เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังเบา ๆ เมื่อลมฝนพัดผ่านบานประตูไม้เก่า กลิ่นหอมของกาแฟคั่วสดลอยคลุ้งไปทั่วร้านอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับมันรู้หน้าที่ของตัวเองดี วรรษเงยหน้าจากเครื่องบดเมล็ดกาแฟพลางยิ้มจาง ๆ ให้กับความเงียบงันในร้านเล็ก ๆ แห่งนี้
ร้าน "สายฝนเบาเบา" ตั้งอยู่ริมถนนสายเล็กในเมืองเล็ก ๆ ที่ใครหลายคนอาจไม่เคยแวะเวียนมา เว้นเสียแต่จะบังเอิญ หรือไม่ก็...ตั้งใจกลับมาเหมือนเขา
กระจกหน้าร้านมีหยาดฝนเกาะพราวเป็นจุดเล็ก ๆ แสงแดดอ่อนในยามสายหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังเมฆเทา วรรษเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดแก้ว แล้วเดินเช็ดโต๊ะหน้าต่างที่วางอยู่ตรงมุมเดิม—มุมที่เคยมีใครบางคนนั่งอยู่เสมอ
"ฝนตกตั้งแต่เช้าเลยนะ" เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงเขานุ่มและแหบเล็กน้อยจากการไม่ได้พูดกับใครมาสักพัก
แม้จะเปิดร้านมาได้เพียงสองวัน แต่ทุกอย่างในร้านกลับดูเหมือนเปิดมานานแล้ว โต๊ะไม้เล็ก ๆ สีซีดจากกาลเวลา เคาน์เตอร์ที่เขาขัดจนเงาแวว ผนังที่แขวนภาพวาดเส้นของสายฝนและสายน้ำ เสมือนบอกเล่าเรื่องราวของใครบางคนที่เคยอยู่ตรงนี้...และจากไป
เขาไม่ได้ตั้งชื่อร้านว่า "สายฝนเบาเบา" เพราะมันสวยงามหรือโรแมนติกอะไร เขาตั้งชื่อเพราะมันคือ “สิ่งเดียว” ที่ทำให้เขานึกถึงบ้าน และ—ใครอีกคน
วรรษเดินกลับหลังเคาน์เตอร์ กดน้ำร้อนลงในเครื่องชงกาแฟ ปล่อยให้กลิ่นหอมรินไหลออกมาเหมือนความทรงจำที่ไหลกลับมาทีละนิด
หกปีก่อน...เขาเคยนั่งอยู่ที่ร้านนี้—ไม่ใช่ในฐานะเจ้าของ แต่ในฐานะ “เด็กหนุ่มคนหนึ่ง” ที่ใช้มันเป็นที่หลบฝนจากทุกอย่างในชีวิต
รวมถึง...จาก “ธาร”
ชื่อของเขาโผล่ขึ้นมาในหัวอีกครั้งเหมือนฝนที่เริ่มตกแรงขึ้น ไม่มีคำบอกลา ไม่มีข้อความ ไม่มีเหตุผล วรรษหายไปจากชีวิตของธารในวันฝนตกวันนั้น พร้อมกับหัวใจที่เหมือนถูกลืมทิ้งไว้ที่เดิม
เขารู้...ว่ามันผิด แต่เขากลับมาแล้ว
เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังอีกครั้ง ทำให้เขาหลุดจากห้วงความคิด วรรษเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางประตู ร่มในมือยังมีหยาดฝนเกาะพราว และดวงตาของเขานั้น—เย็นชาและลึกเกินกว่าจะอ่านออกง่าย ๆ
"กาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาล" เสียงทุ้มเรียบเอ่ยออกมา เหมือนสั่งกาแฟธรรมดา แต่สำหรับวรรษ มันคือ “รหัสลับ” ที่ทำให้หัวใจเขาเต้นช้าลงอย่างไม่แน่ใจ
ธาร...คือคนเดียวในโลกนี้ที่สั่งกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลด้วยน้ำเสียงแบบนั้น
วรรษมองอีกฝ่ายตรง ๆ ในขณะที่มือเริ่มลงมือทำตามสัญชาตญาณ
ไม่มีคำทัก ไม่มีคำถาม ไม่มีแม้แต่ความตกใจจากอีกฝ่าย เหมือนธารรู้มาตลอด...ว่าเขาจะกลับมา
หรือไม่ก็...ไม่เคยลืมเขาเลย
"คุณเคยมาแล้วหรือเปล่า?" วรรษถามขึ้นในจังหวะที่เขาเสิร์ฟกาแฟ ธารมองหน้าเขานิ่ง ๆ ก่อนจะเบือนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง
"ฉันจำที่นี่ได้ แต่จำคุณไม่ได้" คำพูดเรียบง่ายแต่เหมือนมีหนามเล็ก ๆ แทงลงกลางอก
วรรษยิ้มบาง ๆ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ตกใจ เพราะเขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่า การกลับมาเจอธารอีกครั้ง...มันไม่เคยง่าย
"วันนี้ฝนตกเหมือนวันนั้นเลย" เขาวางถ้วยกาแฟลงช้า ๆ ธารไม่ตอบ แค่ก้มมองกาแฟในมือ เหมือนกำลังต่อสู้กับความรู้สึกบางอย่างในใจ
วรรษไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายให้อภัยทันที ไม่ได้หวังให้เขาจำได้ทุกอย่างในวันเดียว
เขาแค่...หวังว่าในร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งนี้ ในวันที่ฝนตกแบบนี้ หัวใจที่เคยเงียบเหงาของทั้งสองจะได้เริ่มฟังเสียงกันและกันอีกครั้ง
เสียงฝนข้างนอกยังคงตกไม่หยุด บนโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง ชายหนุ่มสองคนต่างนั่งเงียบ ปล่อยให้ไอน้ำจากกาแฟอุ่น ๆ ลอยขึ้นประสานกับกลิ่นของอดีตที่ยังไม่จางหายไปไหน
และเมื่อสายฝนเริ่มเบาลง
เสียงนาฬิกาในร้านก็ดังขึ้นในความเงียบ เหมือนจะบอกว่า...เรื่องราวครั้งใหม่ กำลังจะเริ่มต้น
เช้าวันถัดมา ฝนยังไม่หยุดตก
สายลมเย็นเอื่อย ๆ พัดผ่านหน้าต่างร้าน “สายฝนเบาเบา” อย่างเกียจคร้าน วรรษเปิดร้านด้วยความเงียบงันเช่นเคย เขาใช้เวลาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเช็ดเคาน์เตอร์ เตรียมเบเกอรี่ และชงกาแฟให้ตัวเองหนึ่งแก้ว
เขานั่งจิบมันที่มุมหน้าต่าง—โต๊ะเดียวกับเมื่อวาน โต๊ะที่ธารเคยนั่ง และยังคงนั่งเมื่อวานนี้
วรรษเฝ้ามองหยาดฝนไหลผ่านกระจกโดยไม่มีคำพูดใด ๆ กลิ่นของกาแฟที่เขาชงในวันนี้ ยังคงเป็นกลิ่นเดิมที่เขาเคยชงให้คน ๆ หนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
แต่เขารู้ดี…ว่าความรู้สึกนั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
และในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้น…
เสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขึ้น—เสียงที่เหมือนเดจาวู
วรรษไม่ต้องเงยหน้าดู เขารู้ว่าใคร
ธารยืนอยู่หน้าประตูในชุดทำงานเรียบง่าย เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด ร่มพับเก็บในมือ และหยาดฝนเกาะบนผมสีดำสนิทของเขา
“กาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาล”
วรรษอดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อย ๆ
“ฉันยังชงแบบเดิมได้นะ” เขาพูดขณะเดินกลับไปที่เครื่องชง
“แต่ไม่แน่ใจว่าจะยังอร่อยเหมือนเดิมรึเปล่า”
ธารไม่ตอบ เขาเดินมานั่งที่เดิม เหมือนเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วรรษมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายจากหลังเคาน์เตอร์ ใจหนึ่งก็สงสัยว่าทำไมธารถึงกลับมาที่ร้านนี้อีก ทั้งที่เมื่อวานแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลย
หรือบางที...ความเงียบของที่นี่ อาจเป็นคำตอบ
"คุณกลับมาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?" ธารถามขึ้นในขณะที่วรรษวางแก้วกาแฟลง
เสียงของเขาเย็น แต่ก็ไม่ได้ห่างเหินเหมือนเมื่อวาน
“แค่สองวัน” วรรษตอบเบา ๆ
“แต่ฉันคิดถึงที่นี่มานานแล้ว”
“แล้วจะอยู่...นานแค่ไหน?”
คำถามนั้นแฝงความรู้สึกมากเกินไป และวรรษเองก็สัมผัสได้
แต่เขาเลือกจะตอบแบบตรงไปตรงมา
“เท่าที่ใจยังไหว”
ธารเงียบไปชั่วครู่ เขาหยิบแก้วกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย แล้วหลุบตามองไอน้ำที่ลอยขึ้นจากถ้วย
“กลิ่นมันยังเหมือนเดิม” เขาพูดเบา ๆ
“แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามันคือกลิ่นกาแฟ...หรือกลิ่นของความทรงจำ”
วรรษนิ่งงันไปเล็กน้อยกับประโยคนั้น เขารู้ว่าในถ้อยคำของธารมีบางสิ่งที่เขาเองก็ยังไม่กล้าทบทวน
“คุณเคยคิดถึงฉันบ้างไหม?” วรรษถามเสียงเบา เหมือนถามกับตัวเอง
ธารไม่หันมา แต่เขาตอบ
“มีบางเช้าที่ฉันลืมตาตื่น แล้วนึกว่าคุณยังอยู่ตรงนี้...แต่พอรู้สึกตัว ก็แค่ได้ยินเสียงฝนตก แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป”
ความเงียบตกลงมาระหว่างคนสองคนอีกครั้ง
แต่คราวนี้...มันไม่ใช่ความอึดอัด มันคือความนิ่งที่อบอุ่นปนเศร้า ราวกับพวกเขากำลังฟังเสียงฝนด้วยหัวใจเดียวกัน
เวลาผ่านไปหลายนาที ธารลุกขึ้น วางเงินบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม แล้วหมุนตัวเดินไปที่ประตู
ก่อนเขาจะเปิดประตูออก
วรรษเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“พรุ่งนี้ฝนอาจยังตกอยู่...แต่ร้านจะยังเปิดเหมือนเดิม”
ธารชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แต่เขาไม่หันกลับมา
“ถ้าอย่างนั้น...ฉันอาจจะแวะมาใหม่”
และประตูไม้ก็บานเล็ก ๆ ก็ปิดลงอย่างช้า ๆ เหลือไว้เพียงเสียงฝนที่ยังไหลริน
และหัวใจของวรรษที่สั่นไหวไม่ต่างจากวันวาน
แม้ฝนจะยังคงตกต่อเนื่องตลอดทั้งคืน แต่เช้าวันใหม่กลับเปิดม่านออกด้วยแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านกลีบเมฆเทาหม่น อากาศยังชื้นอยู่เล็กน้อย ทว่าอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
วรรษเดินออกจากร้านมาหลังจากเปิดร้านและเตรียมของเสร็จเรียบร้อย เขาถือแก้วกาแฟร้อนในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือถือตะกร้าหวายใบเล็กที่เขามักใช้เวลาเก็บดอกไม้ที่ปลูกไว้หลังร้าน
แปลงดอกไม้ที่เขาปลูกไว้มีเพียงไม่กี่ชนิด—ลาเวนเดอร์ ดอกไม้ฝรั่ง และกุหลาบสีครีม
ทุกดอกเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน แต่ก็ยังคงบานสะพรั่งอย่างอ่อนโยน
เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ตรงมุมสวน สูดกลิ่นหอมของดินเปียกฝนและกลีบดอกไม้ที่เริ่มแห้งแดด แล้วหลับตาลงช้า ๆ
ความเงียบของยามเช้าเช่นนี้ทำให้เสียงในหัวใจดังชัดขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น
เขานึกถึงธาร—นึกถึงเสียงฝีเท้าเงียบ ๆ ขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้าร้านทุกเช้า
นึกถึงแก้วกาแฟที่ถูกวางลงบนโต๊ะด้วยมือเรียวยาวที่เขาเคยกุมไว้แน่นเมื่อตอนวัยเยาว์
…และนึกถึงประโยคเมื่อวาน
> “มีบางเช้าที่ฉันลืมตาตื่น แล้วนึกว่าคุณยังอยู่ตรงนี้...แต่พอรู้สึกตัว ก็แค่ได้ยินเสียงฝนตก แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป”
หัวใจเขากระตุกเล็กน้อย แม้มันจะเป็นคำพูดธรรมดา
แต่มันคือคำสารภาพจากคนที่เขาเคยทำให้เจ็บ
“เขายังรู้สึก”
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง เรียกให้วรรษหันกลับไปมอง และก็พบว่าคนที่ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ในเวลาเช้าแบบนี้...กลับมายืนอยู่จริง ๆ
“คุณมาเช้ากว่าทุกที” วรรษพูดขณะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ
ธารยืนอยู่ในเสื้อยืดสีเข้มเรียบ ๆ กับกางเกงขายาว รองเท้าหนังเปียกฝนเล็กน้อยจากพื้นยังเปียก
“ฉันยังไม่ได้ไปทำงาน” เขาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะมองไปยังแปลงดอกไม้เบื้องหน้า
“กลิ่นที่นี่...ยังเหมือนเดิม”
วรรษยิ้มน้อย ๆ
“คุณจำมันได้เหรอ?”
ธารไม่ตอบ เขาเดินเข้ามาช้า ๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวถัดไป
สายตาของเขามองตรงไปยังดอกลาเวนเดอร์ที่เอนตามแรงลมเบา ๆ
“เมื่อก่อน คุณเคยบอกว่าถ้าผมโกรธ หรือเศร้า หรือเหนื่อย...ให้มานั่งตรงนี้ แล้วกลิ่นดอกไม้จะช่วยเยียวยาใจ”
วรรษหันมามองใบหน้าอีกฝ่ายช้า ๆ
แสงแดดยามเช้าสะท้อนเข้าที่ดวงตาของธาร ทำให้เห็นแววบางอย่าง—เศร้า แต่ยังไม่ตายไป
“ตอนนั้น...ฉันเชื่อมั่นในสิ่งนั้นจริง ๆ” วรรษพูดเบา ๆ
“เพราะฉันเองก็ใช้มันปลอบใจตัวเองทุกครั้ง...ที่รู้ว่าคุณเหนื่อยจากเรื่องที่บ้าน”
ธารไม่พูดอะไรทันที เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นดึงกลีบลาเวนเดอร์ที่หลุดลอยลงมา แล้วหมุนมันช้า ๆ อยู่ในมือ
“แล้วตอนที่คุณหายไป...คุณได้ปลอบใจตัวเองด้วยวิธีเดียวกันไหม?”
ประโยคนั้นเหมือนคมมีดที่ค่อย ๆ บาดลงกลางใจวรรษ เขานิ่งงัน
“บางคืน ฉันเอากลิ่นลาเวนเดอร์แห้งที่เคยใส่ซองไว้ใต้หมอนขึ้นมาสูด
แต่มันไม่เคยมีกลิ่นอีกเลย...หลังจากคุณจากไป”
วรรษหลุบตามองพื้น สายลมเย็นพัดผ่านใบหน้าช้า ๆ
“ฉันขอโทษ...”
ธารยังคงไม่สบตาเขา
“มันไม่ได้แก้ไขอะไรได้หรอก...แต่บางที การกลับมา อาจจะเป็นการเริ่มใหม่”
คำพูดของเขาไม่ใช่การให้อภัย แต่เป็นประตูเล็ก ๆ ที่เปิดให้วรรษได้ก้าวเข้าไปอีกครั้ง
วรรษยิ้มบาง ๆ ขณะยื่นตะกร้าดอกไม้ไปตรงหน้า
“ช่วยเลือกดอกไม้ที่คุณชอบสักสองสามดอกได้ไหม? ฉันจะจัดใส่แจกันไว้ตรงโต๊ะของคุณ”
ธารมองหน้าวรรษนิ่ง ๆ ก่อนจะหยิบดอกลาเวนเดอร์สองดอก และกุหลาบสีครีมอีกหนึ่งดอกอย่างเงียบงัน
“นี่คือดอกไม้ที่คุณเคยบอกว่ามัน...มีกลิ่นเหมือนบ้าน”
ธารเอ่ยเบา ๆ พลางยื่นดอกไม้ให้วรรษกลับ
“หวังว่าร้านนี้...จะทำให้รู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง”
และในเช้าวันนั้น ที่มีทั้งกลิ่นดิน กลิ่นดอกไม้ และแสงแดดอุ่น ๆ หลังฝน
สองคนที่เคยห่างไกล กลับนั่งอยู่ข้างกันอีกครั้ง...โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรเลยมากนัก
เพราะบางครั้ง การฟังเสียงหัวใจของกันและกัน ก็ดังชัดในความเงียบที่สุด
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!