ลมเช้าตรู่พัดเบาอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับมันเองก็ยังไม่ตื่นดีจากค่ำคืนยาวนาน กลิ่นหญ้าหลังฝนโชยอ่อนบาง ชื้นและเขียวกรุ่นคล้ายห่มใจ เวหาก้าวเท้าเปล่าเดินช้าๆ บนสนามหลังบ้าน ชุดนอนสีอ่อนหลวมๆ กับเส้นผมยุ่งนิดหน่อยจากหมอนที่นอนไม่ค่อยหลับ
เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็แน่ใจอย่างหนึ่ง—เขาฝัน... ฝันถึงใครบางคนอีกแล้ว
เขาไม่รู้ว่ามันเป็นฝันที่เดิมหรือฝันใหม่ แต่ทุกครั้งมันจบตรงที่เดิมเสมอ
ใบหน้าที่ค่อยๆ เลือนหายไปใต้แสงตะวัน เสียงสุดท้ายที่แผ่วเบาจนคล้ายลมพัด
“...เวหา... อย่าร้องนะ”
แม้เวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังไม่ลืมเสียงนั้น ไม่ลืมแม้แต่เงาหลังสุดท้าย
“เวทย์...” เขาพึมพำชื่ออีกคนออกมาเบาๆ ราวกับกลัวว่าหากพูดเสียงดังเกินไป ความฝันนั้นจะสลายกลายเป็นเพียงภาพลวงตา
ต้นจำปีต้นใหญ่ที่ปลูกอยู่หลังบ้านตั้งแต่เขายังเด็กยังคงอยู่เช่นเดิม ใบไม้สีเขียวอ่อนไหวเอนรับลม ดอกขาวเล็กเบาบางบางร่วงหล่นอย่างแผ่วเบาราวกับหิมะกลางฤดูร้อน เวหายืนอยู่ใต้ร่มไม้เงียบๆ สายตาเหม่อมองไปยังผืนฟ้าที่วันนี้ดูโปร่งโล่ง แต่ลึกในใจกลับอึมครึมเสียจนหายใจติดขัด
ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้มันถึงได้รู้สึกเหงาเป็นพิเศษ
หรือบางที...อาจเป็นเพราะวันนี้คือ “วันนั้น” อีกครั้ง
วันที่เขาเคยบอกกับใครบางคนไว้ว่า “เราจะไม่ห่างกัน”
แต่นั่นแหละ… ชีวิตไม่ใช่นิทาน และสัญญาไม่ใช่เวทมนตร์
“คุณเวหา... จะทานข้าวเช้าเลยไหมคะ?” เสียงแม่บ้านที่เพิ่งเปิดประตูหลังบ้านถามอย่างเคยชิน เธอถือจานผลไม้ในมือ ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มยืนอยู่กลางลานหญ้าโดยไม่ได้ใส่รองเท้า
“เดี๋ยวผมเข้าบ้านครับ พี่แสงวางไว้เลยก็ได้” เวหายิ้มบางๆ ให้หญิงวัยกลางคนที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก พี่แสงมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างห่วงๆ
“เมื่อคืนฝันร้ายอีกหรือเปล่าคะ?”
เวหาไม่ตอบ เขาเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าเบาๆ แทนคำพูด
“พี่แสง... คนเราจะลืมใครบางคนได้จริงไหมครับ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ในแววตาเต็มไปด้วยคำถามที่ลึกเกินกว่าจะมีใครตอบแทนได้
แม่บ้านมองเขานิ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินเข้าบ้าน ปล่อยให้เวหายืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว
เขาไม่ได้คาดหวังคำตอบหรอก เพียงแต่บางที...การถามออกมาอาจช่วยให้หัวใจที่หนักอึ้งเบาลงนิดหน่อยก็ยังดี
เสียงนกร้องเบาๆ คลอไปกับลมอ่อนยามเช้า สวนหลังบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง ทั้งพุดซ้อน ลั่นทม และชมนาด เวหาค่อยๆ เดินไปนั่งตรงศาลาไม้หลังเล็กที่อยู่ใต้ร่มจำปี มือเรียวบางของเขายกขึ้นแตะลำคอตัวเองเบาๆ จุดที่เคยมีจี้เงินห้อยอยู่...จี้รูปปีกผีเสื้อคู่นั้น
แต่ตอนนี้ มันไม่ได้อยู่กับเขาอีกแล้ว
เวหาหลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเงียบของเช้าวันใหม่ และเสียงในหัวที่ยังคงวนเวียนอยู่กับชื่อเดียว
เวทย์...
—
ในอีกมุมของเมือง ที่ห่างออกไปราวกับคนละโลก
ร่างหนึ่งนั่งอยู่ใต้เงาไม้ของสวนรกร้างริมเนินเขา มือเรียวกำผ้าคลุมสีซีดที่พันอยู่รอบบ่าแน่น ใบหน้าไร้สีเลือด และแววตาที่จ้องมองเบื้องหน้า—ไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นทิศที่เขาเชื่อว่าอีกคนยังอยู่
“วันนี้...นายยังอยู่ที่นั่นไหม เวหา”
เสียงเบาเหมือนลมหายใจพึมพำออกมา ก่อนที่แสงแดดอ่อนจะส่องผ่านร่างของเขาอย่างเบาบาง
ราวกับร่างกายนั้นไม่อยู่ในโลกแห่งความจริงอีกต่อไป
แต่หัวใจยังคงจดจำทุกอย่างไว้ชัดเจน... แม้แต่ความเจ็บปวดที่ไม่ได้ร่ำลากัน
เขาคือเวทย์
วิญญาณที่ยังไม่ยอมเดินทางไปไหน
เพราะเขายังมีคำหนึ่งที่อยากพูดกับเวหาอีกครั้ง...เพียงสักครั้ง
“กลับมา...”
เสียงลมหายใจเบา ๆ ดังสม่ำเสมอภายในห้องนอนที่ยังเปิดม่านทิ้งไว้ตั้งแต่กลางวัน ดวงจันทร์กลมโตทอดแสงนวลลงบนพื้นไม้ ความเงียบในยามค่ำทำให้เสียงแมลงกลางคืนที่ซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้ดังแผ่วแทรกเข้ามาในห้อง
เวหานอนตะแคงอยู่บนเตียง ดวงตาหลับสนิทแต่คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ฝ่ามือข้างหนึ่งกำแน่นกับผ้าห่ม
"ช่วยฉันด้วย..."
เสียงกระซิบจากความฝันเบาเสียจนแทบจะกลืนไปกับลมยามราตรี แต่ในใจของเวหานั้นชัดเจนราวกับเสียงตะโกน
ในฝัน เขายืนอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีสายลมพัดผ่านรุนแรงแต่กลับไม่รู้สึกหนาวเย็น ตรงหน้าคือเส้นทางแคบ ๆ ที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา รายล้อมด้วยสวนดอกไม้ที่ไม่มีชื่อ แต่กลับชวนให้นึกถึงใครบางคน... ใครบางคนที่เขาไม่เคยลืม
เสียงหนึ่งกระซิบอีกครั้ง
"สถานที่แห่งนั้น...เราจะได้พบกันอีกครั้ง"
เวหาหันซ้ายขวา หาทิศทางของเสียงนั้น ทว่าไร้วี่แววของผู้พูด เขาเอื้อมมือออกไป... แต่กลับสัมผัสได้เพียงลมอ่อน ๆ เท่านั้น
ก่อนทุกอย่างจะมืดดับลง เขาได้เห็นแสงสีทองเรืองรองเป็นรูปดอกไม้บานหนึ่งดอก ลอยอยู่กลางอากาศ แผ่ประกายอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
เวหาสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที มือข้างหนึ่งยังกำผ้าห่มแน่น ลมหายใจถี่รัวเล็กน้อย ใบหน้าชื้นเหงื่อ
เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียงช้า ๆ แสงสีเหลืองส้มสว่างขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ ที่ดวงตาแดงเล็กน้อยจากน้ำตาที่ไม่รู้ตัวว่าไหลตั้งแต่เมื่อไหร่
“...เวทย์?” เขาเอ่ยชื่อที่ไม่พูดถึงมานานแล้วอย่างแผ่วเบา ก่อนจะก้มมองฝ่ามือตัวเองที่กำแน่นจนเจ็บ
.
.
ขณะเดียวกัน ณ ที่ที่ไม่สามารถบอกได้ว่าอยู่แห่งหนใด
เวทย์กำลังยืนอยู่ต่อหน้าสิ่งที่คล้าย ‘ประตู’ บานหนึ่ง ทำจากแสงสีทองที่แผ่ประกายอ่อนโยนเหมือนสายลมยามเช้า ข้างเขามีหญิงชราผมขาวในชุดขาวบริสุทธิ์ ยืนมองเขาด้วยแววตาใจดี
“เจ้ารอคอยวันนี้มานานแล้วสินะ” เธอกล่าวยิ้ม ๆ
เวทย์พยักหน้า เขายกมือขึ้นแตะอกตัวเองเบา ๆ ที่ตำแหน่งหัวใจ “มันยังอุ่นอยู่เสมอครับ... ผมไม่เคยลืมเลย ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่มันเจ็บตลอดเวลาโดยไม่มีคำตอบ”
หญิงชราหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้าวมายืนข้าง ๆ “บางความรู้สึก ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ความรัก...คือหนึ่งในนั้น”
เวทย์เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ย “แล้วผมจะได้พบเขาจริง ๆ ใช่ไหมครับ?”
“ใช่...แต่เจ้าจะยังจำไม่ได้ทั้งหมดทันที ต้องให้หัวใจของเจ้าจำมันเอง...”
“หัวใจ?” เวทย์ทวนคำ
หญิงชราเพียงยิ้ม และเมื่อแสงทองจากประตูเริ่มเปิดออกเบา ๆ เสียงกระซิบแผ่วเบาก็ลอยมากระทบใบหู
"เมื่อหัวใจจดจำได้...ความรักก็จะกลับมา"
เวทย์ก้าวเท้าผ่านประตูสู่แสงสว่างโดยไม่ลังเล โลกทั้งใบหมุนวน ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดรอบกาย จากนั้นภาพสุดท้ายที่เห็น...คือสีฟ้าของท้องฟ้ายามเช้า และกลิ่นหญ้าอ่อน ๆ ที่ปลิวลอยมากระทบจมูก
.
.
วันรุ่งขึ้น เวหาขับรถไปตามความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร เส้นทางที่เขาขับผ่านไม่ใช่ถนนหลักที่เขาคุ้นเคย แต่ทุกครั้งที่ลังเล เลี้ยวผิด หรือเกือบจะกลับรถ...หัวใจของเขากลับเจ็บจี๊ด ๆ จนต้องหยุดคิดแล้วขับต่อ
และในที่สุด เขาก็มาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ดูธรรมดา แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
เวหาหยุดรถ เดินเข้าไปในสวนเรื่อย ๆ โดยไร้จุดหมาย แววตาเขาไล่มองทุ่งหญ้า ดอกไม้ และต้นไม้ใหญ่โดยรอบ
และในวินาทีนั้น...
“ขอโทษครับ” เสียงหนึ่งเอ่ยเบา ๆ เมื่อลำตัวของเขาเบียดเข้ากับคนที่เดินสวนทางมาอย่างไม่ตั้งใจ
เวหาหันไป...
ชายหนุ่มผิวขาวซีด รูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าอ่อนโยนแต่แฝงความเศร้าในดวงตาคู่นั้น หัวใจของเวหาเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล ใจเขาเหมือนจะหลุดจากร่าง...ทั้งที่แค่สบตากันไม่กี่วินาที
อีกฝ่ายยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยอีกครั้ง
“ระวังด้วยนะครับ...”
เวทย์หันหลังแล้วเดินจากไป ปล่อยให้เวหายืนอยู่อย่างงุนงง ราวกับหัวใจตัวเองกำลังวิ่งตามอีกคนไป
เขายกมือแตะหน้าอกเบา ๆ ใจเต้นแรงไม่ต่างจากคนตกหลุมรักครั้งแรก
"นาย...คือใครกันแน่?"
หลังจากภาพของชายหนุ่มร่างบางในสวนเมื่อเช้าเลือนหายไปพร้อมเสียงลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่าน เวหาก็ยังยืนอยู่ที่เดิมราวกับเวลาได้หยุดหมุน หัวใจเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกอึดอัดและบางสิ่งบางอย่างในอกเหมือนกำลังจะทะลักออกมา
เขาหันมองไปทางที่อีกฝ่ายเดินจากไป...แล้วก้าวเท้าตามไปช้า ๆ อย่างไม่รู้ตัว
“คุณครับ…!” เวหาเรียกเสียงไม่ดังนัก แต่ก็ดังพอจะทำให้คนเบื้องหน้าหยุดเดิน
เวทย์หันกลับมาเล็กน้อย แววตาสงบนิ่งแต่ซ่อนประกายบางอย่างไว้ เขามองเวหานิ่ง ๆ ราวกับ…เคยเห็นมาก่อน
เวหาเดินเข้าไปใกล้อีกไม่กี่ก้าว สบตาคู่นั้นอีกครั้ง แล้วถามเสียงเบา
“เรา…เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?”
เวทย์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มบาง ๆ “ไม่ครับ ผมเพิ่งมาอยู่แถวนี้ได้ไม่นานเอง อาจจะเป็นคนหน้าเหมือนกระมังครับ”
“แต่…ผมรู้สึกเหมือน…” เวหาพึมพำ กลืนคำพูดส่วนท้ายลงคอ
เวทย์กลับส่งยิ้มอีกครั้งแทนคำตอบ แล้วเอ่ยเบา ๆ “ถ้าผมบอกว่า…ผมก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน…คุณจะเชื่อไหมครับ?”
เวหาชะงักไปเล็กน้อย สายตาจับจ้องอีกฝ่ายนิ่ง เขายิ้มจาง ๆ เป็นครั้งแรกของวัน “ผมเชื่อ”
.
.
“ผมชื่อเวหาครับ” เขายื่นมือออกไป
เวทย์มองมือนั้นครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมาจับไว้เบา ๆ “เวทย์ครับ”
มือของทั้งสองคนสัมผัสกันเพียงไม่กี่วินาที ทว่าในวินาทีนั้น หัวใจของทั้งคู่กลับเต้นประสานราวกับเคยจดจำกันมาเนิ่นนาน เวหาเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อลมหายใจของเขาแทบสะดุด
เวทย์เองก็เช่นกัน ดวงตาเขาสั่นระริกเล็กน้อยโดยไม่รู้สาเหตุ
ในหัวใจของเขา...มีเสียงกระซิบแผ่วเบาว่า
“นี่คือโอกาส...อย่าปล่อยให้มันหลุดไปอีก”
.
.
วันต่อมา เวหากลับมาที่สวนเดิมอีกครั้งเร็วกว่าทุกวัน เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาหรือไม่ แต่หัวใจเขาเลือกแล้วว่าจะรอ
และเขาก็ไม่ต้องรอนาน
เวทย์เดินเข้ามาช้า ๆ ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดสะอ้านเหมือนเมื่อวาน รอยยิ้มจาง ๆ ยังติดอยู่บนใบหน้า
“เรามาเวลาเดียวกันอีกแล้วนะครับ” เวทย์พูดเบา ๆ
เวหาพยักหน้า “สงสัยจะเป็นโชคชะตา”
เวทย์หัวเราะน้อย ๆ “คำพูดแบบนั้น...ผมเคยได้ยินจากใครคนหนึ่ง”
“ใคร?”
เวทย์นิ่งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มเลือนลงนิดหน่อย “ผมจำไม่ได้ครับ...แต่ใจมันบอกว่า ผมเคยรู้จักคำนี้มาก่อน มันอบอุ่นมาก”
เวหามองเขาเงียบ ๆ ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ “ถ้างั้น...เรามาทำความรู้จักกันใหม่ดีไหม?”
เวทย์เงยหน้าขึ้นสบตาเขา “...ก็ได้ครับ”
.
.
ทั้งคู่ใช้เวลาหลายวันหลังจากนั้นในการพูดคุย เดินเล่นรอบสวน ดื่มกาแฟจากร้านใกล้ ๆ และนั่งบนม้านั่งยาวใต้มะฮอกกานีต้นใหญ่ เวหาหัวเราะมากกว่าที่เคยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนเวทย์เองก็ค่อย ๆ มีรอยยิ้มที่สดใสมากขึ้นทีละวัน
แต่ในใจของทั้งคู่...กลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่บททดสอบของอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น
คืนหนึ่ง ขณะเวทย์กลับบ้าน เขายืนอยู่หน้ากระจกแล้วจ้องมองใบหน้าตัวเอง
“ทำไม...ใจมันเจ็บแบบนี้ทุกครั้งที่มองตาเขา”
เวทย์แตะอกตัวเองเบา ๆ แล้วหลับตาลง
เสียงหนึ่งกระซิบในใจเบา ๆ
“เพราะความรักของเจ้ากำลังจะจำได้...”
.
.
อีกฝั่งหนึ่งของเมือง เวหากำลังเปิดกล่องไม้ใบหนึ่งที่อยู่ลึกในตู้เสื้อผ้า กล่องที่เขาไม่ได้เปิดมาหลายปีแล้ว
ในนั้นมีเพียงสมุดบันทึกเก่า ๆ และภาพวาดที่เขาเคยฝันถึง...ดอกไม้กลางทุ่ง หญ้าสีเขียว เส้นทางที่ทอดไกล และมือสองข้างที่เคยกุมกันแน่น
เวหาไล้ปลายนิ้วไปตามภาพวาดเหล่านั้น หัวใจเขาเจ็บอย่างไร้สาเหตุ
แล้วเขาก็เปิดสมุดหน้าสุดท้าย
มีข้อความหนึ่งเขียนไว้ด้วยลายมือของเขาเอง...แต่เขากลับจำไม่ได้ว่าเคยเขียนมันไว้เมื่อไหร่
> “ถ้าเราได้พบกันอีกครั้ง...แม้จะไม่มีความทรงจำใดหลงเหลือ แต่ขอให้หัวใจจำได้ ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน”
เวหาเบิกตากว้าง หยาดน้ำตาไหลลงบนหน้ากระดาษช้า ๆ
“…เวทย์”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!