขาก็ยังจำได้ดี ปิ่นที่เคยมอบให้ใครผู้หนึ่งที่เขาจำใบหน้ามิได้ เหตุใดจึงได้อยู่กับคนผู้นี้ ในใจเกิดหลุมดำและคำถามขึ้นมากมาย เเต่คนที่ตอบได้นั้นก็มิได้อยู่ตรงนี้แล้ว
" ท่านพี่ เเค่กๆ "
" เมิ่งเออร์เจ้าอย่าได้เข้ามา "
เมื่อเห็นร่างคนรักกำลังเดินเข้ามาหวงเจี้ยนก็ลืมคำถามในใจไปสิ้น รีบเดินไปประคองพาออกไปจากที่นี่ทันที ลืมแม้กระทั่งความรู้สึกในใจที่เกิดขึ้น
ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ ฮูหยินสิ้นลมหายใจในเปลวเพลิง บ่าวรับใช้กลับสู่ตระกูล หลังจากนั้นเพียงสามเดือนจวนแม่ทัพก็เกิดเรื่องราวขึ้นอีกครา.
เฮือก
ร่างบางหอบหายใจราวกับคนที่โผล่พ้นน้ำ ลมหายใจกระชั้นถี่ทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อสติกลับมาเข้าร่างสิ่งเเรกที่ร่างบางกระทำคือยกมือขื้นตบหน้าตนเอง
เจ็บ
มิได้ฝัน..เขายังมีชีวิตอยู่ ซูเหวินยันกลายลุกลงจากเตียงเดินไปยังหน้ากระจกทองเหลืองมองใบหน้าที่ยังดูอ่อนวัยกว่าคราที่สิ้นลมหายใจ แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉยแต่ในหัวกลับคิดถึงเรื่องราวในคราหลังจนกระทั่งเสียงเคาะประตูเรียกให้หลุดจากภวังค์
" คุณชายตื่นหรือยังขอรับ "
" อ่า..ข้าตื่นแล้ว เข้ามาเถอะ "
ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับบ่าวตัวน้อยที่ดูอ่อนเยาว์กว่าสองปีอยู่ข้างหน้า เดินเข้ามาพร้อมอ่างน้ำอุ่น
" คุณชายตื่นนานเเล้วหรือขอรับ "
ซูเหวินมองตามบ่าวคนสนิทที่เดินไปจัดเตียง ในช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวเเละยากลำบากก็คอยอยู่เคียงข้างเสมอ
" คุณชาย ท่านเป็นอะไรหรือขอรับ ร้องให้ทำไมขอรับ "
ซูเหวินจับมือเล็กที่คอยปรนนิบัติรับใช้ คอยดูแลเเละเป็นเพื่อนยามที่อ้างว้างที่สุด
" จิ่วเออร์ ขอบคุณเจ้ามากนะ "
คงเป็นคำที่ยังติดค้างในใจเมื่อเอ่ยออกไป บ่าวตัวน้อยทำสีหน้างุนงงจนน่าขำ จึงบอกให้ไปเตรียมเสื้อผ้าให้ก่อนที่จะมีคำถามตามมา แม้จะไม่กระจ่างนักกับการที่ได้กลับมา หากเป็นเพราะคำอธิษฐานก่อนตายเขาก็รู้สึกยินดียิ่ง เมื่อจิ่วเออร์ช่วยแต่งตัวเรียบร้อยก็เดินไปยังเรือนใหญ่เพื่อทานมื้อเช้าร่วมกับบิดา
" คารวะท่านพ่อขอรับ "
" อืม "
เสนาบดีจางรับคำบุตรชายคนเล็กก็ละความสนใจในมันที ซูเหวินก้มหน้ามองตักตน ต่อให้กลับมาใหม่อีกคราก็ยังมิชินกับความเย็นชาของบิดาจึงได้แต่นั่งอย่างสงบเสงี่ยม ไม่นานนักพี่ใหญ่ก็เดินเข้ามา
" คารวะพี่ใหญ่ขอรับ "
เขาลุกขึ้นคำนับพี่ใหญ่ที่เพียงหยักหน้าให้แล้วนั่งลงข้างๆ บิดา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครับนั้นช่างห่างเหินเเละถูกปฏิบัติราวกับเป็นเพียงสิ่งที่ทุกคนเพิกเฉย รับรู้การมีอยู่เเม่มิได้ให้ความสนใจ เมื่อท่านพ่อเริ่มคีบอาหารต่อด้วยพี่ใหญ่เขาจึงเริ่มทานด้วย แม้จะเคยปฏิเสธการมาเข้าร่วมเเต่วันต่อมาก็ถูกเรียกตัวมาเช่นเดิม มื้อเช้าที่เเสนอึดอัดผ่านพ้นไปซูเหวินก็แยกกลับเรือนเเละบอกบ่าวคนสนิทว่าขออยู่คนเดียว เมื่ออยู่ลำพังในห้องซูเหวินหยิบพู่กันเเละกระดาษออกมาเพื่อลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนี้เพราะถามจิ่วเออร์แล้วว่าวันนี้คือวันอะไรทำให้ลำดับเหตุการณ์จนถึงตอนที่ทำให้เขาต้องร่ำให้อีกครา
ชั่วชีวิตของซูเหวินนั้นเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่เป็นเกอ (ผู้ชายท้องได้ ) ว่าย่ำแย่แล้วหากแต่ที่เขาเกิดมาแล้วทำให้ผู้เป็นมารดาต้องตาย บิดาหมางเมินถูกเลี้ยงดูโดยแม่นมอยู่ในเรือนแยก เมื่อเติบโตขึ้นอยากเล่นกับพี่ชายก็ทำมิได้ เมื่อรู้ความท่านพ่อก็ส่งคนมาสอนเกี่ยวกับงานบ้านงานเรือนที่เกอสมควรที่จะได้เรียน ช่วงเวลาในวัยเยาว์นั้นมีเพียงแม่นมและจิ๋วเอ๋อร์เป็นเพื่อน หากแต่ในความเหงานั้นยังพอมีโชคดีอยู่บ้างที่พี่รองมิได้รังเกียจ เมื่อสมัยยังเด็กพี่รอง จะแอบท่านพ่อและพี่ใหญ่มาเล่นด้วยเสมอ เมื่อพอโตขึ้นก็จะแอบเอาตำราที่ได้เรียนมาให้ทำให้เขานั้นเชี่ยวชาญทั้งงานเรือนและการรบ จะให้ทำเช่นไรได้ เพราะพี่รองนั้นสนใจเรื่องนี้ แต่ความสามารถนี้ก็มิสามารถบอกกล่าวแก่ผู้ใดได้ ในตอนนี้พี่รองอยู่ที่ชายแดน เมื่อนึกถึงผู้เป็นพี่ซูเหวินก็อดมิได้ที่จะทอดถอนหายใจ ในวันนั้นหากมิเกิดเรื่องเขาคงจะได้เจอกับพี่รอง
" พี่รอง ข้าคิดถึงท่านยิ่ง "
ในอดีตคนที่คัดค้านการแต่งงานของเขาก็ มีเพียงพี่รอง แต่เมื่อทั้งท่านพ่อและพี่ใหญ่ต่างเห็นชอบพี่รองจึงมิอาจคัดค้าน จึงขอไปประจำการที่ชายแดน ในปีปีหนึ่งจะกลับมาเพียงสามสี่ครั้งและแต่ละ ครั้งนั้นอยู่เพียงไม่กี่วัน ทุกครั้งที่กลับมาพี่รองจะไปเยี่ยมเยียนเขาเสมอ
ไปอยู่กับพี่รองดีหรือไม่นะ
แม้จะย้อนกลับมาแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็มิได้เปลี่ยนไปมากมายนัก มีบ้างที่ทั้งบิดาและพี่ใหญ่แปลกใจกับนิสัยที่แปรเปลี่ยนแต่ก็หาได้มีความ สนใจต่อตัวเขากว่าที่เคยนัก
" จิ่วเอ๋อร์ หากข้าจะไปชายแดนเจ้าจะไปอยู่กับข้าหรือไม่ "
เอ่ยถาม บ่าวคนสนิทที่ยืนฝนหมึกให้อยู่ข้างๆ มือก็กำลังเขียนจดหมายถึงพี่รอง ในตอนนี้ยังมิได้เกิดศึกที่ชายแดนหากแต่อีกมินานจะเกิดภัยพิบัติ ด้วยความ เป็นห่วงพี่รองจึงแอบเขียนเป็นนัยให้พี่รองได้รับรู้จะได้เตรียมตัวตั้งรับทัน เมื่อเขียนเสร็จก็ให้จิ๋วเอ๋อร์นำไปส่งโดยฝากไปกับสหายของพี่รอง เพราะตัวเขา นั้นมีสามารถออกนอกจวนได้
ใกล้ถึงเวลาที่เขาจะอายุสิบหกแล้ว วันนั้นจะเป็นวันที่ราชโองการ พระราชทานสมรสถูกส่งมาที่จวน หากจะคัดค้านก็คงมิมีทางแล้วคงได้แต่ยอมรับ หากแต่หลังจากแต่งงานเขาคงจะขอให้คนผู้นั้นช่วยหย่าแล้วค่อย เดินทางไปอยู่กับพี่รองที่ชายแดน ระหว่างที่รอให้ถึงวันนั้นเขาคงทำสิ่งใดมิได้นอกจากรอ โชคดีที่งานบ้านงานเรือนสำหรับซูเหวินนั้นมิเป็นสองรองใคร งานปักถูกสอนจากอาจารย์ผู้เลื่องชื่อ แม้จะไม่สนใจแต่เขาก็มิเคยขาดสิ่งที่ บุตรของเสนาบดีควรจะได้รับ ทรัพย์สินเงินทองที่ได้รับในแต่ละเดือนก็ มากมาย หากแต่เขาก็มิคิดที่จะปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไป หากมิคิดทำสิ่งใดเลยเขาคงไม่สามารถหยุดฟุ้งซ่านได้
" จิ๋วเอ๋อร์ เจ้านำเงินและรายการนี้ไปยังร้านไฉ่ฝูให้ข้าที "
" ขอรับ "
แม้จะไม่เข้าใจที่คุณชายสั่งแต่ม่อจิ๋วก็ทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามม่อจิ๋วก็นำข้าวของที่สั่งกลับมายังเรือน
" เจ้าไปแจ้งแก่ท่านพ่อบ้านว่าข้าจะรับอาหารที่เรือนเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย"
ม่อจิ๋วรีบไปทำตามที่บอกทันที ซูเหวินลุกขึ้นไปตรวจสอบของที่สั่งว่าครบหรือไม่ เมื่อเห็นว่าของที่สั่งนั้นได้ครบมิขาดตกก็ไม่ประวิงเวลานำ ผ้าไปขึงให้ตึงแล้วค่อยเตรียมไหมออกมา นึกภาพในหัวเพียงชั่วครู่แล้วจึงลงมือปัก
ครั้งหนึ่งเขาเคยปักผ้าคลุมลายพยัคฆ์ให้แก่คนผู้นั้นแต่ก็มิเคยเห็น มันถูกสวม บางทีอาจจะถูกเผาทิ้งแล้ว ซูเหวินรีบสะบัดศีรษะปัดความคิด เรื่องในอดีตออกไปแล้วหันมาจดจ่อกับลวดลายดอกไม้บนผ้า
ม่อจิ๋วเฝ้ามองผู้เป็นนายก้มหน้าก้มตาปักลายผ้าอย่างคล่องมือ ใช้เวลาไม่นานเท่าใดนักลายดอกไม้ที่งดงามราวกับมีชีวิตก็เสร็จ คุณชายนำผ้าปักมาตัดเย็บเป็นถุงหอมโดยให้เขาช่วยนำเครื่องหอมที่คุณชายได้ทำไว้ใส่ลงไปในถุงแล้วเย็บปิดให้สนิท
"คุณชายจะทำให้ผู้ใดหรือขอรับ"
"ข้ามิได้ทำให้ผู้ใด ข้าจะทำขายต่างหากเล่า"
ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มซุกซนยิ่งทำให้เกอน้อยดูงดงามยิ่งขึ้น
" ขะ..ขายหรือขอรับ คุณชายมิได้รับอัฐรายเดือนหรือขอรับ "
ซูเหวินขำเมื่อบ่าวรับใช้ตัวน้อยทำหน้าตาตื่นราวกับเกิดเรื่องร้ายแรง อยากรู้จริงๆ ว่าในหัวเล็กๆ นี่คิดอันใดอยู่
" มิใช่หรอก ข้าเพียงแต่เบื่อหน่ายเท่านั้น "
เขาพูดเพียงเท่านี้แล้วหันมาปักผ้าต่อโดยตั้งใจไว้ว่าจะปักให้ได้สักสิบอัน เมื่อเข้าสู่ยามโฉ่ว (01.00-02.59 น.) ร่างระหงแทบจะฟุบหลับกับโต๊ะเมื่อถุงหอมชิ้นสุดท้ายเสร็จสิ้นลง
" คุณชายไปนอนที่เตียงเถิดตขอรับ "
ม่อจิ่วแม้จะง่วงเพียงใดแต่ก็ยังรอส่งคุณชายเข้านอน ร่างเล็กที่ผอมบางกว่าผู้เป็นนายพยุงร่างที่พร้อมจะหลับ ไปที่เตียง เมื่อปรนนิบัติคุณชายเรียบร้อยม่อจิ่วจึงดับไฟก่อนที่จะแยกไปนอน
ย่างเข้ายามซื่อ (09.00-10.59 น.) ซูเหวินก็ยังคงหลับใหลหากแต่ก็ต้องถูกปลูกจากห้วงนิทราเมื่อเสียงเคาะประตูดังลั่น ร่างบางสะดุ้งตื่นเสียงเรียกด้านนอกเรือนทำให้เขาต้องรีบลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วจึงเดินไป เปิดประตู
" สายป่านนี้แล้วเจ้ายังมิจัดการตน ข้าปล่อยปละละเลยเจ้าเกินไปหรือ "
ยังมิได้คำนับบิดาก็ตะคอกใส่ ซูเหวินก้มหน้าลงต่ำเฉกเช่นทุกคราที่เจอกับผู้เป็นบิดา
" ข้าขออภัยขอรับ "
" รีบแต่งตัวเตรียมรับราชโองการ "
ใจดวงน้อยสั่นสะท้านเมื่อได้ยินสิ่ง ที่บิดากล่าว เหตุใดถึงได้มาเร็วเช่นนี้ เกิดสิ่งใดขึ้น ยังมิผ่านพ้นวันเกิด เหตุใดราชโองการจึงได้มาเล่า แม้จะตื่นตกใจที่เหตุการณ์มิได้เป็นดังเดิมแต่ซูเหวินก็รีบรับคำบิดาอย่างเชื่อฟัง คล้อยหลังบิดาซูเหวินก็เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ภายในห้อง
เห็นทีเขาต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว
"คุณชายขอรับ "
" จิ๋วเอ๋อร์รีบแต่งตัวช่วยข้า แล้วนำถุงหอมไปส่งที่ร้านไฉ่ฝู "
ซูเหวิน รีบจัดแจงงานทันที ยังดีที่จิ๋วเอ๋อร์มิได้ตั้งคำถามหลังจากที่ช่วยแต่งตัวเสร็จ เจ้าตัวก็รีบห่อของเดินออกจากเรือนไปทันที แม้จะไม่เคยได้ออกนอกจวนแต่ ร้านไฉ่ฝูก็ถือว่าคุ้นเคยกัน ซูเหวินรีบสาวเท้าเดินไปยังเรือนใหญ่ที่ทั้งบิดาและ พี่ใหญ่นั่งคอยท่าอยู่แล้ว
" จางซูเหวินรับราชโองการ "
เมื่อเห็นร่างบอบบางเดินเข้ามาทั้งยัง เป็นเกอกงกงผู้ถือราชโองการก็ประกาศทันที
" กระหม่อมจางซูเหวิน "
ร่างบางคุกเข่าเบื้องหน้า
" เนื่องด้วยบุตรชายจางซูเหวินของท่านเสนาบดีจางพร้อมด้วยกิริยา และความงาม เจิ้นจึงเห็นว่าจางซูเหวินควรได้คู่ครองที่ดี จึงพระราชทานสมรส ระหว่างจางซูเหวิน กับแม่ทัพหรงหวงเจี้ยน งานสมรสจะจัดขึ้นในอีกสิบห้าวัน ข้างหน้า "
สิ้นคำกงกงแม้จะไม่ยินยอมแต่ก็มิอาจขัดขืน
" ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี "
ซูเหวินยื่นมืออันสั่นเทา รับราชโองการสีทองมาไว้ในมือ แม้ในใจนั้นอยากจะโยนทิ้งไปให้ไกล
เมื่อขบวนกงกงเดินทางกลับทั้งบิดาและพี่ใหญ่ก็มิได้พูดสิ่งใดกับเขา พี่ใหญ่เพียงชายตามองอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะหมุนกายเดินหนีไป แม้จะมีจวนหลังใหญ่ ชาติกำเนิดดีเพียงใด แต่ใจเขาก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่ง ซูเหวินเดิน ถือราชโองการกลับเรือนเพียงลำพัง มิถึงสองเค่อหลังจากกงกงจากไป ม่อจิ่วก็วิ่งหน้าตั้งกลับมา
" ดียิ่ง คืนนี้ข้าจะปักอีก เจ้าช่วยข้าหน่อยเถิดนะจิ๋วเอ๋อร์ "
" ขอรับ "
ไม่นานในเรือนก็กลายเป็นโรงงานปักผ้าไปเสียแล้ว ราชโองการ สีทองล้ำค่าจมอยู่ใต้กองเศษผ้าอย่างที่ซูเหวินไม่คิดจะใส่ใจ มุ่งมั่นกับการปักผ้า เพื่อหาเงินทอง เงินทองมีมากก็มิผิดอันใด ทั้งยังช่วยทำให้เขานั้นนอนหลับได้ อย่างมิต้องฝันร้าย
วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ร้านไฉ่ฝูนั้นแทบรอถุงหอม จากซูเหวินไม่ได้ เพราะทั้งมีกลิ่นหอมทั้งลวดลายงดงามราวกับของจริงทำให้ถูกใจเหล่าคุณหนูและเกอ เป็นที่ต้องการยิ่ง หากแต่ซูเหวินก็มิอาจปลีกตัวมา ทำงานได้เพราะบิดาให้เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว
"คุณชายขอรับ ท่านมิยินดีหรือ "
ม่อจิ่วที่สังเกตสีหน้าคุณชายเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยมาหลายวันจึงเอ่ยถาม
" ข้ามิอาจยินดีได้เลยจิ๋วเอ๋อร์ "
เขาได้แต่ตอบบ่าวคนสนิทอย่างคลุมเครือ เขาจะดีใจได้เยี่ยงไรในเมื่ออนาคตของเขานั้นจะต้องถูกทอดทิ้ง และเจ็บช้ำ เอาเถิดตอนนี้เขาจะทำให้ท่านแม่ทัพยินยอมหย่าแม้จะทำให้บิดา เสียหน้าไปบ้างก็ตาม
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!