“ดารินทร์อยู่ไหน?” สุรเสียงเอ่ยถามสาวรับใช้ใบหน้าซีดเซียวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ใบหน้านิ่งขรึมยังคงสงบราบเรียบ
“……” ไม่ทันได้รับคำตอบ
“มาถึงก็ร้องเรียกหายัยแวมไพร์เลือดสกปรกนั่นเลย คิดถึงยัยนั่นมากถึงเพียงนี้ หึ…” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนเขาทุกระเบียบนิ้วยิ้มเยาะ จะเป็นใครไปไม่ได้หากมิใช่ ราอูล มัวล์ เอนส์เวิร์ธ น้องชายฝาแฝดที่ไม่ค่อยจะลงรอยของเขานั่นเอง
“……” ฟาร์อูล พยักหน้าเชิงสั่งให้สาวรับใช้ถอยร่นออกห่างวงสนทนา
“ฉันไม่ได้ถามแกฉะนั้นอย่าเสือก” ฟาร์อูลเอ่ยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
ไม่รู้ทำไมเจ้าราอูลจึงจงเกลียดจงชังดารินทร์นัก ตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเท้าเข้ามาเป็นคนของตระกูลเอนส์เวิร์ธ เจ้าน้องชายตัวดีก็คอยตั้งท่าแยกเขี้ยวขู่เข็ญสารพัด สงสารก็แต่มนุษย์สาวที่พึ่งแปรเปลี่ยนมาเป็นเผ่าพันธุ์แวมไพร์อย่างดารินทร์
นอกจากจะต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ ยังจะต้องรับมือกับเจ้าน้องชายฝาแฝดที่แสดงท่าทีปฏิปักษ์ชัดเจน
“ก็ไม่ได้อยากจะเสือกแค่ขัดหูขัดตาก็เท่านั้น” ราอูลแสยะยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวราวกับกระดาษตัดกับริมฝีปากสีแดงระเรื่อทำให้ดูไม่จืดชืด ดวงตาสีนิลจ้องมองใบหน้าของพี่ชายด้วยใบหน้าเรียบนิ่งคาดเดายาก ทว่ารู้สึกเย็นยะเยือกในเวลาเดียวกัน
“มึงรังแกดารินทร์อีกแล้ว?” ฟาร์อูลเลิกคิ้วสงสัยในตัวน้องชาย
“ใครใช้ให้มึงรับมนุษย์สกปรกเข้าตระกูล ช่วยไม่ได้ก็กูรังเกียจพวกมนุษย์โง่เง่า” ราอูลไม่ชอบใจนักกับนิสัยเมตตาอารีย์ของพี่ชายฝาแฝด
“ท่านแม่สอนมึงให้มีจิตใจคับแคบพาล เกลียดคนโน้นคนนี้ไปทั่วรึ?”
“……” เขาไม่ตอบ ราอูลหยักไหล่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงเดินผ่านไป
ตระกูลแวมไพร์ เอนส์เวิร์ธ เป็นตระกูลแวมไพร์สายพันธุ์ดุร้ายที่สุดพอๆกับตระกูล เอเธอนอล เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งในวัฎจักรสิ่งมีชีวิตของโลกที่อยู่มาช้านาน
พวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ ไม่เปิดเผยตัวตนอาศัยซื้อเลือดจากตลาดมืดเพื่อดำรงชีวิต ปราศจากการเข่นฆ่าเผ่ามนุษย์ตามข้อตกลงของผู้นำตระกูลและรัฐบาล
ผู้นำตระกูลเอนส์เวิร์ธ มาร์โคล พร้อมภรรยา มิเชล มัวล์ เอนส์เวิร์ธ เป็นแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์สายปกครอง ผู้เป็นบิดามารดรเข้าสู่ช่วงจำศีลหลับไหลมานานกว่าสิบปีแล้ว
พวกเขาทั้งสองต้องใช้เวลาจำศีลเพื่อฟื้นฟูพลังและคงสภาพร่างกายให้เยาว์วัย อีกเพียงสามเดือนจึงจะสามารถลืมตาตื่นขึ้นมา จึงมอบหมายตำแหน่งผู้นำให้แก่ลูกชายทั้งสอง
ปกติเขาและราอูลไม่ค่อยลงรอยเป็นทุนเดิม หลังเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อนเขาได้ช่วยเหลือสาวน้อยวัยยี่สิบปีที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมครอบครัว ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูนอนหายใจรวยริน เธอบาดเจ็บสาหัส ด้านพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตคาที่
“ฉันไม่สามารถช่วยพ่อแม่ของเธอได้แล้ว หากยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ดื่มเสีย” ฟาร์อูลใช้มีดกริชกรีดข้อมือเป็นทางยาว หยาดเลือดสีเข้มหยดลงบนริมฝีปากอวบอิ่มครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งลมหายใจรวยรินกลับมาเป็นปกติ นัยตาสีน้ำตาลคาราเมลแปรสภาพกลายเป็นสีนิลเฉกเช่นชายหนุ่มผู้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“ต่อไปนี้เธอคือคนของตระกูลเอนส์เวิร์ธโปรดจำให้ขึ้นใจไม่ใช่มนุษย์สาวอีกแล้ว”
สามเดือนก่อน
ค่ำคืนพายุลมกระโชกแรงในฤดูร้อนช่วงต้นเดือนเมษายน พายุฤดูร้อนในปีนี้แปรปรวนหนักกว่าทุกปีทำให้เกิดพายุฝนพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ท้องฟ้าสีเพลิงเปร่งประกายแสงแลบวาบพร้อมกับเสียงครึกโครมสนั่นหวั่นไหว
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผมสีขาวดุจเกร็ดหิมะมัดหางม้าสภาพเปียกโชกโอบอุ้มมนุษย์สาวแรกแย้ม ทั่วร่างเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบดินโคลนผสมคราบเลือดเข้ามาภายในบ้านหลังใหญ่
“ไปตามหมอประจำตระกูลมา” ฟาร์อูล นายน้อยใหญ่ตระกูลเอนส์เวิร์ธหันไปบอกมือขวาคนสนิท
“ผมตามมาแล้วครับอีกสักเดี๋ยวคงถึง” อัวริโต้ก้มโค้งท่าทีสงบเสงี่ยม เขาสังเกตุมองมนุษย์สาวผู้นี้ที่นายน้อยเป็นคนช่วยชีวิต อายุอานามไม่น่าเกินยี่สิบต้นทว่าความสวยสะดุดตากลับโดดเด่นมีออร่าเกินกว่าใคร
ร่างกายเธอมีกลิ่นอายของนายน้อยฟาร์อูล นายน้อยคงไม่ได้เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นแวมไพร์ ฝ่าฝืนกฎของตระกูลหรอกนะ...
“นายน้อยครับผมมีคำถาม”
“ว่าไง”
“ทำไมนายน้อยถึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอฝืนชะตาชีวิตมนุษย์ ตระกูลของเราเคร่งครัดกฎข้อนี้มากนะครับ ขืนนายท่านและนายหญิงรู้เข้านายน้อยจะไม่ถูกลงโทษหรอครับ” มือขวาคนสนิทมีสีหน้าลำบากใจไม่น้อยกับการตัดสินใจของผู้เป็นนายในครั้งนี้
“เธอเป็นคนของตระกูลเราแล้วอัวริโต้ เธอดื่มเลือดของฉันแล้ว ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้” ดวงตาสีนิลทอดมองหญิงสาวด้วยแววตาอบอุ่น เขาเองก็ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้รู้สึกเอ็นดูเธอ หากแต่ความรู้สึกนี้เป็นเพียงความรู้สึกหวังดีที่ไม่ใช่ความรู้สึกฉันชู้สาวก็เท่านั้นเอง
“ผมเกรงว่ามันจะมีผลกระทบตามมาทีหลัง”
“ฉันเป็นคนเริ่มย่อมยอมรับผลที่ตามมา ไม่ต้องกังวลใจไปหรอก เธอน่าสงสารนะ...ต่อไปนี้เธอจะอยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะน้องสาวบุญธรรมของฉัน” ฟาร์อูลเปล่งเสียงหนักแน่น ประกาศก้องให้ทุกคนภายในบ้านรับรู้โดยทั่วกัน
หมอประจำตระกูลเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมอุปกรณ์การรักษา พลางสอดส่องว่าใครเป็นอะไรจึงปลุกเขาตื่นขึ้นมากลางดึกเช่นนี้
“ขออภัยที่รบกวนเวลาพักผ่อนครับลุงโจ” ฟาร์อูลก้มโค้งท่าทีนอบน้อมแสดงความจริงใจต่อผู้อาวุโสของตระกูล
“ใครเป็นอะไรล่ะหืม?” โจนาธาน หมอประจำตระกูลเอนส์เวิร์ธ ลูกพี่ลูกน้องของนายท่านมาร์โคล
“น้องสาวบุญธรรมของผมเองครับ รบกวนช่วยรักษาให้หน่อยนะครับ”
“น้องสาวบุญธรรม?”
“ครับ ไว้ผมค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟังทีหลังนะครับ”
“อืม...”
โจนาธานแวมไพร์สายรักษาลงมือตรวจเช็คอาการของสาวน้อยแรกแย้มตรงหน้า คิ้วหนาขมวดสลับมองพ่อหลานชายตัวดี แวมไพร์วัยกลางคนส่ายหน้ารู้สึกหนักใจ ดูท่าหลานชายของเขาจะก่อเรื่องเข้าแล้ว
“อาการของเธอปลอดภัยดีผลพวงมาจากการใช้เลือดแวมไพร์บริสุทธิ์แปรเปลี่ยนสภาพร่างกายมนุษย์ให้เป็นแวมไพร์ อธิบายมาสิว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร” ผู้เป็นลุงเอ่ยถามหลานชายน้ำเสียงวิตกกังวล เขาทราบดีถึงกฎเกณฑ์ปฏิบัติของตระกูล
“ผมบังเอิญเจอเธอประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตคาที่”
“เอ็งก็เลยหอบลูกสาวชาวบ้านมาแล้วเปลี่ยนเขาให้เป็นแวมไพร์อย่างนั้นรึฟาร์อูล แล้วเรื่องศพพ่อแม่เธอล่ะจัดการอย่างไร” หลานชายคนนี้อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องใส่ตัว คอยดูเถอะปัญหาที่ตามมาเป็นพรวนยาวยิ่งกว่าขบวนรถไฟเสียอีก
“เรื่องนั้นผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับลุงโจ”
“ไปเอาใครก็ไม่รู้เข้ามาในตระกูลสุ่มสี่สุ่มห้า นิสัยใจคอเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าแค่เห็นว่าสวยก็จับเข้ามานะฟาร์อูล” โจนาธานตักเตือนด้วยความเป็นห่วง ด้วยนิสัยโผงผางของลูกพี่ลูกน้องของเขา หากรู้เรื่องเข้าคงเอ็ดตะโรจนกลายเป็นเรื่องใหญ่
“ลุงเห็นผมเป็นสมภารกินไก่วัดหรอครับ ผมเอ็นดูเธอในฐานะน้องสาวจริงๆ” ฟาร์อูลยืนยันหนักแน่น
“เอาเถอะเรียนผูกก็ต้องรู้จักเรียนแก้ เธอฟื้นขึ้นมาก็สอนวิธีขั้นพื้นฐานให้เธอปรับตัวใช้ชีวิตประจำวันให้ได้ก็แล้วกัน ลุงไปล่ะ”
“เดี๋ยวผมไปส่งครับลุง”
“ไม่ต้องหรอกแค่นี้เอง”
“ขอบคุณมากนะครับลุงโจ ขออภัยที่รบกวนเวลานอนอีกครั้งครับ”
“......” มือหนายกสะบัดทีนึงแทนคำตอบ
หญิงสาวหลังจากฟื้นตื่นลุกขึ้นมาด้วยความงุนงง เธอลืมตาตื่นนอนขึ้นมาในบ้านของใครก็ไม่ทราบ ท่าทีระแวดระวังภัยของเธอเสมือนกระต่ายน้อยตัวเล็กคอยหลบซ่อนจากภยันตราย
ความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบคือเธอและครอบครัวกำลังเดินทางกลับบ้าน ขณะพายุฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย บดบังทัศนียภาพการขับรถ หลังฉลองงานเกษียณของผู้เป็นบิดา
โครมม!!
เสียงรถยนต์เสียการทรงตัวกระแทกอัดก็อปปี้ต้นไม้ใหญ่ริมทาง เสียงในหูอื้ออึ้ง ร่างกายเจ็บแปลบก่อนจะชาไปทั่วร่าง หยาดเลือดไหลรินลงมาจนดวงตาพร่ามัว
ก่อนลมหายใจในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตจะดับสิ้น เธอเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งหยิบยื่นหนทางรอดให้เธอด้วยแววตาอบอุ่น
“เธอชื่ออะไร” น้ำเสียงอ่อนนุ่มเอ่ยถามเธอฉุดเธอตื่นจากภวังค์
“ดะ...ดารินทร์ค่ะ”
“ฉันฟาร์อูล เรียกพี่ฟาร์อูลก็ได้ ขอแสดงความเสียใจเรื่องพ่อแม่ของเธอด้วย เธอมีญาติพี่น้องที่ไหนอีกหรือเปล่า?”
“......” เธอส่ายหน้าเล็กน้อย
“เดี๋ยวฉันจะเป็นธุระจัดการเรื่องพิธีศพของพ่อแม่เธอ เธออยากไปร่วมงานไหม?”
“อยากค่ะ” ดวงตากลมโตน้ำตาคลอเบ้าพยายามสะกัดกลั้นไม่ให้ไหลรินล่วงหล่นลงมา พ่อแม่คือครอบครัวเพียงสองคนที่เธอมีอยู่บนโลกนี้ สิ้นพวกท่านทั้งสองแล้วเธอรู้สึกเคว้งคว้างหาทางออกไม่เจอ
“เดี๋ยวเราไปกัน”
“ไม่เป็นไรยังมีฉันอยู่ต่อไปนี้เธอคือน้องสาวของฉัน ไม่ต้องกลัวอะไร...” เขาอ่านสีหน้าของเธอออก เขาไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าอยู่บนโลกใบนี้เพียงคนเดียว มือหนาวางลงบนศรีษระเล็ก เขาลูบผมหนายาวสลวยราวกับต้องการปลอบประโลม
“......” เธอใจชื้นอยู่บ้าง อย่างน้อยเธอก็ยังพอโชคดีเจอคนจิตใจดีคอยอุปถัมภ์ เธอจะไม่มีวันลืมบุญคุณของเขาเลย
หลังพิธีฌาปนกิจร่างบิดามารดาเธอต้องเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตประจำวันในฐานะแวมไพร์ โดยมีอาหลิน สาวใช้แวมไพร์ที่คอยบอกและสอนเธอในสิ่งที่ควรจะรู้ เธอให้ความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
ข้อแรกเลยที่เธอทึ่งคือแวมไพร์สามารถเดินกลางแดดได้ ไม่เหมือนในนิทานที่เธอเคยฟังมา เพียงแต่ว่าหากแดดจ้าจนเกินไปจะทำให้เลือดกำเดาไหลได้
ข้อสองแวมไพร์สามารถดื่มเลือดจากแก้วได้โดยไม่ต้องไปกระซวกขย้ำคอใคร เธอค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ข้อสามแวมไพร์สามารถดื่มเลือดแวมไพร์ด้วยกันเองได้ แต่ไม่สามารถรับรสชาติอาหารทั่วไปของมนุษย์ได้
ข้อสี่แวมไพร์สามารถสมสู่กับมนุษย์ได้แต่ไม่สามารถมีลูกร่วมกันได้ เนื่องจากเป็นกฎของตระกูลเพื่อคงรักษาสายเลือดบริสุทธิ์
ข้อห้าแวมไพร์มีสามสาย 1.สายปกครอง 2.สายรักษา 3.สายต่อสู้ แวมไพร์ทุกตนมีพลังจิตแตกต่างกันไปตามฐานะของตนเอง ส่วนเธอนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองคือสายไหน
ข้อที่หกห้ามเปิดเผยสถานะของตนเองต่อหน้ามนุษย์ ห้ามเข่นฆ่ามนุษย์ตามมติสัญญาลงนามมนุษย์และแวมไพร์
“กฎเยอะแยะเต็มไปหมดเลยอาหลิน” ดารินทร์บ่นพึมพำเสียงอู้อี้ในลำคอ
“เธอเป็นเลือดผสมตนเดียวในตระกูลย่อมต้องเคร่งครัดเรื่องกฎ จะได้ไม่มีใครมาตราหน้าเธอให้เสียถึงนายฟาร์อูลได้” อาหลิน สาวใช้คนสนิทของเธอเอ่ย
“อืมเข้าใจแล้ว”
“เอ้ะ...” อาหลินชะงักชั่วครู่ก่อนมองเธอด้วยสีหน้าไม่สู้ดี กระแสจิตแข็งกร้าวส่งเรียกตามเนื้อความของผู้ส่ง
“นายน้อยราอูลเรียกเธอเข้าพบ”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?” นายน้อยราอูลเธอพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาบ้างแล้ว เขาคือน้องชายฝาแฝดพี่ฟาร์อูลผู้ชอบเก็บตัวเงียบขรึม ไม่สุงสิงกับใคร จะว่าไปเธอก็ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาเขามาก่อน
“เธอซวยแล้วนะสิดารินทร์” อาหลินกรอกตาไปมา ไม่รู้จะช่วยหญิงสาวตรงหน้าอย่างไร
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้งอาหลิน ฉันควรจะไปทำความรู้จักกับนายน้อยราอูลบ้างตามมารยาท”
“อย่าโลกสวย นายน้อยราอูลนะดุจะตายไปไม่เหมือนนายน้อยฟาร์อูลสักนิด เดี๋ยวเธอจะเข้าใจรีบไปอย่าให้นายน้อยรอนาน”
“จ๊ะอาหลิน ฉันจะรีบกลับมานะ”
“พระเจ้าคุ้มครองนะดารินทร์!”
“เธอทำตัวตลกนะอาหลิน คิก..คิก” หญิงสาวไม่รู้ชะตากรรมของตนเองจึงส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา ขณะที่อาหลินลอบกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ เธออดเป็นห่วงดารินทร์ไม่ได้จริงๆ
ภายในห้องทำงานสีดำทะมึนปราศจากแม่สีอื่นคุมโทน ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพี่ฟาร์อูลของเธอราวกับเป็นคนเดียวกัน หากแต่ทรงผมของเขานั้นเสยขึ้นลุคคุณชาย ขณะทรงผมของพี่ฟาร์อูลนั้นไว้ยาวมัดรวบสไตล์ผู้ชายเซอร์ เขานั่งไขว้ห้างเอนกายพิงพนักเก้าอี้ตัวโปรด
“นายน้อยเรียกดารินทร์มาพบมีอะไรให้รับใช้หรอคะ” หญิงสาวสอดประสานฝ่ามือวางด้านหน้า ใบหน้าสวยก้มมองต่ำไม่กล้าอาจสบตาชายหนุ่ม
“ฉันนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ใครอนุญาตให้เธอยืนค่ำหัวผู้ใหญ่ไม่มีมารยาท!” ร่างสูงตะคอกใส่เธอเสียงดัง ร่างเล็กสะดุ้งโหยงสุดแรง
“ขอโทษค่ะนายน้อย ดารินทร์ไม่รู้ความ นายน้อยโปรดให้อภัย” เธอคุกเข่าย่อลงกับพื้น ก้มหน้างุดรู้สึกกลัวจับใจ
“ก็แค่อยากเห็นพวกเลือดสกปรกที่ไอ้ฟาร์อูลมันรับเลี้ยงก็เท่านั้น” น้ำเสียงเย้ยหยันเอ่ยกระทบเธออย่างดูถูกดูแคลน
“......” ดารินทร์หน้าชา ไม่คิดว่าเธอจะถูกต้อนรับด้วยคำพูดเหล่านี้
“ทำไมเงียบล่ะมันแทงใจดำอย่างนั้นหรอ? คิดจะจับไอ้ฟาร์อูลหวังตำแหน่งนายหญิงของตระกูลสินะ ฉันรังเกียจพวกผู้หญิงที่ใช้ร่างกายเข้าแลก!”
“นายน้อยเข้าใจผิดแล้วค่ะ ระหว่างเราสองคนเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆ”
“ฉันไม่ได้ยินคลานเข่าเข้ามาพูดใกล้ๆ ให้ฉันได้ยิน” ราอูลออกคำสั่งด้วยสีหน้าเงียบขรึม ดวงตาคมเฉียบมองหญิงสาวที่กำลังก้มหน้างุดตรงหน้า
“......” ร่างบางลังเลใจไม่กล้าเข้าใกล้ ก่อนจะทำทีแข็งใจคลานเข่าเข้าใกล้เขา กลิ่นอายจากกายแกร่งทำเธออกสั่นขวัญแขวน เธอเว้นระยะห่างจากเขาไม่มากนักแต่ก็ใกล้พอที่จะลอบมองร่างสูง
“พูดอีกที”
“เราสองคนเป็นเพียงพี่น้องที่หวังดีต่อกันจริงๆค่ะ ไม่มีอะไรแอบแฝง นายน้อยอย่าได้กังวลไปเลยนะคะ”
“อ๋อ...จะหมายความว่าไม่ได้เป็นนายหญิงก็ไม่เป็นไรถึงอย่างไรก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องสาวของนายน้อยตระกูลเอนส์เวิร์ธอยู่ดี เธอฉลาดดีนะ” รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมยกยิ้มบริเวณมุมปาก มองจ้องหญิงสาวตรงหน้าเขม็ง
“นายน้อยเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะคะ ดารินทร์ต้องทำยังไงนายน้อยถึงจะเชื่อคะ”
“ไม่ต้องทำไงหรอกแต่ต่อไปนี้ฉันจะทำให้เธอไม่มีความสุขในบ้านหลังนี้ จนต้องเป็นฝ่ายเก็บข้าวของออกไป” สุรเสียงเข้มแข็งกล่าววาจาเฉือดเฉือนเธอ เขาไม่มีทางยอมให้พวกเลือดสกปรกมาเกาะตระกูลเขาแบบมีความสุขหน้าตาย
“......” เธอเงียบฟังวาจาบาดหูด้วยท่าทีสงบนิ่ง พูดไปเขาก็ไม่ยอมรับฟังอยู่ดี
“หึ...คิดจริงๆหรอว่าฉันจะรับเธอเข้ามาเป็นคนในตระกูล พวกเลือดสกปรกคู่ควรแล้วหรอ”
ซ่าา!
แก้วชาน้ำร้อนไอระอุถูกสาดปะทะร่างบางจนเนื้อตัวบวมแดง ดารินทร์รีบสะบัดหยดน้ำร้อนออกจากร่างพัลวัน ผู้ชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนักถึงกับทำร้ายผู้หญิงได้ลงคอ
“ไอ้ราอูล!” บานประตูไม้สักถูกเตะออกพร้อมน้ำเสียงเดือดดาลตะคอกดังกึกก้อง ใบหน้าหล่อเหลาตึงเครียดขบกรามสันจนเส้นเลือดปูด
“วิ่งโร่มาปกป้องเชียวนะ” ราอูแสยะยิ้มมองฮีโร่
ตอนที่ 2
“ดารินทร์ลุกขึ้น!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดเอ่ยสั่งหญิงสาวที่กำลังนั่งตัวเปียกปอนเป็นลูกหมาเปียกฝน
“......” เธอผุดลุกหลบแววตาเฉือดเฉือนมองตามไม่ละสาย ดารินทร์เดินไปหลบหลังพี่ชายบุญธรรม ใช้แผ่นหลังกว้างของเขาบดบังแววตาคู่นั้น
“จำคำฉันเอาไว้ให้ดี หึ...”
แม้นจะสะดุดตาตะลึงในความงามหยดย้อยเกินหน้าเกินตาชาวบ้าน ทว่าเขายังคงตั้งแง่รังเกียจที่เธอเป็นแวมไพร์เลือดผสม ฝ่าฝืนกฎของตระกูลที่ปฏิบัติตามกันมาหลายร้อยปี
“มึงอย่าสะเออะมารังแกน้องสาวกูไอ้ราอูล อย่าทำตัวให้คนอื่นเกลียดขี้หน้ามึงไปมากกว่านี้เลย” มือสากชี้หน้าด่ากราดน้องชายฝาแฝดของตนอย่างเหลืออด
“ถ้าคนอื่นที่ว่าหมายถึงมึง กูไม่สน มึงฝ่าฝืนกฎของตระกูลหน้าด้านๆ รับผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามา” ราอูลตะคอกกลับไม่มีใครยอมใครในวินาทีนี้
“ปัญหาที่กูสร้างคงไม่ต้องรบกวนให้มึงมาเสือก กูทำเองกูก็รับเอง มึงกล้าดียังไงถึงทำร้ายผู้หญิงได้ลงคอ!” กรงเล็บแหลมคมสีดำงอกทดแทนเล็บเดิม หมายโจมตีคู่สนทนาให้สาแก่ใจ
“มึงพามนุษย์สกปรกเข้ามาในบ้านไม่พอยังจะเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์ชนชั้นสูง จับใส่ตระกร้าล้างน้ำจะให้กูพอใจได้ไง!!” ราอูลขว้างกองแฟ้มเอกสารกระจัดกระจายตามอารมณ์โกรธเกรี้ยว ดวงตาคมคายคุ่กรุ่นมองตาไม่กระพริบ
“กูไม่เคยให้ดารินทร์ไปยุ่งเกี่ยวกับมึง ต่อไปนี้ก็อย่าได้มายุ่งกับน้องกูอีก ไปดารินทร์! คุยกับมันทั้งวันก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก” ฟาร์อูลดึงท่อนแขนเรียวเล็กให้เดินตามออกมาโดยไม่หันหลังกลับไปมองอีก
“ต่อไปถ้ามันเรียกมาคุยสองต่อสองก็อย่ามาเข้าใจไหม”
“ถ้าดารินทร์ทำให้พี่กับน้องชายต้องทะเลาะกัน ดารินทร์กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ก็ได้นะคะ ไม่ได้ลำบากอะไรเลยค่ะ” เธอแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ เธอไม่อยากให้พี่ชายบุญธรรมต้องลำบากใจไปมากกว่านี้ หากรั้งอยู่ไปก็มีแต่สร้างปัญหา
“อยากเป็นแวมไพร์นอกรีตหรือไง อยู่ที่นี่มันปลอดภัยสำหรับน้องแล้ว อาจจะต้องทนรับมือกับไอ้ราอูลที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ดีกว่าไปเสี่ยงชีวิตตัวคนเดียวข้างนอก”
“แต่ว่าดารินทร์...”
“แทนตัวเองว่าน้องกับพี่เถอะ แทนชื่อมันดูห่างเหินอย่างไรชอบกล”
“ค่ะ แต่น้องลำบากใจอยู่ไม่น้อย ที่ต้องมาเห็นพี่ทะเลาะกับนายน้อยเพราะเรื่องของน้อง”
“มันเป็นเรื่องปกติ พี่กับมันไม่ค่อยลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร ปกติมาก ถึงไม่มีเรื่องของน้องก็มีเรื่องอื่นอยู่ดี ไม่เชื่อก็ถามอาหลินดู” เขาพยักพเยิดหน้าเล็กน้อย
“แสดงว่าอาหลินไปตามพี่มาสินะ ไม่งั้นคงไม่รีบร้อนเข้ามาได้ทันเวลาแบบนี้”
“แน่นอน ถึงอย่างไรเจ้าราอูลเนื้อแท้มันก็เป็นคนดี มีแค่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของมันนั้นแหละ พี่เชื่อว่าน้องจะทำให้มันยอมรับน้องได้” มือหนาขยี้์ศรีษระเล็กจนฟู เขาเอ็นดูใบหน้ารูปไข่ดูภายนอกอาจจะดูเหมือนว่าเธอสวยเชิ่ด ทว่าจริงๆ แล้วเธอก็เป็นน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง
“น้องเองก็หวังเช่นนั้นคะ...”
“แล้วเรื่องเรียนจะเอายังไง เราพึ่งจะยี่สิบพึ่งจะเข้าเรียนมหาลัยไม่กี่ปีใช่ไหม...”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องเรียนออนไลน์ดีกว่า หลักสูตรนี้เป็นครอสสั้น จะได้ไม่สุ่มเสี่ยงเปิดเผยตัวตน น้องไม่ติดอะไรใช่ไหม”
“ค่ะพี่ฟาร์อูล”
“เราเรียนเกี่ยวกับอะไร”
“สถาปนิกค่ะ...”
“ใช้ได้ พี่จัดการเรื่องเรียนให้นะ” เขาทึ่งในตัวน้องสาวบุญธรรม ดูท่าหัวดีใช้ได้ น่าจะต่อยอดทำงานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลได้ไม่ยาก
“ขอบคุณค่ะพี่ฟาร์อูล”
“คืนนี้พี่ต้องไปบินไปดูงานบริษัทแม่ที่เม็กซิโกประมาณสองเดือน น้องดูแลตัวเองนะ มีอะไรร้ายแรงสายตรงหาพี่ทันที”
“สองเดือนเลยหรอคะ” ดารินทร์ตาโต พี่ฟาร์อูลจะไม่อยู่ตั้งสองเดือน แล้วเธอจะใช้ชีวิตร่วมชายคากับนายน้อยราอูลอย่างไร เขากลับมาเธอไม่เหลือแต่ชื่อหรอกหรือ...
“แปบเดียวเองสองเดือน อาหลินก็อยู่ ถ้าไม่อยากเจอไอ้ราอูลก็หลบหน้ามันจะได้ไม่ต้องมีปากเสียงกัน” เขารู้ความคิดของเธอ ดูจากสีหน้าตื่นตกใจราวกับเห็นผี คงไม่มีอะไรทำให้เธอกลัวได้นอกจากไอ้ราอูล
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะพี่ฟาร์อูล”
“พี่จะรีบกลับมา”
สองสามวันที่ผ่านมานายน้อยราอูลไม่อยู่บ้านทำให้เธอพอหายใจหายคอโล่งขึ้นมาบ้าง เธอนั่งจัดแจกันดอกไม้บริเวณสวนหย่อม ต้นไม้ใหญ่กิ่งก้านสาขาคอยบดบังแสงแดดให้ร่มเงา ลมเย็นในยามเช้าพาดพัดผ่านปะทะเนื้อนวลเนียน
“......”
หญิงสาวเกล้ามวยผมสวมชุดเดรสปาดไหล่สีดำอวดบ่างาม ใบหน้าสวยสะคราญแต่งแต้มเครื่องสำอางตามฉบับหญิงสาวที่รักในการแต่งตัว ใครผ่านมาย่อมสะดุดตาเผลอมองไม่ละสายตา
ชื่อเสียงเลื่องลือในความงามดังกระฉ่อนในหมู่แวมไพร์ ทุกผู้ทุกวัยอยากมายลโฉมความงามตามคำเล่าอ้าง ทว่าเมื่อพบเจอถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงในความงามระดับหญิงงามล้มเมือง
จดหมายทาบทามของแม่สื่อส่งมายังตระกูลเอนส์เวิร์ธไม่ขาดสาย แน่นอนละว่าถูกปฏิเสธโดยคำสั่งของฟาร์อูลไปทุกรอบ
ดวงตากลมโตเปล่งประกายมองดอกไม้สดหลากสีถูกปักชำลงบนแจกันดอกแล้วดอกเล่า โดยไม่ทันสังเกตุว่ามีใครบางคนยืนมองหญิงสาวอย่างเงียบเชียบ
‘จะว่างามก็งามอยู่หรอก แต่เขาไม่ชอบเธอก็คือไม่ชอบ’
“ฉันกลับมาทำไมไม่รีบเอาน้ำไปเสิร์ฟให้ฉัน” น้ำเสียงแหบห้าวเอ่ยทำเธอสะดุ้งโหยงรีบหันกลับไปมอง
“นายน้อย!”
“เห็นฉันทำหน้าเหมือนเห็นผีหมายความว่าไง” ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มบูดบึ้ง เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอตรงหน้า
“เดี๋ยวดารินทร์ไปเอามาให้ค่ะ เชิญนายน้อยนั่งรอด้านในก่อนนะคะ” เธอเลิกลั่นทำตัวไม่ถูก อาหลินก็ออกไปซื้อของข้างนอกกว่าจะกลับก็ช่วงเย็น
“......” เขาเดินเข้าไปนั่งบริเวณห้องนั่งเล่นอย่างว่าง่าย ดูเหมือนวันนี้เขาจะอารมณ์ดี
ดารินทร์เทน้ำใส่แก้วคริสตัลก่อนจะนำไปเสิร์ฟโดยไม่ลืมที่จะคลานเข่าเข้าไป เขาจะได้ไม่สามารถหาเรื่องต่อว่าเธอได้อีก
“ช่วงนี้อยู่บ้านทำอะไร” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เรียนออนไลน์ค่ะ” เธอก้มมองต่ำพลางตอบสั้นห้วน
“หลังจากนั้นล่ะ?”
“ว่างค่ะนายน้อย”
“ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ลงไปทำความสะอาดโถงชั้นใต้ดินทั้งชั้น เธอจะได้ไม่มีเวลาว่างเวิ่นเว้อ ฉันเรียกใช้ก็รีบเสนอหน้ามาอย่าให้ฉันรอนาน อย่าคิดจะมาใช้ชีวิตสุขสบายในบ้านของฉัน” สายตาคมคายจ้องร่างเล็กอวบอิ่มที่กำลังก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา
“รับทราบค่ะนายน้อย” แม้จะรู้ว่าโถงชั้นใต้ดินนั้นทั้งอับ ชื้น น่ากลัวมากเพียงใด ในเวลานี้เธอทำได้เพียงก้มหน้าตอบรับโดยไม่มีข้อแม้
“พูดกับผู้ใหญ่อย่ามองต่ำ ไม่มีใครสอนเธอเลยรึไง!” เขาตะคอกใส่เธอดังลั่น หน้าเขามันน่าเกลียดหน้ากลัวหรือไง ถึงได้หลบสายตาแบบนั้น
“ค่ะนายน้อย” เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ดวงตากลมโตน้ำตาคลอเบ้า แม้พยายามกระพริบตาไล่หยาดน้ำตาแล้วก็ตาม
“แค่นี้ก็จะร้องแล้วหรอ ฉันเกลียดคนอ่อนแอที่สุด อย่ามาทำตัวหน้าสงสารต่อหน้าฉัน เข้าใจไหม!” มือหนาถลามาบีบคางมนแน่น จนเธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ยิ่งเธอแสดงสีหน้าว่าเจ็บปวดมากเท่าใด ฝ่ามือหนายิ่งเพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้นเท่านั้น
“นายน้อยดารินทร์เจ็บนะคะ”
“เจ็บสิดี จะได้รู้ว่าควรเก็บซ่อนความรู้สึกให้มากกว่าเดิม ยิ่งเห็นเธอเจ็บฉันจะทำให้เจ็บขึ้นอีก ขืนฉันเห็นเธอทำตัวน่าสงสารเหมือนวันนี้อีก รอบหน้าไม่ได้เจ็บแค่นี้แน่!” ร่างสูงสะบัดฝ่ามือออกจากคางมนจนเธอหน้าหัน รอยมือห้านิ้วช้ำเลือดปรากฎบนคางมน
‘เธอเกลียดเขาที่สุด’
“แอบด่าฉันในใจ?” ราอูลเลิกคิ้วเอ่ยถาม
“ดารินทร์ไม่กล้าค่ะนายน้อย”
“สีหน้าเธอมันฟ้องนะ”
“นายน้อยมองผิดแล้วค่ะ ดารินทร์ไม่ได้แอบด่านายน้อยในใจจริงๆ ค่ะ” เธอแสร้งระบายยิ้มอ่อน เธอด่าต่อหน้าต่างหากล่ะ เขาอยู่ต่อหน้าเธอก็แสดงว่าเธอด่าเขาต่อหน้า คนอะไรบ้าอำนาจ ชอบใช้กำลัง ไม่ติดว่าเขาคือน้องชายฝาแฝดของผู้มีพระคุณ เธอคงไม่ยอมก้มหัวให้เขาโขกสับอยู่แบบนี้ คนแบบนี้แม้แต่หางตาเธอก็ไม่เหลียว
“ผู้หญิงอย่างเธอมันเลี้ยงไม่เชื่อง ดูท่าสักวันหางโผล่จะแว้งกลับมากัดพวกฉันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หึ...” ราอูลแค่นหัวเราะมองเธอแววตาดูถูกเหยียดหยาม ระหว่างเขาและเธอไม่มีท่าทีที่จะดีขึ้นเลย
“ไม่มีอะไรแล้วดารินทร์ขอตัวนะคะนายน้อย” เธอเตรียมคลานเข่าถอยหลังกลับ ไม่รู้จะอยู่ฟังคำพูดคำจาดูแคลนของเขาไปทำไม
เพล้ง!!
แก้วคริสตัลขว้างขวางหญิงสาวเศษแก้วแตกกระจายกระเด็นกระดอนทั่วทุกมุมห้อง ชุดเดรสเปียกปอนชุ่มหยาดน้ำอีกครั้ง เขาชอบทำให้ชุดของเธอเปียกโชกจังนะ!
‘คิดว่าเป็นเดือนเมษาหรอเอะอะสาดน้ำ!’
‘นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ นึกว่าอยู่เรือนจำคุมขังนักโทษ’
ดวงตาคมคายมองชุดเดรสสีดำเปียกชุ่มแนบเรือนร่างอวบอิ่ม หน้าอกหน้าใจใหญ่เกินตัวตั้งตระหง่านเต่งตึงตามวัยสาวแรกแย้ม สายตาสั่นไหวจนเขาต้องปรับอารมณ์ พลางเบนสายตาเลื่อนมองใบหน้าสวยแทน
“ฉันไม่ได้สั่งให้เธอออกไปเธอก็ไม่มีสิทธิ์ออก อย่าลองดีกับฉัน”
“เห็นนายน้อยสั่งให้ดารินทร์ไปทำความสะอาดโถงชั้นใต้ดิน ก็เลยคิดว่าน่าจะไปทำก่อนค่ะเดี๋ยวมันจะเย็น”
“แล้วฉันสั่งให้เธอไปรึยัง?”
“ยังค่ะนายน้อย”
“ทำตัวดีๆ ถ้ายังอยากมีใบหน้าสวยๆ เอาไว้จับผู้ชายอยู่” ดูท่าหญิงสาวผู้นี้คงจะพยศไม่น้อย สีหน้าท่าทางพยายามข่มใจไม่ให้ระเบิดอารมณ์ของออกมาของเธอ มันทำให้เขารู้สึกสนุกที่ได้แหย่ได้แกล้งเธอ
“......”
“ไม่มีปาก?”
“ค่ะนายน้อย มีอะไรให้ดารินทร์รับใช้อีกไหมคะ”
“เธอประชดฉันหรอ! คนอย่างเธอมีค่าพอที่จะแสดงกิริยาแบบนี้กับฉันงั้นหรอยัยเลือดสกปรก” สองแขนเรียวถูกกระชากเร็วแรงจนร่างเล็กลอยลิ่วทาบทับร่างหนาที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว เรียวขามีเลือดซิบเป็นทางยาว เพราะเศษแก้วกระจัดกระจายบนพื้นขีดข่วนเรียวขางาม ขณะโดนกระชากไปมาราวกับสิ่งของ
“ดารินทร์ไม่เคยแสดงท่าทีแบบนั้นกับนายน้อยเลยนะคะ นายน้อยโปรดระงับโทสะด้วย ปล่อยดารินทร์ก่อนนะคะเดี๋ยวใครผ่านมาจะดูไม่ดี” หญิงสาวขยับหนีกายแกร่ง พยายามแกะมือหนาสองข้างที่กำลังบีบต้นแขนเธอจนแทบแหลก
มีหรือที่แรงน้อยจะสามารถสู้แรงของเขาได้ ยิ่งเธอเบี่ยงกายหลบหนีเขา กายแกร่งรั้งเธอแนบชิด
เธออยากจะอาบน้ำขัดกายอีกสักสี่ห้าชั่วโมง จะได้ขัดร่องร่อยสัมผัสที่เขาแตะเนื้อต้องตัวเธอ น่ารังเกียจที่สุด... ผู้ชายอะไรปากคอเลาะร้ายเสียยิ่งกว่าผู้หญิง!
“อย่ามาทำตีตัวเองราคาสูงขนาดนั้นสิดารินทร์ ในสายตาฉัน เธอก็แค่คนรับใช้คนนึง... อย่าสำคัญตัวผิด”
“ดารินทร์ทราบดีค่ะนายน้อย ถ้างั้นปล่อยให้ดารินทร์ไปทำความสะอาดดีไหมคะ”
“หึ...คิดว่าฉันอยากแตะต้องเนื้อตัวสกปรกของเธองั้นหรอ ไสหัวไป!” มือหนาโยนร่างเล็กกองลงกับพื้น ท่ามกลางเศษแก้วแหลมคม แววตาสะใจของเขามันทำให้เธอต้องเก็บสีหน้าและความเจ็บปวดเอาไว้
“คลานออกไปสิ! เซ่อซ่าอยู่ได้”
“ค่ะนายน้อย” หญิงสาวคลานเข่าออกไปด้านนอกผ่านเศษแก้วแหลมคมกระจาย หยดเลือดไหลเต็มสองขาน่าสยดสยองยิ่งนัก เจ็บกายยังไม่ทำกับเจ็บใจ ตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้เธอยังไม่เคยเจอใครร้ายกาจได้เท่าเขา
ดารินทร์ออกมาทำแผลให้ตนเองเงียบๆ ด้านนอกบริเวณสวนหย่อม การรับมือเขาเป็นเรื่องที่ยากเย็นที่สุด เจอเขาทีไรเป็นอันต้องเจ็บตัวเลือดตกยางออกทุกครั้ง เป็นไปได้อย่าเรียกหาเธอเลยจะดีกว่า
เธอหลบหน้าเขาเพียงใด เขาก็ตามมาหาเรื่องเธอถึงที่ได้อยู่ดี กว่าพี่ฟาร์อูลจะกลับมาเธอคงเหลือแค่ชื่อ
“คุณดารินทร์ไปทำอะไรมาครับแผลเต็มตัวไปหมดเลย” จามัวร์ มือขวาคนสนิทของนายน้อยราอูลเอ่ยทัก สีหน้าตื่นตกใจ
“เผลอทำแก้วแตกนิดหน่อยจ๊ะ...” ดารินทร์ช้อนสายตามองผู้มาใหม่ก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติ
“ฝีมือนายน้อยหรอครับ” จามัวร์เอ่ยถามซ้ำ
“ไม่ใช่จ๊ะ ฉันทำแก้วแตกเองจริงๆ” เธอปฏิเสธเกรงว่าเรื่องนี้จะรู้ถึงหูผู้กระทำแล้วมากล่าวหาว่าเธอวิ่งแจ้นไปฟ้องคนโน้นทีคนนี้ที
“ผมไม่เชื่อหรอกครับ ทำแก้วแตกแผลก็ไม่น่าเต็มขาขนาดนี้ นายน้อยเริ่มทำเกินกว่าเหตุผมจะไปคุยกับนายน้อยให้นะครับ” เขารู้สึกสงสารน้องสาวบุญธรรมคนสวยของนายน้อยจับใจ นายน้อยลงมือกับผู้หญิงตัวเล็กแบบเธอได้อย่างไร
“อย่าดีกว่าจามัวร์ ถ้านายเป็นห่วงฉันจริงๆ ขืนนายไปคุยคราวหน้าฉันคงโดนหนักกว่านี้” เธอรีบยกมือห้ามปรามกลัวเรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ ให้มันจบที่เธอดีที่สุดแล้ว
“แล้วจะให้ผมทำยังไง” น้ำเสียงวิตกกังวลของเขาเอ่ยถาม
“อยู่เฉยๆ นั่นก็ถือว่าช่วยฉันแล้วจ๊ะ”
ตอนที่ 3
บ่ายคล้อยวันนี้เธอโดนเรียกตัวไปใช้แรงงานเยี่ยงทาสโดยมีคนตัวสูงตามประกบชี้นิ้วสั่ง ประหนึ่งเจ้านายจอมเฮี๊ยบกับสาวใช้จอมมึน ดารินทร์สวมเสื้อยืดคอกลมสีดำกางเกงยีนส์ขาสั้นเพื่อจะได้ทำงานแรงงานได้ถนัดถนี่
“ขัดเบามือหน่อย นี่มันหินแกะสลักรุ่นทวดฉัน ขืนเธอทำมันแตกฉันจะให้เธอหาทางประกอบมันขึ้นมาใหม่” ร่างสูงสั่งกำชับร่างเล็กอวบอิ่ม ขณะเธอนั่งคุกเข่าขัดหินแกะสลักสีเขียวมรกตมรดกตกทอดของต้นตระกูล
“ค่ะนายน้อย...” เธอได้แต่ยิ้มรับคำ แม้ภายในใจจะบ่นค่อนขอดเขาอยู่ก็ตาม
“ให้อาหลินช่วยนะคะนายน้อย อาหลินอยู่ว่างๆ พอดี” อาหลินเสนอตัวช่วย เธออดสงสารหญิงสาวคนตรงหน้าเสียไม่ได้
หลังจากเรียนออนไลน์ภาคเช้าเสร็จก็โดนเรียกตัวมาใช้แรงงานขัดถูทุกซอกทุกมุม ลามมายันทำความสะอาดของสะสมราคาแพงจากต้นตระกูล
“อย่ามายุ่ง ว่างมากก็ไปหาอะไรทำนี่มันงานง่ายๆ ทำไม่ได้ก็ไสหัวออกไป”
“แต่ว่ามันเยอะมากเลยนะคะนายน้อย งานพวกนี้แม่บ้านช่วยกันทำตั้งสี่ห้าคนหลายวันกว่าจะเสร็จ” อาหลินลอบถอนหายใจ เหลือบมองหญิงสาวที่นั่งทำทุกอย่างคนเดียว ในขณะที่แม่บ้านคนอื่นไปพักผ่อนสบายใจ
“กล้าขัดคำสั่งฉันหรออาหลิน” ราอูลจ้องเขม็ง ไม่คิดว่าคนของตนก็คิดจะปีกกล้าขาแข็งขัดคำสั่ง นี่คงจะไปตีหน้าเศร้าเล่นบทนางเอกให้ผู้อื่นเห็นใจละสิท่า
“ดารินทร์ทำได้ค่ะนายน้อย ขอบใจมากจ๊ะอาหลิน” ดารินทร์เอ่ยขัดบทสนทนาก่อนที่มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
หลังไล่ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไปพ้นหูพ้นตา ชายหนุ่มจึงนั่งไขว่ห้างชี้นิ้วสั่งเธออย่างสบายใจ ท่อนแขนเรียวอ่อนล้าจากการหยิบยกสิ่งของหนักบ้างเบาบ้าง กระนั้นเธอก็ไม่ยอมปริปากบ่นออกมา
’อึดดีเหมือนกันนิ‘
ราอูลมองหญิงสาวสวมชุดไปรเวทธรรมดาก่อนนึกชมเธอภายในใจ เสื้อผ้าอาภรณ์ธรรมดายังไม่สามารถกลบออร่าความงามสะคราญดั่งหงส์เพลิงของเธอได้
อันที่จริงทุนเดิมครอบครัวของเธอก็ใช่ว่าลำบากลำบนอดมื้อกินมื้อ ครอบครัวของเธอมีฐานะปานกลางไม่ได้รวยล้นฟ้าและก็ไม่ได้จนถึงขนาดเคยผ่านความทุกข์ยากมามากมาย
ถึงขนาดต้องกลายมาเป็นแรงงานทาสของเขา คอยหยิบจับทำหน้าที่ตามที่เขาสั่ง หากไม่ทำตามจุดจบย่อมลงเอยด้วยการเจ็บตัว
เขามันโรคจิตเสพติดความรุนแรง...
“แค่มาทำความสะอาดมีความจำเป็นที่จะต้องนุ่งสั้นมาอ่อยใครโดยเฉพาะด้วยหรอ” น้ำเสียงเหน็บแนมของเขาดังขึ้นเป็นระยะ
‘แล้วใครใช้ให้เขามองกันล่ะ!’
“ขออภัยค่ะนายน้อย คราวหลังจะแต่งตัวให้มิดชิดกว่านี้ค่ะ” แม้จะกร่นด่าเขาภายในใจหมื่นล้านคำ เธอก็ทำได้เพียงยิ้มรับนอบน้อม
ทว่าเขากลับจิกหัวใช้เธอพูดจาดูถูกเหยียดหยามน้ำใจครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแค่แต่เดิมเธอเคยเป็นมนุษย์ สาเหตุเล็กน้อยเพียงนี้กลับเป็นข้ออ้างที่ทำให้เขาคิดจะทำอะไรกับเธอก็ได้อย่างนั้นหรือ...
“ได้เวลาดื่มเลือดของฉันแล้วเธอไปเอามาให้ฉัน”
“ค่ะนายน้อย”
ใช้ฉันขัดหินแกะสลักที่เขาหวงนักหวงหนายังไม่ทันเสร็จ ก็รีบใช้เธอไปทำอีกอย่าง วันนี้งานของเธอคงจะเสร็จหรอก...
“กะอุณหภูมิด้วย ฉันชอบดื่มเลือดที่มันยังอุ่นไม่เอาเย็น ใส่แก้วคริสตัลเท่านั้นห้ามจับแก้วมือเปล่าใส่ถาดรองมาด้วย”
“รับทราบค่ะ” เธอกรอกตาไปมาล้อเลียน
“ด่าฉันในใจอย่างนั้นสิ?” ร่างสูงเลิกคิ้วหนามองร่างเล็กที่กำลังจะไปทำตามคำสั่ง
“เปล่าค่ะนายน้อย รอสักครู่นะคะ”
หญิงสาวยืนงงในดงคลังเลือดภายในห้องขนาดใหญ่มีเครื่องทำความเย็น กักเก็บอุณหภูมิคงสภาพของโลหิตสีแดงสด แต่ละชั้นมีรายชื่อเจ้าของแปะติดบริเวณถุงบรรจุโลหิต ดวงตากลมโตกว้านหารายชื่อของชายหนุ่ม ถุงบรรจุโลหิตนับพันทำเธอตาลาย
“เจอแล้ว...” ร่างเล็กอุทานออกมาอย่างดีใจ มือเล็กเอื้อมไปหยิบถุงบรรจุโลหิตขึ้นมาหนึ่งถุง ก่อนจะนำเข้าเครื่องอุ่นเล็กน้อยตามคำสั่ง
แก้วคริสตัลบรรจุเลือดสีเข้มพร้อมถาดรองพร้อมเสิร์ฟส่งตรงถึงมือชายหนุ่มผู้เอาแต่ใจ มือสากหยิบรับพลางวนแก้วคริสตัลอย่างสงสัยว่าเธอแอบใส่สิ่งแปลกปลอมลงไปเพื่อแก้แค้นเขาหรือไม่
“คงไม่ได้แอบถุยน้ำลายลงไปหรอกใช่ไหม?” ร่างสูงลังเลที่จะดื่มมันเล็กน้อย
“ดารินทร์ไม่กล้าทำแบบนั้นหรอกค่ะนายน้อย ขอตัวไปทำความสะอาดต่อนะคะ”
“เดี๋ยว...เอาไปอุ่นมาใหม่มันเย็นแล้ว ดื่มไปก็เสียรสชาติ” ราอูลวางแก้วลงบนโต๊ะเช่นเดิมพลางสั่งเธออีกครั้ง หลังหญิงสาวทำท่าจะหันหลังกลับไปทำหน้าที่ของเธอต่อ
“แต่ว่าดารินทร์พึ่งจะยกมาเสิร์ฟให้นายน้อยนะคะ มันจะเย็นได้ไง” เธอแย้งขึ้นมาอย่างเหลืออด เขาพยายามจะกวนโอ๊ยเธอ เธออยากจะรีบทำงานที่เขามอบหมายให้เสร็จจะได้ไปให้พ้นหน้าเขาไวๆ
“ฉันบอกว่าเย็นก็คือเย็นไง อย่ามาเถียง!!” เสียงแข็งกระด้างดังขึ้นตามอารมณ์คุกรุ่นที่ถูกเธอขัดใจ
“ค่ะนายน้อย” ใบหน้าสวยสะคราญขบเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ดวงตากลมเชิ่ดขึ้นเบนมองนอกหน้าต่าง
“เธอกระแทกเสียงใส่ฉันหรอ!!” ราอูลมองการกระทำของหญิงสาวที่ดูเหมือนเธอเองก็ไม่พอใจเอาเสียมาก
“นายน้อยอย่ามาหาเรื่องดารินทร์นะคะ” ดวงตากลมโตตวัดมองร่างหนาไร้ความกลัวเกรง เรื่องอะไรจะต้องมาก้มหัวยอมขนาดนี้ เธอชักจะหงุดหงิดกับนิสัยงี่เง้าของเขาแล้วนะ
“ตรงไหนที่ฉันหาเรื่องเธอ?”
“ทุกตรงนั่นแหละค่ะ ใครมองไม่ออกก็โง่เต็มทน”
“อย่ามาทำตัวถือดีในบ้านของฉันเข้าใจไหมยัยเลือดผสมสกปรก หัดเจียมตัวซะบ้าง แค่ให้เธอหายใจใช้อากาศเดียวร่วมกัน ฉันก็ขยะแขยงแทบบ้า!!”
“ดารินทร์เจียมตัวเสมอค่ะนายน้อย แต่นายน้อยก็ไม่ควรด้อยค่าดารินทร์ถึงเพียงนี้...”
“ฉันด้อยค่าอะไรเธอค่าของเธอในสายตาฉันมันก็มีเพียงเท่านี้ตั้งแต่แรก” น้ำเสียงเย้ยหยันเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนา
“อยากกินก็ไปทำเอาเองนะคะนายน้อย ดารินทร์ขอไปทำหน้าที่ของตัวเองก่อน”
“กล้าเดินหนีฉันหรอ!” สายลมวูบหนึ่งปะทะเรือนร่างเล็กอวบอิ่ม ปรากฎร่างกายกำยำยืนดักหน้ายืนจ้องแววตาแข็งกร้าวดุจราชสีห์ ชั่วพริบตา ฝ่ามือหนาบีบลำคอขาวผ่องดันร่างเธอแนบชิดติดกำแพงผนังสีขาว
“ปล่อยนะคะนายน้อยดารินทร์เจ็บ!” มือเล็กทุบตีขีดข่วนท่อนแขนแกร่งพัลวัน เธอทุ่มสุดแรงทุบตีเขาหวังระบายอารมณ์อัดอั้นตันใจ
“เจ็บสิดีจะได้จำ!”
“ปล่อย!” ยิ่งเธอดีดดิ้นเพียงใด ฝ่าหนายิ่งเพิ่มแรงกดบีบลำคอแน่นมากขึ้นเท่านั้น จนเธอไม่สามารถเปล่งเสียงร้องออกมาให้เขารำคาญหูได้อีก
“ฉันเกลียดคนอวดดี ปากเก่งอย่างเดียวก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะรู้ไว้! ให้ฉันไปเอาเองงั้นหรอ ได้...” ร่างสูงกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ มองเหยื่อตรงหน้าแววตาเจ้าเล่ห์
“......”
“บทเรียนแรกที่เธอจะได้จำใส่สมองเอาไว้ก็คือ อย่ามีปากมีเสียงกับฉัน...” ฝ่ามือบีบลำคอขาวผ่องแน่นจนเธอหายใจไม่ออก ใบหน้าหล่อคมโน้มก้มฝังคมเขี้ยวแหลมคมกัดซอกคอขาวผ่องปรากฎเส้นเลือด ร่างเล็กกระตุกเฮือกตื่นตกใจ
“นะ...นายน้อย!”
ความเจ็บแปล๊บในคราแรกยามเขาฝากฝังคมเขี้ยวลงบนเนื้อนาง ถูกทดแทนด้วยความมึนเมาเคลิบเคลิ้มล่องลอยราวกับว่าเธอกำลังเพ้อฝัน เลือดอุ่นข้นหอมหวานกว่าเลือดใครคนไหน ทำให้เขาดูดดื่มกินอย่างละเมียดละไมทีละหยด
กลิ่นเนื้อนางหอมกรุ่นดั่งดอกไม้ลอยคละคลุ้ง รสชาติเลือดหวานฟุ้งเสียยิ่งกว่าคาราเมล แม้นอยากจะดื่มกินให้มากกว่านี้หน่อย ทว่าเขากลับหักห้ามน้ำใจตนเอง เกรงว่ามันจะทำให้เธอสิ้นชีพ
ลิ้นร้อนไล่เล็มเลียปิดบาดแผลบริเวณซอกคอขาวผ่อง คมเขี้ยวแหลมคมถดถอนผละออกมาอ้อยอิ่ง หญิงสาวยังคงเลื่อนลอยไร้สติราวกับเหตุการณ์เพ้อฝัน
“......”
ชายหนุ่มฉวยโอกาสในยามที่เธอยังคงล่องลอย ริมฝีปากหนาครอบครองปากเล็กอิ่มสุดเย่อหยิ่งของเธอ บดขยี้แนบแน่นไม่มีช่องว่าง
มือหนาประคองร่างเล็กข้างเดียวอีกข้างรั้งดวงหน้างามโน้มเข้าหาตัว เนื้อเนียนช่างนุ่มแน่นสมวัย กลิ่นกายสาวแรกแย้มมันหอมหวานแตะจมูกเสียเหลือเกิน แม้ปากจะบอกว่าจงเกลียดจงชังเธอนัก
ทว่าเขากลับหาเรื่องรั้งเธอไว้อยู่ข้างกายให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองทำไปเพื่ออะไร ขอแค่ได้หยอกได้แกล้งเธอ เขาเองก็รู้สึกมีความสุขสนุก
ท่าทีเย่อหยิ่งจองหองของหล่อนมันทำให้เขารู้สึกอยากปราบพยศม้าดื้อตัวนี้ให้อยู่หมัด เพียงแต่ม้าดื้อตัวนี้หัวรั้นยิ่งนักและยากที่จะเชื่อง อีกใจก็พร่ำบอกตนเองว่าเธอนั้นเป็นผู้หญิงต้องห้าม
อย่าหลงใหลความสวยแฝงยาพิษของเธอเด็ดขาด!
ริมฝีปากหนาฉวยโอกาสเคล้าคลึงริมฝีปากเล็กอิ่มเนิ่นนาน ไม่ยอมผละออกมา ลิ้นร้อนกว้านสำรวจความหวานจากปากอิ่มไม่รู้จักพอ
ริมฝีปากอวบอิ่มมอบสัมผัสแปลกใหม่ให้แก่เขา แม้เขาเองจะเชยชิมริมฝีปากของใครต่อใครมานับไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ใจแกร่งเต้นระส่ายควบคุมไม่อยู่
“......” ร่างสูงรีบผละออกมาก่อนที่เรื่องมันจะเลยเถิด มือหนาปล่อยร่างเล็กล้มกองลงกับพื้น เขาหันกายเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
จะให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้...
ฝืนกายว่ายากเพียงใดฝืนใจนั้นยากยิ่งกว่า...
หญิงสาวนั่งนิ่งเนิ่นนานกว่าจะคืนสติ เธองุนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอจำได้เพียงว่าเขาฝังเขี้ยวแหลมลงบนลำคอของเธอ ก่อนที่สติทุกอย่างจะเลือนลอยจนจำเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้
“ให้ตายเถอะ...เห็นเป็นธนาคารเลือดหรือไง” เธอบ่นอิดออด วันนี้ไม่มีอารมณ์จะทำความสะอาดต่อแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
ดารินทร์เดินตามหาอาหลินทั่วบ้านก่อนจะมาพบบริเวณห้องครัว สาวใช้แวมไพร์หนึ่งเดียวที่เธอรู้สึกสนิทสนมด้วย
“อาหลินเดี๋ยวตามดารินทร์ขึ้นไปนะจ๊ะ”
“ทำไมหรอดารินทร์”
“เหงาอยากมีเพื่อนคุยน่ะอาหลิน” ดารินทร์หน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับ อาหลินเห็นดังนั้นอดที่จะหลุดขำเล็กน้อยเสียไม่ได้ ดูท่าคงจะเจอศึกใหญ่มากระมัง
“ได้สิ อีกสิบนาทีนะ”
“จ๊ะ”
ดารินทร์เดินขึ้นมาบริเวณชั้นสองของตัวบ้าน ห้องนอนของเธออยู่ปีกซ้ายสุด ก่อนจะไปทำกิจธุระส่วนตัวอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดหมดจด ก่อนจะถูกเรียกลงมารับประทานอาหารเย็นเพียงคนเดียว
“นายน้อยล่ะ?” เธอเอ่ยถามถึงชายหนุ่ม หากเขาร่วมโต๊ะทานอาหารกับเธอ เห็นทีจะต้องรีบยัดสเต็กเนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบเข้าท้องโดยเร็วก่อนที่เขาจะมา
“ออกไปข้างนอกตั้งนานแล้ว” อาหลินเอ่ย
“เฮ้อ...ค่อยโล่งอก” หญิงสาวถอนหายใจลากยาว ก่อนจะลงมือทานมื้อเย็นอย่างไม่รีบร้อน
“ดูทำท่าเข้านายน้อยมาเห็นได้โดนเล่นงานอีกหรอก” อาหลินส่ายหน้าเอือมระอาแม้ว่าเธอจะสวยแต่เธอก็ติดตลกอยู่หน่อย
“ก็ตอนนี้เขาไม่อยู่นี่นา”
“เธอว่าใครไม่อยู่...” น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นทำลายความสุขบนโต๊ะอาหาร หญิงสาวนิ่งค้างเติ่งมองตามเสียง
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำขนาบสองข้างโดยมนุษย์สาวสองคนรูปร่างอรชรสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นแนบผิวกาย พวกเธอทั้งสองมองตาไม่กระพริบมาทางเธอ แววตาริษยานั่นไม่คิดจะปิดบังหน่อยหรอ...
นังผู้หญิงคนนี้มันสวยเกินหน้าเกินตา...
มันต้องมาแย่งตำแหน่งเมียรักของเธอแน่ๆ...
“นั่นใครหรอคะนายน้อย” หญิงสาวข้างกายชายหนุ่มเอ่ยถาม น้ำเสียงกระแหน่ะกระแหน่ดูหาเรื่อง
“กาฝากหรือว่าคนรับใช้ดีล่ะ”
“คนรับใช้นั่งทานข้าวบนโต๊ะของเจ้านายได้ด้วยหรอคะ”
“อย่าไปสนใจเลยไม่ได้มีค่ามากพอให้เราสนใจ สนใจเรื่องของเรากันดีกว่า” ท่อนแขนแกร่งโอบลำคอสองสาวพากันเดินขึ้นไปบริเวณชั้นสาม ท่ามกลางสายตางุนงงของหญิงสาว มายืนพูดจาเสียดสีเธอเสร็จแล้วก็ไป
“ใครอะอาหลิน” หญิงสาวเอ่ยถามเพื่อนสนิทอย่างสนอกสนใจ
“ก็ผู้หญิงที่นายน้อยเลี้ยงไว้ไง ชอบสำคัญตัวว่าเป็นนายหญิงมาแต่ละทีพวกฉันหัวจะปวด ฉันไม่ขอขึ้นไปนอนกับเธอนะคืนนี้” อาหลินทำหน้าแขยง สองสาวมาที่บ้านทีไร เรียกร้องการบริการระดับโรงแรมห้าดาวเสียทุกที เรื่องเยอะที่หนึ่ง เธอแทบจะอยากหนีทุกครั้งที่เห็นพวกหล่อน
“อ้าว...ทำไมล่ะ”
“เดี๋ยวคืนนี้เธอก็รู้เอง”
“เอ้า! แค่เนี่ย! ฉันจะเข้าใจไหมล่ะ”
“อืมมน่า...เดี๋ยวคืนนี้เธอก็เข้าใจ”
กว่าจะเข้าใจคำพูดของอาหลินก็ต่อเมื่อเธอได้ประสบพบเจอกับตัวเอง ขณะนี้เวลาตีสองครึ่งบริเวณห้องนอนของชายหนุ่มมันตรงกับห้องนอนของเธอพอดิบพอดี
เสียงอึกทึกครึกโครมดังกึกก้องผสานเสียงร้องของหญิงสาวสองคนที่ร่ำร้องปานจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ
ดึกดื่นป่านนี้พวกเขาสามคนทำกิจกรรมอะไรบางอย่างที่เธอเองก็พอจะเดาออก แต่รุนแรงกันถึงเพียงนี้เลยหรือ เธอยังแอบสงสัยว่าพรุ่งนี้แม่สาวสองคนนั่นจะกลายเป็นศพต้องเรียกกู้ภัยมากู้ร่างไหม
“โอ๊ย...เชือดวัวเชือดควายกันหรือไงร้องระงมส่งเสียงดังกันอยู่นั่นแหละ” หญิงสาวกว้านหยิบหมอนใบใหญ่ทับปิดใบหน้าของเธอ หวังว่ามันจะลดทอนเสียงดังรบกวนในยามวิกาลได้
“ฉันเข้าใจเธอแล้วอาหลินน\~”
เป็นเวลาเกือบรุ่งเช้ากว่าเธอจะสามารถข่มตาหลับ แม้ว่าเสียงร้องดังลั่นจะส่งเสียงดังขึ้นเป็นระยะ ไม่มีท่าทีหยุดหย่อน เขาช่างมีแรงราวกับช้างสาร ส่วนพวกหล่อนก็อึดถึกดีซะจริง ไม่เหนื่อยกันบ้างเลยหรือ...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!