NovelToon NovelToon

นางห้าม

อารัมภบท

อารัมภบท

หญิงงามผิวพรรณดีบ่งบอกถึงฐานะและความเป็นอยู่ที่ดี ทว่าใบหน้ากลับเศร้าหมองหมดราศีถูกโซ่ตรวนพันธนาการจองจำนั่งพาดลำคอบนไม้กางเขนกลางลานประหาร ผ้าสีเข้มถูกผูกปิดดวงตา หูสองข้างถูกอุด

เพชฒฆาตยกมือพนมเหนือหัวยกไหว้ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ปกปักรักษาจากสิ่งชั่วร้ายที่มองไม่เห็น ดาบหนึ่งและดาบสองทำพิธีบวงสรวงเทพเทวดาด้วยเครื่องสังเวยพร้อมขออโหสิกรรมและกล่าวให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานในการประหารนักโทษในครั้งนี้ พวกเขาเพียงทำตามหน้าที่

เสียงกลองบรรเลงขึ้นเปรียบเสมือนนาฬิกาถอยหลังสู่ความตาย เพชฒฆาตหนุ่มวัยกลางคนผิวคร้ามแดดร่ายรำเดินวนนักโทษหญิง เสียงฝีเท้าหนักแน่นของเพชฒฆาตย่ำลงบนแผ่นดินสะเทือนใจผู้คนที่มารับชมการประหารในครั้งนี้

หนึ่งในนั้นดวงตาคมกริบนั่งบนบัลลังก์ตั่งทองมองเมียรักแววตาสั่นคลอน รวดร้าวระทมใจ ไม่แพ้นางห้ามที่เขาทรงโปรด ดวงตาคมคายน้ำตารื้นคลอหน่วย มือสากกำแน่นมองเธอไม่ยอมละสายตา

“โอ้ใจเจ้ากรรม...ชาติหน้าฉันใดขอให้ฉันกับพี่คลาดกันทุกชาติไป ข้าไม่ขอหวนคืนเป็นนางห้ามในโอวาทของท่านอีกแล้ว” เสียงหวานเอ่ยสะอื้นน้อยเนื้อต่ำใจ เธอก้มหน้ารับชะตากรรมอันขมขื่นนี้อย่างเต็มใจ

เมื่อผู้ใดที่ได้รับการโปรดจากเจ้าหลวงสิ่งที่ตามมาย่อมทุกข์ทนทรมานเอาคืนสาสมกับช่วงเวลาหวานชื่นที่เธอเคยได้รับ

แม้นความตายกล้ำกลายผู้ที่พร่ำบอกว่ารักเธอนักหนา กลับไม่สามารถใช้อำนาจล้นฟ้าที่มีช่วยชีวิตของเธอ

“ชาติหน้ามีจริงข้าขอเกิดมามีโชคชะตาชีวิตธรรมดาเฉกเช่นผู้อื่นบ้างนะเจ้าคะ...” ลีลาวดี เจ้าจอมนางห้ามในเจ้าหลวงอัศนีระบายรอยยิ้มแสนหวานสุดท้าย

เสียงร่ำไห้กัมปนาถดังกึกก้องสะท้านพื้นแผ่นดิน ครอบครัวนางห้ามทรุดคุกเข่าลงแนบพื้นดินสีดินแดง ยามดาบเล่มยาวเงาวับคมกริบสะบั้นตัดศรีษระงามหลุดออกจากบ่า ครอบครัวนางห้ามรอดพ้นจากกฎอาญาประหารเจ็ดชั่วโคตรจากคำขอร้องอ้อนวอนของลีลาวดี

“ลีลาวดี...” เจ้าหลวงอัศนีกระซิบเรียกชื่อหญิงอันเป็นที่รัก ยามลมหายใจสุดท้ายของเธอนั้นถูกพลากไปไกลแสนไกล ดวงตาคมคายหลั่งหยาดน้ำตาออกมาสุดจะกลั้น ดวงใจปวดร้าวราวกับถูกใครมากระชากดวงใจออกจากอก

“หมดเสี้ยนหนามตำอกกูเสียที” จามจุรี แม่เมืองในองค์เจ้าหลวงอัศนีระบายรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะผุดลุกเดินจากไปอย่างไม่ใยดี หลังการประหารนังผู้หญิงที่เปรียบเสมือนเสี้ยนหนามยอกใจเธอเสร็จสิ้น

เป็นที่รู้กันทั่วทั้งวังหลวงว่าเจ้าหลวงนั้นทรงโปรดปราน ลีลาวดี นางห้ามสามัญชนธรรมดาที่ถูกตาต้องใจเจ้าหลวง จึงถูกรับเข้ามาเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี

ท่ามกลางความอิจฉาริษยาของแม่เมืองที่หาทางกำจัดก่อนที่ ลีลาวดี จะให้กำเนิดทายาทชิงตัดหน้าเธอ แม่เมืองมีครอบครัวเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในวังหลวงคอยให้การสนับสนุน

ขณะที่ลีลาวดีเป็นเพียงหญิงชาวบ้านเติบโตมาในตระกูลค้าขายย้ายถิ่นฐานมาจากแดนล้านนา จึงไร้สิทธิ์ไร้เสียงคอยปกป้อง ท้ายที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับแผนการของเธอ

ลีลาวดี ถูกตั้งข้อหากบฎคิดคดขายชาติหลังพบจดหมายติดต่อลอบค้าขายฝิ่นกับพวกฝรั่งที่ถูกใครบางคนปลอมแปลง ขุนนางทุกฝ่ายส่งฎีการ้องเรียนให้เธอรับโทษประหาร หนึ่งเสียงของเจ้าหลวงหรือจะสู้เสียงของเหล่าขุนนางคนเก่าคนแก่

ภายหลังสามเดือนเจ้าหลวงอัศนีนอนซมตรอมใจ ไม่แตะสำรับข้าวปลาอาหารจนอาการน่าเป็นห่วง ร่างกายกำยำบัดนี้กลับผ่ายผอม แม่เมืองตามหาหมอมารักษาทั่วสารทิศ ยาทุกแขนงที่ว่าดีต่างจัดหามาให้ไม่ขาดสาย ทว่าโรคทางใจรักษาหมอใดก็มิอาจรักษา

หมอผีที่ว่าเก่งกาจถูกเรียกตัวเข้าวังเชื้อเชิญดวงวิญญาณของเมียรักให้มาปรากฎต่อหน้า เสื้อผ้าอาภรณ์สิ่งของเครื่องใช้ที่นางรักถูกนำมาประกอบพิธีกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า เขาคว้าน้ำเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า หมอผีและโหราจารย์ต่างส่ายหน้าบอกกล่าวว่าวิญญาณของลีลาวดีไม่อยู่แล้ว ชีวิตนางห้ามมิอาจหวนคืนได้ฉันใด เรื่องราวความรักระหว่างเขาและนางก็มิอาจฟื้นคืนย้อนมาได้ฉันนั้น คงเหลือไว้เพียงตำนานเล่าขานสืบไป

“หวนคืนมาหาพี่สักคราหนาน้อง พี่ทรมานเหลือเกิน” สีหน้าของเจ้าหลวงรวดร้าวเศร้าสลด กุมดอกลีลาวดีแห้งเหี่ยวดอกนี้ที่เธอเคยมอบให้แนบอก

แม้เธอจะมาปรากฎในรูปลักษณ์ชวนสยดสยอง เขาก็พร้อมอ้าแขนรอรับเธอ ไม่คิดรังเกียจรังงอน…

เจ้าหลวงทอดสายตามองต้นลีลาวดีที่เขาเป็นคนปลูกให้หญิงสาวผ่านประตูหน้าต่างบานไม้ บุปผาแม้แย้มบานยังคงหอมตราตรึงในใจ ดอกไม้หอมที่เคยบานสะพรั่งเต็มต้น หลงเหลือไว้เพียงลำต้นเหี่ยวแห้งใกล้ตาย

“ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง จะยังคงจำข้าได้หรือไม่แต่ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินลีลาวดี”

ดวงตาคมคายเหม่อลอยตกอยู่ในภวังค์ ยามสองเราเคยร่วมเรียงเคียงหมอน กกกอดกันแนบแน่น หลับตายังฝันถึงนวลน้องมีความสุขนักหนา ทว่าตอนนี้ตัวพี่กลับทุกข์ทนคิดถึงเสียงเอื้อนเอ่ยของน้องนาง

ลืม..ข้าลืมไม่ลง

แม้นเหลือเพียงเศษเถ้าธุลีข้าก็ยังปักใจรักเจ้าเพียงผู้เดียว ลีลาวดี

“ไม่ว่าเจ้าจะอธิษฐานกระไรก่อนตาย แต่ข้าจะขอติดตามดูแลเจ้าทุกชาติไป ไถ่ถอนความผิดพลาดในชาตินี้ให้เจ้าหนานวลน้อง” ริมฝีปากแห้งเผือดเอื้อนเอ่ยก่อนดวงวิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่าง ท่ามกลางเสียงร้องระงมของข้าราชบริพาร

เจ้าหลวงสิ้นชีพโดยไร้ทายาทสืบราชบัลลังก์ หลังการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน การแก่งแย่งชิงบัลลังก์เกิดการนองเลือดไม่รู้จักจบจักสิ้น เป็นเหตุให้เมืองศรีสุวรรณล่มสลายตามกาลเวลา แม่เมืองผู้จุดชนวนความบาดหมางต้องยอมรับผลที่ตามมาหนักหนาสาหัสเกินกำลังนางจะต้านทาน

ตอนที่ 1 : พบพาน

ตอนที่ 1

จิตสุดท้ายอันมัวหมองเศร้าโศกในโชคชะตานำพาดวงวิญญาณของลีลาวดีมาจุติ ณ นรกภูมิหนึ่งในอบายภูมิ ดินแดนหลังความตายที่ไม่มีใครอยากกล้ำกลายเฉียดใกล้ ดวงจิตหญิงงามบังเกิดกรุ่นกลิ่นอัตลักษณ์หอมหวนเฉกเช่นไม้หอมยั่วเย้า นายนิรยบาลทั้งหมดสูดดอมดมบังเกิดราคะกระหายรุนแรง ทว่าท่านทั้งหลายพึ่งระงับข่มความรู้สึกแลทำหน้าที่ของตนต่อ

ลีลาวดีสวมชุดที่เธอสวมใส่ก่อนสิ้นชีพ ผ้าคาดอกสีซีด ผ้าซิ่นสีน้ำตาลอ่อน ม้วยเกล้าผมเหนือหัว กวาดสายตามองนรกภูมิ เพลิงนรกลุกโชนแผดเผาสัตว์นรกที่ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา ใจดวงน้อยย้ำเตือนจิตให้ตั้งมั่นอย่าขลาดกลัว เรียวขางามก้าวผ่านสะพานนรก เบื้องล่างมีอสูรกายกรีดร้องจากการโดนลงทัณฑ์ ความเจ็บปวดแสนสาหัส

เปลวเพลิงระอุทั่วอาณาบริเวณทว่าเธอกลับไม่รู้สึกร้อนรุ่มมีเพียงกระแสลมเย็นสบายพาดผ่านดวงจิตมอบความสบายใจเสียอย่างนั้น แม้นจะมีแสงสว่างจากเปลวเพลิงโหมลุกไหม้ แดนดินแห่งนี้มืดมิดไร้แสงสว่างจากสุริยะ มีเพียงเปลวเพลิงนรกที่คอยมอบแสงสว่างท่ามกลางการลงทัณฑ์อสูรกายตามแรงกรรมของแต่ละตน

สัตว์นรกน่าเกลียดน่ากลัวจ้องมองหญิงสาวที่มีสภาพผิดแปลกจากพวกมัน ก่อนสุรเสียงทรงอำนาจน่าเกรงขามจะเอ่ยทักหญิงสาวผู้ที่มาผิดที่ผิดทาง สัตว์นรกตื่นตระหนกหลบนัยเนตรสีชาดคู่นั้นที่มองพวกมันยากคาดเดาหลังได้ยินเสียงทรงอำนาจของผู้เป็นใหญ่แห่งโลกหลังความตาย

“จิตมัวหมองนำพาเอ็งมาที่นี่ กลับไปในที่ที่เอ็งควรไปซะ” น้ำเสียงเข้มแข็งกระด้างเอ่ยบอกดวงจิตหญิงงาม กลิ่นไม้หอมอัตลักษณ์ของนางโลยโชยแตะจมูกกายาร่างใหญ่ คิ้วหนาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ด้วยไม่เคยพบดวงจิตดวงใดปรากฎกลิ่นหอมหวนยั่วเพศเช่นนางมาก่อน

“......” ลีลาวดีหันหลังกลับไปมองต้นเสียง นางผงะถอยร่น ดวงตากลมโตไล่มองชายหนุ่มร่างใหญ่เทียมยักษ์ ใบหน้าดุดันท้วงท่าสง่าผ่าเผยเปลือยท่อนบน ยืนตระหง่านอยู่ทางด้านหลังเธอเมื่อครู่

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กว่าบุรุษชายทั่วไป ผิวกายสีแดงเข้มละเอียดดุจดวงอาทิตย์อัศดง ดวงตาดุดันสีชาดน่าเกรงขาม ใบหน้าคมเข้มดุดันปราศรอยยิ้มประดับ สวมอาภรณ์สีดำทะมึนดูอึมขรึม ด้านข้างมีเด็กชายอายุราวห้าขวบมัดจุกนุ่งโจงกระเบนสีแดง ซ้ายขวามีชายหนุ่มวัยกลางคนรุ่นราวคราวเดียวกันสองคนถือหนังสือเล่มหนาแนบอก

“......” ลีลาวดีนั่งพับเพียบพนมมือก้มกราบผู้เป็นใหญ่ในโลกหลังความตาย ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าท่านนี้คือ องค์พญามัจจุราช ผู้พิพากษาความดีและความชั่วของมนุษย์ ในดินแดนนรกภูมิ

“......” ดวงตาสีชาดกระตุกวาบสั่นไหวยามเห็นท่าทีอ่อนหวานของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติไม่ให้ผิดสังเกตุ ดวงหน้างามหวานหยดย้อยทำชายผู้ทรงอำนาจสั่นคลอนจึงกลบเกลื่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“พี่สาวคนนี้สวยจังเลยจ๊ะพ่อจ๋ากลิ่นตัวก็ห๊อมหอมเหมือนบุปผชาติ” เด็กชายกระตุกอาภรณ์ของชายหนุ่มกายสีแดง เร่งเร้าให้ผู้เป็นพ่อเชยชมความงามของหญิงสาวตรงหน้า ทว่ากลับโดนผู้เป็นพ่อเอ็ดเสียยกใหญ่

“ไอ้ส้มป่อยหุบปากก่อนกูจะส่งมึงไปนอนแช่กระทะทองแดง” ไอยศูรย์ องค์พญายมราชผู้เหนือกว่ายมบาลทุกตนเอ่ยเสียงดุ ไอ้ส้มป่อยช่างไม่รู้ความ

“ส้มป่อยอุดปากไว้แล้วจ้าพ่อ” เด็กชายรีบยกมือปิดปากตนก่อนจะโดนพ่อจ๋าลงทัณฑ์ นัยตาใสกระพริบตาถี่รัว

“ลีลาวดีนางห้ามในเจ้าหลวงเมืองศรีสุวรรณ ถูกประหารชีวิตด้วยการบั่นศรีษระ แรมหกค่ำเดือนสามปีระกา อ่านตามสมุดบันทึกความดีชั่ว นางน่าจะต้องขึ้นสวรรค์แต่ด้วยจิตมัวหมองก่อนตายทำให้ดวงจิตมาจุติที่นรกภูมิขอรับ” สินธุ ผู้รับผิดชอบบัญชีบาปเปิดสมุดอ่าน

“ตามนั้นขอรับ” ขจร ผู้รับผิดชอบบัญชีบุญเอ่ย

“ชะตาชีวิตเอ็งหวานต้นขมปลายดีเชียวหนา...“ ไอยศูรย์เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาประกายสีชาดจดจ้องหญิงสาวก้มมองเบื้องล่างไม่กล้าเงยหน้ามองเขา เมื่อเทียบนางกับกายาแกร่ง นางดูกระจ้อยร่อยหดเหลือเพียงหน่อย

“เจ้าค่ะ” ลีลาวดีตอบรับห้วนสั้น ไม่อยากหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันวานให้ชอกช้ำ นับตั้งแต่ดวงจิตหลุดลอยออกจากร่างละสังขารเดิม เธอถือว่าเรื่องในอดีตได้จบสิ้นลงพร้อมนางห้ามนามลีลาวดี ความทุกข์ทนตรอมตรมทั้งหลายเธอขอทิ้งมันไปพร้อมกายสังขารนั้น เธอไม่ขอแค้นเคือง อาฆาตพยาบาทผู้ใดให้เป็นเวรกรรมต่อกัน และไม่ขอพบเจอผู้ชายผู้นั้นอีกเป็นพอ

“ข้าจักให้เอ็งไปเกิดใหม่ตามคำอธิษฐาน ชาตินี้ข้าขออวยพรให้เจ้ามีแต่คนเมตตาการุณ อายุยืนยาวพบเจอแต่ความสุขร่มเย็นในชีวิต” ไอยศูรย์พ่ายมือพาดผ่านดวงวิญญาณสาวส่งเธอไปเกิดในแดนมนุษย์เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา ดั่งคำอธิษฐานก่อนตาย

“น้อยนักที่ดวงวิญญาณจักได้คำอวยพรจากท่าน นึกครึ้มกระไรหนอ” สินธุเอ่ยพลางเหลือบมองสีหน้าของผู้เป็นใหญ่ในแดนนี้ รอยยิ้มกรุ่มกริ่มปรากฎบนดวงหน้าเข้ม

“มึงพูดเหมือนกูใจไม้ไส้ระกำ” ไอยศูรย์ถอนหายใจพรืดใหญ่ยามโดนจับผิด

“ไม่ได้เอ่ยนะขอรับ” สินธุเบนมองดวงจิตของหญิงงามขึ้นไปจุติบนโลกมนุษย์อีกครั้ง โดยการช่วยเหลือขององค์พญามัจจุราชที่น้อยนักจะช่วยเหลือดวงจิตดวงใด แม้ในคราปกติจะมีคำพูดติดหูพวกเขาว่า ปล่อยตามเวรตามกรรม

“มันสื่ออย่างนั้นแหละขอรับ” ขจรพูดก่อนจะหันหลังเดินออกไปทิ้งระเบิดลูกใหญ่แก่สินธุ

“มึงมันแส่ไม่เข้าเรื่อง” สินธุเอ่ยเสียงแผ่วเบา เขาชักสีหน้าฉับพลันแปรเปลี่ยนเป็นปกติ

“ไปทำงานยังมีอีกหลายดวงวิญญาณไม่ได้ตัดสิน” องค์พญามัจจุราชส่ายหน้าเอือมระอากับสหายคนสนิทที่มักจะจิกกัดกันเองไม่เว้นว่างแต่ละวัน

“พ่อจ๋าเอาหนูไปด้วยจ๊ะ” เด็กชายมัดจุกอ้าแขนหวังให้เขาโอบอุ้ม สองขากระโดดเด้งไปมา

“มีตีนก็เดินมาเองสิวะ”

“โธ่...พ่อ” ส้มป่อยหน้ามู่ชั่วครู่ เขากอดอกแสดงท่าทีเคืองขุ่น มองผู้เป็นพ่อเดินลิ่วนำหน้าไม่นานนักส้มป่อยก็รีบวิ่งตามชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตามไปติดๆ หลังวิธีงอแงใช้ไม่ได้ผล

ไม่กี่ชั่วยามเวลาในนรกภูมิพลันปรากฎดวงจิตสีขาวบริสุทธิ์ของหญิงสาวเจ้าของกลิ่นกรุ่นหอมที่เขาพึ่งจะส่งนางขึ้นไปจุติ พวกเขาทั้งสี่มองหน้ากันอย่างมึนงง ไยดวงวิญญาณกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ ในชาตินี้นางจักต้องมีชีวิตยืนยาว เรียบง่าย สงบสุข เหตุอันใดหนอจึงได้พานางผู้ทำให้ดวงใจมัจจุราชร้ายสั่นคลอนเวียนกลับมาพบกันอีกครา

“ข้าพึ่งจะส่งเอ็งขึ้นไปไยรีบร้อนกลับมานักเล่า” ไอยศูรย์นั่งลงบนบัลลังก์ ท่อนแขนแกร่งเท้าคางมองดวงจิตสีขาวบริสุทธิ์ของสาวงามที่กำลังนั่งคุกเข่าหน้าบัลลังก์ด้วยสีหน้าละล่ำละลัก

“ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ตัวเธอเองก็ยังคงงุนงง เวลาในนรกภูมิไม่กี่วินาทีเทียบเท่าหลายสิบปีบนโลกมนุษย์

ในชาตินี้ลีลาวดีไปเกิดในครอบครัวชาวบ้านธรรมดา เมื่ออายุครบยี่สิบเอ็ดปีเต็มทางครอบครัวหาชายผู้เพียบพร้อมเหมาะสมให้เป็นคู่หมาย ทว่าก่อนวันตบแต่งกลับล้มป่วยหาสาเหตุไม่ได้จนกระทั่งสิ้นชีพแล้วกลับลงมาในนรกภูมิอีกครั้ง

“งั้นลองไปอีกครา...” ไอยศูรย์สะบัดฝ่ามือส่งดวงจิตหญิงงามกลับไปจุติอีกครั้ง ก่อนผ่อนลมหายใจหนักด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่เริ่มบังเกิด

“มนต์ท่านเสื่อมถอยรึท่านยม” ขจรเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางผู้นั้นทั้งได้นะเมตตาย่อมมีชะตาชีวิตที่ดีกว่าใคร นับเป็นคราแรกเสียด้วยซ้ำที่องค์พญามัจจุราชผู้ถือองค์ประทานพรด้วยตนเอง ตัวเขาจุติมายังดินแดนแห่งนี้ไม่เคยเห็นดวงจิตดวงใดโชคดีเท่านางมาก่อน ผู้ใดประสบพบเห็นนางย่อมต้องเกิดความรักใคร่เอ็นดู หากไม่เกินกำลังบุญก็คงจะมีชีวิตที่สุขสงบยืนยาว

“เอ็งจักลองไหมเล่าข้าจะลองส่งเอ็งไปจุติสัญชีวะนรก\[1\]สักครา”

“เห็นทีคงจะไม่สะดวกนะขอรับ ข้าอยู่ช่วยงานท่านดีกว่า” ขจรหน้าเจื่อน

บรรยากาศในดินแดนหลังความตายเริ่มวุ่นวายหลังที่งดวงจิตหญิงงามที่ท่านพญายมราชเป็นผู้ส่งไปจุติด้วยตนเอง กลับมายังนรกภูมิครั้งแล้วครั้งเล่า

ชะตาชีวิตของเธอนั้นแสนสั้นเพียงไม่นานก็ต้องสิ้นชีพกลับลงมานรกภูมิเสียแทบทุกครั้ง และเธอจักสิ้นชีพในอายุขัยเพียงยี่สิบปีเอ็ดแทบทุกคราหรือก่อนแต่งงานเสียทุกครั้ง ลีลาวดีนั่งเกร็งตัวแข็งท่ือไม่กล้าขยับกาย นัยเนตรสีชาดปั่นป่วนหนักขึ้นทุกที

“มันเกิดกระไรขึ้นกับเอ็งลีลาวดี” ผู้ทรงอำนาจกลัดกลุ้ม เขานั่งเท้าคางทอดถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก

“ชาติที่ห้าแล้วนะเจ้าคะ ท่านอวยพรให้ข้าจริงรึเจ้าคะ ไยข้าอายุสั้นทุกชาติเลยล่ะเจ้าคะท่านยม” ลีลาวดีเงยหน้ามองผู้เป็นใหญ่ในโลกหลังความตายครั้งแรก ยามนัยเนตรสองคู่สบตากันโดยบังเอิญ เกิดความรู้สึกวูบวาบร้อนแปลบขึ้นมาชั่วขณะ หญิงงามจึงหลุบดวงตามองต่ำดังเดิม

“เอ็งคิดว่าข้าสาปแช่งร่นอายุเจ้าอย่างนั้นรึลีลาวดี?” ไอยศูรย์ปรายหางตามองดวงจิตสาวงามที่เริ่มใจกล้ามีปากเสียงขึ้นมา

“หามิได้เจ้าค่ะ” ลีลาวดีรีบยกฝ่ามือปฏิเสธพันวัล

“ไปอีกสักชาติ ครานี้ข้าจะขึ้นไปเป็นเพื่อนเอ็งดูเอาเถิดว่ามันเกิดกระะไรกันแน่”

“ไม่ได้นะขอรับ ท่านขึ้นไปใครจะพิพากษาเหล่าวิญญาณเล่า” สินธุรีบแย้ง เป็นไปไม่ได้ที่นรกภูมิจะว่างเว้นจากองค์พญามัจจุราช

“ยมบาลท่านอื่นมีตั้งมากโข ให้มันรู้กันไปว่าไม่มีข้าผู้เดียวนรกภูมิมันจักแตกเป็นเสี่ยง ข้าทรงงานมานานเท่าใดไม่เคยหยุดพัก หากจักลงทัณฑ์ข้าเพียงเพราะข้าหยุดพักก็ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไป” ไอยศูรย์ตวัดหางตามองผู้ติดตามทั้งสองที่ได้แต่ก้มหน้างุดรับคำบัญชา

“ขอรับ/ขอรับ”

“ฉันไปด้วยนะจ๊ะพ่อจ๋า ฉันอยากเห็นโลกมนุษย์” ส้มป่อยวิ่งมาเกาะแขนแกร่ง ทำตาโตออดอ้อนท่านพญายมราช

“เอ็งจะขึ้นไปทำกระไร”

“น่านะ...ฉันสัญญาจะไม่ดื้อไม่ซน เชื่อฟังคำพ่อจ๋าทุกอย่าง”

“เอ็งพูดแล้วนะ...”

“จ๊ะ!” เด็กชายร่างเล็กเพยิดหน้าตกปากรับคำเป็นดิบดี

“เออ” เขาใจอ่อนยอมให้ส้มป่อยติดสอยห้อยตามขึ้นไปบนโลกมนุษย์ อย่างน้อยก็มีมันคอยช่วยเหลือได้บ้าง

“......” ฝ่ามือสากยกสะบัดส่งวิญญาณสาวกลับขึ้นไปจุติอีกครา ครานี้ดวงจิตกล้าจักตามติดเจ้าของดวงจิตกลิ่นหอมดวงนั้นขึ้นไปยังโลกมนุษย์ ดินแดนที่มีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวาย

“ตรวจดูดวงชะตาให้ข้าทีว่าใครมันดวงถึงฆาตแล้ว ขอคนที่ถึงฆาตก่อนนางลีลาวดีจะอายุครบยี่สิบเอ็ด”

“ขอรับ” สินธุเปิดสมุดบัญชีหนังหมาตรวจเช็ครายชื่อมนุษย์ที่ดวงถึงฆาตในช่วงเวลาเหมาะเจาะ เขากระพริบดวงตาสลับมององค์พญามัจจุราชสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก

“มีผู้หนึ่งขอรับ”

“ผู้ใด”

“ชื่อเจ้าเพลิงขอรับ หมอผีไสยเวทย์สายดำกระทำกรรมชั่วหนักหนาอยู่ขอรับ มันจักมรณะก่อนแปดเดือน”

“ไม่มีร่างที่ดีกว่านี้แล้วรึให้ข้าไปอาศัยร่างหมอผีคนบาปจะไม่ถูกชาวบ้านตราหน้าเอาฤา” พญามัจจุราชหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ไม่มีแล้วขอรับ”

“อืม”

ในเมื่อไร้หนทางพญามัจจุราชผู้ทรงอำนาจจึงขึ้นไปยังโลกมนุษย์ในวันที่ชายหนุ่มผู้มีดวงชะตาถึงฆาต สิงสถิตยึดร่างครอบครองกายเนื้อของหมอผีผู้เลื่องชื่อลือชาสร้างเวรกรรมหนักในหมู่บ้านคุ้มงาม

“เฮือก!” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสักยันต์อักขระทั่วร่างกายสะดุ้งเฮือกหายใจหอบแรง เขาผุดลุกจากเชิงตะกอนเผาศพ โชคดีที่ไม่มาตอนเผาไปแล้ว มิเช่นนั้นชาวบ้านคงแตกตื่นพอสมควร ทว่ามาตอนนี้ชาวบ้านก็ตื่นตระหนกกันยกใหญ่ไม่แพ้มาตอนเผา ท่ามกลางเสียงฮือฮาของชาวบ้านที่เข้ามามุงดูอย่างไม่เชื่อสายตา

“พ่อครูตายแล้วฟื้น!” หนึ่งในนั้นอุทานเสียงหลง

ชาวบ้านที่มาร่วมพิธีฌาปนกิจร่างพ่อหมอเพลิงแตกตื่นกันถ้วนหน้า ก่อนหน้านี้สามวันมีเสียงเล่าอ้างว่าพ่อครูโดนของเข้าตัวหลังทำยาสั่งให้พวกคนเมือง ทำให้สิ้นชีพในขณะที่อายุเพียงยี่สิบแปดปี เสียงกระซิบกระซาบของชาวบ้านแตกออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งก็ว่าพ่อครูสมควรตายเพราะก่อเวรก่อกรรมเบียดเบียนผู้บริสุทธิ์ อีกฝั่งก็กร่นด่าชาวบ้านที่เห็นต่างเพราะเคยได้รับน้ำจิตน้ำใจของพ่อครูยามลำบาก

“มองกระไรกัน” องค์พญามัจจุราชในร่างของเพลิงหมอผีไสยเวทย์ตวัดหางตามองชาวบ้าน แกะสายสิญจน์ดอกไม้ธูปเทียนที่ปักระหว่างกลางฝ่ามือออก ลูบใบหน้าอันเปียกชุ่มจากน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ สัปเหร่อถอยร่นกุมหน้าอกทางด้านซ้ายที่เต้นโครมครามจนแทบจะหลุดกระเด็นออกมาด้านนอก

“พ่อครูตายแล้วฟื้นจริงๆ ด้วย” มิ่ง หนึ่งในลูกศิษย์คนสนิทของพ่อครูรีบวิ่งมาจับกายเนื้อที่เริ่มอุ่นจากเลือดลมไหลเวียน เขากระโดดกอดร่างพ่อหมอด้วยความดีใจจนเนื้อเต้น พลางร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวาย

“กระไรของเอ็ง” ไอยศูรย์ดันร่างของชายหนุ่มแปลกหน้าออกห่าง คนถือตัวอย่างเขารู้สึกรำคาญ

“ถามได้ฉันดีใจไงพ่อครูยังไม่ตาย” เขาตอบน้ำเสียงลนลาน

“เอ็งเป็นใคร”

“โธ่...ฉันมิ่งไงจ๊ะ ศิษย์รักของพ่อครูเอง” มิ่งเอียงหน้าฉงนในคำถามของพ่อครู ก่อนจะเก็บงำความสงสัยเอาไว้ก่อน คิดในแง่ดีคนที่พึ่งฟื้นจากความตายอาจจะยังสับสนระหว่างโลกคนเป็นและโลกคนตาย

“แยกย้ายนะทุกคนข้าไม่ตายแล้ว แยกย้ายกันกลับบ้าน” ไอยศูรย์ในร่างพ่อครูโบกมือไล่ชาวบ้านอย่างรู้สึกรำคาญ สายตาที่จับจ้องมาทางเขาราวกับตัวประหลาด บ้างก็ตื่นกลัวเหมือนคนเห็นผี นี่แหละหนามนุษย์ผู้เขลา

“กลับบ้านกันนะจ๊ะพ่อครูเลิกโว้ยไม่มีแล้วงานศงงานศพ กูจะพาพ่อครูกลับบ้านโว้ย” มิ่งโบกมือสะบัดไล่ชาวบ้านที่มาร่วมงานให้แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง มิ่งเดินประคองพ่อครูเดินแหวกกลางผ่านชาวบ้านนับร้อยที่ร่วมเป็นสักขีพยานว่าในวันนี้พ่อครูเพลิงนั้นกลับมาแล้ว

“อือ”

“พ่อครูหิวมั้ยอยากกินอะไรฉันจะไปหามาให้”

“ข้าอยากนอน”

บ้านไม้สักสองชั้นทรงไทยโบราณหลังใหญ่โตโอ่อ่าที่ลูกศิษย์ลูกหาร่วมกำลังทรัพย์สร้างให้พ่อครูเพลิงแทนกระต็อบหลังน้อยซอมซ่อตั้งไม่ใกล้ไม่ไกลจากป่าช้าเมื่อครู่ ดูท่าเจ้าเพลิงวิชาแก่กล้าไม่น้อย มิเช่นนั้นคงไม่มีลูกศิษย์ลูกหาทุ่มเงินสร้างบ้านกึ่งตำหนักให้ใหญ่โตเช่นนี้ สิ่งของนอกกายที่แลกมากับการเบียดเบียนทำร้ายผู้บริสุทธิ์แล้วอย่างไรเล่า ตายไปก็เอาสิ่งของเหล่านี้ไปไม่ได้ สิ่งที่ติดตัวไปก็มีแต่บุญและกรรม ป่านนี้สินธุและขจรคงกุลีกุจอหายมบาลมาตัดสินเจ้าเพลิงกันจ้าละหวั่น

ทรัพย์สินเงินทองของนอกกายตายไปถึงหอบเอาไปไม่ได้ ใยมนุษย์จึงกระเสือกกระสนดิ้นรนอยากได้กันนักหนอ พญามัจจุราชสังเวชใจยิ่งนัก หากมนุษย์ตื่นรู้เสียนิดเขาก็คงไม่ต้องพิพากษาให้มากความ

เครื่องโต๊ะหมู่บูชาองค์บรมพ่อครูมนต์ดำพร้อมธูปเทียนเครื่องเซ่นไหว้ของดำและของสดวางเรียงราย พ่อครูเพลิงศรัทธาในไสยเวทย์สายดำเรียกได้ว่าคลั่งไคล้จนยากถอนตัว จนนำพามาซึ่งความตายเป็นแท้ ดวงตาคมคายมองชั่วครู่ก่อนเบนหน้าหนี

มนุษย์นั้นไซร้ยากแท้หยั่งถึง...

“เอาข้าวของพวกนี้ไปทำลายทิ้งซะ กูจะตั้งโต๊ะหมู่บูชาใหม่”

“วะ ว่าไงนะพ่อครู ของพวกนี้พ่อครูเก็บสะสมมาตั้งนมนานรักยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก แน่ใจนะพ่อครู” มิ่งแสดงสีหน้าเลิ่กลักเล็กน้อย วัตถุอาถรรพ์แต่ละชิ้นมีตำนานเล่าขานถึงความเฮี้ยน สิ่งใดที่ว่าแรงว่าขลังพ่อครูบากบั่นบุกน้ำลุยไฟเพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง จึงรักโต๊ะหมู่บูชานี้ยิ่งชีพใช้เขาเช็ดกวาดปัดถูทั้งวัน

“ของต่ำตมเช่นนี้กูไม่ใคร่อยากเห็น เอาไปทิ้ง”

“แต่นี่ของรักพ่อครูเลยนะจ๊ะ”

“เออ อย่าถามให้มากความเถอะวะ” ใบหน้าพ่อครูขึงขังน่าเกรงขามฉายแววใบหน้าดุดันของใครบางคนทับซ้อนจนมิ่งสะดุ้งโหยง มิ่งขยี้ตาใบหน้าดุดันของชายเมื่อครู่พลันหายในพริบตา

“จ๊ะพ่อครู เดี๋ยวฉันจะเอาไปทิ้งที่ท้ายวัดให้หมดเลยจ๊ะ เอาไปทิ้งแล้วของพวกนี้จะไม่แว้งกลับมาทำร้ายพ่อครูหรอจ๊ะ” มิ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย พ่อครูเคยบอกไว้ว่าหากไม่ดูแลสิ่งของพวกนี้ให้ดี มันจะย้อนกลับมาทำลายผู้ครอบครอง

“มันกล้าก็ลองดู” พ่อครูเพลิงเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าผู้ฟังกลับขนลุกซู่เกลียวไปทั่วทั้งร่าง มิ่งละล่ำละลักยากตัดใจทิ้งของรักของพ่อครู ด้วยอยากให้เวลาพ่อครูได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง แต่กลับไม่กล้าเซ้าซี้ให้มากความ

“แล้วพ่อครูจะตั้งโต๊ะหมู่บูชาอะไรจ๊ะ” มิ่งลอบถาม

“พญามัจจุราช...” ก็ตั้งเครื่องหมู่บูชาตนเองไปซะเลยง่ายดี ผู้เป็นใหญ่ในโลกหลังความตายยกยิ้มอย่างพึงใจ

“น้อยคนสายเราจะบูชาท่านนะจ๊ะพ่อครู งานที่เราทำมันขัดแย้งกับพลังท่าน ทำไมจู่ๆ พ่อครูถึงบูชาท่านเล่าหรือว่าพ่อครูไปเจอท่านมา” มิ่งให้ความสนอกสนใจออกนอกหน้า

“อย่าสู่รู้ รู้เท่าที่กูให้รู้ก็พอ”

“จ๊ะ”

ตอนที่ 2 : พรายน้ำ

ตอนที่ 2

บ่อบัวบึงขนาดใหญ่ขอบเขตใกล้เทือกเขามีบัวหลวงบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมหวนชวนหลงใหล คุณประโยชน์ของกอบัวเหล่านี้มากล้น ทั้งยังสร้างเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำแก่เจ้าของไม่น้อย อาจจะด้วยเพราะบัวเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกสัดส่วน บึงบัวรายล้อมด้วยสัตว์น้ำนานาชนิดที่เจ้าของนำมาปล่อยเลี้ยงไว้เป็นอาหาร กลีบดอกบัวยามเบ่งบานสีสวยชวนมอง หญิงสาวนางหนึ่งพายเรือไล่เก็บดอกบัวตามยอดสั่งซื้อของแม่ค้าในตลาดพลางเชยชมความงามของเหล่าดอกบัวหลากสี

มือเรียวเอื้อมไปดึงก้านดอกบัวตรงหน้า ทว่าฝ่ามือยามจุ่มลงน้ำกับสัมผัสบางสิ่งบางอย่างคล้ายเส้นผมยาวสลวย เธอรีบชักมือกลับมาก่อนเพ่งเล็งสิ่งผิดปกติใต้บึงบัว ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกอย่างผ่อนคลาย เมื่อเห็นว่ามันเป็นหนึ่งในวัชพืชใต้น้ำ

หมู่นี้บรรยากาศบึงบัวหลังบ้านวังเวงชอบกล แม้จะเป็นเวลาบ่ายคล้อย สุนัขที่เลี้ยงไว้ก็พากันมาเห่าหอนตามริมขอบสระโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำเอาเธอขนลุกขนพองไม่กล้ามาเหยียบบริเวณหลายวัน หากไม่ใช่เพราะวันนี้แม่ค้าเจ้าประจำสั่งดอกบัวตูมหลายกิโล เธอคงไม่คิดก้าวขาลงเรือมาเก็บดอกบัวให้เป็นแน่ ครั้นจะให้ผู้เป็นพ่อที่อายุมากแล้วมาเก็บเธอก็กระไรอยู่ เงาตะคุ่มใต้ท้องเรือว่ายวนเวียนจนน้ำกระเพื่อมระลอกใหญ่ทำให้เรือที่แน่นิ่งเริ่มโคลงเคลง ดวงตากลมโตมองระลอกน้ำที่แผ่เป็นวงกว้างด้วยหัวใจเต้นระส่ำ วัชพืชใต้ผืนน้ำแผ่ขยายใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนคล้ายเรือนผมยาวของหญิงสาว

“บุหงา บุหงาเอ้ย...” เสียงแหบพร่าของตาบัวเจ้าของบึงบัวบ่อใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านคุ้มงาม เท้าสะเอวชะเง้อคอร้องเรียกหาลูกสาวบริเวณหลังบ้าน หลังล่วงเลยเวลามานานตั้งแต่มาบอกกล่าวว่าจะไปเก็บดอกบัวส่งให้แม่ค้าในตลาด

“จ๋าพ่อ” เธอสะดุ้งโหยง บุหงาเงยหน้ายกมือปาดหยาดเหงื่อเย็นบริเวณกรอบหน้า ก่อนหันมองพ่อที่ยืนรออยู่บนสะพานไม้

เธอขยี้ดวงตาทั้งสองข้างใต้ผืนน้ำพลันปรากฎเป็นวัชพืชดังเดิม ฝูงปลาแหวกว่ายทวนกระแสน้ำ อวดลีลาลวดลายของตนกันยกใหญ่ เรือโคลงเคลงกลับมาแน่นิ่งบุหงาสลัดความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะรีบพายเรือกลับเข้าฝั่ง หลังเห็นดอกบัวเพียงต่อจำนวนสั่งซื้อและจำนวนที่จะนำไปไหว้พระที่วัดในวันพรุ่งนี้

“เย็นนี้เอากับข้าวไปให้พ่อครูเป็นเพื่อนพ่อหน่อยนะ” เสียงแหบตามวัยของตาบัวเอ่ย พร้อมเอื้อมไปประคองลูกสาวเพียงคนเดียวขึ้นจากเรือ แกดันแผ่นหลังของบุหงาให้เดินนำพร้อมหันใบหน้าเหี่ยวย่นมองกลับหลังไปยังบึงบัวที่แกรัก ด้วยหมู่นี้แกรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างเหมือนมีสิ่งเร้นลับอาศัยอยู่ใต้ผืนน้ำอันเงียบสงบของแก มิเช่นนั้นคงไม่ร้อนใจรีบมาตามบุหงา แกใช้โอกาสนี้ทำทีไปเยี่ยมเยียนพ่อครู หากมีอะไรดั่งที่แกสังหรณ์ใจพ่อครูคงไม่ปล่อยผ่าน

“แกตายไปแล้วพ่อจะให้ฉันเอาไปให้ทำไมจ๊ะ” เธอนิ่วหน้างุนงงกับคำพูดของพ่อ ชาวบ้านลือกันหนาหูว่าแกโดนของเข้าตัวทำให้เลือดออกทั้ง 8 ทวาร ธาตุแตกสิ้นชีพต่อหน้าลูกศิษย์ลูกหาที่คอยรองมือรองเท้า เธอก็อยากไปร่วมงานฌาปนกิจอยู่หรอกหากไม่ติดกิจธุระพอดิบพอดี เธออยากไปส่งพ่อครูแต่ถูกผู้เป็นพ่อห้าม ให้เหตุผลว่าพ่อครูตายเพราะของเข้าตัว ในยามฌาปนกิจของที่เหลืออยู่อาจจะยังไม่สิ้นกลายเป็นลมเพลมพัด จึงให้บุหงาคอยเฝ้าที่เรือน

“แกฟื้นแล้ว เอากับข้าวไปให้พ่อครูเป็นเพื่อนพ่อที อย่างน้อยแกก็เคยช่วยเหลือเรา” ตาบัวพลันนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เมียของเขาถูกผีปอบเข้าสิง ก็มีแต่พ่อครูที่ยื่นมือช่วยเหลือขจัดปัดเป่าผีร้ายให้ แม้ว่าจะสายเกินแก้ หมอผีคนอื่นที่เขาว่าเก่งนักเก่งหนา เมื่อรู้ว่าสุดทางรอดจึงประวิงเวลาคอยสูบเงินทองของตาบัว มีเพียงพ่อครูเพลิงแม้จะพูดจาขวานผ่าซากบอกตามตรงว่าหมดหนทางรอดเพราะกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ อีผีปอบมันกัดกินอวัยวะภายในของแม่บุษบาหมดแล้ว ทำได้เพียงผ่อนปรนความเจ็บปวดและให้แม่บุษบาจากไปอย่างสงบโดยไม่คิดเงินสักบาท ภายหลังการจากไปของแม่บุษบาพ่อครูบุกไปกำราบเจ้าของปอบจนทำให้ผีปอบอีหมอกถูกทำลาย บุญคุณครานั้นตาบัวจำไม่รู้ลืม

“ฟื้น? พ่อหมายความว่าไงจ๊ะ” เสียงหวานถามสีหน้าตื่นตระหนก

“แกตายแล้วฟื้นนะสิ” ตาบัวพูด

“พ่อพูดจริงหรือจ๊ะคนเราตายแล้วฟื้นได้ด้วยหรอ”

“พ่อจะโกหกเอ็งทำไม”

“จ๊ะ เดี๋ยวเย็นนี้บุหงาเตรียมกับข้าวแล้วจะเรียกพ่อจ๊ะ” แม้นจะอยากถามเซ้าซี้ผู้เป็นพ่อแต่เธอเลือกที่จะเก็บงำความสงสัย อยากไปเห็นกับตาเนื้อว่าพ่อครูเพลิงผู้ที่มีบุญคุณต่อครอบครัวของเธอนั้นตายแล้วฟื้นจริงหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริงเธอก็ยิ่งสงสัยว่าเขาได้เจอกับแม่บุษบาของเธอบ้างหรือเปล่า

“ขอบใจมากลูก” ผู้เป็นพ่อตบบ่าเล็กลูกสาว

ตาบัวยืนเฝ้าลูกสาวจำแนกสายบัวจนเสร็จบริเวณหลังบ้านท่ามกลางแสงแดดจ้าด้วยความเป็นห่วง เขาเหลือบุหงาเพียงคนเดียวจึงหวงแหนยิ่งชีพ คอยดูแลเคี่ยวเข็ญบุหงาให้อยู่ในกรอบศีลธรรม แม้ว่าหญิงสาวในวัยเดียวกันกับลูกสาวของเขาจะตบแต่งออกเรือนไปบ้างแล้ว บางคนก็เปลี่ยนผัวเสมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า สร้างความอับอายให้แก่ครอบครัวไม่เว้นแต่ละวัน

“พ่อจะมายืนเฝ้าทำไมจ๊ะแดดร้อนเผาเนื้อหมดแล้ว” มือนุ่มยกหมวกสานสวมลงบนศรีษระหนาสีดอกเลาของผู้เป็นพ่อ ด้วยอายุอานามใกล้จะแปดสิบทำให้สุขภาพร่างกายเริ่มถดถอย เรี่ยวแรงที่เคยมีก็เสื่อมถอยตามสภาพ ด้วยเพราะร่างกายของแม่บุษบาเจ็บออดๆ แอดๆ มานาน กว่าจะมีลูกได้อายุตาบัวก็ปาไปเกือบหกสิบ เดชะบุญที่ได้เมียเด็กกว่าเกือบยี่สิบปี มิเช่นนั้นคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าโซ่ทองคล้องใจคนนี้ บุหงาหน้าตาสะสวยเหมือนผู้เป็นแม่สาวสุพรรณ ได้ผิวขาวนวลเนียนทางพ่อที่ย้ายถิ่นฐานมาจากลำพูน

“มีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน เอ็งยิ่งเป็นที่หมายตาของพวกเสือสิงห์ พ่อไม่วางใจ...” ตาบัวเอ่ยอย่างหนักใจ นับวันชายหนุ่มพากันแวะเวียนมาขายขนมจีบไม่เว้นว่าง ทำให้ตาบัวต้องไล่ตะเพิดเสียวุ่นวาย ครอบครัวใครก็อยากมาเกี่ยวดอง เห็นบุหงามันเป็นเด็กขยัน แม้จะมีดื้อซนตามประสา แต่ลูกสาวของเขาก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางให้ปวดใจ หากบุหงานิสัยเหมือนอีแหวนไม่แคล้วต้องโดนหวายประเคนลงกลางหลังจนเนื้อปริแตกกันไปข้าง

นางบุหงาเกิดมามีหน้าตาสะสวยผิวพรรณงามตั้งแต่น้อย ไปที่ใดก็มีแต่คนรักใคร่เอ็นดูมัน ได้ขนมน้ำหวานกลับบ้านทุกครั้งที่กลับจากโรงเรียน หลังจบมัธยมต้นตาบัวก็ไม่คิดส่งลูกสาวเข้าไปเรียนในเมือง ให้เธอออกมาช่วยงานถึงอย่างไรทรัพย์สมบัติของเขาก็ต้องตกเป็นของบุหงาอยู่ดี จะส่งไปร่ำเรียนให้เป็นขี้ข้าเขาทำไม บางคนพ่อแม่ส่งไปร่ำเรียนท้องโย้กลับมาบ้านอีกต่างหาก แม้นบุหงาจะสวยสะคราญราวกับมีนะเมตตาติดตัวแต่กำเนิด ทว่าความโชคดีนี้ย่อมนำพามาซึ่งหายนะแก่มันในสักวัน สวยจนเป็นภัยแก่ตนเองเขาพึ่งเข้าใจก็ตอนที่ลูกเริ่มโตเข้าสู่วัยสาว ผู้เป็นพ่อได้แต่คิดไม่ตก เขาจะวางใจก็ต่อเมื่อบุหงามันตบแต่งออกเรือน

“พ่อพูดเหมือนฉันทำตัวเป็นหญิงงามเมือง” บุหงาหรี่สายตามองพ่อก่อนจะเกาะแขนกำยำที่สักอักขระล้านนาเต็มสองแขน เธอรู้ความกังวลของตาบัวดี จึงใฝ่ดีรักนวลสงวนตัว ไม่ใคร่อยากรู้อยากลองความรักของหนุ่มสาว เพราะทุกครั้งก็มักจะเห็นอีหอมและอีแหวนฟูมฟายทั้งน้ำตา กลับมาให้เพื่อนอย่างเธอคอยปลอบใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากมีความรักแล้วมันจะเจ็บออกปานนั้นก็อย่ามีเลยจะดีกว่า

ตาบัวชื่นชอบและร่ำเรียนไสยเวทย์สายขาวจากทางล้านนาบ้านเกิดมาบ้างประปรายก่อนจะมาพบรักกับแม่ของเธอที่สุพรรณบุรี อาคมสายขาวคอยปัดเป่าเภทภัยและรักษาอาการเจ็บไข้ของบุหงาในบางครั้งบางคราว ตอนเด็กเธอมักจะชอบถามพ่อว่าพ่อเป็นพ่อผี แต่มักจะโดนผู้เป็นพ่อเขกศรีษระกลับมา

“พ่อไม่วางใจพวกเสือสิงห์กระทิงแรดมันต่างหาก วันๆ จ้องแต่จะเจ็บเอ็งทำเมีย พอเอ็งเริ่มแตกเนื้อสาวพวกผีทะเลก็แวะเวียนมาไม่ขาดสาย พ่อไม่อยากได้พวกกุ๊ยเป็นลูกเขย” ตาบัวคว้านยาสูบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ บุหงาจุดไม้ขีดไฟส่งมอบให้พ่ออย่างรู้งาน ริมฝีปากเหี่ยวย่นพ่นกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งลอยคละคลุ้ง

“พ่อคิดมากไปแล้ว บึงบัวก็อยู่หลังบ้านเราแค่นี้พ่อจะลามไปเรื่องนั้นให้ตัวเองกังวลทำไม พวกมันมาเกี้ยวฉันแต่ฉันไม่เล่นด้วยซะอย่าง เดี๋ยวบุหงาไปทำกับข้าวก่อนนะจ๊ะพ่อ” พ่อของเธอคงจะหมายถึง สิงห์ ลูกกำนันเกื้อ ตัวตั้งตัวตีจับกลุ่มเป็นอันธพาลกินเหล้าเมายาเคล้านารีทำตัวเถลไถลไปวันๆ คอยผลาญเงินของพ่อที่ร่ำรวยผิดหูผิดตาหลังได้ดำรงตำแหน่งกำนัน คงจะมีเงินใต้โต๊ะจากกองกลางเลี้ยงจนอู้ฟู่ทั้งพ่อและลูก ไม่เช่นนั้นลูกชายคงไม่ทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่ให้ชาวบ้านเอือมระอา

“รีบไปเถอะ”

อาหารพื้นบ้านเรียบง่ายไข่เจียว ปลาแดดเดียวทอดกรอบ แกงส้มผักบุ้งนาใส่ปลาช่อน ตบท้ายด้วยน้ำพริกตาแดงที่เธอตำเองจนเนื้อเนียนละเอียด ถูกบรรจุลงในปิ่นโตหลายชั้นสีไข่ พ่อครูเพลิงเป็นคนชอบกินอาหารเรียบง่ายไม่ต้องหรูหรามากมาย แม้อาหารที่เธอทำจะเทียบไม่ติดกับเมนูอาหารเหลาบนภัตตาคารที่เหล่าลูกศิษย์ลูกหานำมาประเคนถึงที่ แต่ถึงอย่างนั้นกับข้าวบ้านๆ เหล่านี้พ่อครูเพลิงก็ฟาดเรียบเสียทุกครั้ง

“กับข้าวเสร็จแล้วจ๊ะพ่อ”

“งั้นไปกันเลย...” ตาบัวรีบร้อนอยากไปดูอาการพ่อครูที่เคยช่วยเหลือครอบครัวในอดีต แม้นว่าชาวบ้านจะยำเกรงหรือเกรงกลัวคุณไสยของพ่อครูไม่ทราบแน่ แทบไม่มีใครในหมู่บ้านเฉียดกรายเข้าใกล้บ้านไม้ทรงไทยหลังนั้นเลย นอกเสียจากคนต่างถิ่นที่แวะเวียนไม่ขาดสาย ทุกปีพิธีไหว้ครูจะถูกจัดอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ลูกหาจัดจ้างวงดนตรี คณะลิเก นางรำชื่อดัง ซุ้มแจกอาหารหลายสิบร้านเทียบเท่างาดวัดกันเลยทีเดียว

บุหงาสวมเสื้อทรงกระบอกความยาวถึงข้อแขน นุ่งผ้าซิ่นตีนจกสีน้ำตาลแดงเดินตามหลังตาบัวอย่างสงบเสงี่ยมซ่อนความซุกซนภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง ทั้งสองเดินตามทางจนมาถึงบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่โอ่อ่า ช่วงเวลาปกติลูกศิษย์ลูกหาเต็มตำหนัก คอยปรนนิบัติพัดวีให้พ่อครูไม่ขาดสาย บัดนี้ตำหนักที่เคยครึกครื้นกลับปิดประตูเงียบเชียบ ทำเหมือนไม่มีคนอยู่อาศัย

“ทำไมปิดบ้านเงียบจัง” หญิงสาวกระพริบตาถี่ พ่อของเธอมักจะมาพูดคุยกับพ่อครูเป็นประจำ เธอจำเป็นที่จะต้องติดสอยห้อยตามมา ทำให้พ่อจะรู้จักลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายแหล่อยู่บ้าง หนึ่งในคนที่เธอสนิทที่สุดก็คือ มิ่ง ชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนมือขวาของพ่อครู

“อ้าวตาบัวหวัดดีจ๊ะ” มิ่งเดินลงบันไดมาพอดิบพอดีรีบยกมือไหว้ผู้อาวุโส สองแขนหิ้วรูปปั้นหน้ายักษ์รวมถึงเครื่องรางของขลังวัตถุอาถรรพ์มหาเสน่ห์โลกีย์พะรุงพะรังเต็มอ้อมแขน ยังไม่รวมบางชิ้นที่อยู่ในกระเป๋าสะพายข้าง

“นั่นเอ็งจะไปไหน ข้าเอากับข้าวมาให้” ตาบัวชี้นิ้วมาทางปิ่นโตความสูงห้าชั้นสีไข่ในมือลูกสาว

“เอาของพวกนี้ไปเผาทำลายที่วัดจ๊ะ” มิ่งยกวัตถุอาถรรพ์ของรักของหวงของพ่อครูให้ตาบัวดู ชายชราถึงกับผงะอึ้ง ของแต่ละชิ้นกว่าพ่อครูจะบุกบ่าฝ่าฟันเอามาได้เลือดตาแทบกระเด็น บางชิ้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉียดตายเพื่อให้ได้มันมาทั้งนั้น อยู่ๆ เกิดตัดใจสั่งให้ไอ้มิ่งหอบเอาไปทิ้งทำลาย สิ่งใดหนอเปลี่ยนใจพ่อครูผู้ทรงสิทธิ์

“เอ็งล้อข้าเล่นหรือ” ตาบัวฉงน เหลือบมองเจ้าของเงาร่างใหญ่บนตำหนัก

“ตาบัวก็ขึ้นไปถามพ่อครูเองสิจ๊ะ หลังฟื้นตื่นขึ้นมาก็เอะอะโวยวายจะเผาทำลายของพวกนี้ให้หมด ฉันห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง” มิ่งถอนหายใจพรืดใหญ่เหนื่อยหน่ายใจยิ่งนัก ไม่ใช่ว่าพอเขาเอาไปเผาทำลายแล้วจะเกิดนึกครึ้มอยากได้คืนอีก

“เออทำดีๆล่ะ...” ตาบัวได้แต่ย้ำเตือนให้มิ่งระวังตน สิ่งของเหล่านี้อบอวลไปด้วยมนต์ดำผสานความอาฆาตพยาบาท หากไม่ระมัดระวังสิ่งที่สิงสู่ในวัตถุอาถรรพ์เหล่านั้นอาจจะย้อนมาทำลายผู้ครอบครองได้

“จ๊ะตาบัวเดี๋ยวฉันกลับมากินข้าวนะบุหงาเหลือไว้ให้ฉันด้วย” มิ่งหันมาพูดกับหญิงสาว เขาส่งยิ้มจนตาหยี ไม่วายโดนตาบัวตวัดหางตามองดุ

“ไอ้มิ่งนี่มึงก็ไม่เว้นลูกกูไว้คนหนึ่งไอ้ห่าเปรต!”

“ตาบัวก็หวงเกิ๊นนน”

“ได้จ๊ะพี่มิ่ง”

บุหงาพยักหน้ารับก่อนจะรีบดันหลังพ่อขึ้นตำหนัก หากแวะพูดคุยกับพี่มิ่งนานกว่านี้หน่อย เกรงว่าผู้เป็นพ่อจะกร่นด่าพี่มิ่งเสียงดังไปเจ็ดบ้านแปดบ้านตามประสาแก เรื่องตาบัวหวงลูกสาวเหมือนจงอางหวงไข่ใครๆ เขาก็รู้

องค์พญามัจจุราชกายาใหญ่ภายในร่างกายเนื้อของพ่อครูเพลิงนอนเอนกายบนฟูกนอนนุ่นอย่างผ่อนคลาย หลังสั่งไอ้มิ่งนำของต่ำกลิ่นเหม็นน่าเวียนหัวเหล่านั้นไปเผาทำลาย เปลือกตาหนาลืมตามองผู้มาเยือนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

‘ใครมันกล้ามารบกวนเวลาพักผ่อน’

หญิงสาวนั่งลงพับเพียบก้มกราบพ่อครูด้วยท้วงท่าสง่าอ่อนหวาน ยามใบหน้าสวยหมดจดเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างกายกำยำผิวเนื้อมีรอยสักอักขระวิชาทั่วแผ่นหลังและแผงอก ลมหายใจอุ่นร้อนสะดุดติดขัดทำราวกับว่าไม่เคยเจอกันเสียนั้น

“ลีลาวดี” พ่อครูเพลิงลุกขึ้นมานั่งยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเพ่งมองหญิงสาวด้วยสายตาเคลือบแคลง

กลิ่นเหม็นคาวตีขึ้นมาปะทะจมูกโด่งสัน คิ้วหนาเข้มขมวดนิ่วชนกัน เหตุใดบนกายเนื้อของนางมีกลิ่นสาปสางของภูติผี กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงจนเจ้าของร่างใหญ่ถึงกับผงะถอยร่นเล็กน้อย ก่อนจะสืบสาวหาความเป็นมาของกลิ่นนี้ หากมิใช่เพราะคลุกคลีอยู่กับภูติผีทุกวันคงเป็นไปได้ยากที่ส่งกลิ่นรุนแรงถึงเพียงนี้

“บุหงาเองจ๊ะไม่ใช่ลีลาวดี”

“ขยับเข้ามาใกล้ข้า”

“มีอะไรหรือพ่อครู” ตาบัวเอ่ยถามหลังเห็นพฤติกรรมผิดแปลกไป ดูท่าพ่อครูจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างเหมือนที่ตาบัวสงสัย

บุหงาหมอบคลานเข่าเข้าไปใกล้พ่อครูหนุ่มที่สีหน้าดูไม่ค่อยจะดี มือสากช้อนคางมนเกยขึ้นมา ใบหน้าคมคายก้มโน้มสูดดมกลิ่นกายจากเนื้อสาว ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดพวงแก้มเนียนจนใบหน้าร้อนผ่าว เธอกระถดห่างเล็กน้อยหนีลมหายใจอุ่นร้อน ทว่ามือสากรั้งคางมนใกล้ชิดกว่าเก่า

“ไยเนื้อตัวเอ็งมีกลิ่นสาปสางผีพรายรุนแรงเพียงนี้ เอ็งไปทำกระไรมา” พ่อครูผละออกห่างก่อนสอบถาม ดวงตาคมกริบคาดคั้นสาวเจ้า

“ไม่ได้ทำอะไรนะจ๊ะ ฉันก็ไปเก็บบัวตามปกติแล้วก็ทำกับข้าวแค่นี้เอง”

“เก็บบัวที่ใด”

‘คำพูดคำจาพ่อครูผิดแปลกไปหรือเธอคิดไปเองคนเดียว คำพูดโบราณเหลือเกิน’

“บึงบัวหลังบ้านฉันไงจ๊ะพ่อครู”

“เนื้อหอมแม้กระทั่งภูติผีดูท่ามหานะเมตตาที่ติดตัวจะนำภัยมาให้ไม่น้อย” พ่อครูพึมพำ ความหวังดีที่มอบให้กลับนำภัยมาสู่เธอเสียได้ ตอนที่ประทานพรให้นางเขาคิดน้อยไป เพียงแค่อยากให้ชีวิตของนางในชาตินี้มีแต่คนรักใคร่เอ็นดู ใครจะไปรู้ว่าแม้กระทั่งผีก็เผลอไผลเอ็นดูนาง เพียงแต่เขาคงยอมให้ภูติผีมาอยู่ใกล้นางมากเกินไปไม่ได้ มิเช่นนั้นพลังชีวิตของนางจักเสื่อมถอยตามมาด้วยอาการเจ็บออดๆ แอดๆ แบบหาสาเหตุทางการแพทย์ไม่ได้

“พาข้าไปดูบึงบัวของเอ็งที”

“บึงบัวฉันมีผีพรายหรือพ่อครู” ตาบัวยังคงงุนงงกับเหตุการณ์เอ่ยถาม ตัวเขาเองก็เอะใจมาหลายวันแต่ไม่มีวิชาอาคมแกร่งกล้ามากพอ จึงมีเพียงลางสังหรณ์อันน้อยนิด

“มีวิชาเสียเปล่าแต่กลับไม่เอะใจว่ามีผีอยู่ใต้จมูกตนเอง หากปล่อยไว้อย่างนี้ไม่แคล้วคนอายุน้อยคงไปก่อนคนอายุมาก” พ่อครูส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกพรวดเดินออกไป

“พ่อครูไม่นำถุงย่ามไปด้วยรึ” ตาบัวถาม ในย่ามคู่ใจของพ่อครูมีมีดหมอลงอาคมปราบภูติผีปีศาจ ทำลายอาคมคุณไสยอาถรรพ์ต่างๆ ได้ อีกทั้งในย่ามยังมีวัตถุอาถรรพ์มากสรรพคุณ หากไม่โดนใช้ให้นำไปทิ้งเสียก่อน

“ยังเหลืออีกฤา ไม่จำเป็น” กูมีฤทธิ์เดชเหนือวัตถุอาคมพวกนั้น ไยจักต้องพึ่งพาสิ่งของพวกนี้

สองพ่อลูกเดินนำพาพ่อครูมาดูบึงบัวบริเวณหลังบ้าน ฝีเท้าหนักย่ำเหยียบหญ้าแห้ง สายลมที่เคยพัดปลิวมอบความเย็นกระทบผิวเนื้อ ทันทีที่ชายร่างใหญ่ปรากฎสายลมเย็นเยียบบัดนี้กลับนิ่งสงบ จนบรรยากาศโดยรอบอึดอัดชวนหายใจไม่ออก

มือหยาบหนาสัมผัสผืนน้ำในบ่อบึง กลิ่นสาปสางผีพรายส่งกลิ่นเหม็นแตะจมูกรุนแรง กลิ่นเหม็นเน่าราวกับสัตว์น้ำเน่าตายกองพะเนินหลายร้อยชีวิต เงาดำตะคุ่มแหวกว่ายดำผุดหนีออกไปจากริมสระหลังรับรู้การมาของเขา

ไอยศูรย์ในร่างพ่อครูเพลิงร้องขอธูปหนึ่งก้าน มือสากเอื้อมไปหยิบธูปที่จุดแล้วจากมือบาง ก่อนปักธูปกลับหัวลงดิน กั้นอาณาเขตจำกัดพื้นที่ของผีพรายตนนั้น เสียงหวีดแหลมกรีดร้องด้วยความคับแค้นใจ มันหมุนวนสร้างน้ำวนขนาดใหญ่ใจกลางบึงบัว สัตว์น้ำน้อยใหญ่พากันกระโดดหนีตาย กระแสน้ำวนเร็วแรงจนกอบัวพังพินาศเป็นวงกว้าง ตาบัวรีบร้องเสียงหลงเพราะนั้นคือบัวที่เขาคอยดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ครอบครัวของเขาไม่อดยาก

“ปักธูปกลับหัวลงดินไม่มีใครเขาทำกันนะพ่อครู เขาถือว่าท้าทายผีสางเทวดา นี่พ่อครูทำเทวาเคืองขุ่นหรือเปล่าถึงได้พังเหล่าบัวข้า” ตาบัวตื่นตระหนกก่อนจะรีบพูดออกมา

“เทวาผู้ใดกันอีผีพรายต่างหากที่พังกอบัวเอ็ง ข้าเพียงสะกดวิญญาณชั่วคราวไม่ให้มันหนีต่างหากเล่า” พ่อครูยันกายลุกขึ้น นิ้วโป้งกดลงบนหน้าผากมนวาดอักขระอาคมกันภัยให้นาง

“ตานังเลนัง สัพพะปาณีนัง เลนังตานัง สัพพะปาณีนัง” ว่าจบจึงเป่าลมจรดหน้าผากมนหนึ่งทีเป็นการป้องกันภัยให้บุหงา ภูติผีตนใดก็มิอาจกล้ำกรายทำร้ายนางได้อีก

น้ำเสียงดุดันน่าเกรงขามเริ่มบริกรรมสวดคาถาเรียกผีพรายให้ปรากฎ น้ำเสียงแข็งขึงก้องกังวาลสะท้านสะเทือนถึงวิญญาณร้ายที่หลบซ่อนใต้บ่อบึง ปรากฎน้ำวนหมุนเวียนเชี่ยวกรากอีกครั้งอย่างท้าทายอำนาจ

“อม สิทธิการ กูจักเรียกผีพรายมา ผีอยู่ไกลให้มาใกล้ มาสยบแนบฝ่าเท้ากู มึงดื้อดึงไม่ยอมมาวิญญาแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง กัมมะขัง ปะทิ มะนา สวาหะ”

เงาตะคุ่มสีดำทะมึนรูปร่างบิดเบี้ยวผิดแปลกปรากฎเป็นหญิงสาวใบหน้าซีดเซียวเหี่ยวย่น ผมยาวสลวยถึงข้อเท้าปริแตกเลือดซิบ รูปร่างผ่ายผอมจนหนังติดกระดูก สวมผ้าถุงสีหม่นผืนเดียว แลบลิ้นเลียริมฝีปากท่าทางหิวกระหาย มองกร้าวมาทางพ่อครูอวดดี

“มึงเรียกกูมาทำไม!” ดวงตาสีขาวขุ่นมองพ่อครูด้วยสีหน้าหวาดหวั่น พลังวิญญาณแข็งแกร่งเจิดจรัสเปล่งประกายสีเพลิงภายในร่างนั้น ดูก็รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มิใช่พ่อครูธรรมดา

“พะ พ่อนี่ผีพรายหรอจ๊ะ!” บุหงากระตุกผ้าขาวม้าของพ่ออย่างหวาดกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นผีพรายตัวเป็นๆ

“จิตแข็งเข้าไว้” ตาบัวย้ำเตือนสติลูกสาว

“ไยต้องมาดูดกินพลังชีวิตของมนุษย์ด้วยเล่า ไปในที่ที่ควรไปเถิด รั้งไว้ก็มีแต่ก่อกรรมทำเข็ญเพิ่มบาปให้ตัวเองเสียเปล่า” พญายมราชเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาเคยเห็นวิญญาณชั่วร้ายมามาก ยิ่งมีห่วงยึดติดมากเท่าใดก็ยิ่งยากจะหลุดพ้นจากความทรมาน

“กูไม่ได้ทำร้ายมัน! กูแค่มาขออยู่อาศัยเพียงเท่านั้น”

“ผีพรายไม่ดูดกินชีวิตมนุษย์มันจะอยู่ได้รึ กูไม่ได้โง่” พ่อครูปรายหางตามองผีพรายตัวดี ดวงตาสีดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเพลิง

กลิ่นสาปสางบนตัวบุหงามันฟ้องหมดทุกอย่าง ผีพรายตนนี้อาศัยจังหวะที่บุหงาพายเรือมาเก็บดอกบัวดูดกินพลังชีวิตของเธอที่ละนิด มันจะดูดกินจนเจ้าของร่างล้มป่วยตายไปเอง นับว่าฉลาดที่มันไม่กินทีเดียว มิเช่นนั้นตาบัวคงหาคนมากำราบมันและทำให้มันไม่มีที่อยู่ต้องระหกระเหิน

“แต่กูก็ไม่ได้ทำให้มันตาย!” ผีพรายเปล่งเสียงแหลมหวีดร้องนึกขัดใจที่มีคนมาแส่

“ลำคลองหนองบึงมีตั้งมากมายมึงไม่อยู่ ขืนมึงยังดื้อด้านกูจะส่งมึงลงนรก” พญายมราชในร่างพ่อครูกระทืบเท้าเต็มแรง ผืนน้ำสั่นไหวคลื่นละลอกใหญ่ซัดผีพรายจนเซถลาจมลงใต้น้ำ

“......” เงาตะคุ่มว่ายหนีหลังเห็นทีว่าไร้ทางสู้ พ่อครูคนนี้ฤทธิ์เดชมันร้ายนัก ยากที่จะต่อกร มันกระทืบเท้าเพียงหนเดียวก็ทำให้มันจมดิ่งสู่ใต้คงคา

“ส้มป่อยไปตามจับมันมา” สุรเสียงทรงอำนาจเอื้อนเอ่ยเรียกกุมารทองน้อยของตน

ส้มป่อยเป็นวิญญาณกุมารที่ถูกปลดปล่อยหลังผู้สร้างมนต์เสื่อม จึงมาจุติยังนรกภูมิเพื่อชดใช้กรรม ทว่าเขากลับสงสารจึงให้มันทำงานช่วยเขาเพื่อบรรเทากรรมแลสั่งสมบุญ รอคอยวันที่บุญเก่าเเลบุญใหม่เสริมส่งมันขึ้นไปจุติเป็นมนุษย์อีกครั้ง

“จ๊ะพ่อ” เด็กชายร่างเล็กมัดจุกใบหน้าทะเล้นปรากฎกาย เกลียวลมแรงหมุนกระโจนพุ่งสู่ใต้น้ำไล่ตามจับผีพรายตามคำสั่งผู้เป็นพ่อ

ไม่นานนักเด็กชายร่างเล็กก็ปรากฎบนผิวน้ำ มือน้อยสองข้างฉุดกระชากผมยาวสลวยของผีพรายตามขึ้นมา ใบหน้าระรื่นหวังโชว์ผลงานให้พ่อจ๋าดู

“พ่อจ๋ามาแล้วจ๊ะ”

“ส่งมันกลับบ้านเก่า จุติ จุตัง อะระหังจุติ ไป!” มือหยาบโบกสะบัดหนึ่งที เงาตะคุ่มมลายสลายลงต่อหน้า สองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างงุนงง พ่อครูโบกสะบัดฝ่ามือเพียงหนเดียวก็สามารถกำราบผีพราย ปราศจากการใช้มีดหมอและวัตถุอาถรรพ์

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!