เสียงระฆังแห่งโชคชะตาดังขึ้นสามครั้งทั่วนครเอลินวาร์ เมืองหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรเอฟีเรน แสงแดดอ่อนๆ ทาบทอลงบนยอดหอคอยคริสตัลที่ตั้งเรียงรายอยู่เหนือพื้นเมืองอันลอยตัวอยู่เหนือเมฆ มวลอากาศอวลด้วยกลิ่นของพลังงานเวทมนตร์ที่เบาบางแต่เข้มข้น ราวกับทุกลมหายใจสามารถสะกดโชคชะตาของผู้ใดไว้ได้ตลอดกาล
กลางฝูงชนที่พลุกพล่าน อาเรนดึงผ้าคลุมสีเทาขึ้นคลุมศีรษะแน่นกว่าเดิม ดวงตาสีเทาของเขากวาดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ข้างกายเขาคือเหล่าผู้คนที่มีตราประทับโชคชะตาเรืองแสงบนหลังมือ เป็นลวดลายซับซ้อนที่ไม่มีใครมีเหมือนกัน และเปล่งแสงสลัวเฉพาะเมื่อเข้าใกล้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
แต่บนมือของเขา... ไม่มีอะไรเลย
> “อย่ามองสบตาใครเกินสามวินาที อย่าใช้ชื่อจริง และอย่าให้ใครเห็นมือขวาเด็ดขาด”
คำสั่งสอนของแม่ยังคงดังก้องอยู่ในหัว แม้เธอจะจากไปนานแล้ว
เขาเดินเลียบกำแพงหินของตลาดกลาง เมืองนี้ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางแห่งการค้าและความมั่งคั่ง แต่คือศูนย์กลางของทุกเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ในดินแดนเอฟีเรน ที่นี่ไม่มีใครเชื่อใน “ความบังเอิญ” เพราะทุกการพบเจอ ทุกความสำเร็จ หรือแม้แต่ความพ่ายแพ้—ล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว
และเขา... คือสิ่งผิดปกติเพียงหนึ่งเดียวของระบบนี้
อาเรนหยุดเท้าเมื่อผ่านลานบูชาหินแห่งคำทำนาย เสาหินสูงแปดต้นเรียงตัวเป็นวงกลม รอบแกนกลางซึ่งมีนาฬิกาทรายขนาดยักษ์ลอยอยู่เหนือแท่นหินเก่า พลังงานเวทสีเงินหมุนวนรอบๆ มันอย่างเชื่องช้า
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งแผ่วเบาดังขึ้นในหัวเขา
> “เจ้า... ผู้ไร้เส้นทาง ผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ในผืนพงศ์แห่งโชคชะตา...”
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงจากภายนอก แต่เหมือนจะเกิดจาก “บางสิ่ง” ที่อยู่เหนือมิติของเสียง — เสียงที่ไม่ควรมีใครได้ยิน ยกเว้นคนที่ไม่ควรอยู่
เขาชะงัก ขนลุกทั่วทั้งร่าง
แล้วเธอก็ปรากฏตัว
เธอเดินเข้ามาช้าๆ ผ่านฝูงชนที่เหมือนจะเปิดทางโดยไร้เหตุผล ราวกับแรงบางอย่างกำลังสั่งให้โลกรอบข้างหยุดนิ่งไว้ชั่วคราว
หญิงสาวผมสีเงินยาวถึงเอว สวมหน้ากากครึ่งหน้ารูปปีกนกบนใบหน้าข้างขวา เสื้อคลุมสีขาวเงินสะท้อนแสงแดดราวกับถูกถักทอจากเส้นแสงจันทร์ ใต้คลุมชุดนักบวชคือดวงตาคู่หนึ่ง—สว่างราวกับดวงดาวที่ไม่เคยลับฟ้า
อาเรนไม่รู้ว่าเธอคือใคร แต่ทุกอณูในร่างกายกำลังกรีดร้องว่า หนีไป!
แต่สายตาเขากลับจ้องเธอไว้แน่น... และเธอก็จ้องเขาเช่นกัน
ไลอาเดินมาหยุดตรงหน้าเขาโดยไม่มีทหารองครักษ์ ไม่มีเวทป้องกัน ไม่มีคำข่มขู่จากสภาเหมือนอย่างที่ผู้พิทักษ์โชคชะตาคนอื่นเคยทำ—เธอเพียงมองเขานิ่งๆ ดวงตาคู่นั้น…มีทั้งความสงสัย สับสน และบางอย่างที่คล้ายความเจ็บปวดซ่อนอยู่
“คุณ...” เธอเอ่ยออกมาเสียงเบา “...ไม่มีเส้นทางใช่ไหม?”
ประโยคเดียวทำให้โลกรอบตัวเขาหยุดนิ่ง
ไม่มีใคร ควรรู้
ไม่มีใคร ควรเห็น
อาเรนถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว มือเขาขยับไปแตะมีดสั้นใต้เสื้อคลุม
แต่เธอกลับพูดต่อ โดยไม่มีแววตาแห่งความกลัวหรือประณาม
“ฉัน...มองไม่เห็นอะไรเลยเมื่ออยู่ใกล้คุณ” น้ำเสียงเธอแผ่วเบาแต่สั่นน้อยๆ “เส้นทางของฉันหายไป”
อาเรนสับสน เขาควรหนี เขาควรลบเธอออกจากความทรงจำให้ได้ก่อนที่เธอจะรายงานเขา
แต่บางอย่างในน้ำเสียงเธอ... ทำให้เขาหยุด
“คุณรู้ใช่ไหม... ว่าการที่ฉันพูดกับคุณแบบนี้ มันอาจทำให้ฉันหายไปจากโลกนี้ได้” เธอยิ้มบาง ๆ ทั้งที่น้ำเสียงปนกลัว
อาเรนเงียบ ก่อนจะเอ่ยคำพูดแรกที่หลุดออกมาในรอบหลายวัน
“งั้นคุณก็โง่สิ”
เธอกลั้นหัวเราะ “ฉันก็ว่าอย่างนั้น”
เสียงระฆังโชคชะตาดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าการเคลื่อนไหวของระบบกำลังจะเริ่มรอบใหม่
อาเรนหันขวับไปมองนาฬิกาทรายลอยกลางลาน—ทรายเม็ดแรกเริ่มร่วงลง
เขากระชากข้อมือเธอทันที และพูดเร็วอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“อย่าอยู่ตรงนี้ ไปกับฉันเดี๋ยวนี้ ก่อนที่มันจะรู้ว่าคุณพูดกับคนที่ไม่มีตัวตน”
ดวงตาเธอเบิกกว้าง แต่ไม่ขัดขืน เธอปล่อยให้เขาพาออกจากลานบูชาอย่างรวดเร็ว
และในวินาทีนั้นเอง... การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มขึ้นแล้ว
ไม่ใช่แค่ระหว่างพวกเขาสองคน
แต่คือโชคชะตาของทั้งดินแดนที่ไม่เคยมีใครกล้าตั้งคำถามกับมันมาก่อน
> “เมื่อเธอคือผู้เฝ้าเส้นทาง และเขาคือผู้ไม่มีเส้นทาง — พวกเขาไม่ได้พบกันเพราะโชคชะตา... แต่เพราะโลกนี้เริ่มแตกสลาย”
เสียงลมเย็นที่ลอดผ่านยอดไม้สูงกำลังพัดใบไม้ให้ไหวกระเพื่อม ราวกับโลกกำลังกลั้นลมหายใจเงียบงัน
อาเรนกับไลอาเดินเคียงกันในป่าอีวาเรนมาตลอดทั้งคืน ไร้จุดหมายแต่เต็มไปด้วยความหวังที่กำลังถูกกัดกร่อนทีละน้อย
“พวกเขาใกล้เข้ามาแล้ว” ไลอาพูดขึ้นเบา ๆ ดวงตาสีเงินของเธอมองผ่านหมอกหนาไปเบื้องหลัง “เส้นทางของผู้ล่า... สว่างจ้าเหมือนเปลวเพลิง”
อาเรนหันมามองหญิงสาวข้างกาย สีหน้าของเขายังคงเงียบขรึมเหมือนเดิม แต่ไลอารู้ดี ว่าเบื้องหลังดวงตาคู่นั้น มีความคิดมากมายที่เขาไม่ยอมเอ่ยออกมา
“เราจะไปที่ไหนต่อ?” เขาถาม พลางยื่นขวดน้ำให้เธอ
ไลอาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรับน้ำมาดื่ม แล้วตอบเบา ๆ
“ไม่มีเส้นทางให้เราเลือกอีกแล้ว... มีแต่ทางที่ต้อง สร้าง ขึ้นเอง”
อาเรนพยักหน้า มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ แม้มันจะขื่นขม แต่เขาก็เข้าใจดีว่าโลกนี้ไม่เคยมอบอะไรให้คนไร้ตราอย่างเขาเลย
พวกเขาเดินต่ออีกไม่กี่ร้อยก้าว ก่อนจะหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ อาเรนนั่งพิงโคนต้นไม้ หลับตาลง
ในความมืดของจิตสำนึก... เขาเห็นภาพแปลกประหลาด
เส้นแสงบาง ๆ พาดผ่านกลางอากาศ บิดเบี้ยว วูบไหว เหมือนสายไหมที่ขาดจากกี่ทอผ้า
เขาพยายามแตะมัน
ทันใดนั้น —
ภาพเบื้องหน้าก็กลายเป็นใบหน้าของใครบางคน
ผู้หญิงคนหนึ่ง... ผมยาวสีขาว ท่ามกลางม่านแสงที่พร่ามัว
เธอกระซิบเบา ๆ ด้วยเสียงที่อาเรนไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยราวกับฝันที่เคยลืม
“...เจ้าคือเศษเสี้ยวของสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่... แต่กลับกลายเป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลง...”
เขาสะดุ้งตื่น ร่างกายชุ่มเหงื่อ หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกถึงชีพจรในลำคอ
ไลอานั่งอยู่ข้าง ๆ เธอมองเขาด้วยแววตากังวล
“ฝันอีกแล้ว?” เธอถาม
อาเรนพยักหน้า “เหมือนฝัน... แต่ก็ไม่ใช่... มันเหมือนความทรงจำ... ที่ไม่ใช่ของฉัน”
“หรืออาจเป็นของโลกนี้เองที่กำลังพยายามพูดกับนาย” ไลอาพูดช้า ๆ
เขามองหน้าเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลง มองฝ่ามือตัวเอง
“พลังนี้...” เขากระซิบ “มันกำลังเติบโต... แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
ไลอาเอื้อมมือไปแตะฝ่ามือของเขา
“ไม่ว่านายจะกลายเป็นอะไร... ฉันจะอยู่ข้างนาย”
เสียงของเธอนุ่มนวล แต่แน่วแน่
ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไรต่อ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็เริ่มดังใกล้เข้ามา
ต้นไม้ไหวสะเทือนเหมือนถูกบางอย่างกดทับ
อาเรนลุกขึ้นพร้อมชักมีดสั้นที่ซ่อนไว้หลังเสื้อ
ไลอาหลับตา มอง “เส้นทาง” ด้วยพลังของเธอ ก่อนเบิกตากว้าง
“ไม่ใช่หน่วยล่าธรรมดา... พวกเขาส่งไอเซนมาเอง”
อาเรนสบถในใจ ก่อนคว้ามือเธอแน่น
“ไปทางน้ำตก! มีโพรงใต้หิน!”
พวกเขาวิ่งผ่านความมืด ฝ่าหมอกและเสียงคำรามของผู้พิทักษ์
แต่สิ่งที่ตามมานั้น... ไม่ใช่แค่คน
ในเงามืด
มีบางอย่างที่ ไม่มีเส้นทาง กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางเดียวกันกับพวกเขา
---
อีกด้านหนึ่ง – นครเอลินวาร์
“เขากำลังกลืนกินเส้นทาง...”
เสียงของหนึ่งในนักพยากรณ์สั่นระริก ขณะที่ลูคัส เอลิอาน มองภาพที่ฉายขึ้นกลางอากาศ
เป็นเงาร่างของอาเรน รายล้อมด้วยเส้นสายของโชคชะตาที่เริ่ม “แตกขาด” รอบตัวเขา
“มันไม่ใช่พลังของมนุษย์อีกต่อไปแล้ว” นักพยากรณ์อีกคนกล่าว
ลูคัสยืนนิ่ง
ในดวงตาของเขามีแววลังเล
ไม่ใช่เพราะกลัว... แต่เพราะคนที่อยู่ข้างเด็กคนนั้น—คือลูกสาวของเขาเอง
---
กลับสู่ป่า
อาเรนกับไลอาหลบอยู่ในโพรงใต้โขดหิน เสียงของผู้ล่าดังลอดมาเป็นระยะ
แต่แล้ว...
เสียงกระซิบแผ่วเบาก็ดังขึ้นในหูของอาเรนอีกครั้ง
“อย่าหนีอีกเลย... ถึงเวลาที่เจ้าต้องเลือกแล้ว... จะเป็นผู้ทำลาย... หรือผู้ปลดปล่อย...”
อาเรนกำฝ่ามือแน่น
ดวงตาสีเทาของเขา สะท้อนแสงของดวงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องหิน
“ฉันไม่หนีอีกแล้ว”
ไลอาหันมามองเขา
และในแววตาคู่นั้น เธอรู้...
อาเรนกำลังเปลี่ยนไป
---
> ตอนจบของตอนนี้: พลังของอาเรนเริ่มตื่นเต็มตัว ขณะที่เงาที่ไม่มีตราเริ่มเผยโฉม และเส้นทางของไลอากับอาเรน... กำลังจะพาพวกเขาไปสู่ใจกลางของโลกที่ทั้งคู่ไม่อาจหันหลังกลับได้อีกต่อไป
แม้จะหลบหนีจากผู้พิทักษ์มาได้ชั่วคราว แต่อาเรนรู้ดีว่าความสงบครั้งนี้ไม่ต่างจากเงียบงันก่อนพายุ
ไลอาเอนหลังพิงผนังถ้ำเล็ก ๆ ใต้ผาหิน เสียงลมหายใจแผ่วเบาสะท้อนในความมืด
อาเรนนั่งไม่ห่างนัก มือทั้งสองยังสั่นเล็กน้อยจากพลังที่ปะทุเมื่อตอนบ่าย
“มันเจ็บมั้ย?” ไลอาถามขึ้น
เขาเหลือบตามองเธอเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า
“ไม่... แต่เหมือนบางอย่างในตัวฉันกำลังพยายามดึงฉันออกจากร่างนี้”
เธอไม่เข้าใจนัก แต่ก็ไม่ถามต่อ
แค่ยื่นมือมาแตะหลังมือเขาเบา ๆ ราวกับจะบอกว่า เธอยังอยู่ตรงนี้
อาเรนหลับตา ปล่อยให้ความเงียบพาเขาเข้าไปในห้วงสำนึกอีกครั้ง
ในนั้น เขาเห็น “เงา” ของใครบางคนอีกครั้ง
ครั้งนี้ เส้นแสงรอบตัวเขาพลันแปรเปลี่ยน
มันไม่ใช่เส้นทาง... แต่เป็นเส้นผูกพัน
เส้นบาง ๆ สีเงินขาว เชื่อมต่อเขาเข้ากับไลอา
และในวินาทีนั้น เขาเห็นสิ่งที่เธอไม่เคยบอกเขา
อนาคตหนึ่งที่เธอเห็น—ที่เขาต้องตายเพื่อให้เธอมีชีวิตรอด
เขาสะดุ้งตื่น หอบหายใจ ร่างกายเปียกเหงื่อ
“อาเรน! เป็นอะไร—?” ไลอาตื่นตกใจ เธอกระโดดเข้ามาดูเขาใกล้ ๆ
เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่มองตาเธอ
และรู้ทันทีว่า... เธอก็รู้ว่าเขาเห็นอะไร
“เธอไม่จำเป็นต้องปกป้องฉันแบบนั้น...” เขากระซิบ
“ฉันไม่ได้ปกป้อง... ฉันแค่... ไม่อยากให้เส้นทางนั้นเป็นจริง”
น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อย เหมือนจะร้องไห้ แต่ยังฝืนไว้
เขาหยิบผ้าคลุมแล้วคุมเธอเบา ๆ
“งั้นก็อยู่ตรงนี้... จนถึงวันที่เราสร้างเส้นทางใหม่ขึ้นมาเอง”
---
อีกด้าน – ศูนย์กลางของการทอชะตา
ภายในหอแห่งดวงตาเหนือชะตา เสียงท่องคำภาวนาดังสะท้อน
ผู้เฒ่าผู้เฝ้าทอเส้นโชคชะตากำลังรวมตัวกัน
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น
“รอยแยกเริ่มกระจายจากเส้นของเด็กไร้ตรา—”
“อาเรน ออร์วาเลน” ชื่อของเขาดังขึ้นกลางความเงียบ
“มันไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มอีกแล้ว... เขาคือจุดเชื่อมของ ‘ต้นเส้นแรก’ ที่สูญหาย”
“แล้วเราจะทำอย่างไร หากเขาทำลายระบบนี้ได้จริง?”
เงียบไปชั่วครู่
ก่อนจะมีเสียงหนึ่งตอบ
“งั้นก็อย่าให้เขามีโอกาสนั้น...”
---
ในถ้ำ
เช้าวันต่อมา เสียงนกป่าดังแว่ว อาเรนตื่นก่อนไลอา เขาลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก สูดอากาศเย็นในยามเช้า
แต่ไม่ทันที่เขาจะได้สงบใจ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลัง
“คิดว่าจะซ่อนจากฉันได้นานแค่ไหนกัน?”
เสียงนี้... เขารู้จักดี
อาเรนหมุนตัวกลับ
ไอเซน เดรค ยืนอยู่ตรงนั้น
ในมือมีหอกยาวที่ห่อด้วยพลังสายฟ้าอ่อน ๆ
ในดวงตาไม่มีแววโกรธเกรี้ยว มีเพียงความเงียบสงบอันตราย
“เธออยู่ไหน?” ไอเซนถาม
อาเรนไม่ตอบ เพียงตั้งท่าพร้อม
“ฉันไม่อยากฆ่านาย อาเรน... ฉันแค่อยากพานายกลับไป—ก่อนที่มันจะสายเกินไป”
อาเรนกำหมัดแน่น
“ฉันไม่มีที่ให้กลับอีกแล้ว”
เสียงดาบกระทบกันดังก้องป่า
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!