“เฮ้ย! นี่มันทางไหนวะเนี่ย…”
เสียงสบถเบา ๆ ของชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตแขนยาว รีดเนี้ยบจนแทบไม่มีรอยยับ ดังก้องอยู่กลางทุ่งหญ้าโล่ง ๆ ที่ดูไม่มีสิ้นสุด ใบหน้าคมคายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไหลย้อย ทั้งจากแดดเปรี้ยงกลางวัน และความหงุดหงิดที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทุกก้าว
เขาคือ ภพ หรือที่ใคร ๆ ในเมืองเรียกว่า “คุณภพ” หรือ “คุณชายภพ” ทายาทนักธุรกิจใหญ่ที่หายตัวไปจากโลกโซเชียลแบบไร้ร่องรอยหลังจบปริญญาโทจากอังกฤษ และอยู่ดี ๆ ก็ดั้นด้นมาถึงดินแดนชนบทแดนอีสาน ด้วยเหตุผลที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่แน่ใจนัก
“ก็แค่มาหาแรงบันดาลใจ…สักพักก็กลับ” เขาบ่นกับตัวเอง มือหนึ่งยกมือถือที่ไม่มีสัญญาณดูด้วยความหงุดหงิด
เสียงจักจั่นดังแข่งกับลมหายใจเหนื่อยหอบ เขาเดินหลบแดดไปยืนใต้ต้นตาลสูงใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่งบนขอนไม้ข้างทาง พลางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วถอนหายใจยาว
“ไผสิไป๋๋่ฮอดคนเมืองสิทนได้แบบนี้วะ…”
เสียงหญิงสาวแว่วมาแต่ไกล ก่อนจะตามมาด้วยภาพของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดผ้าซิ่นลายดั้งเดิม เสื้อคอกระเช้าแขนสั้นสีฟ้าสด ผมถักเปียข้างเดียวไว้ด้านหน้า หน้าตาไม่ได้สวยจัด แต่สดใสราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานกลางแดด
เธอคือ ดาวเหนือ ลูกสาวคนโตของแม่บัวคำ เจ้าของนาแถบนี้
“คุณเอ้ย! มานั่งฮ่มตาลแต่กลางท่ง กลัวไผบ่แหล่ว!” เธอแหย่ พลางจอดจักรยานไว้ข้างทาง แล้วหยิบขันน้ำอลูมิเนียมในตะกร้ามาถือไว้
ภพหันไปมองเธออย่างระแวดระวัง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
“แถวนี้...มีรถผ่านบ้างไหมครับ?”
ดาวเหนือหัวเราะกิ๊ก “มีอยู่...แต่บ่แม่นตอนนี่ รถแถวนี้กะมีแต่รถอีแต๊ก รถเกี่ยวข้าว รถอีแต๋น สิให้ซ้อนท้ายไปบ่?”
เขานิ่งไป ไม่แน่ใจว่าควรตอบรับอย่างไรกับความเป็นกันเองแบบไม่ทันตั้งตัวของเธอ
“เอ้า! น้ำเย็น ๆ ก่อนเด้อคุณชาย...” เธอยื่นขันน้ำให้ พร้อมรอยยิ้มซื่อ ๆ
ภพลังเลแต่ก็ตัดสินใจรับไว้ ลองจิบแล้วพบว่าน้ำในขันเย็นเฉียบอย่างน่าแปลกใจ
“ขอบคุณครับ...คุณชื่ออะไรครับ?”
“ดาวเหนือจ้า เรียกดาวเฉย ๆ กะได้ บ่ต้อง ‘คุณ’ ดอก ฟังแล้วมันคันหูยังบ่ฮู้” เธอหัวเราะเบา ๆ พลางหยิบผ้าโพกหัวออกมาพัดให้เขา
“คุณภพครับ…ผมมาหาญาติแถวนี้ แต่เหมือนจะหลงทาง”
ดาวเหนือเอียงคอมองเขา แล้วพึมพำเบา ๆ ว่า “ญาติไผน้อ ในหมู่บ้านนี้ข่อยกะฮู้จักเกือบเบิด”
“เขาชื่อ...ลุงคำดีครับ”
“โอ๊ย! ลุงคำดีอยู่หม่องโน่น!” เธอชี้ไปทางทิศเหนือ “แต่ทางนั้น...คือสิบ่มีทางรถเข้า ต้องปั่นไปทางโค้งอีสานก่อน แล้วค่อยอ้อมนาไปอีกบ่แม่น้อย”
ภพถอนใจยาว “แบบนี้ผมคงต้องรบกวนคุณช่วยพาไปแล้วล่ะครับ”
ดาวเหนือยิ้มกว้าง “บ่เป็นหยังดอกคุณชาย เดี๋ยวซ้อนท้ายไปโลด แต่ว่าต้องช่วยจับตะกร้าแน่ เดี๋ยวมันสิเขวี้ยงลงนาเอา”
เธอพูดไปหัวเราะไป แต่ภพกลับหน้าเรียบเฉย ซ้อนท้ายเธอขึ้นจักรยานอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วรถก็ออกตัวโคลงเคลงกลางแดดจ้า ล้อบดกับถนนดินแดงจนฝุ่นตลบ
“ไผว่าสาวบ้านนอกสิซิ่งบ่ได้ ฮั่นแน่! จับแน่เด้อคุณชาย!”
เขาต้องกัดฟันเบา ๆ เพื่อไม่ให้แสดงออกว่ากลัวตก — นี่มันไม่ใช่ชีวิตที่เขาคุ้นเคยเลยสักนิด
---
ผ่านมาสิบนาที...
ดาวเหนือจอดรถหน้าเรือนไม้ชั้นเดียวทรงสูง หลังคามุงสังกะสีเก่า ๆ แต่สะอาดสะอ้านอย่างน่าประหลาด
“พักก่อนเด้อคุณภพ เดี๋ยวข่อยสิไปบอกลุงคำดีให้”
“อ้อ...ครับ” ภพพยักหน้า พลางเหลือบมองรอบ ๆ บ้านที่เต็มไปด้วยของพื้นบ้าน – ตะกร้าหวาย พวงมะนาว ต้นตะไคร้ และแมวสีสวาดนอนเหยียดตัวใต้ถุนบ้าน
ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม ไม่มีคาเฟ่ ไม่มีสิ่งที่เขาเคยชินเลยสักอย่าง...
แต่แปลก…เขากลับรู้สึกว่าสายลมที่พัดมานั้นเย็นชื่นใจกว่าทุกวัน
และตอนนั้นเอง ที่เขาได้ยินเสียงเพลงพื้นบ้านลอยมาแต่ไกล
“...สาวบ้านนาหน้าฝน ย่างจนตีนเปียกบ่เคยหวั่น…”
เขาไม่รู้ชื่อเพลง แต่ท่วงทำนองนั้น...ทำให้เขาเงยหน้ามองฟ้า แล้วเผลอยิ้มบาง ๆ
---
> คุณชายภพอาจหลงทาง...แต่บางทีหัวใจเขาอาจเริ่มหล่นอยู่แถวนี้แล้วก็ได้
แม้จะยังไม่รู้ตัวเลยก็ตาม
"นี่บ้านลุงคำดีจริง ๆ เหรอครับ?"
เสียงของภพถามขึ้นเบา ๆ ขณะยืนมองเรือนไม้เก่า ๆ แต่แข็งแรงตั้งตระหง่านอยู่กลางลานดินที่ปูด้วยฟางแห้ง กลิ่นข้าวหอม ๆ ลอยมากับลมอ่อนพัดจากทุ่งหลังบ้าน
“แม่นจ้า” ดาวเหนือว่า พลางยิ้มให้ “ลุงคำดีเป็นเพิ่นอ้ายของแม่ข่อยเอง ข่อยกะเลยแวะเวียนมาที่นี่บ่อย”
ประตูบ้านเปิดออกช้า ๆ พร้อมเสียงฝีเท้าหนักของชายวัยห้าสิบปลาย ๆ ใบหน้าคร้ามแดดแต่เปี่ยมด้วยความเมตตา
“โอ๊ะ! นี่คือน้องชายลุงเรืองบ่นี่นา! หน้าตาไปทางกันอยู่” ลุงคำดีว่า ก่อนเดินตรงเข้ามาตบบ่าภพเบา ๆ อย่างคนบ้านนอกที่แสดงความยินดีแบบตรง ๆ
ภพยิ้มเจื่อน ๆ เขาไม่ได้คุ้นกับความเป็นกันเองเช่นนี้มานานแล้ว
“เชิญขึ้นบ้านก่อนเด้อหล่า น้ำท่าเฮามีคือกัน บ่ต้องเกรงใจ”
หลังจากภพตามขึ้นเรือนไปแล้ว ดาวเหนือก็นั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน เล่นกับแมวสีสวาดตัวเดิมที่ตอนนี้กระโดดขึ้นมาเกาะตักเธอพอดี
“คุณชายภพนั่น...คือสิอยู่ได้อยู่บ่เนาะ อยู่กับบ้านเฮาแบบนี้”
เธอพูดกับแมวเสียงเบา แต่มือก็ลูบขนมันไปเรื่อย ๆ แววตาเธอดูไม่มีแววสนใจในความหล่อเหลา หรือการแต่งตัวของผู้ชายเมืองหลวงคนนั้นเลยสักนิด—แค่รู้สึกว่า เขาไม่เหมาะกับที่นี่…แค่นั้น
ภายในเรือน ภพนั่งดื่มน้ำข้าวคั่วหอม ๆ พร้อมฟังลุงคำดีเล่าความเป็นมาของหมู่บ้านนี้อย่างสนุกสนาน ทั้งเรื่องการทำนา การปลูกผักสวนครัว การแข่งเรือช่วงออกพรรษา
“…แล้วเจ้าสิอยู่ดนบ่ล่ะหล่า?” ลุงคำดีถามขึ้น
“ก็...ไม่แน่ครับ แค่พักหายใจสักพัก อาจแค่ไม่กี่วัน”
ลุงคำดีหัวเราะร่วน “หึ ๆ อยู่ไปเถอะบักหล่า คนบ้านนี้ใจดี๋…โดยเฉพาะดาวเหนือนั่นแหละ ขยัน แข็งแรง เฮ็ดหยังเฮ็ดได้เบิด แต่นิสัยกะตรงโพด บางเทื่อเฮ็ดไผเพี้ยงเอาง่าย ๆ เด้อ”
ภพพยักหน้าช้า ๆ หันมองลอดช่องไม้ลงไปยังใต้ถุน เห็นสาวเจ้าคนที่ว่า กำลังหัวเราะคิกคักอยู่กับแมวเหมียว
เขายังไม่เข้าใจว่าคนที่ไม่มีอะไรเลยจะหัวเราะได้ขนาดนั้นได้ยังไง…
---
วันต่อมา
แดดตอนเช้าอ่อนกว่าทุกวัน เสียงไก่ขันพร้อมกับกลิ่นข้าวสุกจากครัวลอยมาจากหลังเรือน
“คุณชายภพจ๋า! ลงมากินข้าวแหน่ มาโลด!”
เสียงเรียกพร้อมสำรับที่ถูกวางไว้ใต้ถุนบ้าน ข้าง ๆ เป็นวงข้าวเหนียวในกระติบ ผักจิ้ม น้ำพริกปลาร้า ไข่ต้ม และต้มจืดผักกาดใส่ซี่โครงหมู
ภพเดินลงมาช้า ๆ ใบหน้ายังดูไม่คุ้นชินกับบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่
“เช้านี้มีแต่ของพื้นบ้านครับ…”
“แม่นแล้ว! ถ้าบ่ถูกปาก สิบอกแม่ให่หุงข้าวญี่ปุ่นแถมแซลมอนแช่น้ำแข็งไว้รอบ่ล่ะ?” ดาวเหนือลอยหน้าตอบกลับ เล่นเอาภพสะอึกไปเล็กน้อย
แต่สุดท้ายเขาก็นั่งลง และคีบผักไปจิ้มน้ำพริกปลาร้าอย่างลังเล
ดาวเหนือจ้องเขาแบบไม่วางตา “ถ้ากลืนบ่ลง สิให่เอิ้นหมอมาล้างไส้เลยบ่ล่ะ?”
“เปล่าครับ ผม...แค่ไม่ชิน”
“กะลองเบิ่ง” เธอยิ้มบาง ๆ “บางเทื่อ อีหยังที่เฮาคึดว่ามันบ่ดี อาจสิแซ่บกะได๋กะบ่ฮู้”
ภพเงียบไป ก่อนจะคีบอีกคำเข้าปาก แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกว่า…มันอร่อยกว่าที่คิด
เขาเหลือบมองดาวเหนืออีกครั้ง หญิงสาวที่พูดจาตรงไปตรงมา ชอบหัวเราะแบบไม่ห่วงภาพลักษณ์ และไม่สนใจว่าเขาจะมาจากเมืองไหน
สำหรับเธอ…เขาก็แค่ “คุณชายเมืองกรุง” คนหนึ่ง ที่ยังจับจอบไม่เป็น แยกข้าวเหนียวกับข้าวเจ้าก็บ่ได้
แต่สำหรับเขา…เธอเริ่มกลายเป็นอะไรบางอย่าง ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า “คนบ้านนอกธรรมดา” อีกต่อไปแล้ว
---
> ภพยังไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน
แต่เขาเริ่มรู้แล้วว่า “บางอย่าง” ในใจเขา
มันกำลังเริ่มเปลี่ยนไป…
เสียงไก่ขันยังไม่ทันหาย กะได้ยินเสียงคนตะโกนอยู่ท้ายครัว
“คุณชายภพ! ถ่าหยังอยู่นั่นล่ะ! ลงมาเร็ว ๆ เด้อ เดี๋ยวแดดแฮงแล้วสิฮ้อนจนปานนั่งอยู่ในหม้อแกง!”
ภพสะดุ้งจากเตียงนอน แสงแดดลอดช่องไม้กระทบหน้าพอดี เขามองนาฬิกา—แค่หกโมงกว่า ๆ เอง
“…นี่มันวันหยุดของผมแท้ ๆ”
เขาพึมพำเบา ๆ แต่สุดท้ายกะต้องลุกขึ้นมา ใส่เสื้อยืดธรรมดากับกางเกงวอร์ม ขณะที่ดาวเหนือนั่งรออยู่ข้างล่าง มือถือคราดไม้พร้อมกับหมวกสานใบใหญ่
“ไปไถนา!”
“หา?” ภพเบิกตากว้าง “ไถนา?”
“เออ! ไถนามือคือสมัยก่อนนี่ล่ะ บ่ได้เอาไถยนต์ลงเด้อ เฮ็ดแบบประหยัดน้ำมันจักหน่อย”
ภพมองไกลออกไป เห็นแปลงนาเปียกโคลนอยู่ลิบ ๆ ในน้ำยังสะท้อนแสงแดดยามเช้า กลิ่นดินชื้นแตะจมูกทันทีที่เดินลงไป
“เอาแขนสอดแบบนี้ แล้วดันไปข้างหน้าโลด” ดาวเหนือสาธิตอย่างคล่องแคล่ว “เฮ็ดบ่ยากหรอก ถ้าบ่ขี้เกียจ”
ภพหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะรับคราดไม้มากำไว้แน่น
“ผมไม่เคยไถนาแบบนี้เลยนะครับ”
“ดีเลย! เริ่มจากบ่ฮู้ เผื่อสิพัฒนาไปจนไถได้เบิ่ง” ดาวเหนือยิ้มเยาะ ๆ นิด ๆ แล้วเดินลุยน้ำลงไปก่อน
ภพค่อย ๆ ก้าวตาม เขารู้สึกถึงโคลนที่ดูดเท้าไว้แต่ละก้าว มันเย็น มันเหนียว และมันก็…ลื่น!
“โอ๊ยยย!!”
เสียงภพร้องดังลั่น เขาลื่นตูมลงไปนั่งกลางนานั่นล่ะ เสื้อเปียก ขากางเกงเต็มไปด้วยโคลนเหนียว ๆ ดาวเหนือหันกลับมามอง ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
“บักคุณชายเมืองกรุง! ฮ่า ๆ ๆ ๆ ลื่นซะปานเด็กน้อยเพิ่งหัดเดิน!”
ภพมองเธอด้วยสายตาเหนื่อยใจ แต่ก็แอบยิ้มออกมาเล็กน้อย…มันตลกจริงนั่นแหละ
“ช่วยหน่อยได้ไหมครับ?”
“ฮั่นแน่! ปกติเวลาผู้ชายขอผู้สาวช่วย ต้องมีของแลกเด้อ ข่อยบ่เฮ็ดฟรีเด้อ!”
“งั้น…จะกินตำปลาร้ากี่ครกก็ว่ามาเลย”
ดาวเหนือหัวเราะหนักกว่าเดิมอีก แล้วก็ยื่นมือมาให้ ภพจับไว้แน่นก่อนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
“เจ้าสิเปื้อนเพิ่นเอิ้นว่าฮู้จักนาแล้ว” เธอบอกอย่างภูมิใจ
ภพยิ้มจาง ๆ ก่อนพยักหน้า
“รู้จักนา…แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะอยู่กับนาได้นานแค่ไหน”
---
เย็นวันเดียวกัน
ภพนั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน เสื้อตัวเดิมตากไว้บนราว หุ่นไล่กาในนาโบกแขนเหมือนจะล้อเลียนเขา
“คุณภพเป็นจั่งได๋แนเด้อ?” ลุงคำดีถามพลางจิบกาแฟ
“เหนื่อยครับ…แต่สนุกดี” เขาตอบอย่างไม่ลังเล “ผมไม่คิดว่าการไถนาจะให้ความรู้สึกเหมือน…เอาชนะตัวเองยังไงไม่รู้”
ลุงคำดีหัวเราะเบา ๆ “อีหยังที่มันบ่เคยเฮ็ด พอเฮ็ดได้ มันกะคือชนะใจโตเองแล้วล่ะ”
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของดาวเหนือดังมาพร้อมกลิ่นสบู่หอมจาง ๆ เธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมยังเปียกน้ำอยู่นิด ๆ
“พรุ่งนี้ถ่าฮู้เรื่องไถแล้ว สิสอนเกี่ยวกล้าเด้อ” เธอว่าแล้วเดินผ่านไป
ภพหันไปมองตามเงาเธอ…ความรู้สึกในใจเขามันแปลก ๆ ไม่ใช่ความหวั่นไหว ไม่ใช่ความชอบ แต่เป็นอะไรที่เหมือนจะเริ่มสะกิด
…แค่ยังไม่ใช่ “โมเมนต์” อย่างที่ใครเขาว่า
แต่เขารู้ดีว่า…
“เธอ...ไม่ธรรมดา”
คนบางคนอาจไม่มีความสวยแบบที่ใคร ๆ วาดไว้
ไม่มีคำพูดหวาน ไม่มีท่าทีอ่อนโยน
แต่เขากลับเริ่มอยากรู้จักเธอ...มากขึ้นเรื่อย ๆ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!