NovelToon NovelToon

ทะลุมิติไปเป็นศิลปิน

เรื่องย่อ

...‘เขา’ ทะลุมิติมายังจักรวาลคู่ขนานซึ่งมีชื่อว่า ‘บลูสตาร์’...

...ดินแดนซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ...

...ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างยิ่ง...

...ร่างที่เขามาสิงอยู่คือ ‘หลินเยวียน’ นักศึกษาปีสองที่กำลังจะเดบิวต์...

...แต่โชคชะตากลับเล่นตลกให้หลินเยวียนป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทำให้ร้องเพลงไม่ได้ และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน...

...ครอบครัวก็หมดเงินไปกับค่ารักษาจนอยู่ในภาวะการเงินขัดสน...

...เป็นเหตุให้หลินเยวียนตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระของครอบครัวต่อไป...

...แต่ ‘เขา’ ไม่คิดจะปลิดชีพตัวเองเหมือนหลินเยวียน...

...ถึงแม้ร่างนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ก็ยังพอเหลือเวลาให้ทำอะไรอยู่บ้าง...

...และแม้จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองไม่ได้ ก็ยังพอจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของครอบครัวได้...

...เขาจะเขียนเพลง เขียนหนังสือ ถ่ายทอดความรู้ หารายได้ให้ครอบครัว!...

...ทันใดนั้น…...

...[กำลังตรวจเลือด…กำลังตรวจยีน…กำลังตรวจม่านตา…...

...ระดับความเข้ากันได้ร้อยละ 99.36…ตรงตามมาตรฐาน…...

...เลือกจากฐานข้อมูล…โลกในระบบสุริยจักรวาล…ระบบกำลังเชื่อมต่อ…]...

...[ดาวน์โหลดสำเร็จ เชื่อมต่อระบบศิลปะเสร็จสมบูรณ์!]...

...[สวัสดีโฮสต์ ยินดีสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบศิลปะ...

...ระบบของเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านได้เป็นศิลปินของบลูสตาร์!]...

ตอนที่ 1 ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์

เวลาสามทุ่ม

วิทยาลัยศิลปะฉินโจว

เขานอนสองมือประสานหลังศีรษะ เหม่อมองดวงดาวอยู่ในสนามกีฬาของวิทยาลัย

ผืนฟ้าพร่างพรายแสงดาวเหนือศีรษะเหมือนกับโลกไม่มีผิดเพี้ยน ถึงอย่างนั้นต่อให้เป็นเขาซึ่งหาดาวเหนือไม่พบ ก็ยังรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่โลก หากแต่เป็นจักรวาลคู่ขนานซึ่งเรียกว่าบลูสตาร์

‘หลินเยวียน สาขาการประพันธ์เพลง วิทยาลัยศิลปะฉินโจว’

นี่ก็เป็นตัวตนใหม่ของเขาหลังจากทะลุมิติเข้ามา

เขาได้รับสืบทอดทุกสิ่งจากเจ้าของร่างมา โดยเฉพาะจุดเด่นอย่างหน้าตาอันหล่อเหลา แต่ดันจำไม่ได้ว่าตนในโลกเดิมมีชื่อว่าอะไร และก็จำไม่ได้ว่าตนทะลุมิติมาทำไม จำได้แค่ว่าตนเองในโลกเดิมก็ดูดีมีสไตล์ไม่เบาเหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเป็นคนดังอีกด้วย?

ฉะนั้นแล้ว เขาจึงทึกทักว่าตนเองเป็น ‘หลินเยวียน’ ได้อย่างง่ายดาย

สำรวจความทรงจำของเจ้าของร่างสักหน่อยก็แล้วกัน

หลินเยวียนพบว่าเส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ของโลกนี้นั้นแตกต่างจากโลกเดิมอย่างสิ้นเชิง

ประวัติศาสตร์มาถึงทางแยกในยุคราชวงศ์ฉิน ฝูซูสืบทอดราชกิจของอิ๋งเจิ้ง นำกองทัพแห่งต้าฉินกวาดล้างรวบรวมดินแดนต่างๆ ทำให้บูรพาทิศผงาดครองใต้หล้าในคราเดียว จนกระทั่งเมื่อร้อยปีก่อนจึงถูกแคว้นซย่าที่แข็งแกร่งเข้าแทนที่

ทั้งโลกรวมเป็นหนึ่ง

โลกนี้แบ่งเป็นแปดทวีป

พื้นที่ซึ่งหลินเยวียนอยู่นี้เรียกว่าฉินโจว

บนโลกซึ่งตัดขาดกับสงครามอย่างสิ้นเชิง ศิลปะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนเสาะแสวงหาร่วมกัน ที่นี่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างไม่เคยมีมาก่อน

‘ดินแดนในอุดมคติ’

หลินเยวียนนิยามไว้เช่นนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมมองของผู้อยู่ในแวดวงศิลปะ

แต่ต่อให้เป็นดินแดนในอุดมคติอย่างยูโทเปีย ก็ยังมีความโชคร้ายเกิดขึ้น เฉกเช่นโชคร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับเจ้าของร่างซึ่งหลินเยวียนทะลุมิติเข้ามาอยู่

เขาป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย

ถูกต้องแล้วละ นี่เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยครั้งทางโทรทัศน์ และเป็นคำที่มักจะตามมาด้วยดราม่ากองโตไปซะทุกครั้งที่คำนี้ปรากฏขึ้น

‘ป่วยเป็นโรครักษาไม่หาย’

นี่เป็นสิ่งที่หลินเยวียนค้นพบจากความทรงจำหลังจากที่ทะลุมิติเข้ามา ตนถึงขนาดได้รับร่างกายซึ่งโรยราเต็มทีมา หมอได้ตัดสินโทษประหารกับอาการของเจ้าของร่างไว้แต่แรกแล้วว่า

‘เด็กคนนี้จะอยู่ได้ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า’

นี่เป็นความเจ็บปวดที่เจ้าของร่างไม่อาจแบกรับ ดังนั้นเขาจึงเลือกกินยานอนหลับปลิดชีพตนเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลซึ่งทำให้หลินเยวียนได้กลายมาเป็นเจ้าของร่างคนใหม่ เจ้าของร่างซึ่งปีนี้อายุสิบเก้าปีได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตาที่เหลืออันแสนน้อยนิดของเขาไปเสียแล้ว

เป็นเพราะหวาดกลัวความตาย?

จึงเลือกที่จะตาย?

เดิมทีหลินเยวียนคิดว่านี่คือเหตุผลหลักซึ่งทำให้เจ้าของร่างเลือกจบชีวิตตนเอง จนกระทั่งเขาเริ่มค้นหาลงไปในความทรงจำของเจ้าของร่างมากขึ้น ถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาจินตนาการไว้อยู่บ้าง

เจ้าของร่างอยู่ในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว

พ่อของเขาป่วยตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว

เป็นแม่ซึ่งเลี้ยงดูเขาโดยลำพังมาจนเติบใหญ่

เจ้าของร่างร่างกายอ่อนแอป่วยเสาะแสะมาแต่เด็ก ตั้งแต่มีไข้อ่อนๆ ไปจนถึงอาการโคม่า เขาเข้าโรงพยาบาลอยู่เป็นนิจเพื่อรักษาตัว รายจ่ายก้อนโตล้วนมีแม่ของเขาเป็นผู้แบกรับ

เงินบางส่วนก็ยืมมาบ้าง

เงินบางส่วนแม่ก็ดิ้นรนหามาบ้าง

ไม่รู้ว่าแม่ต้องทนลำบากยากเข็ญมากแค่ไหนเพื่อที่จะเลี้ยงดูเขา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของร่างยังมีพี่สาวหนึ่งคน และน้องสาวอีกหนึ่งคนด้วย

พี่สาวและน้องสาวล้วนรู้หน้าที่

เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิม พวกเธอจึงไม่เคยได้มีวันเวลาที่ดีสักเท่าไหร่

พี่สาวละทิ้งโอกาสเรียนต่อปริญญาโท เพื่อจะได้หารายได้เข้าบ้านโดยเร็วที่สุด

น้องสาวสวมเสื้อผ้าตัวเก่าของพี่สาวมาแต่เด็ก เพื่อลดภาระทางการเงินของครอบครัว

และฟางเส้นสุดท้ายก็คือ…

เจ้าของร่างได้สูญเสียคุณสมบัติซึ่งจะช่วยให้เขาไล่ตามความฝันได้

แรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นนักศึกษาสาขาการขับร้อง มีพลังเสียงแข็งแกร่งมาแต่เกิด เสียงของเขานั้นนับว่าโดดเด่นเป็นเลิศในสาขาการขับร้อง ความฝันของเขาก็คือการได้เป็นนักร้อง

ทว่าตอนอยู่ปีหนึ่ง อาการป่วยของเขาก็กำเริบขึ้นเป็นครั้งแรก และการกำเริบครั้งนี้ก็ส่งผลโดยตรง ซึ่งก็คือ

เจ้าของร่างร้องเพลงไม่ได้อีกต่อไป

เขาป่วยจนคอพังเสียแล้ว ไม่สามารถทนการซ้อมร้องที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่องได้อีกต่อไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสียงสูงซึ่งเขาภาคภูมิใจหนักหนา

ด้วยความอับจนหนทาง

เขาจึงเบนไปยังสาขาการประพันธ์เพลงซึ่งไม่ได้ถนัดสักเท่าไร

และในชั้นปีที่สองนั้นเอง เขาก็เลือกจบชีวิตตนเอง

ไม่ใช่แค่เพราะความฝันมาถึงทางตัน แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัวอีกต่อไป ทันทีที่ชีวิตเริ่มนับเวลาถอยหลัง ทุกวินาที ทุกนาทีล้วนแต่ทรมาน

หลังจากประมวลความทรงจำเหล่านี้

หลินเยวียนซึ่งทะลุมิติมาก็พลันเข้าใจในการตัดสินใจของเจ้าของร่าง เขาไม่สามารถใช้ศีลอันธรรมสูงส่งมากล่าวหาว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นอ่อนแอ

พูดได้เพียงว่า…

ทุกคนต่างมีโชคร้ายของตนเอง และโชคร้ายของบางคนนั้นก็ยากเกินแบกรับมากกว่าคนอื่นๆ

เฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ‘คนเราเกิดมาล้วนมีทุกข์’

ทว่าหลินเยวียนไม่มีทางเลือกปลิดชีพตน

ถึงแม้ร่างที่เขาได้รับสืบทอดต่อมานี้จะเป็นร่างที่อยู่ได้ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า แต่อย่างน้อยก็ยังมีเวลาให้หาอะไรทำอีกสักสองสามปี…ล่ะมั้ง?

เขียนเพลง

เขียนหนังสือ

ถ่ายทอดความรู้

หารายได้ให้ครอบครัว

ใช่แล้วละ หลินเยวียนเปลี่ยนแปลงอาการป่วยรักษาไม่หายของตนไม่ได้แล้ว แต่ในเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก เขาอาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนในครอบครัวได้

ความคิดพรรค์นี้รวดเร็วทันใจเสียจริง

หลินเยวียนแยกไม่ออกว่านี่เป็นเจตจำนงของเจ้าของร่างเดิม หรือว่าเป็นปณิธานของเขาเอง

สิ่งที่เขาได้ถ่ายทอดมานั้นอาจไม่ได้มีแค่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม แต่ยังมีทั้งอารมณ์ความรู้สึกทุกข์สุขซึ่งเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดอันพิศวงนี้

หลินเยวียนไม่ได้ต่อต้านความรู้สึกเช่นนี้

แต่เขาก็พยายามเค้นความทรงจำเกี่ยวกับงานศิลปะในโลกเดิม กระนั้นกลับพบว่าตนแทบจำอะไรไม่ได้ ราวกับว่าความทรงจำนั้นได้ถูกปิดกั้นไว้ทีละชั้นๆ

แล้วฉันจะทะลุมิติมาที่นี่เพื่ออะไรกัน

หลินเยวียนถามเช่นนี้อยู่ในใจ

จากนั้นในสมองของเขาก็มีเสียงตอบซึ่งฟังดูไม่ได้เหมือนเป็นคำตอบ [กำลังตรวจเลือด…กำลังตรวจยีน…กำลังตรวจม่านตา…ระดับความเข้ากันได้ร้อยละ 99.36…ตรงตามมาตรฐาน…เลือกจากฐานข้อมูล…โลกในระบบสุริยจักรวาล…ระบบกำลังเชื่อมต่อ…]

ระบบ?

หลินเยวียนเข้าใจแล้ว

แม้ว่ารายละเอียดของความทรงจำจะเลือนราง แต่เขาก็เคยอ่านนิยายออนไลน์ในโลกเดิมมา พอจะมีภาพจำอยู่บ้าง รู้ว่านี่คือสูตรโกง และเป็นเหตุผลที่เขาทะลุมิติมา

จะมัวมาคิดฟุ้งซ่านไม่ได้อีกแล้ว

เขารอให้ระบบติดตั้งอย่างเงียบเชียบ

ผ่านไปไม่นาน เสียงของกระแสไฟฟ้าซึ่งฟังดูคล้ายกับเป็นจักรกลก็ดังขึ้นในห้วงสำนึกของเขาอีกครั้ง [ดาวน์โหลดสำเร็จ เชื่อมต่อระบบศิลปะเสร็จสมบูรณ์!]

“สวัสดี”

หลินเยวียนเอ่ยทักทายก่อน

[สวัสดีโฮสต์ ยินดีสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบศิลปะ ระบบของเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านได้เป็นศิลปินของบลูสตาร์ ท่านสามารถติดต่อกับระบบได้ผ่านความคิดในสมอง ด้านล่างคือข้อมูลของโฮสต์ซึ่งแสดงให้เห็นในรูปแบบตัวอักษร]

เสียงของจักรกลหยุดลง

ตัวอักษรโปร่งแสงปรากฏแก่สายตาของหลินเยวียน

[อายุ: 19]

[อายุขัย: 22]

[จิตรกรรม: 45]

[วรรณกรรม: 105]

[ดนตรี: 1038]

[ภาพรวม: 1188]

[อื่นๆ : รอเปิดใช้]

[หมายเหตุ: นอกจากอายุและอายุขัยแล้ว ตัวเลขแต่ละหมวดนั้นแสดงถึงชื่อเสียง และตามทฤษฎีแล้ว ระดับความนิยมที่โฮสต์ได้รับในหมวดนั้นๆ จะไร้ซึ่งขีดจำกัด ยิ่งระดับความโด่งดังสูงเท่าไร รางวัลที่โฮสต์จะได้รับย่อมมากขึ้นตาม…]

อายุขัยคือ…22?

ระบบคล้ายกับจะล่วงรู้ถึงความคิดของหลินเยวียน

อักษรอีกแถบหนึ่งปรากฏขึ้นมา [อายุยี่สิบห้าปีคือขีดจำกัดอายุของเจ้าของร่างตามทฤษฎี เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์จริง เจ้าของร่างมีชีวิตอยู่ได้มากที่สุดถึงยี่สิบสองปี อีกทั้งเมื่ออายุถึงยี่สิบเอ็ดปี ก็จะเป็นอัมพาตทั้งตัว]

“รักษาได้ไหม”

หลินเยวียนถามในใจ

ระบบ [เมื่อชื่อเสียงของโฮสต์แตะถึงมาตรฐานความโด่งดัง ก็จะได้รับการรักษาจากระบบ เมื่อผ่านการรักษาหลายครั้งเข้าก็จะถึงระดับที่ฟื้นตัวได้ ทุกครั้งที่ค่าความโด่งดังแตะถึงระดับที่กำหนด ระบบก็จะแจ้งเตือนโฮสต์…]

ความหมายก็คือรักษาได้

หลินเยวียนถามอย่างชำนิชำนาญว่า “โบนัสใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่ล่ะ?”

อาจเป็นเพราะหลินเยวียนเชี่ยวชาญแล้ว แม้แต่ระบบก็ตามเขาไม่ทัน มันเงียบงันไปหลายวินาทีก่อนจะตอบว่า [โบนัสใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่ได้ถูกส่งไปเก็บในคลังเก็บของหลังบ้านของโฮสต์แล้ว]

“เข้าไปในคลังเก็บของ”

ทันทีที่หลินเยวียนพูดจบ ก็พบว่าเบื้องหน้าของตนปรากฏหน้าจอผู้ใช้หน้าตาเหมือนกระเป๋าไอเทมในเกม ในตารางแรกมีไฟล์เสียงซึ่งขนาดไม่ใหญ่นัก

เพลง: ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์[1]

โบนัสใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่คือเพลงเดียวเนี่ยนะ?

งั้นรบกวนช่วยลบคำว่า ‘ใหญ่’ ทิ้งไปเถอะ

ระหว่างที่หลินเยวียนลอบแดกดันอยู่ในใจ ก็เปิดเพลงฟังไปพลาง เพียงแค่ท่วงทำนองท่อนแรกดังขึ้น เขาก็มั่นใจว่านี่คือผลงานเพลงในความทรงจำของตน

ความจริงแล้ว

วินาทีที่เขาคลิกเปิดเพลงนี้ขึ้น ความทรงจำเกี่ยวกับเพลงนี้ในโลกเดิมก็พลันถั่งโถมสู่หัวใจ ก่อนหน้านี้จะเป็นจะตายอย่างไรเขาก็นึกทำนองและเนื้อเพลงของเพลงนี้ไม่ออก

หลินเยวียนพอจะเข้าใจแนวทางของระบบแล้ว

ค่าความโด่งดังที่ว่าอะไรนั่นก่อนหน้านี้ คงจะเป็นลูกเล่นตอนที่ตนปล่อยเพลงออกไป จากนั้นก็ได้รับการยอมรับมากพอทำนองนี้สินะ เมื่อชื่อเสียงแตะถึงระดับหนึ่ง ตนก็จะได้รับการรักษา ไม่ต้องรอให้ม่องเท่งไปก่อน…

เป็นเซ็ตติ้งที่ตื้นเขินจริงๆ

ระบบคล้ายกับว่าจะไม่สบอารมณ์กับคำแดกดันของหลินเยวียน รีบเสริมเซ็ตติ้งขึ้นมาในทันที [เมื่อโฮสต์ได้รับค่าความโด่งดัง ก็จะมีโอกาสจับรางวัล แนวโน้มที่จะได้รางวัลก็มีมากด้วย]

“อ้อ”

ปฏิกิริยาตอบสนองของหลินเยวียนแสนราบเรียบ

เขากำลังขบคิดเรื่องเพลงอยู่

เส้นเสียงของเขาพังไปแล้ว ถึงแม้เพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์นี้จะไม่จำเป็นต้องใช้พลังเสียงมากนัก แต่อ้างอิงตามคำแนะนำของแพทย์แล้ว หลินเยวียนไม่ร้องเพลงเป็นดีที่สุด

แต่นั่นก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของหลินเยวียน

เขาร้องเองไม่ได้ก็ให้คนอื่นร้อง

ขอเพียงได้ความโด่งดังก็พอแล้ว แม้ว่ากันตามเหตุผลแล้ว คนที่ร้องเพลงมักจะมีชื่อเสียงง่ายกว่า แต่หลินเยวียนก็ไม่ได้ชื่นชอบการมีชื่อเสียงสักเท่าไร ออกจะเกลียดซะด้วยซ้ำ

เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

อาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากโลกเดิม?

ถึงแม้ความทรงจำจากโลกเดิมของหลินเยวียนจะเลือนราง แต่เขาก็พอจะรู้สึกได้ว่าตนในโลกเดิมน่าจะสุดยอดมากทีเดียว ไม่แน่ว่าอาจประสบความสำเร็จแล้วก็ได้

เพลงนี้น่าสนใจมาก

อย่างน้อยก็เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เจ้าของร่างเผชิญอยู่

เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลินเยวียนก็นึกสงสัยขึ้นทันใด “ระบบ ฉันทะลุมิติมาที่โลกนี้ แล้วตัวฉันในโลกเดิมจะหายไปเลยไหม”

ระบบ [สับเปลี่ยนชีวิต]

ระบบเข้าใจสารบบความคิดของหลินเยวียนแล้ว ความสามารถในการเข้าใจของคนคนนี้มีสูงมาก อีกทั้งความสามารถในการยอมรับยังมีมากอีกด้วย ชอบความตรงไปตรงมา ไม่ต้องอธิบายให้มากความ เพราะฉะนั้นระบบจึงเริ่มพูดอย่างรวบรัด

“สับเปลี่ยนชีวิตเหรอ”

แววตาของหลินเยวียนพลันสว่างวาบ ทันใดนั้นก็ฉายแววรอยยิ้มอ่อนโยน มีคนใช้ชีวิตต่อแทนเขา อันที่จริงก็ไม่ได้แย่เท่าไร

ยังไงซะตนเองก็โสดสนิท

บางทีอาจมีหลายเรื่องที่ยังไม่กระจ่าง แต่เขาก็พอจะได้เค้าลางของความทรงจำบ้างแล้ว หลินเยวียนจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้

ไม่นับว่าดี และก็ไม่นับว่าเลวร้าย

อันที่จริงต่อให้ชีวิตจะแย่กว่านี้ ก็ยังดีกว่านับถอยหลังเวลาชีวิตละมั้ง ขอให้นายที่เป็นคนแปลกหน้ามีระบบเหมือนกัน ไม่ได้เป็นเพียงมวลผกาฤดูร้อนที่ชูช่อบานสะพรั่งเพียงครั้งเดียวอีก

อย่างน้อย พวกเราก็ยังมีตัวตนอยู่

…………………………………………………

[1] ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ (《生如夏花》) ขับร้องโดยผู่ซู่

ตอนที่ 2 ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่

“ที่แท้นายก็มาอยู่ที่นี่เอง”

เสียงหนึ่งดังเข้าโสตประสาทของหลินเยวียน ทันใดนั้นใบหน้าหล่อเหลาผุดผ่องก็เข้ามาบดบังท้องฟ้าพราวประกาย

“เจี่ยนอี้”

หลินเยวียนร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาดีคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นตั้งแต่ชั้นประถม มัธยมต้น จนถึงมหาวิทยาลัย…

เพื่อนตายที่แท้จริง

และในตอนนี้ เพื่อนตายก็ได้ยื่นมือออกมา ฉุดเขาขึ้นมาจากพื้น

จากนั้นหลินเยวียนก็พลันรู้สึกหนักอึ้งบนไหล่ เสื้อคลุมผู้หญิงตัวหนึ่งถูกสวมทับลงมาบนตัวของเขา

เขาหันไปเห็นใบหน้าพริ้งเพราเปี่ยมรอยยิ้ม

เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผมยาวสลวยปรกบ่า แต่งหน้าบางเบา สวยสะคราญโดดเด่น

“ซย่าฝาน”

หลินเยวียนเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกับยามที่เห็นเจี่ยนอี้

เพราะว่าหญิงสาวที่ชื่อซย่าฝานคนนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของหลินเยวียนมาตั้งแต่ประถม มัธยมต้น จนถึงมหาวิทยาลัยเหมือนกับเจี่ยนอี้ไม่มีผิดเพี้ยน

เป็นเพื่อนตายอีกคนหนึ่ง

“กลางคืนลมแรง อย่าลืมสวมเสื้อคลุมก่อนออกไปข้างนอกสิ”

ซย่าฝานกำชับกับหลินเยวียน ถึงแม้ว่าเธอและเจี่ยนอี้ รวมไปถึงทุกคนที่วิ่งอยู่ในสนามกีฬาล้วนแต่สวมเสื้อแขนสั้นในสไตล์ที่เหมาะกับฤดูร้อนกันทั้งนั้น

“โอเค”

หลินเยวียนเอ่ยตอบ

สุดท้ายแล้ว ทันทีที่พูดจบ เจี่ยนอี้และซย่าฝานก็จ้องมองเขาพร้อมกัน แววตาแฝงความคลางแคลงใจ

“ทำไมฉันรู้สึกว่านายแปลกๆ”

ผู้ที่พูดประโยคนี้คือเจี่ยนอี้

ซย่าฝานแม้ไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของซย่าฝานก็บ่งชัดว่าเธอก็คิดแบบเดียวกับเจี่ยนอี้

“เพราะว่าฉันไม่ใช่หลินเยวียนไปซะทั้งหมดแล้วน่ะสิ”

หลินเยวียนพูดกลั้วหัวเราะ รู้สึกว่าวิธีการพูดของตนเองค่อนข้างเป็นภววิสัย[1]พอสมควร เขามีครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นของเจ้าของร่างเดิม อย่างน้อยก็ความรู้สึกบางส่วนต่อครอบครัวและเพื่อนฝูง ร่างกาย ผมเผ้าและผิวหนัง ล้วนเหมือนกับเจ้าของร่างเดิม

“นายโดนผีเข้าหรือไง”

เจี่ยนอี้หัวเราะร่า แต่กลับไม่ได้เอะใจสงสัยเขา

สีหน้าของซย่าฝานพลันแลดูเข้าใจขึ้นมาในทันที

หลินเยวียนผ่อนลมหายใจออก

แบบนี้เขาก็ค่อยโล่งใจ ไม่ต้องอธิบายให้มากความอีก

ซย่าฝานและเจี่ยนอี้โตมากับหลินเยวียนตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นจึงรู้ตื้นลึกหนาบางของอาการป่วยของหลินเยวียนดี

และด้วยเหตุนี้เอง ทั้งสองจึงคอยดูแลหลินเยวียนซึ่งร่างกายไม่แข็งแรงมาโดยตลอด

เมื่อว่ากันตามความรู้สึก หลินเยวียนไม่อยากโกหกทั้งสอง แต่ก็จำเป็นต้องโกหกให้เข้าทีสักหน่อย

“คุณหลิน กระผมจะพูดแบบไม่ลำเอียงเลยนะ”

เจี่ยนอี้เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สิ่งที่เรียกว่า ‘นักเขียนนิยาย’ น่ะ เป็นหนึ่งในสิบอันดับอาชีพในฝันที่ได้รับการโหวตจากวัยรุ่นในเน็ตทั่วทั้งฉินโจวเชียวนะ ลำพังฉินโจวที่พวกเราอยู่ ก็มีคนที่มีเป้าหมายอยากเป็นนักเขียนนิยายเยอะแยะนับไม่ถ้วน นายจะใช้งานอดิเรกในช่วงเวลาสั้นๆ มาเติบโตในหน้าที่การงานเหรอ จริงๆ แล้วออกจะยากไปสักหน่อยนะ เพราะงั้นไม่จำเป็นจะต้องมานอนตากลมเย็นกลางสนามหญ้าที่ลมแรงตอนกลางคืนเพื่อสงสัยในชีวิตแบบนี้เลย”

‘นักเขียนนิยาย’

สายตาของหลินเยวียนสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย

นักเขียนนิยายที่เจี่ยนอี้พูดถึงก็มีเหตุผล

เป็นเพราะไม่นานก่อนหน้านี้ เจ้าของร่างบังเกิดไอเดียเกี่ยวกับนิยาย ทั้งยังลงมือทำ ส่งต้นฉบับความยาวหนึ่งแสนตัวอักษรไปเข้าร่วมกิจกรรมบทความออนไลน์ เพื่อเดบิวต์ในฐานะ ‘นักเขียนนิยาย’

กิจกรรมประเภทนี้ได้รับความสนใจมากเสียด้วย

นั่นก็เพราะทันทีที่ ‘นักเขียน’ เดบิวต์สำเร็จ ไม่เพียงผลงานของผู้ชนะจะได้รับโอกาสอันล้ำค่าในการตีพิมพ์ ถ้าหากผลงานได้กระแสตอบรับขายดีจนถึงระดับที่กำหนด ก็ยังอาจนำไปดัดแปลงเป็นการ์ตูน ภาพยนตร์ หรือแม้แต่งานประเภทเกมก็เป็นได้

นี่คือสิ่งที่ผู้คนนับไม่ถ้วนซึ่งใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนนั้นบากบั่นต่อสู้เพื่อให้ได้มา!

และที่สำคัญที่สุดก็คืองานนี้รวยเละ!

แต่น่าเสียดาย…

เป็นเพราะกิจกรรมนี้คึกคักเกินไปหน่อย มิหนำซ้ำพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์นิยายของเจ้าของร่างจัดอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา ดังนั้นในรอบคัดเลือกรอบแรก ผลงานที่เข้าร่วมของเจ้าของร่างจึงเป็นอันตกรอบไป

เจี่ยนอี้คิดว่าตนเป็นเช่นนี้ก็เพราะบทความไม่ผ่านการคัดเลือก ถึงได้มานั่งตากลมในสนามอยู่แบบนี้

แต่ว่า…

อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นหลินเยวียนหรือเจ้าของร่าง ก็ล้วนไม่ได้ใส่ใจผลการตัดสินบทความในครั้งนี้

ที่เจ้าของร่างเลือกจบชีวิตตนเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความพ่ายแพ้ในการประกวดบทความแม้แต่นิดเดียว ถึงอย่างไรเขาก็แค่ลองเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เล่นๆ เท่านั้น

เผื่อได้เงินขึ้นมาล่ะ?

เขาโอบกอดความคิดนี้ไปเข้าร่วมกิจกรรม

เขามักเพียรพยายามต่อสู้เพราะความรู้สึกผิดในใจต่อครอบครัว

เขารู้สึกว่าทั้งพี่สาว น้องสาว แล้วก็แม่ล้วนแต่เสียสละเพื่อเขามามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากชดเชยต่อพวกเธออย่างเต็มความสามารถ

การเป็นนักร้อง ไม่ได้เป็นเพียงเพราะความฝัน

แต่ยังเป็นเพราะอาชีพนี้สร้างรายได้มหาศาลเลยน่ะสิ!

ไม่ต้องเอ่ยถึงคำพูดซี้ซั้วอย่าง ‘ความฝันไม่ควรแปดเปื้อนเงินทอง’

สำหรับเจ้าของร่างแล้ว ถ้าหากความฝันอันแปดเปื้อนนำมาซึ่งเงินทอง เขาก็หวังเป็นอย่างมากว่าความฝันของเขาจะแปดเปื้อนและถูกกัดกินจนทะลุโดยเร็ว…

ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะได้ซื้อเดรสสวยๆ ให้น้องสาวสักชุด

พี่สาวจะได้ใช้ชีวิตของตนเอง

แม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป

“อย่าไปฟังเจี่ยนอี้มันเลย”

ซย่าฝานเองก็รู้สึกหัวเสียกับเรื่องที่หลินเยวียนตกรอบเช่นกัน

ทว่าเธอไม่ได้โน้มน้าวให้หลินเยวียนยอมแพ้ แต่กลับผลักดันให้เขาพยายามต่อไป “ที่จริงโอกาสคล้ายๆ กันนี้ก็มีอยู่มากนะ อย่างเช่นเดือนหน้า ‘คลังหนังสือซิลเวอร์บลู’ ที่เป็นสำนักพิมพ์อันดับต้นๆ ของบลูสตาร์จะจัดงานประกวดนิยาย ‘ซูเปอร์โนวา’ ถึงตอนนั้นนายไปลองดูก็ได้นะ”

“ขอร้องละซย่าฝาน”

เจี่ยนอี้ลูบหน้าผาก “ขนาดกิจกรรมส่งบทความเข้าร่วมธรรมดา หลินเยวียนยังไม่เข้ารอบเลย เธอจะให้เขาไปแข่ง ‘ซูเปอร์โนวา’ เหรอ?”

“สิ่งสำคัญคือได้เข้าร่วมไม่ใช่หรือไง”

ซย่าฝานตอบอย่างรู้สึกผิด อันที่จริงเธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าหลินเยวียนจะประสบความสำเร็จ เธอแค่หวังว่าหลินเยวียนจะได้มีอะไรทำ ตั้งแต่เสียงของเขามีปัญหา กระทั่งหลังย้ายไปอยู่สาขาการประพันธ์เพลง สภาพจิตใจของหลินเยวียนก็ไม่สู้ดีมาโดยตลอด

เจี่ยนอี้ไม่ได้ละเอียดอ่อนเหมือนซย่าฝาน

เขาสาธยายสถานการณ์พื้นฐานให้หลินเยวียนฟัง “แม้แต่ฉันที่ไม่ได้สนใจแวดวงนิยายก็ยังรู้เลยว่าซูเปอร์โนวาน่ากลัวขนาดไหน คนที่เข้าประกวดก็มีแต่พวกมือโปรที่ต่อสู้เพื่อความฝันจะได้เดบิวต์เป็นนักเขียนมาตั้งหลายปี ถึงขนาดที่บางครั้งมีนักเขียนที่เดบิวต์แล้วแต่ไม่รุ่งมาเข้าร่วมด้วย ถึงยังไงสำหรับใครหลายคนแล้ว การเปลี่ยนนามปากกาก็เหมือนเปลี่ยนตัวตน พวกเขาก็ได้ชื่อว่าหน้าใหม่อยู่ดีนั่นละ…”

สรุปความให้เหลือหนึ่งประโยคได้ว่า ‘ซูเปอร์โนวาก็คือมหาสงครามของเหล่าเทพเซียน’

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”

หลินเยวียนเอ่ยขึ้นตัดบทเจี่ยนอี้ ในใจกลับแอบจดจำเรื่องของซูเปอร์โนวา

ในโลกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะ หนทางที่จะได้มาซึ่งการยอมรับนั้นดูเหมือนจะมีมากมาย

แต่ว่าในตอนนี้ตนยังไม่มีนิยาย

ต้องรอให้ระบบส่งมาให้ก่อนถึงจะได้

ส่วนเพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์นั้น หลินเยวียนจะคิดหาวิธีเผยแพร่ เขามองไปทางซย่าฝานอย่างอดไม่ได้

ซย่าฝานเป็นนักศึกษาสาขาการขับร้อง

ในตอนที่หลินเยวียนยังไม่ได้ย้ายสาขา ทั้งสองคนนั้นเรียนคลาสเดียวกัน หากว่ากันตามความสามารถเฉพาะทางแล้ว ซย่าฝานย่อมทำได้สบายไร้ปัญหา พรสวรรค์ในการร้องเพลงของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินเยวียนก่อนเสียงจะหายไปเลย

แต่ว่าซย่าฝานก็เป็นแค่นักศึกษา

นักศึกษาปล่อยเพลง จะใช้ช่องทางอินเทอร์เน็ตหรือยังไงกัน

ถ้าอย่างนั้นก็จะช้าเกินไปหน่อยกว่าเพลงจะเป็นที่รู้จัก เมื่อไม่มีการโปรโมตที่เป็นหลักแหล่ง ก็เป็นไปได้ว่าเพลงนี้อาจจมดิ่งลงก้นทะเลไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย

“มีอะไรเหรอ”

ซย่าฝานเห็นหลินเยวียนจ้องมองตนเอง ก็รู้สึกตงิดใจแปลกๆ “นายอยากกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะไปซื้อมาให้”

“เปล่า”

หลินเยวียนตอบ “ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง…อืม เพื่อน เขาเขียนเพลงไว้ อยากปล่อยน่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง พวกนายมีช่องทางอะไรแนะนำไหม”

“นายบ๊องไปแล้วเหรอ”

เจี่ยนอี้เบ้ปาก “ก่อนหน้านี้นายไม่ได้ขายตัวเองไปห้าหมื่นหยวนแล้วหรือไง ถ้ามีเพลงก็ต้องไปหาสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ที่หนุนหลังนายอยู่น่ะสิ บริษัทใหญ่ซะขนาดนี้ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย”

หลินเยวียนชะงักงัน ก่อนจะกระจ่างขึ้นมาทันที

หลังจากที่เจ้าของร่างสอบเข้ามาในวิทยาลัยศิลปะฉินโจว ก็ได้โชว์พรสวรรค์อันน่าทึ่ง จนตอนปีหนึ่งก็ไปเข้าตาผู้จัดการคนหนึ่ง และเซ็นสัญญากับบริษัทบันเทิงขนาดใหญ่และชื่อเสียงไม่เลวแห่งหนึ่ง

ราคาของสัญญาฉบับนั้นคือห้าหมื่นหยวน

เจ้าของร่างต้องการเงิน ฉะนั้นถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสัญญาราคาห้าหมื่นหยวนนี้ถูกแสนถูก แต่กลับจรดปากกาเซ็นสัญญาระยะเวลาแปดปีไปโดยไม่ลังเล และเขาก็นำเงินค่าเซ็นสัญญาที่ได้มาให้แม่ในทันที

แต่ใครจะไปคิดว่า…

หลังจากที่เด็กหนุ่มพลังเสียงขั้นเทพคนนี้เซ็นสัญญาได้ไม่นาน เขาก็ไม่อาจร้องเพลงได้อีกเลย

เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ บริษัทบันเทิงซึ่งเซ็นสัญญากับหลินเยวียนก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับว่าตนโชคร้าย และตัดหางปล่อยวัดหลินเยวียนตั้งแต่นั้นมา

เป็นไปได้มากว่าเพราะพวกเขารู้สถานการณ์ของครอบครัวหลินเยวียน ดังนั้นทางบริษัทจึงไม่ได้เรียกร้องให้ชดใช้อะไรทำนองนั้น เพียงแค่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องยกเลิกสัญญาอีกเลย คาดว่าคงจะลืมไปเสียสนิทแล้วว่าในบรรดานักร้องของบริษัทยังมีคนที่ชื่อว่าหลินเยวียนด้วย

“ไม่ใช่สิ”

ขณะที่หลินเยวียนกำลังขบคิดอยู่นั้น เจี่ยนอี้ก็ได้สติทันใด “คุณหลิน นายมีเพื่อนที่ฉันกับซย่าฝานไม่รู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

‘เพื่อนสมมติ’

ซย่าฝานปิดปากหัวเราะ ก่อนจะพูดต่อทันใด “ถ้าอยากปล่อยเพลง ตอนนี้แหละมีโอกาส เพราะอีกไม่กี่วันจะเป็น ‘ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลง’ ที่จัดแค่ปีละครั้ง พอถึงตอนนั้นบริษัทบันเทิงใหญ่ๆ จะดันศิลปินกันทั้งนั้น เงื่อนไขคือนายแตะถึงมาตรฐานในการสมัครของบริษัท…”

“เข้าใจแล้ว”

หลินเยวียนเองก็ผุดรอยยิ้มออกมา

นี่มันยูโทเปียของศิลปิน เป็นดินแดนในอุดมคติที่ความบันเทิงเฟื่องฟู!

ขอเพียงมีความสามารถ พรมแดงแห่งชื่อเสียงก็แทบจะพาดสลับกันไปมา แล้วลากยาวมาถึงหน้าประตูบ้านเลยละ! 

ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลง

นี่คือหนึ่งในช่องทางดัง และเป็นกฎเกณฑ์ที่บลูสตาร์ตั้งขึ้นมาเพื่อฟูมฟักผู้มีพรสวรรค์ในวงการเพลงโดยเฉพาะ

เดือนพฤศจิกายนทุกปี บลูสตาร์จะจัดกิจกรรมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลงไปทั่วทุกพื้นที่

เมื่อถึงตอนนั้น บรรดาผู้อาวุโสในวงการเพลงจะพากันไม่ออกอัลบั้มหรือแม้แต่เพลงโดยมิได้นัดหมาย จะหยุดเป็นการชั่วคราว เพื่อเหลือพื้นที่ส่วนหนึ่งให้แก่คนรุ่นหลัง

ถึงขั้นที่ในเดือนพฤศจิกายน เหล่าผู้อาวุโสจะออกตัวจัดอันดับเด็กใหม่รุ่นน้องด้วยซ้ำ

จากนั้นบริษัทบันเทิงแต่ละบริษัทก็จะไขว่คว้าโอกาสเช่นนี้ ผลักดันศิลปินหน้าใหม่ของวงการอย่างสุดกำลัง และศิลปินหน้าใหม่แต่ละคนก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์!

เดิมทีหลินเยวียนมีโอกาสได้เปิดตัวในฤดูกาลของศิลปินหน้าใหม่เช่นนี้

ทว่าน่าเสียดาย ที่ในตอนนี้เขาทำได้เพียงเดบิวต์ในฐานะผู้ประพันธ์เพลงแล้ว

แต่ว่าถึงอย่างไรหลินเยวียนก็ไม่ใช่เจ้าของร่างอีกต่อไป ดังนั้นการได้เดบิวต์ในฐานะคนเขียนเพลงก็ยิ่งทำให้หลินเยวียนดีใจเข้าไปใหญ่

วิธีแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์แก่นักร้องหน้าใหม่ในวงการเพลงของบลูสตาร์ก็คือ

ส่วนรายได้ที่มาได้จากยอดดาวน์โหลดหรือยอดการฟังเพลงเพลงเดียวนั้น โดยทั่วไปแล้วบริษัทจะเก็บไว้แปดส่วน ที่เหลือสองส่วนให้นักร้องและคนเขียนเนื้อและทำนองเพลงแบ่งกัน ส่วนของผู้เรียบเรียงและโปรดิวเซอร์นั้นมักจะจ่ายผ่านทางบริษัท

สัดส่วนโดยละเอียดขึ้นอยู่กับที่ระบุในสัญญา

ธรรมเนียมก็คือนักร้องและคนเขียนเพลงรับเงินก้อนใหญ่ไป

นอกจากรายได้ส่วนใหญ่ที่บริษัทรับไป หลินเยวียนกลับไม่จำเป็นต้องแบ่งเงินกับคนมากนัก อย่างไรเสียเขาก็ทำทั้งเนื้อร้องและทำนอง และระบบก็ได้เรียบเรียงดนตรีมาให้แล้วเสร็จสรรพ สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้มีเพียงขุดทะลวงเส้นทางสู่ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่และผู้ช่วยงานสักคนที่…

ร้องเพลงได้และแบ่งเงินกับเขาได้

………………………………………

[1] ภววิสัย คือ การมองและวิเคราะห์ปัญหาจากสภาพจริง โดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัว

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!