ืืื “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
ณ กึ่งกลางระหว่างฟากฟ้าและผืนดิน มีตำนานความรักระหว่าง สองโลก สองเผ่าพันธุ์ ที่ห่างไกลกันจนแทบไม่อาจเดินทางข้ามไปถึง ความรักที่ผู้คนกล่าวขานว่าเป็นไปไม่ได้
...แต่แล้ว มันก็ได้เกิดขึ้น พวกท่านอยากฟังเรื่องนี้ใช่หรือไม่?
เช่นนั้น... ข้าจักเป็นผู้เล่าให้ท่านฟังด้วยความเคารพ แด่ความรักที่ก่อกำเนิดขึ้นกลางห้วงโชคชะตา”
เรื่องราวทั้งหมด เริ่มต้นจาก...
ณ แคว้นจินดารัศมี
ื ดินแดนอันรุ่งเรืองด้วยการค้าและความมั่งคั่ง ผู้คนมากมายเดินทางมาหวังเพียงทองคำและทรัพย์สมบัติ โดยไร้ซึ่งความซื่อสัตย์หรือความจริงใจ ทว่าในความมืดมิดนั้น... ยังมีแสงสว่าง
ตระกูลหนึ่งได้ยืนหยัดสร้างอาณาจักรแห่งการค้า โดยไม่ยอมปล่อยมือจากศรัทธาและคุณธรรม
ตระกูลนั้นมีนามว่า จินดารัศมี
สายเลือดแห่งตระกูลนี้เปรียบเสมือนอัญมณีล้ำค่า เปล่งประกายด้วยความดีงาม หาใช่เพียงความร่ำรวยไม่
คืนหนึ่งที่หมอกหนาทึบคลี่คลุมทั่วฟากฟ้า
วิสุนธรา(วิ-สุน-ทะ-รา) สตรีสูงศักดิ์ผู้สืบเชื้อสายจินดารัศมี ต้องเผชิญไข้หนักในครรภ์แรกเริ่ม
ภายในห้วงนิทราอันร้อนรน ร่างของนางจมสู่ห้วงแห่งนิมิต
นิมิตนั้นอาบแสงจันทร์นวลนุ่มละมุน และในแสงนั้นเอง ปรากฏองค์เทพีผู้หนึ่ง
งามดุจบุปผา สง่างามดั่งวารีอันสงบ
เทพี วิโมกขาจาริณี เทพีแห่งเมตตา ผู้ครองพลังแห่งการปลดเปลื้องจากทุกข์ และเยียวยาด้วยรักแท้
“ข้าสัมผัสได้ถึงแสงบริสุทธิ์ในสายเลือดของเจ้า” เทพีเอื้อนเอ่ยด้วยสุรเสียงอบอุ่น
“บุตรในครรภ์ของเจ้าจักถือกำเนิดมาเป็นสตรีผู้มีจิตใจเปี่ยมด้วยเมตตาขอมอบ พรแห่งเมตตา แก่สายโลหิตของเจ้าแต่จงจดจำไว้ เมตตานั้นเปราะบางยิ่ง หากหัวใจของผู้ใดในสายเลือดนี้แปดเปื้อนด้วยความพยาบาท พรนี้จะสลาย และผลสะท้อนจะไม่อาจเลี่ยงได้”
เมื่อลืมตาตื่นยามรุ่งสาง อาการไข้ของนางก็หายไปสิ้น เหมือนฝันที่ถูกลมเช้าพัดพาไม่นานหลังจากนั้น ข่าวดีได้แพร่กระจายไปทั่วนคร
แสงแห่งความหวังปะทุขึ้นกลางใจผู้คน
หญิงแห่งตระกูลจินดารัศมี กำลังจะให้กำเนิดชีวิตใหม่
ชีวิตหนึ่งซึ่งต่อมาจะเป็นหนึ่งในหญิงผู้มีเมตตาบริสุทธิ์ที่สุดแห่งปฐพี
ณ ยามแสงอรุณแรกทาบปลายฟ้า วิสุนธราจ้องมองลูกน้อยในอ้อมแขน น้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลรินจากดวงตา
“ลูกแม่... เจ้าเป็นผู้มีจิตเมตตา มาเกิด เป็นหญิงที่บริสุทธิ์แท้จริง
...ข้า วิสุนธรา ขอขนานนามเจ้าว่า...
...วิราวัณณา (วิ-รา-วัน-นะ-นา)...
...ชื่อซึ่งเกิดจากสองถ้อยคำ...
...“วิรา” หมายถึง ความกล้าหาญ...
...“วัณณา” หมายถึง ความงาม...
เจ้ามีเมตตา มีความบริสุทธิ์... และสิ่งเดียวที่เจ้าต้องเติบโตเพื่อครอบครองให้ได้ คือ ความกล้าหาญ
เช่นนั้น ชื่อของเจ้าจึงหมายถึง ‘สตรีผู้กล้าหาญและงดงาม’
จงเติบโตเป็นหญิงผู้สง่างามดุจแสงจันทร์ และมั่นคงดุจภูผาเถิด... วิราวัณณา ลูกแม่”
1วันผ่านไป.......
ณ ราตรีเรืองจันทร์ในคืนนั้น…
สายลมพัดอ่อนผ่านม่านบางเบา บรรยากาศในตำหนักใหญ่เงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงแผ่ว ๆ เสียงฝีเท้าแน่นิ่งหยุดลงหน้าเรือนบรรทม ก่อนร่างสูงสง่างามของชายผู้เป็นเจ้าแห่งแคว้นจินดารัศมีจะก้าวเข้ามา
ใบหน้าเขาคมคาย ทว่าสายตาที่ทอดมองเบื้องหน้ากลับอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าแสงจันทร์
“นางฟ้าของข้าเหนื่อยมากหรือไม่?”
เขากล่าวพลางทรุดตัวลงข้างภรรยาวิสุนธราหลับใหลด้วยความอ่อนแรงจากการให้กำเนิดชีวิตน้อย ๆ ข้างกาย
บุตรสาวเพิ่งคลอดออกมาท่ามกลางกลิ่นบุปผานานาพันธุ์ที่อบอวลทั่วห้อง
เจ้าแห่งตระกูลยื่นมือไปแตะมือเล็กของบุตรสาว ลูบเบา ๆ อย่างกลัวว่าจะแตะต้องความบริสุทธิ์นั้นมากเกินไป
เขานิ่งมองใบหน้าเล็กจิ้มลิ้ม ดวงตายังหลับสนิทเหมือนกำลังฝันถึงดินแดนแห่งแสง
และแล้ว...เขาก็พึมพำออกมาเบา ๆ
“เจ้าคือความบริสุทธิ์ที่แม้แต่แสงจันทร์ยังมิอาจเทียบ เจ้าอ่อนโยนดั่งหยาดน้ำใสที่หยดจากใจแม่ของเจ้า…”
“เมณิ…”
เขากระซิบชื่อขึ้นอย่างนุ่มนวล ราวกลัวว่าคำพูดจะทำให้ดอกไม้บานช้าลง
“พ่อจะเรียกเจ้าว่า เมณิ นะลูก...เมณิของพ่อ”
วิสุนธราลืมตาขึ้นช้า ๆ ยิ้มบางเมื่อได้ยินถ้อยคำของสามี นางเอ่ยอย่างเหนื่อยล้าแต่เปี่ยมสุข
“เมณิ...เพราะเจ้าคือเมตตาที่ตกผลึกในครรภ์ข้า...งดงามเหนือสิ่งใดในแผ่นดิน”
เจ้าแห่งจินดารัศมีโน้มลงจุมพิตหน้าผากภรรยา ก่อนจะหันไปกระซิบกับลูกน้อยที่ยังหลับฝัน
“เจ้าคือดอกไม้แรกของข้าและนางฟ้าของข้า...เจ้าคือ เมณิ ของเรา”
20ปีต่อมา.....
ณ ป่ารกร้างเบื้องล่างของผืนฟ้า
เสียงสงครามบนชั้นเมฆาแว่วไกลราวเสียงคำรามของฟ้าคะนอง...
ในห้วงเวลานั้นเอง...
แสงสายหนึ่งพุ่งตกลงจากฟากฟ้า ไม่ใช่ดาวตก หากแต่เป็นร่างของผู้สูงศักดิ์
เทพวชิรานรินทร์กาล(วะ-ชิ-รา-นะ-ริน-ทะ-กาน)
เทพสงครามผู้แข็งแกร่ง ดั่งเกราะเหล็กเหนือปฐพี
บัดนี้กลับพ่ายท่ามกลางศึกอันดุเดือดกับจอมมารแห่งอเวจีนิรันดร์
ร่างสูงใหญ่กระแทกพื้นดินพร้อมเสียงกึกก้องของโลหะ
โลหิตเทพสาดกระเซ็นบนพื้นดินอันเยือกเย็น
แม้พลังของเทพจะสูงส่งเพียงใด แต่บาดแผลที่ถูกต้องด้วยพลังมืด
กลับเกาะกินฤทธิ์แห่งอมตะของเขาอย่างเงียบงัน
ณ ดินแดนเดียวกันนั้น…
ใต้เงาไม้แห่งป่าริมลำธารสายเล็ก หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเก็บสมุนไพร
เธอคือ "วิราวัณณา"
บุตรีแห่งตระกูลจินดารัศมี มนุษย์ผู้ได้รับพรแห่งเมตตาจากเทวีผู้เมตตา
เสียงกระแทกของร่างเทพดั่งสายฟ้าผ่าใจกลางป่า ทำให้นางสะดุ้งตกใจ
นางวิ่งไปตามเสียงด้วยหัวใจที่มิได้ครั่นคร้าม มีเพียงความห่วงใยที่พัดนำ
เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่บาดเจ็บนอนแน่นิ่ง ดวงตาของเมณิแปรเปลี่ยนเป็นแววห่วงใย
"ท่าน... ท่านเป็นใครกัน?!"
เงียบงัน เขาไม่ได้ตอบ นอกจากเสียงลมหายใจรวยริน
แม้ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
แม้กลิ่นอายแห่งสงครามยังอวลอยู่รอบกายเขา
แต่นางเลือกจะพยุงเขาไว้อย่างเบาที่สุด เท่าที่มือเล็ก ๆ จะทำได้
ด้วยหัวใจของผู้ไม่ยอมปล่อยให้ใครเจ็บปวดอยู่เพียงลำพัง
เสียงสายลมยามรุ่งสางพัดลอดหน้าต่างไม้เก่าคร่ำ
แสงแรกของวันรำไรลอดผ่านม่านผ้าบางเบาในกระท่อมกลางป่า
ท่ามกลางความเงียบสงบ เสียงหายใจของผู้หลับใหลสองชีวิตแผ่วเบา
วชิรานรินทร์กาลค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ดวงตาสีฟ้าลึกประดุจสายฟ้าในพายุยังมัวหมองด้วยความเหนื่อยล้า
เขารู้เพียงว่าร่างของเขายังอยู่ ณ โลกเบื้องล่าง และ…
กลิ่นหอมของดอกไม้แห้งบางชนิดปะปนกับกลิ่นยาสมุนไพร กำลังอบอวลอยู่รอบกาย
ดวงตาคมเหลือบมองข้างกาย
และสิ่งแรกที่เขาเห็นคือ... หญิงสาวในชุดผ้าฝ้ายสีจาง
นอนพิงเก้าอี้ข้างเตียง หัวซบแขนพับของตัวเองอย่างอ่อนล้า
ืื เธอหลับไปในขณะที่ยังถือผ้าชุบน้ำไว้ในมือ
เปลือกตาบางปิดสนิท ขนตาสีเข้มเป็นแพระเรื่อ บนใบหน้าอันอ่อนโยน
สายตาของวชิรานรินทร์กาลอ่อนแสงลง
หัวใจของเทพนักรบที่เคยคงมั่นกลับสั่นสะเทือนด้วยสายใยบาง ๆ
ราวกับ... เขาเคยสบตาคู่นี้มาก่อน
แต่จะเป็นไปได้อย่างไร? หญิงมนุษย์ผู้นี้... เขาไม่เคยรู้จัก
เขาเอื้อมมือใหญ่แตะปลายนิ้วลงบนหลังมือของนางเบา ๆ
"หญิงสาว..." เขากระซิบ
เสียงทุ้มแผ่วเบา... แต่หนักแน่นดั่งกึกก้องกลางวิหาร
เมณิขยับตัวอย่างตกใจ ดวงตาคู่กลมเบิกขึ้น
สบกับดวงตาของเขาในระยะใกล้
ทั้งคู่ตกอยู่ในห้วงสายตา... ราวกับเงียบงันทั้งโลก
“ท่านฟื้นแล้ว...” เมณิกล่าวเสียงแผ่ว ด้วยความดีใจปนโล่งใจ
เขามองนางนิ่ง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายวาววับ
"เจ้า... คือผู้ช่วยข้าไว้"
นางพยักหน้าอย่างเรียบง่าย
ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มอย่างสุภาพ
“ข้าชื่อวิราวัณณาเจ้าค่ะเรียกข้าว่าเมณิเถอะเจ้าค่ะ... แล้วท่านเล่ามีนามเยี่ยงไร?”
เทพสงครามนิ่งงัน
“เมณิ... ชื่อนี้…” เขาพึมพำ
"งดงาม... และอบอุ่น ประหนึ่งข้าเคยได้ยินมันมาก่อนในห้วงฝัน"
“ข้า...วชิร ข้ามีนามว่า วชิร ”
"ท่านควรพักนะเจ้าคะ บาดแผลของท่านยังไม่หายดี"นางยิ้มจาง ๆ
เขาพยุงกายขึ้นตั้งใจจะลุก
“ข้าคงต้องไปต่อ พันธะของข้ารออยู่...”
แต่เมณิเอื้อมมือดึงแขนเขาไว้ด้วยแรงบางเบา
“แม้ท่านจะมีกิจอันใดยิ่งใหญ่... ก็ไม่ควรฝืนร่างกายที่บาดเจ็บเช่นนี้”
เขานิ่งงัน
คำพูดของนาง... คล้ายสะกิดบางสิ่งในใจเขา
“ข้า... จะอยู่จนกว่าร่างกายนี้จะฟื้นดี ข้าสัญญา”
ในวันที่ผ่านไป ไม่กี่วัน ไม่กี่คืน
แต่ราวกับฤดูกาลหนึ่งได้เวียนผ่าน
ทุกเช้าที่แสงอ่อนส่องเข้ามา
เสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงมนุษย์และคำถามจากชายแปลกหน้า ได้ถักทอสายใยบางอย่างขึ้นในหัวใจทั้งสอง
และแม้จิตใจของทั้งคู่จะยังไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด...
แต่บางสิ่งในดวงตาก็ได้พูดแทนแล้วว่า
"เจ้าคือผู้ที่ข้าเฝ้ารอ… โดยไม่รู้ตัว"
รุ่งอรุณในวันที่ฟ้าสาง ดอกไม้ป่าบานสะพรั่งทั่วหุบเขา
เสียงนกน้อยเริ่มขับขานรับแสงตะวัน ทว่าในกระท่อมไม้กลางป่าแห่งนั้น
กลับมีเพียงความเงียบงัน... ปนกับบรรยากาศหนักอึ้งที่ยากจะกล่าวออกมา
วชิรานรินทร์กาลยืนสงบนิ่งอยู่ตรงประตูไม้
สายลมเช้าพัดชายผ้าคลุมพลิ้วเบา
บาดแผลของเขาหายดีแล้ว ร่างกายกลับมาแข็งแกร่งดังเดิม
แต่... หัวใจของเขากลับแปรเปลี่ยนไปจากก่อนจะตกลงมายังโลกเบื้องล่างนี้
เบื้องหลังเขา เมณิกำลังเก็บของอย่างเงียบ ๆ
ทว่า...มือบางนั้นสั่นเล็กน้อย
หัวใจของนางปั่นป่วน ทั้งที่รู้ว่าการพบกันครั้งนี้ไม่มีวันยืนนาน
แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวัง ให้เขาอยู่ต่ออีกเพียงวันเดียว...
“ข้าต้องไปแล้ว”
เสียงของวชิรทุ้มหนัก แต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน
นางหยุดมือทันที... ใจเต้นรัวเล็กน้อย
ก่อนจะฝืนยิ้ม แล้วหันมามองเขา
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ…” นางตอบเบา ๆ
เขาก้าวเข้าไปใกล้ ดวงตาคมคู่นั้นสบกับนาง
ราวกับกำลังค้นหาคำบางอย่างที่จะช่วยเหนี่ยวรั้ง
แต่... เขาเป็นนักรบ เป็นเทพแห่งสงคราม
และพันธะของเขาใหญ่หลวงเกินกว่าจะอยู่เพื่อหัวใจของตนเอง
“เมณิ…” เขาเรียกชื่อนางแผ่วเบา
นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นมีแววสั่นไหว
เขายื่นมือออกไปอย่างลังเล ก่อนจะวางมือลงบนไหล่บางนั้น
“เจ้าช่วยข้าไว้... ดูแลข้าด้วยความบริสุทธิ์ใจในโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลและการหลอกลวง
เจ้าคือแสงเดียวที่ข้าได้พบ… ในห้วงเวลาที่ข้าร่วงหล่นจากฟากฟ้า”
เมณิเงียบงัน
แต่หยาดน้ำตาอุ่นกลับค่อย ๆ ไหลลงข้างแก้มอย่างไม่รู้ตัว
“ทำไมกัน...” นางเอ่ยเสียงแผ่ว
“ทำไมข้ารู้สึกเศร้า ทั้งที่เราพบกันไม่นานเลย...
วชิรนิ่งงัน
เขาไม่รู้จะเอ่ยคำใดตอบ เพราะภายในเขาก็ไม่ต่างกัน
ความอาวรณ์บางอย่างที่ไม่สมควรเกิด
กลับกำลังโอบรัดหัวใจของเทพนักรบผู้นี้อย่างแน่นหนา
เขายิ้ม... ยิ้มที่เจือด้วยความเจ็บปวดและขอบคุณ
แล้วโน้มตัวลงอย่างแผ่วเบา แนบริมฝ่ามือกับแก้มนาง
“จงอยู่เป็นแสงของผู้คนต่อไป เมณิ... อย่าให้ใจเจ้าต้องหม่นหมองเพราะข้า”
จากนั้น...
เขาหันหลัง เดินออกไปกลางสายลมทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายของผู้ที่คล้ายเป็นเพียงลมผ่าน
แต่กลับทำให้หัวใจของหญิงสาวสะเทือนยิ่งกว่าพายุใด
และในยามที่เงาร่างของเขาลับหายไปในม่านหมอก
เมณิก็ยกมือทาบอกตนเอง..
“เจ้าคือใครกันแน่... วชิร”
ในบรรยากาศสงบนิ่งของสวรรค์เบื้องบน ท่ามกลางแสงทองอ่อนจางที่ลูบไล้ทั่วโถงแห่งสภาเทพ เสียงระฆังเทวะดังกังวานก้อง แจ้งเตือนถึงภัยบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นอีกครา
เทพผู้สูงสุดทรงเบือนพระพักตร์จากม่านทิพย์ที่เผยให้เห็นโลกเบื้องล่าง ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“พลังแห่งความมืดกำลังแผ่ซ่านไปยังพื้นพิภพอีกครั้ง... ผนึกเก่าเริ่มสั่นคลอน”
เหล่าเทพต่างลุกขึ้นจากบัลลังก์ด้วยความตกตะลึง และหนึ่งในนั้นคือ เทพวชิรานรินทร์กาล
แม้สงครามจะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่เขารู้ดี... ว่าร่างแห่งจอมมารนั้นไม่อาจถูกทำลายได้โดยสิ้นเชิง
เทพีแห่งญาณหยั่งรู้ลุกขึ้นทูลอย่างชัดเจน
“วิญญาณของมารไม่อาจถูกผนึกซ้ำได้อีก หากไม่มีหัวใจแห่งเมตตาอันบริสุทธิ์ร่วมประกอบพิธี... และหัวใจนั้น คือ ผู้ที่ได้รับพรจากเทพีวิโมกขาจาริณี นางวิราวัณณา แห่งตระกูลจินดารัศมี”
วชิรานรินทร์กาลชะงัก... ดวงตาแห่งเทพสงครามสั่นไหวเพียงครู่เดียว
ชื่อของนาง... เขาไม่เคยลืม
“เหตุใดต้องเป็นนาง?” เสียงของเขาเข้มข้นด้วยความลังเล
เทพผู้สูงสุดตรัสตอบ
“นางคือผู้ที่มีดวงจิตบริสุทธิ์ เป็นดวงแก้วแห่งเมตตา พรของเทพีอยู่ในสายเลือดนั้น... และเมื่อถึงเวลา พรนั้นจะกลายเป็นกุญแจในการต่อผนึกและยับยั้งการฟื้นคืนของจอมมารโดยสมบูรณ์”
วชิรานรินทร์กาลหลับตาแน่น...
นาง... ผู้ที่เขาจากมาโดยไม่กล่าวคำลา
นาง... ผู้ที่ไม่รู้เลยว่าผู้ชายแปลกหน้าในคืนฝนตกวันนั้นคือเทพผู้ครองสายฟ้า
และบัดนี้... สวรรค์ต้องการให้นางตกอยู่ในความเสี่ยงอีกครั้ง
เขารู้ดีว่าเขาไม่ควรกลับไป
แต่หากเขาไม่ไป... ใครจะปกป้องนางได้?
เทพวชิรานรินทร์กาลลืมตาขึ้น ภายใต้ดวงตาคมเข้มที่เต็มไปด้วยสายฟ้าพิฆาต
ทว่า... มีบางสิ่งอ่อนโยนแฝงอยู่ลึกในนั้น
“หากนางต้องเผชิญชะตานี้... ข้าจะไม่ให้เผชิญเพียงลำพัง”
แล้วเทพแห่งสายฟ้าก็ก้าวออกจากสภาเทพอีกครั้ง สู่โลกมนุษย์
สู่ดินแดนที่มีหญิงสาวคนหนึ่ง
ซึ่งเขาไม่เคยลืมแม้เพียงลมหายใจเดียว..
พวกเขาจะได้รักกัน...หรือโชคชะตาจะพรากเขาอีกครั้งกันแน่?
ดวงอาทิตย์ยามสายลอยเด่นเหนือเส้นขอบฟ้า สาดแสงอบอุ่นลงมาทาบยอดไม้และหุบเขาเบื้องล่าง ทว่าในหัวใจของเทพวชิรานรินทร์กาลกลับยังเต็มไปด้วยความเงียบงันแห่งความคิดถึง แม้เขาจะกลับมายังสถานที่เดิม กระท่อมไม้เก่าท่ามกลางหุบเขาก็ว่างเปล่าไร้ผู้ใด
สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือกลิ่นอ่อนจางของบุปผาสมุนไพร และเศษผ้าที่นางเคยใช้พันแผลให้เขา
"นาง... ไปแล้ว" เขาพึมพำกับตนเอง เสียงนั้นเบาราวลมหายใจ
แต่ในขณะที่เขากำลังจะละสายตาจากกระท่อม หัวใจกลับพลันสั่นไหว ราวมีสิ่งใดเรียกหา
ขาของเขาก้าวเดินไปโดยไร้คำสั่งจากสมอง
เหมือนมีพลังบางอย่าง... สายใยบางเส้น
ดึงรั้งเขาให้เดินตามเส้นทางที่เขาไม่รู้จัก
เท้าของเขาก้าวผ่านเส้นทางซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้และพรรณไม้ป่า จนในที่สุดเบื้องหน้าก็ปรากฏเรือนหลังหนึ่ง—มิใช่กระท่อมซอมซ่อ หากแต่เป็นตำหนักงดงามกลางเมืองแคว้นอันมั่งคั่ง
นั่นคือเรือนจินดารัศมี
เมื่อก้าวเท้าเข้าใกล้ประตู ทหารเฝ้าหน้าประตูก็ยืนขวางไว้โดยพลัน
"ท่านผู้นี้เป็นใคร? มาด้วยเหตุอันใด?" หนึ่งในทหารถามอย่างระแวดระวัง
เทพวชิรานรินทร์กาลทอดสายตามองด้วยความสงบนิ่ง พลางกล่าวเสียงหนักแน่น
"ข้ามาตามหาหญิงสาว... ผู้มีนามว่าวิราวัณณา"
ทันทีที่นามนั้นหลุดจากริมฝีปากของเขา ทหารคนหนึ่งเบิกตากว้าง ก่อนจะรีบหันหลังวิ่งเข้าไปในเรือนเพื่อแจ้งแก่เจ้าแคว้น
ไม่นานนัก ประตูบานใหญ่ก็เปิดออก และเจ้าแคว้นจินดารัศมี—บิดาของวิราวัณณา—ปรากฏกายด้วยอาการสง่างาม หากแฝงด้วยความระวัง
"ท่านคือผู้ใด... เหตุใดเอ่ยนามบุตรีข้าด้วยท่าทีเช่นนั้น?"
เทพวชิรานรินทร์กาลประนมหัตถ์อย่างสุภาพ แม้มิได้เอ่ยนามแห่งเทพ แต่ความสง่างามของเขาก็ไม่อาจปิดบังได้
"นาง... เคยช่วยข้าไว้ยามบาดเจ็บ ข้ามิอาจลืมนางได้จึงมาเพียงเพื่อขอบคุณ"
เจ้าแคว้นนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ "หากเช่นนั้น ขอเชิญท่านเข้ามารอในเรือน"
แต่ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของลานหิน วิราวัณณาปรากฏกายในชุดเรียบง่ายถือกระจาดสมุนไพรไว้ในมือ กำลังจะออกจากเรือนไปเยี่ยมราษฎรในเมือง
สายลมพัดผ่านในห้วงขณะนั้น ผมยาวของนางปลิวสยาย
ดวงตาของนางสบกับเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
และทันทีที่แววตาทั้งคู่ประสานกัน สายใยบางเส้นก็สะท้อนก้องในห้วงลึกของหัวใจ
"ท่าน..." นางเอ่ยออกมาเบา ๆ
"เจ้า..." เขาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว
เงียบงัน...
โลกทั้งใบพลันเงียบไปเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
เจ้าแคว้นหันไปมองบุตรีและชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะยิ้มบางอย่างพึงใจ
“ดูท่า... ข้าคงไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว”
---
ณ ศาลาเล็กริมสระบัวหลังตำหนัก แสงแดดยามสายโรยตัวลอดผ่านซุ้มไม้เลื้อย ดอกไม้ป่าเบ่งบานท่ามกลางสายลมเอื่อย วิราวัณณาวางกระจาดสมุนไพรลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะนั่งลงบนเบาะที่เตรียมไว้ ท่าทีทั้งเรียบร้อยทั้งสงบนิ่ง แม้หัวใจจะเต้นแรงไม่ต่างจากวันแรกที่พบเขา
เทพวชิรานรินทร์กาลยืนนิ่งอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเดินเข้ามาช้า ๆ นั่งลงตรงข้ามโดยเว้นระยะพอเหมาะ
“ท่าน... ดูแข็งแรงดีแล้ว” วิราวัณณาเอ่ยเสียงแผ่ว พลางหลบสายตา
“เป็นเพราะเจ้าช่วยข้าไว้ ข้าจึงได้มีโอกาสกลับไปทำสิ่งที่ควรทำให้สำเร็จ” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำแต่แฝงด้วยความจริงใจ
หญิงสาวยิ้มบาง
“ข้ายังมิได้ถามเลย... ท่านชื่ออะไรกันแน่”
เทพวชิรานรินทร์กาลนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว
“วชิร…”
“แค่วชิร?” นางเลิกคิ้ว
เขายิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ย
“วชิรานรินทร์กาล”
วิราวัณณาชะงัก ดวงตากะพริบเล็กน้อยกับนามอันแปลกหู หากแต่ก็งดงามราวสายฟ้าที่พาดผ่านผืนฟ้ายามราตรี
“ข้าชื่อวิราวัณณา” นางเอ่ยตอบอย่างสุภาพ
แล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง ไม่มีคำพูดใดถูกเปล่งออกมาอีก มีเพียงเสียงจังหวะน้ำในสระกระทบใบบัว กับเสียงใจที่สั่นระรัว
ในที่สุด วชิรานรินทร์กาลก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ข้า… คิดถึงเจ้า”
คำพูดนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิด มือเขากำหมัดแน่นราวกับรู้ตัวว่าควรจะเก็บมันไว้
วิราวัณณาช้อนตามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะกล่าวเป็นถ้อยคำ “ข้าก็... เช่นกัน”
เขายิ้มเศร้า หัวใจอบอุ่นและหน่วงแน่นไปพร้อมกัน
“ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าอีก…”
“ข้าก็ไม่คิดว่า… ท่านจะจำข้าได้” นางหัวเราะแผ่วเบา หยาดน้ำใสไหวระริกในดวงตา
เขาเอื้อมมือออกไป แต่หยุดไว้กลางอากาศ
ไม่กล้าสัมผัส... ไม่กล้าผูกพัน... เพราะรู้ดีว่าเทพกับมนุษย์จะไม่มีวันเคียงกันได้อย่างแท้จริง
“วณิ... ข้าควรจะจากเจ้าไปตั้งแต่แรก แต่ข้าทำไม่ได้” เขากล่าวเสียงเบา ดวงตาสะท้อนความขัดแย้งระหว่างหน้าที่และหัวใจ
“ข้ารู้” นางพยักหน้าเบา ๆ น้ำเสียงมั่นคง “แต่ข้าก็ไม่เสียใจที่ได้พบเจ้า ไม่ว่าพรุ่งนี้เจ้าจะยังอยู่ หรือหายไปจากข้าอีกครั้ง… ข้าจะยังจำแววตาของท่านในยามนี้เสมอ”
สายลมเย็นพัดผ่าน ใบไม้ไหวเบา
วชิรานรินทร์กาลหลับตาลงเพียงครู่ก่อนลืมขึ้นอีกครั้ง พลางกล่าว
“แม้ชะตาจะพรากเราให้ไกล... แต่สายใยนี้จะไม่ขาดจาก ข้าสาบาน”
เจ้าแคว้นจินดารัศมีทอดพระเนตรภาพตรงหน้าเงียบ ๆ จากศาลาริมระเบียง ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ท่ามกลางแสงอ่อนของดวงตะวันยามสาย สายลมเย็นพัดเอื่อย ช่วยพัดกลิ่นสมุนไพรจากกระจาดให้ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
สีหน้าของเทพหนุ่มแม้สงบนิ่ง หากแต่แววตากลับอบอุ่นจนมิอาจปิดบัง ส่วนวิราวัณณาก็ดูอ่อนโยนและเป็นตัวของตนมากกว่าทุกยามที่พระองค์เคยเห็นมา
เจ้าแคว้นคลี่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวกับองครักษ์ข้างกาย
“ปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังเถิด”
จากนั้นก็เสด็จกลับเข้าตำหนัก ปล่อยให้บทสนทนาที่ควรเอ่ยออกมาแต่เนิ่นนานได้เป็นไปตามครรลองของโชคชะตา
ณ ศาลาเล็ก…
วชิรานรินทร์กาลเงียบอยู่ชั่วครู่ คล้ายกำลังไตร่ตรองในใจ ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มแผ่ว
“วณิ... มีสิ่งหนึ่งที่ข้าควรบอกเจ้า”
เขาสบตานางแน่นิ่ง ราวจะบอกให้นางเตรียมใจ
“แท้จริงแล้ว ข้าไม่ใช่เพียงบุรุษผู้ผ่านทาง…”
วิราวัณณาขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
วชิรานรินทร์กาลค่อย ๆ คลายผ้าคลุมไหล่ออก ดวงตาเปล่งประกายเรืองรองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเอ่ยอย่างเงียบขรึม
“ข้าคือเทพ... เทพแห่งสายฟ้า ผู้ได้รับตำแหน่งเป็น ‘เทพหริกาลศัสตรา’ วชิรานรินทร์กาล”
ดวงตาของวิราวัณณาเบิกกว้าง มือบางชะงักไปครู่หนึ่ง
“ท่าน... เป็นเทพ?” นางเอ่ยเสียงเบา ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยความตกตะลึง
วชิรานรินทร์กาลพยักหน้า
“ข้ามิได้ตั้งใจปิดบังเจ้า แต่ข้า… กลัวว่าหากเจ้ารู้ เจ้าอาจจะถอยห่าง หรือไม่ก็มองข้าเป็นสิ่งไกลเกินเอื้อม”
เขาหลุบตามองพื้นเบื้องหน้า น้ำเสียงเศร้าลง
“ในยามนั้น... ข้ามิได้รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มีต่อเจ้าคือสิ่งใด จนกระทั่งต้องจากเจ้าไป ข้าถึงได้รู้ว่ามันคือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าความรัก”
หัวใจของวิราวัณณาเต้นโครมคราม เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“แล้ว… ท่านรู้หรือไม่ ว่าความรักระหว่างเทพกับมนุษย์มันเป็นไปไม่ได้?”
“ข้ารู้” เขาตอบทันควัน “แต่หัวใจข้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีก”
นางหลบสายตา น้ำตาคลอในดวงตา
“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร?”
วชิรานรินทร์กาลยื่นมือไปแตะหลังมือของนางเบา ๆ “ไม่ต้องทำสิ่งใด… แค่ให้ข้าได้อยู่ตรงนี้ แม้เพียงชั่วครู่… ข้าก็พอใจ”
วิราวัณณาเม้มริมฝีปากแน่น
“งั้น... ขอแค่ชั่วครู่ของเรานี้ จงเป็นนิรันดร์ในใจเถิด”
วชิรานรินทร์กาลยิ้มแผ่ว ๆ ดวงตาเปล่งประกายระยับ
วชิรานรินทร์กาลเหลือบตามองหญิงสาวเบื้องหน้า หัวใจที่เคยเย็นชาต่อศึกสงครามพลันรู้สึกอ่อนโยนอย่างยากจะเอ่ย
ดวงตาเปล่งประกายจากแสงอาทิตย์ยามสาย ตกกระทบพวงแก้มของนางผู้มีนามว่า เมณิ
…เมณิ หญิงผู้แบกรับพรแห่งเมตตาโดยไม่รู้ตัว
“เมณิ…”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง หากแฝงความอาวรณ์ไว้ลึกเร้น
“ข้า…มีบางสิ่งที่ต้องบอกเจ้า”
นางเงยหน้ามองเขา แววตาสงสัยในถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย ทว่าก็ไม่ขัดจังหวะ
“จอมมาร…ที่เราคิดว่าพ่ายแพ้ไปแล้ว มันจะไม่หยุดเพียงเท่านั้น”
“แม้ร่างมันจะถูกผนึก… แต่จิตแห่งความมืดยังไม่สูญสิ้น”
“และเมื่อถึงเวลา มันจะกลับมาอีกครั้ง—แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”
เมณินิ่งงัน ริมฝีปากเม้มแน่น
“แสงแห่งศัสตรา…พลังแห่งเทพ…ไม่อาจสยบมันได้โดยสิ้นเชิง”
“ผู้เดียวที่อาจหยุดยั้งมัน—คือนางผู้มีใจเมตตาบริสุทธิ์…ผู้ได้รับพรจากเทพีวิโมกขาจาริณี”
“ท่านหมายถึง…” เสียงนางแทบขาดห้วง
เขาพยักหน้าเบา ๆ “ใช่ เมณิ—คือนางผู้นั้น”
“ข้า…?” เมณิเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตนเอง
“เจ้าคือผู้ถูกเลือก—มิใช่โดยข้า หากแต่โดยชะตา”
“จิตใจของเจ้าสะอาดและเปี่ยมด้วยความรัก… มากพอจะขัดขวางความมืดนั้นได้”
วชิรานรินทร์กาลหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ
“เทพบนสวรรค์นับพันล้านดวงเฝ้ารอการช่วยเหลือ และเมื่อจอมมารฟื้น เจ้าจะต้องอยู่ที่นั่น… เพื่อรักษาสมดุลทั้งสามภพ”
เขาหลุบตาลง สีหน้าหนักแน่นแต่เปลือกตาเจือด้วยความเศร้า
“เมณิ…หากข้าขอให้เจ้าไป—เจ้าจะยอมรับชะตานั้นหรือไม่?”
เมณิเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำ
“เหตุที่ท่านมาหาข้า…เป็นเพียงเพราะท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าใช่หรือไม่?”
“มิใช่…เพราะท่านคิดถึงข้า?”
สายตาของนางทอดมองเข้าไปในนัยน์ตาสีฟ้าเข้มของเทพสงคราม ดั่งกำลังค้นหาความจริงเบื้องหลังม่านแห่งชะตากรรม
“หากเป็นเช่นนั้นจริง…” นางกลืนน้ำลายฝืดคอ
“ข้าคงต้อง…เสียใจมาก”
วชิรานรินทร์กาลถึงกับชะงัก ร่างสูงใหญ่นิ่งงันราวกับถูกฟ้าฟาด หัวใจที่เคยหนักแน่นในศึกสงครามกลับปั่นป่วนในชั่วพริบตา ดวงตาเขามองนางด้วยความลังเล…ก่อนจะเบือนหน้าหลบ
“ข้า…”
เสียงเขาเหมือนจะแตกระลอกไปกับลม
“ข้าคิดถึงเจ้า…ยามหลับก็เห็นใบหน้าเจ้า ยามตื่น…ก็ยังเผลอตามหากลิ่นไอดอกไม้ในกระท่อมนั้น”
“แต่ข้า…ไม่ควร”
นางส่ายหน้าเบา ๆ ดวงตาสั่นระริกด้วยคลื่นอารมณ์ที่ท่วมท้น
“ในเมื่อสวรรค์ลิขิตให้เรามิอาจอยู่ร่วมกัน…เหตุใดสวรรค์จึงให้เราพบกัน?”
คำถามนั้น แม้เทพสูงศักดิ์เช่นวชิรานรินทร์กาลก็ไม่อาจตอบได้
เมณิมองท่านวชิรานรินทร์กาลเนิ่นนาน ราวกับกำลังกลั่นกรองถ้อยคำจากจิตใจที่กำลังปั่นป่วน ก่อนจะสูดลมหายใจลึก แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“หากเหตุที่ท่านมาหาข้า…เป็นเพราะโลกกำลังเผชิญชะตาอันโหดร้าย หากการปรากฏของข้าจะช่วยหยุดยั้งจอมมารและความมืดมิดนั้นได้”
นางก้าวเข้าไปใกล้ท่านวชิรารินทร์กาล ดวงตาคู่งามสะท้อนแสงแห่งตะวันอ่อนราวหยาดน้ำตาแห่งจันทรา
“ข้าจะช่วยท่าน…”
เสียงนางหนักแน่นขึ้น ราวกับเจตจำนงของสวรรค์ได้จุดประกายขึ้นในหัวใจของนาง
“หากนี่คือสิ่งที่สวรรค์ลิขิต ข้าจะยอมรับมันด้วยความรักและเมตตา”
“เพราะมีชีวิตอีกมากที่กำลังรอความหวัง…รอใครสักคนที่จะไม่หันหลังให้แก่พวกเขา”
“ข้าจะพยายามช่วยชีวิตผู้คนเหล่านั้น…แม้จะต้องฝืนหัวใจตนเองก็ตาม”
วชิรานรินทร์กาลจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ความสง่างามของนางไม่ได้อยู่ที่รูปโฉมงดงาม หากแต่อยู่ที่จิตใจอันบริสุทธิ์ นางคือแสงสว่างที่แม้แต่เทพเจ้ายังยอมศิโรราบ
เขาไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด…เพราะรู้ว่าคำพูดใดก็มิอาจสื่อแทนสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจเขาได้อีกแล้ว
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!