ภายในห้องนอนที่ภายในห้องประกอบด้วยเตียงโต๊ะข้างหน้าต่างที่บนโต๊ะมีกระดาษวางอยู่อย่างกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบเสมือนว่ามันไม่ได้ถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
กระดาษที่วางซ้อนทับกันหลายๆ แผ่นที่อยู่บนโต๊ะนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกระดาษที่เอาไว้ร่างรูปภาพที่ดูเหมือนราวกับว่ามันยังถูกวาดไม่เสร็จดี
มองออกไปจะเป็นประตูหน้าต่างของห้องที่อยู่ติดกับโต๊ะที่ไม่ได้ปิดสนิท กระดาษที่อยู่บนโต๊ะถูกพัดปลิวหล่นจากโต๊ะราวกับว่าข้างนอกนั่นมีลมพัดเข้ามาแต่เมื่อมองออกไปข้างนอกแล้วนั้นกลับไม่มีแม้แต่ลมเย็นที่พัดเข้ามา ไม่มีแม้แต่ความพลิ้วไหวของใบไม้ มันค่อนข้างน่าแปลกใจที่กระดาษเหล่านั้นปลิวพัดทั้ง ๆ ที่ไม่มีลมแม้สักนิดเดียว
เมื่อมองไปรอบ ๆ ห้องนี้แล้วก็พอจะเดาออกได้เลยว่าเจ้าของห้องมีรสนิยมประมาณไหน ชื่นชอบอะไรเพราะภายในห้องนอนแห่งนี้ถูกตกแต่งด้วยงานศิลปะมากมายถ้าให้เดาคงเป็นผลงานจากเจ้าของห้องที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่ในตอนนี้
เจ้าของห้องเป็นเด็กหนุ่มวัย 22 ปีมีนามว่า อากาศ ที่มีขนตาเป็นแพยาวเมื่อหลับตา ผมหน้าม้าหยักศกปกคลุมกรอบหน้าดูไม่เป็นทรง คิ้วเรียงเส้นสวย จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากอย่างพอดี
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังฝันอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นได้ทั้งฝันดีและฝันร้ายแต่ท่าทางกระสับกระส่ายของชายหนุ่มในตอนนี้คงไม่ใช่ฝันดีแน่ ๆ
.
.
‘เมื่อเวลา 15.00 นาฬิกาของวันที่ 17 ตุลาคม ได้เกิดอุบัติเหตุรถชนกับรถบรรทุกจนเสียหลักชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ระหว่างทางเข้าเมือง เสียชีวิตยกคัน เบื้องต้นตำรวจให้การว่าเป็นครอบครัวหนึ่งที่คาดว่ากำลังเดินทางกลับบ้าน’
เฮือก!
เสียงสะดุ้งตื่น
ชายหนุ่มที่นอนอยู่สะดุ้งตื่นพร้อมหายใจหอบแรงและเหงื่อไหลเต็มกรอบหน้า
ตี 3.00 นาฬิกา
ชายหนุ่มหันไปมองนาฬิกาที่บอกบ่งบอกว่าเวลาในตอนนี้
หลังจากที่ตั้งสติได้เขาก็ทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
‘นี่เราฝันเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ’
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเสียงเบา
เมื่อตั้งสติได้ชายหนุ่มผู้นั้นรีบคว้ามือถือและกดเข้าไปในแชตของเพื่อนสนิทของเขาทันที
‘นอนหรือยัง?’
‘ยัง มีอะไรหรือเปล่า?’ หลังจากที่ส่งข้อความไปไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา
‘ฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว’ เขาตอบกลับไป
‘อีกแล้วเหรอ?’
‘อือ’
‘กี่ปีแล้วที่ฝันเรื่องเดิม ๆ แบบนี้’
‘ไม่รู้สิ หลายปีได้แล้วแหละมั้ง หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น’
‘นานแล้วนะนั่น’
‘ก็ใช่...ตั้งแต่เป็นนักศึกษาใหม่ ๆ จนตอนนี้จะได้ไปฝึกสอนแล้ว’ อากาศตอบกลับเพื่อนของเขาไป
‘ลองไปหาหมอไหม?’ เพื่อนของเขาเสนอ
ข้อความนั้นไม่ถูกกดอ่าน
ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นกระดาษที่ปลิวไปทั่วห้อง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอนมองกระดาษที่อยู่บนพื้น เขาลุกขึ้นออกจากเตียงและเดินตรงไปยังกระดาษเหล่านั้น
เขาหยิบมันขึ้นมาและมองออกไปที่หน้าต่างและทำหน้าสงสัยในเมื่อข้างนอกนั่นไม่มีลมเลยสักนิดเดียวแล้วกระดาษพวกนี้จะปลิวได้อย่างไร ชายหนุ่มคิดในใจ
ติง!
เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า
ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงนั้น เขาเอื้อมมือไปปิดหน้าต่างและวางกระดาษที่เก็บจากพื้นมาวางไว้บนโต๊ะดังเดิม ก่อนจะละมือจากกระดาษเหล่านั้นเขาสังเกตเห็นรูปภาพที่เขาวาดบนกระดาษนั่น
มันเป็นรูปภาพที่มองอย่างไรก็ดูเหมือนกับว่ามันยังวาดไม่เสร็จ ชายหนุ่มพยายามจะวาดใบหน้าของใครสักคนที่อยู่ในความทรงจำแต่ยิ่งวาดออกมาเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จสักที เพราะแต่ละใบนั้นเขาทำได้เพียงแต่วาดชิ้นส่วนบนใบหน้าเท่านั้น อย่างใบแรกที่เขาจับเป็นรูปดวงตาหนึ่งคู่ แผ่นต่อไปเป็นริมฝีปาก ชายหนุ่มสลับกระดาษแต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะวาดรูปเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อย่างไม่เป็นรูปเป็นร่าง
ชายหนุ่มละมือจากกระดาษตรงหน้าและวางมันไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย
ติง!
ติง!
ติง!
เสียงข้อความเข้าไม่หยุด
ชายหนุ่มเดินไปที่เตียงที่เพื่อล้มตัวนอนไม่วายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อตอบข้อความเพื่อนสนิทของเขา เมื่อเปิดดูแชตก็เห็นข้อความหลายข้อความที่ถูกส่งมาว่า
‘เอ้าหายไปไหน?’
‘หลับแล้วหรือไง?’
‘กลับมาก่อน คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป’
‘งั้นนอนก่อนละ’
หลังจากที่อ่านจบแล้วชายหนุ่มที่ปิดเครื่องมือสื่อสารนั้นทันที ชายหนุ่มพยายามข่มตานอนหลับอีกครั้งเขาภาวนาว่าหลังจากหลับไปจะไม่ฝันเรื่องเดิม ๆ นั่นอีก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันเรื่องนี้
ทุกครั้งที่เขาพยายามวาดรูปใบหน้าคนที่อยู่ในความทรงจำของเขา ในคืนนั้นเขาจะฝันเหตุการณ์เดิมๆ ทุกครั้งไป มันเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ อากาศได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาแม่ของเขาและไปหาหมอตามคำแนะนำของเพื่อนสนิท คุณหมอวินิจฉัยได้เพียงว่ามันอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากอุบัติเหตุที่เขาเคยประสบก็เป็นไปได้
.
.
.
‘แม่ครับผมฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว’
‘เรื่องอุบัติเหตุนั่นหรือ?’
‘ใช่ครับ’
‘ทำไมกันนะ เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว’
‘เรื่องอะไรเหรอครับ’ เมื่อแม่ของเขาพูดเช่นนั้นจึงอดถามออกไปไม่ได้
‘ไม่มีอะไรหรอก’ แม่ของเขาตอบปัด
‘ครับ’
‘ใกล้วันหมอนัดแล้วนี่ลูก อีกสองวันเตรียมตัวด้วยนะ’ แม่ของเขาเปลี่ยนเรื่อง
‘ครับ’
วันหมอนัด
‘สวัสดีครับคุณหมอ’
‘สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อนครับ’
‘ขอบคุณครับ’
‘เป็นอย่างไรบ้างครับช่วงนี้?’
‘ก็สบายดีครับ แต่ว่าผมฝันเรื่องเดิมอีกแล้วครับ’
‘อืม...มันอาจจะเป็นผลข้างเคียงของอุบัติเหตุก็ได้นะครับ แต่ไม่มีอาการปวดหัวหรืออาการอื่นนะครับ’ คุณหมอถาม
‘ไม่มีครับ’
‘ดีแล้วล่ะ ยังไงก็รบกวนคุณแม่คอยสังเกตด้วยนะครับ’
‘ได้เลยค่ะ ขอบคุณนะคะคุณหมอ’
‘ยินดีครับ’
.
.
.
ไม่นานมานี้ชายหนุ่มเองก็พยายามหาต้นสายปลายเหตุของความเรื่องราวเหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับเขา พ่อของเขาก็เคยบอกว่ามันเป็นเพียงความฝันอย่าได้เก็บมาใส่ใจนัก
อากาศหยุดคิดเรื่องเหล่านั้นและข่มตาหลับต่อจนถึงเช้าของอีกวัน
ช่วงเช้าของอีกวัน
กริ๊ง กริ๊ง!
เสียงนาฬิกาปลุก
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดปิดเสียงนั่นด้วยความสะลึมสะลือ เขาบิดขี้เกียจก่อนที่จะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองเพดาน เขาทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เรื่องความฝันนั่น!
เวลาผ่านไปสักพักอากาศก็ลุกออกจากที่นอนและเดินไปที่กระดาษที่เขาวางไว้บนโต๊ะเมื่อคืน เขามองกระดาษแผ่นนั้นอย่างพินิจพิจารณา พยายามนึกอย่างหนักว่าตัวเองพยายามจะวาดใครกันแน่
เมื่อนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกพานจะทำตัวเองปวดหัวไปเปล่า ๆ เขาวางมันไว้ดังเดิมและเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัวของตัวเอง
เวลาผ่านไปสักพัก
อากาศออกจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวที่ปกปิดส่วนล่างอย่างหมิ่นเหม่ บนตัวของเขามีหยดน้ำเกาะตามตัวดูก็รู้ว่าชายหนุ่มซับน้ำออกอย่างลวก ๆ ก่อนออกจากห้องน้ำ เส้นผมที่เปียกน้ำนั่นทำให้เขาดูดีไม่น้อย
ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าและเปิดมันเพื่อหยิบเสื้อมาสวมใส่ เขาไล่นิ้วไปตามไม้แขวนเสื้อไปทีละตัวก่อนที่จะหยิบตัวที่ถูกใจออกมา ลักษณะการแต่งตัวของเขาไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ชายหนุ่มชื่นชอบที่จะสวมเสื้อฮู้ดตัวใหญ่โคร่งกับกางเกงยีนสีซีด เป็นการแต่งตัวง่าย ๆ แต่เมื่อมันมาอยู่บนตัวเขาแล้วกลับดูดีราวกับนายแบบ เขาหยิบเครื่องประดับอย่างสร้อยคอมาสวมใส่เพื่อไม่ให้ต้นคอรู้สึกโล่งเกินไป พรมน้ำหอมกลิ่นฝนแรกที่มีเสน่ห์และไม่ลืมหยิบหูฟังครอบหูมาคล้องคอไว้ ชายหนุ่มจัดแจงผมสีน้ำตาลหยักศกของตัวเองให้เป็นระเบียบ นัยน์ตาสีดำสนิทมองตัวเองในกระจกอย่างพอใจก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน
ชายหนุ่มเดินใส่รองเท้าที่บริเวณหน้าประตูห้อง ก่อนจะออกจากห้องเขามองสำรวจภายในห้องอย่างถี่ถ้วน แต่สายตาเขาดันไปสะดุดที่โต๊ะริมหน้าต่างที่มีกระดาษวางอยู่เขาเดินไปพร้อมวางกระเป๋าที่สะพายอยู่วางมันไว้บนเก้าอี้และเปิดมันพร้อมกวาดกระดาษเหล่านั้นลงกระเป๋าโดยไม่ได้สนใจว่ามันจะยับหรือเปล่า
กริ๊ง!
เสียงเรียกเข้า
“ฮัลโหล” อากาศหยิบเครื่องมือสื่อสารและกดรับสายเมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นเพื่อนของเขา
“จะกลับเลยปะ?” ปลายสายถาม
“อือ กำลังจะออก”
“ดีเลย เดี๋ยวไปรับแล้วไปหาอะไรทานก่อนกลับกัน ไหน ๆ ก็จะห่างกันละ”
“อย่าพูดอะไรให้โอเว่อร์ได้ไหม พูดเหมือนจะไม่ได้เจอกันแล้วแค่กลับบ้านไปฝึกสอนเอง”
“เออน่า ก็ใครให้กลับไปฝึกสอนใกล้บ้านล่ะ ชวนมาฝึกสอนโรงเรียนแถวนี้ก็ไม่เอา”
“เอ้า”
“เออ ๆ รอก่อนเดี๋ยวไปรับ ไม่เกิน 20 นาที”
หลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบก็กดวางสายทันที อากาศทำได้เพียงรออีกฝ่ายมารับอย่างที่บอก ทั้งสองเป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยมเมื่อเข้ามหาลัยต่างคนก็ต่างเข้าเรียนในสิ่งที่ตัวเองสนใจโดยอากาศเลือกเรียนครูศิลปะโดยปีนี้เขาต้องไปฝึกสอนอย่างเต็มตัวต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มาที่เขาจะไปสังเกตการณ์สอนเท่านั้น ส่วนเพื่อนสนิทของเขาที่มีนามว่า ภูมิ เลือกเรียนบริหาร ด้วยความที่หลักสูตรการเรียนไม่เหมือนกันทำให้ภูมิเรียนจบก่อน และตอนนี้เขาก็ได้สมัครงานที่แรกในชีวิตที่บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ส่วนอากาศก็กลับบ้านไปฝึกสอนโรงเรียนแถวบ้าน เขายังไม่ย้ายของออกจากที่พักเพราะยังไงเขาก็ต้องกลับที่มหาวิทยาลัยอีก
การรอคอยสิ้นสุดลงเมื่อภูมิส่งข้อความมาว่าถึงที่พักของเขาแล้ว
“20 นาทีพอดี” ภูมิพูดขึ้นมาเมื่อเห็นเพื่อนของเขาเปิดประตูขึ้นรถ
“เออ”
“เดี๋ยวพาไปกินร้านเด็ดแถวบริษัท รับรองว่ากินแล้วติดใจ” ภูมิสาธยาย
“เร็ว ๆ เถอะ”
ทั้งคู่นั่งรถได้สักพักก็ถึงที่หมาย เป็นร้านอาหารใจกลางเมืองที่มีลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย
“มากี่ท่านครับ?” บริกรเดินออกมาต้อนรับ
“2 ครับ”
“ได้จองไว้ไหมครับ?”
“ไม่ได้จองครับ”
“งั้นเชิญทางนี้ได้เลยครับ”
บริกรเดินนำทั้งคู่เดินเข้าร้านและเชิญนั่งที่โต๊ะภายในร้าน ทั้งสองสั่งอาหารรอเพียงไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ พวกเขาพูดคุยเรื่องต่าง ๆ นานา ระหว่างทานอาหารแต่ดูเหมือนว่าจะมีแค่ภูมิที่พูดอยู่ฝ่ายเดียวซะส่วนใหญ่ อากาศมีหน้าที่แค่รับฟังและพูดเพียงนิดเดียวเท่านั้น
เมื่อทานอาหารเรียบร้อยแล้วทั้งคู่เช็กบิลและออกจากร้านมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของอากาศเมื่อมาถึงที่หมายภูมิก็เข้าไปทักทายพ่อกับแม่ของอากาศ
“คุณพ่อ คุณแม่สวัสดีครับ”
“อ้าวลูก มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” คุณแม่อากาศถามขึ้น
“เพิ่งถึงเลยครับ” ภูมิตอบ
“งั้นเข้ามาข้างในก่อน ขับรถมาตั้งไกล”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมต้องไปที่อื่นต่อครับ ขอบคุณครับ งั้นผมลานะครับคุณแม่” พูดจบก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่
หลังจากที่เพื่อนขับรถออกไปแล้ว อากาศก็ขอตัวขึ้นห้องทันที
ห้องนอนของชายหนุ่มไม่มีอะไรมากมีเพียงเตียงนอนตู้เสื้อผ้าและโต๊ะริมหน้าต่างและอุปกรณ์งานศิลปะมีถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบเพราะนาน ๆ ครั้งชายหนุ่มจะกลับบ้านแม่ของเขาจึงอาสาเข้ามาเก็บกวาดทุกอย่างให้อยู่ในสภาพดีซึ่งต่างจากหอพักที่เขาอยู่มาก ที่นั่นไม่ได้เป็นระเบียบเหมือนที่นี่
ชายหนุ่มวางกระเป๋าไว้บนเตียงนอนและเดินไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง เขาเปิดแล็ปท็อปเพื่อเตรียมพร้อมกับการฝึกสอนในอาทิตย์หน้า เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็เดินไปที่เตียงนอนและล้มตัวนอน ชายหนุ่มเพียงต้องการที่จะงีบเท่านั้นแต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้เขาผล็อยหลับไป
ชายหนุ่มบิดขี้เกียจและลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนที่นอนก่อนจะหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาเพื่อดูเวลา
17.30
เวลาที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์
ชายหนุ่มสะบัดหัวเพียงเล็กน้อยเพื่อไล่ความมึนงงออกไป
‘นี่เราหลับยาวขนาดนี้เลยเหรอ?’ เขาพึมพำกับตัวเอง
อากาศเดินไปเปิดสวิตช์ไฟในห้องให้ห้องสว่างก่อนที่เดินไปปิดประตูหน้าต่างเพื่อกันยุงไม่ให้เข้า เมื่อเข้าเอื้อมมือเพื่อปิดหน้าต่างนั้นสายตาของชายหนุ่มกลับไปสะดุดกับห้องหนึ่งที่อยู่บ้านตรงข้าม ประตูหน้าต่างถูกปิดสนิทพร้อมม่านสีขาวที่ไม่มีการเคลื่อนไหว
เมื่อมองเข้าไปราวกับว่าถูกสะกดจิต ชายหนุ่มรู้สึกคิดถึงใครบางคนเมื่อมองที่ยังห้องนั้น รู้สึกทั้งคิดถึงและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขามองห้องนั้นกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มีน้ำตาไหลออกมา
ชายหนุ่มรู้สึกตัวเพราะน้ำที่ไหลออกจากดวงตา เขารีบเช็ดและรีบปิดหน้าต่างห้องตัวเองไม่วายดึงม่านปิดอีกชั้นและเดินลงไปชั้นล่างของบ้าน
“อ่าว ลงมาแล้วเหรอลูก? มานั่งกินข้าวเร็วค่ะ วันนี้มีแต่ของโปรดลูกทั้งนั้นเลย” คุณแม่ของชายหนุ่มเห็นเขาเดินลงบันไดก็เรียกให้มานั่งที่โต๊ะทานอาหารเพราะได้เวลาได้ทานอาหารเย็นพอดี
“ขอบคุณครับ”
“เป็นอย่างไรบ้าง?” พ่อของเขาถามขึ้น
“ก็ดีครับ อาทิตย์หน้าเตรียมตัวไปฝึกสอนแล้วครับ”
“อืม”
“นี้ๆ เดี๋ยวแม่ตักให้ กินเยอะ ๆ นะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับแม่”
“จ๊ะ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ทานอาหารเย็นอย่างปกติสุข หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จชายหนุ่มขอตัวขึ้นห้อง
ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในห้องเพียงลำพังเขานั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ชายหนุ่มนั่งทบทวนตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น มันค่อนข้างน่าแปลกใจที่อยู่ ๆ เขาก็มีความรู้สึกเหล่านั้น
ชายหนุ่มตัดสินใจเปิดม่านและหน้าต่างออกอีกครั้ง เขาจ้องไปยังห้องฝั่งตรงข้าม เขารู้เพียงว่าบ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่มาหลายปีแล้วจากคำบอกเล่าของแม่
อากาศคืนนี้ดีมากไม่มีพายุมีเพียงลมเย็น ๆ เท่านั้น แต่ผ่านไปสักพักใบไม้แห้งที่ร่วงบนพื้นกลับปลิวว่อนอย่างไม่มีที่มาที่ไปทั้ง ๆ ที่คืนนี้ท้องฟ้าโปร่งเป็นไปไม่ได้ที่ใบไม้แห้งเหล่านั้นจะปลิวว่อนราวกับมีพายุ
ชายหนุ่มรีบปิดหน้าต่างทันที เพราะอยู่ ๆ เขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทั่วตัว
.
.
.
เช้าวันต่อมา
เมื่อคืนเขาหลับไปตอนไหนไม่รู้จำได้แค่ว่าเมื่อคืนเขานั่งวาดรูปอยู่ที่โต๊ะแท้ ๆ แต่ที่น่าแปลกคือเมื่อคืนเขาไม่ฝันเรื่องเดิมทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนชายหนุ่มพยายามวาดรูปนั้นที่อยู่ในความทรงจำ ชายหนุ่มหวังว่าเขาจะวาดมันสำเร็จ
ชายหนุ่มลุกขึ้นและลงไปข้างล่าง เขาล้างหน้าล้างตาและเดินออกไปข้างนอกบ้านที่มีคุณพ่อที่กำลังกวาดพื้นหญ้าและแม่ของเขานั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะหินอ่อน
“คุณพ่อ คุณแม่สวัสดีครับ” ชายหนุ่มทักทาย
“ตื่นเช้าจังลูก อาหารอยู่บนโต๊ะในครัวนะ”
“เรียบร้อยครับ ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มเดินไปที่โต๊ะและนั่งข้าง ๆ แม่ของเขา อยู่ ๆ แม่ของเขาก็พูดขึ้นว่า “คิดถึงเนอะ”
“ครับ?” ชายหนุ่มทำหน้าสงสัย
“แม่คิดถึงเฉย ๆ น่ะ”
“คิดถึงอะไรเหรอครับ?”
“คิดถึงคนที่เคยอยู่บ้านข้าง ๆ เราน่ะ หลังนั้น” คุณแม่ชี้ไปยังบ้านข้าง ๆ ซึ่งเป็นบ้านที่ถูกทิ้งร้างมาหลายปี
“มันเคยเป็นบ้านของใครเหรอครับ?” ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อเกิดความสงสัยในบ้านหลังนั้น
“บ้านหลังนั้นเคยเป็นเพื่อนบ้านเราเมื่อหลายปีก่อน เป็นครอบครัวที่เพิ่งย้ายเข้ามา มีแค่สามคนพ่อ แม่ และลูกสาว ลูกสาวเขาน่ารักมาก ๆ เลยนะ ตอนนั้นน้องชอบมาเล่นกับเราด้วยนะไม่รู้เราจะจำได้หรือเปล่า”
“น้องเหรอครับ?” ชายหนุ่มพยายามนึก
“ใช่ค่ะ น้องชื่อ ฟองฝน”
“ฟองฝน..” ชายหนุ่มพยายามนึกตามที่แม่ของเขาพูดแต่เขากลับรู้สึกปวดหัวจี๊ดเมื่อเสียงของใครบางคนเข้ามาให้หัว
‘พี่อากาศ ยิ้มหน่อย!’
โอ๊ย!
อากาศกุมขมับตัวเอง
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก?” แม่ของชายหนุ่มรีบถามทันทีที่เห็นลูกตัวเองกุมหัว
“ผมปวดหัวครับ”
“งั้นเข้าบ้านไปพักเถอะลูก”
“ครับ” พูดจบเขาก็เดินเข้าบ้านไป
ชายหนุ่มพยายามนึกเหตุการณ์ที่คุณแม่เล่า เขาเดาว่าน่าจะเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะประสบอุบัติเหตุก่อนที่ความทรงจำบางส่วนจะหายไป ชายหนุ่มเดินขึ้นไปยังชั้นบนและเดินไปเข้าห้องของตัวเอง และสายตาของชายหนุ่มกลับไปสะดุดกับสมุดเล่มหนึ่งที่ถูกเสียบไว้ ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาเปิดปรากฏว่าภายในสมุดเล่มนั้นว่างเปล่า ชายหนุ่มพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะเจอกับข้อความหนึ่งในหน้าสุดท้ายที่เขียนว่า
‘พี่ขอโทษ กลับมาได้ไหม สัญญาว่าจะไม่พูดอย่างนั้น’
ช่วงสุดสัปดาห์ผ่านไป
เช้าวันจันทร์ที่ทุกช่วงอายุต่างก็โอดโอยเมื่อวันนี้มาถึงเพราะรู้สึกเหมือนว่าเมื่อวานเพิ่งจะวันศุกร์สุขสันต์แต่เพียงพริบตาเดียวก็พบกับวันจันทร์อันโหดร้ายอีกแล้ว
อากาศตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมตัวไปฝึกสอนวันแรกถึงแม้ว่าเขาเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้วแต่มันก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
โรงเรียนที่อากาศกำลังจะไปฝึกสอนเป็นโรงเรียนมัธยมขนาดกลางใกล้บ้านของเขานั่งรถประมาณ 20 นาทีก็ถึงโรงเรียน
บรรยากาศตอนเช้า ผู้คนต่างดูรีบร้อนมีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ที่ต้องรีบไปทำงานเพราะวันนี้เปิดเทอมวันแรกเกรงว่ารถจะติด เด็กหนุ่ม สาวที่ต่างพากันรีบร้อนเพราะปิดเทอมไปนานมีบ้างที่ยังปรับตัวไม่ได้ บางครอบครัวก็กอดกันกลมเพราะเป็นวันแรกที่ลูกต้องห่างจากอกครั้งแรกเพราะถึงช่วงเข้าโรงเรียนแล้ว เช้านี้เป็นเช้าอีกวันที่วุ่นวายมากจริง ๆ
กริ๊ง กริ๊ง!
เสียงระฆังของโรงเรียนดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ
เมื่อได้ยินเสียงนั่นเด็กนักเรียนทั้งหลายต่างก็พากันวิ่งหน้าตั้งมาเข้าแถวหน้าเสาธงเพื่อเคารพธงชาติ อากาศที่ยืนดูเด็ก ๆ ก็เวียนกลับให้คิดถึงสมัยที่ตัวเองยังเรียนมัธยม ว่ากันว่าช่วงมัธยมนี่แหละที่สนุกที่สุดในช่วงชีวิตของวัยเรียน
กิจกรรมหน้าเสาธงผ่านไปอย่างราบรื่น เนื่องจากวันนี้เป็นการเปิดภาคเรียนวันแรกของภาคการศึกษาผู้อำนวยการโรงเรียนจึงมาให้โอวาทในการเปิดภาคเรียน บุคลากรโรงเรียนที่ยืนประจำที่ของตัวเองจะมีเพียงคุณครูที่ปรึกษาประจำห้องและนักศึกษาฝึกสอนที่จะยืนอยู่ในแถวกับเด็กนักเรียน
‘ร้อน’ เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กโตพูดขึ้น ลำพังเพียงหนึ่งคนมันอาจจะไม่ดังแต่ถ้าหลายคนพูดพร้อมกันก็ไม่แน่
ชายหนุ่มได้ยินเสียงเหล่านั้นก็อดยกยิ้มไม่ได้ เขานึกถึงตัวเองตอนที่ต้องตากแดดยืนเคารพธงชาติตอนสมัยเรียน โชคดีที่สมัยนี้เขาอนุญาตให้นั่งรอระหว่างที่ผู้ใหญ่ให้โอวาทถ้าเป็นสมัยเขาคงได้ยืนจนน่องปูด
‘เมื่อไหร่จะปล่อยครับอาจารย์’ เสียงเด็กนักเรียนผู้ชายที่นำกระเป๋านักเรียนมาบังแดด
‘เดี๋ยวก็จบแล้ว ทนหน่อย’ อาจารย์ที่ยืนกางร่มแถวนั้นตอบกลับไป
‘อาจารย์ก็พูดได้สิครับ อาจารย์มีร่ม’ เด็กผู้ชายอีกคนพูดเสริม
‘เอาน่า ทนหน่อยสมัยครูหนักกว่านี้อีก’ พูดจบก็เดินไป
‘ฮึ่ย’
อากาศยืนฟังบทสนทนาเหล่านั้นอยู่ห่าง ๆ ในที่สุดผู้อำนวยการโรงเรียนก็ให้โอวาทเสร็จเรียบร้อยเด็กนักเรียนทุกคนก็ต่างเดินเข้าที่ร่มและเดินขึ้นอาคารตามห้องของตัวเอง อากาศเดินตรงไปที่ห้องสาขาวิชาตัวเอง
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มเอ่ย
“อ้าวมาแล้วเหรอ? มา ๆ เดี๋ยวมาแนะนำตัวกับอาจารย์ในหมวดสาขาวิชา” อาจารย์คนหนึ่งที่อยู่ในห้องพูดขึ้น
“สวัสดีครับ ผม นายเมฆินทร์ ภักดีดำรงค์ นักศึกษาชั้นปีที่ 5 ชื่ออากาศครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง
“นั่นครูวรพงศ์ สอนดนตรี ครูศิริพร สอนคหกรรม” คุณครูคนเดิมแนะนำคุณครูในหมวดสาขาให้ชายหนุ่ม “และครูจิรายุ สอนศิลปะ คือครูเองเป็นหัวหน้าหมวด”
“สวัสดีครับ ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างนอบน้อม
“เอาล่ะ เรานั่งพักก่อนตรงนี้จะเป็นโต๊ะของเรานะ และนี่เป็นตารางสอนของนักเรียนชั้นมอห้าที่ครูต้องรับผิดชอบปีนี้เอาเป็นว่าเดี๋ยวครูเป็นครูพี่เลี้ยงเธอ ทำตัวให้สบายไม่ต้องเกร็งติดขัดตรงไหนถามได้ตลอดนะ” คุณครูจิรายุหรือครูจิพูด
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มนั่งรอเวลาเข้าสอนจากตารางเรียนที่คุณครูให้มานั้นวันนี้มีสอนนักเรียนชั้นมอห้าในคาบที่สี่ของวันก็คือคาบหลังพักเที่ยง
ช่วงเที่ยงผ่านไป
อากาศรอนักเรียนอยู่ในห้องศิลปะเนื่องจากเป็นวิชาที่ต้องมีการปฏิบัติจึงต้องมีห้องเป็นของตัวเองและไม่ต้องคอยเดินไปตามห้องต่าง ๆ เหมือนวิชาอื่น ๆ อย่างเช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์เป็นต้น เวลาผ่านไป 5 นาทีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก็ทยอยเดินมาที่ห้องศิลปะอาจจะใช้เวลานานแต่ไม่เกิน 15 นาทีเพราะเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับช่วงพักเที่ยงไม่แปลกที่เด็กนักเรียนบางกลุ่มยังคงเดินเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกนั่น
เมื่อนักเรียนทุกคนเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าห้องพูดทำความเคารพ
“สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ” นักเรียนยกมือไหว้
“สวัสดีครับนักเรียน” คุณครูจิพูดขึ้น
“เป็นยังไงบ้างเปิดเทอมวันแรก”
“ไม่อยากให้เปิดเลยครับ” เด็กนักเรียนหลังห้องพูดขึ้น
เสียงขำดังลั่นห้องเมื่อจบประโยคนั้น “เอาล่ะ ๆ ไม่อยากให้เปิดก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อมันเปิดแล้ว” คุณครูจิพูดขึ้น เสียงหัวเราะเริ่มเบาลง
“เดี๋ยวครูจะแนะนำคุณครูฝึกสอนที่จะมาสอนพวกเธอ จะสลับ ๆ กันสอนกับครู นี่ครูอากาศ” คุณครูจิพูดแนะนำให้นักเรียน
“สวัสดีครับนักเรียน ครูชื่ออากาศมาสอนวิชาศิลปะครับ” อากาศแนะนำตัวกับนักเรียน
“หล่อจังเลยค่ะ” เด็กนักเรียนแถวหน้าพูดขึ้น
อากาศมองตามเสียงนั่นพร้อมอมยิ้มให้ นักเรียนหญิงตรงนั้นพากันหันไปยิ้มเขินกับเพื่อน ๆ “แหม พวกเธอเบา ๆ หน่อย” คุณครูจิปราม
“เดี๋ยวครูมา ระหว่างนี้เดี๋ยวให้ครูอากาศเช็กชื่อพวกเธอพร้อมบอกเรื่องการเก็บคะแนนกับเรื่องที่ต้องเรียนในเทอมนี้” คุณครูจิพูดจบก็เดินไปเอาใบรายชื่อให้ชายหนุ่ม “ครูฝากด้วยนะ” และเดินออกจากห้องไป
“เอาล่ะ นักเรียนตั้งใจฟังชื่อตัวเองและเอ่ยขานดัง ๆ นะครับ” ชายหนุ่มพูดจบก็เริ่มเรียกชื่อนักเรียนและคนตามใบรายชื่อ รายชื่อแล้วรายชื่อเล่าผ่านไป เมื่อผ่านไปสักพักชายหนุ่มเรียกชื่อเด็กนักเรียนคนหนึ่งแต่ไม่มีเสียงตอบรับ
“อัสสนีรัตน์…” ไม่มีเสียงขานรับ
“อัสสนีรัตน์…” ชายหนุ่มเรียกอีกครั้ง
“เพื่อนไปไหนครับ” ชายหนุ่มถามเด็กนักเรียนในห้อง
“เอ่อ...เพื่อนไม่มาค่ะ” นักเรียนแถวหน้าหันมองเพื่อนคนนั้นและหันมาตอบชายหนุ่ม
เมื่อเช็กชื่อนักเรียนเรียบร้อยแล้วอากาศจึงปิดสมุดรายชื่อและนำไปวางที่โต๊ะก่อนจะหยิบคู่มือการสอน
“เอาล่ะหยิบสมุดขึ้นมาครับ เดี๋ยวครูจะบอกการเก็บคะแนนกับเรื่องที่เราจะเรียนในเทอมนี้” ชายหนุ่มสั่ง
อากาศเดินไปเดินมาบริเวณหน้าชั้นเรียนพร้อมพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องเรียนในเทอมนี้และบอกเกี่ยวกับเก็บคะแนนให้นักเรียนทราบ ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างหน้าเขาเห็นทั้งหมดว่านักเรียนทำอะไรบ้าง มีทั้งเด็กนักเรียนที่ตั้งใจเขียนในสิ่งที่เขาพูดและมีทั้งเด็กนักเรียนที่หันไปพูดจ้อกับเพื่อนข้าง ๆ บางคนก็ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ วันนี้เป็นวันแรกของภาคเรียนยังไม่มีอะไรมากหลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบเขาก็ปล่อยให้นักเรียนอัธยาศัยอยู่ภายในห้องรอเวลาหมดคาบเรียน เมื่อหมดเวลานักเรียนห้องนี้ออกไปก็มีนักเรียนอื่นเข้ามาเรียนวันนี้มีสองคาบด้วยกันและแล้ววันนี้ก็ผ่านไปด้วยดีสำหรับการฝึกสอนวันแรกของชายหนุ่ม
กริ๊ง กริ๊ง!
เสียงระฆังดังขึ้นบ่งบอกว่าชีวิตในรั้วโรงเรียนวันนี้จบลงแล้ว
เด็กนักเรียนวิ่งกรูลงมาจากอาคารเรียน ต่างคนต่างดูรีบร้อนมีทั้งเด็กที่ต้องรีบไปเรียนพิเศษหรือซ้อมกีฬาในช่วงเย็นส่วนชายหนุ่มที่เก็บของเรียบร้อยแล้วก็หันไปสวัสดีลากับคุณครูพี่เลี้ยงของตัวเองเนื่องจากคุณครูพี่เลี้ยงของชายหนุ่มอยู่เวรวันพุธเขาจึงต้องอยู่เวรวันนั้นด้วยแต่วันนี้วันจันทร์เขาก็สามารถกลับบ้านได้ถ้าสะสางทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
บ้าน
17.30 น.
ชายหนุ่มเข้าบ้านพร้อมสวัสดีคุณแม่ที่อยู่ในครัวเตรียมอาหารเย็น
“สวัสดีครับคุณแม่”
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอลูก วันแรกเป็นอย่างไรบ้าง?” คุณแม่ที่กำลังคนซุปในหม้อชะงักเมื่อได้ยินเสียงลูกชายตัวเอง เธอวางกระบวยในถ้วยเล็ก ๆ ข้าง ๆ เตาหรี่เตาแก๊สและเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างมือก่อนจะเดินมาหาลูกชาย
“ก็ดีครับ วันนี้ยังไม่มีอะไรมาก”
“ดีแล้วล่ะ งั้นเราขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมาทานข้าวนะใกล้เสร็จแล้วล่ะ” คุณแม่พูดขึ้น
ชายหนุ่มเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้านและมุ่งหน้าไปที่ห้องของตัวเองเขาเปิดประตูห้องนอนและวางสัมภาระไว้บนเตียงหลังจากนั้นเขาก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าชายหนุ่มเปิดมันและหยิบเสื้อยืดที่ถูกพับไว้ออกมาพร้อมกับกางเกงสามส่วนสบายตัวหลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จชายหนุ่มเดินลงไปชั้นล่างเพื่อรับประทานอาหารเย็น
“คุณพ่อสวัสดีครับ” ชายหนุ่มพูดขึ้นเมื่อเห็นพ่อของตัวเองนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว
คุณพ่อพยักหน้าให้ พร้อมดูงานที่อยู่ในมือถือต่อไป
หลังจากที่ทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มแยกตัวขึ้นไปบนห้องของตัวเอง เขาลากเก้าอี้ออกเพื่อนั่งและหยิบกระเป๋าก่อนที่จะเปิดขึ้นและนำแฟ้มรายชื่อออกมาจากกระเป๋า ชายหนุ่มนั่งไล่รายชื่อเด็กนักเรียนทั้งสองห้องที่ได้สอนในวันนี้ แต่เมื่อถึงรายชื่อของเด็กนักเรียนคนหนึ่งเขากลับชะงักและรู้สึกตงิดใจกับชื่อนั้นก่อนจะปิดแฟ้มไป
ชายหนุ่มหยิบอุปกรณ์วาดรูปอย่างไอแพดขึ้นมา ทุกคืนเขามักจะหาอะไรทำก่อนนอนและกิจกรรมที่เขาชอบนั่นก็คือการวาดรูปเวลาผ่านไปสักพักเขาก็เริ่มรู้สึกง่วง ชายหนุ่มหยุดทำสิ่งตรงหน้าพร้อมบิดไล่ความเมื่อยล้าที่อยู่ในท่าเดิมนาน ๆ
เขาลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือไปจับหน้าต่างเพื่อปิดมันแต่ยังไม่ทันจะได้ปิดเขาก็รู้สึกถึงลมเย็นที่กระทบหน้าสายตาของเขาเหลือบไปมองห้องของบ้านตรงข้ามที่อยู่ตรงกับห้องของเขา ความรู้สึกนั้นมันมาอีกแล้ว ความรู้สึกคุ้นเคย คิดถึงและรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามาในใจ ชายหนุ่มเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเช่นนั้น
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!