เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วผืนฟ้า แผ่นดินสั่นสะเทือนราวกับโลกใกล้แตกสลาย
เปลวเพลิงสีดำลุกท่วมจากปีกของอสูรแห่งเผ่าปีศาจที่คำรามก้องอยู่กลางสนามรบ
กองกำลังของมนุษย์และเอลฟ์ที่เคยยึดแนวหน้าไว้แน่นหนา กำลังล่าถอยด้วยความตื่นตระหนก
ศพนับร้อยนอนเกลื่อน พื้นดินแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเลือด
“พวกมัน… บุกฝ่าแนวป้องกันชั้นในมาแล้ว!”
เสียงทหารนายหนึ่งตะโกนลั่น ขณะที่ปลายหอกในมือเขาสั่นเทา
ทว่าไม่มีคำสั่งตอบกลับมาอีกจากหัวหน้า…
เพราะศีรษะของเขา ถูกแทงทะลุด้วยดาบของปีศาจไปเมื่อไม่กี่ลมหายใจก่อนหน้านั้น
ที่ใจกลางสมรภูมิ ชายในชุดคลุมสีเลือด ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมที่โหมกระหน่ำ
“ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะได้ลิ้มรสของ เนตรมารชั้นที่สาม…”
เขายกมือขึ้นช้า ๆ ปลายนิ้วเรียวยาวจรดกลางหน้าผาก
…ดวงตาทั้งสองข้างค่อย ๆ เรืองแสงสีม่วงเข้ม ราวกับเปลวไฟจากนรกเบื้องล่าง
ฉึบ!
แสงสีม่วงพุ่งออกเป็นสายฟ้าเฉือนกลางอากาศ
กองทัพเอลฟ์ที่ตั้งรับอยู่ในแนวหลัง ถูกกรีดออกเป็นสองฝั่ง
เลือดสาดฟุ้งราวกับสายฝนแห่งความตาย ชิ้นส่วนร่างลอยกระจัดกระจายไม่มีชิ้นดี
และภายในฉากนรกนั้น เด็กชายคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางกองศพ
เขาตัวเล็ก ผิวเปรอะไปด้วยเขม่าควัน ชุดผ้าบางขาดวิ่น
เบื้องหน้าคือร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่กอดเขาไว้ตอนวินาทีสุดท้าย…
ร่างนั้นไร้ศีรษะ เหลือเพียงซากที่ยังอุ่นจากความรักครั้งสุดท้ายของมารดา
“แม่… ลุกขึ้นสิ… ได้โปรด…”
เสียงของเด็กชายทั้งร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดและ…เสียใจเขาเอื้อมมือไปแตะใบหน้าที่ไม่ตอบสนอง
ของแม่มือเล็ก ๆ นั้นสั่นจนแทบจับอะไรไม่ได้
หัวใจของเขาแตกสลายโดยไม่มีเสียงใด ๆ
เลือดจากศพหยดลงบนดวงตาของเขา…
แล้ววินาทีนั้นเอง ดวงตาของเด็กชายก็เปล่งแสงสีขาวนวลบริสุทธิ์
ลมหายใจหยุดชะงัก ฟ้าทั้งผืนเงียบงัน
เขายกมือขึ้น—กางฝ่ามือไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว
ปลายนิ้วสั่นเบา ๆ ราวกับสัมผัสกับอะไรที่ไม่มีอยู่จริง
…และทันใดนั้น ท่ามกลางความว่างเปล่า ก็มีบางอย่างระเบิดออกมาจากภายในตัวเขา
แสงสีขาวพวยพุ่งออกจากดวงตา รุนแรงราวกับฉีกกฎของโลกนี้ทิ้งไป
แรงสั่นสะเทือนครอบคลุมทั้งสนามรบ
ทุกอย่างที่เคยมีอยู่ตรงหน้าถูกบดขยี้ ละลาย และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่มีเลือด ไม่มีศพ ไม่มีเศษอาวุธ ไม่มีเสียงกรีดร้อง…
ไม่มีแม้แต่เงาของผู้ใด
สิ่งที่เหลืออยู่ มีเพียงเด็กชายคนนั้น ยืนอยู่กลางพื้นที่ราบเรียบว่างเปล่า
รอบตัวคือทะเลแห่งความนิ่งสงบ ทว่าหนักอึ้งกว่าภูเขาทั้งลูก
ดวงตาของเขาค่อย ๆ ดับแสงลง ทรุดตัวลงกับพื้น—หมดสติ
และในเงามืดของผืนฟ้า เงาร่างหนึ่งยืนมองอยู่ห่างไกล
“…เด็กคนนั้น… เขาใช้ ‘เนตรต้องห้าม’ โดยไม่รู้ตัว…”
เสียงแหบแห้งของชายชราดังขึ้น ท่ามกลางลมหนาวที่โบกผ่าน
“นี่แหละ… จุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหม่… ศึกเนตรสี่เผ่า ที่ไม่มีวันหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป”
นี่คือจุดเริ่มต้นของมหาสงคราม
มันไม่ได้เริ่มจากความแค้น ไม่ใช่จากการชิงอำนาจ
แต่เริ่มจากเด็กคนหนึ่งที่…
สูญเสียทุกอย่าง
ยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงของแผ่นดินมิดแกรนด์ สายลมหนาวหอบกลิ่นใบไม้แห้งและดินเปียกชื้นล่องลอยผ่านป่าทึบที่ทอดตัวอยู่รอบหมู่บ้านเอลคาน่า หมู่บ้านเล็กๆ ของเผ่ามนุษย์ที่ดูไม่มีสิ่งใดโดดเด่น นอกจากความเงียบสงบที่ปกคลุมมายาวนานนับสิบปี
เสียงไม้แห้งหักดัง กร๊อบ ท่ามกลางความเงียบสงัด ชายในผ้าคลุมสีเลือดห้าคนก้าวผ่านความมืดราวกับเงาของความตาย ทุกย่างก้าวของพวกเขาไม่ทิ้งร่องรอย ไม่มีแม้เสียงฝีเท้า พวกมันคือ “หน่วยนักล่า” แห่งแดนปีศาจ
“เป้าหมายอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางตะวันตกของป่า ถ้ามันมีเนตรจริง — ห้ามให้รอด”
เสียงแหบต่ำของชายร่างสูงใหญ่ดังลอดผ่านเวทสื่อสาร
อีกคนหัวเราะแผ่วเบา ขณะที่คมดาบในมือส่องประกายสะท้อนแสงจันทร์
“ถ้าเด็กนั่นตื่นเนตรขึ้นมาในเวลานี้…จะเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน”
จากนั้นเสียงระเบิดก็ถูกปลดปล่อยอย่างไร้การเตือน หมู่บ้านที่เคยสงบสุขเริ่มสั่นสะเทือนจากเสียงกรีดร้อง ความตื่นตระหนก และเพลิงไฟที่ลุกโชนกลางคืนสีเลือด
ภายในบ้านไม้หลังเล็กของตระกูลดราเวลล์ — เรน ดราเวลล์ วัย 16 ปี กำลังป้อนยาสมุนไพรให้ชายชราเคราขาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
“ปู่…จะหายแน่ ผมสัญญา…ขอแค่รอดผ่านฤดูนี้ไปให้ได้”
เรนเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาในสายตาคนทั่วไป ไม่มีพลัง ไม่มีเนตร ไม่มีอนาคต เขาเป็นเพียงหลานชายของชายชราผู้เคยเป็นอดีตนักเวทสายป้องกัน แต่ตอนนี้ก็เหลือเพียงร่างที่อ่อนแรงรอวันหมดลมหายใจ
แต่แล้ว — เสียงระเบิดดังขึ้นจากฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน!
ตู้ม!!!
เพลิงสีแดงเจิดจ้าแตกระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเรน เสียงร้องไห้ เสียงตะโกน และเสียงดาบปะทะกันก้องกังวานไปทั่ว
“เกิดอะไรขึ้น…?”
เรนรีบคว้ามีดสั้นที่พกไว้ใช้เก็บของในป่า แล้วพุ่งออกจากบ้าน เขาวิ่งสวนผู้คนที่วิ่งหนีตาย บ้างก็ล้มตายด้วยคมดาบของศัตรูในผ้าคลุมเลือด
“อสูร…! มันบุกมาได้ยังไง!?”
“ช่วยด้วย!!”
เขาวิ่งไปทางบ้านของลุงซึ่งอยู่ห่างออกไปสามหลัง แต่แล้วกลับพบร่างของหญิงชราที่ล้มอยู่ท่ามกลางแอ่งเลือด — ป้าเมียร่า เพื่อนบ้านที่เคยให้ขนมเขาตอนเด็ก
หัวใจเรนเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ความกลัว ความโกรธ และความสับสนตีรวนไปหมด
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ร่างของชายในผ้าคลุมปรากฏขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย็นเยียบ
“ในที่สุดก็เจอแล้ว…เป้าหมาย”
เรนเบิกตากว้าง เขารู้ตัวว่าถูกตามล่า มีดในมือสั่นเล็กน้อย เขาถอยหลังอย่างช้าๆ ก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีสุดแรง
“เฮือก!!”
มีดของนักล่าปักลงบนไหล่ซ้ายของเขาอย่างแม่นยำ เรนล้มกลิ้งไปกับพื้น เลือดอุ่นๆไหลรินข้างแก้ม เขาเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างหมดหนทาง
“เจ้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตัวเองเป็นใคร…น่าสมเพชจริงๆ”
ดาบยาวของชายคนนั้นยกขึ้นสูง พร้อมจะฟาดลง
แต่ในชั่ววินาทีแห่งความเป็นความตาย
เรนได้ยินเสียงบางอย่าง
เสียงที่เหมือนดังมาจากในหัว — เสียงของใครบางคนที่เขาจำไม่ได้
“เจ้าต้อง…ปกป้องสิ่งสำคัญ…”
ตาเบิกโพลง — แสงสีทองเรืองวาบขึ้นจากดวงตาข้างขวา
วงแหวนเวทสามชั้นหมุนวนอยู่ภายในตาดำ ราวกับมีอักขระโบราณส่องประกายอยู่ในนั้น
“—!?”
ดาบที่ฟาดลงมาโดนอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น “ปัง!”
มันแตกกระจายราวกับชนเข้ากับกำแพงเหล็ก!
ตรงหน้าของเรน มี บาเรียโปร่งแสง รูปทรงกลมล้อมรอบตัวเขาไว้โดยอัตโนมัติ มันปรากฏขึ้นจากพลังบางอย่างที่เรนไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ ไม่แม้แต่ควบคุม
ชายในผ้าคลุมชะงัก รอยยิ้มเลือนหาย
“…เนตรบาเรีย…? ไม่มีทาง เด็กนี่น่ะเหรอ!?”
เรนลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แม้เลือดยังไหลไม่หยุด แต่สายตากลับมั่นคงขึ้นเล็กน้อย
เขาไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงอย่างเดียว — เขาไม่อยากตาย
ดวงตาสีทองยังคงส่องแสงอยู่ ท่ามกลางเปลวเพลิงและกลิ่นคาวเลือด
“ฉัน…จะไม่ยอมตายที่นี่…”
บาเรีย กะพริบแสงอีกครั้ง
ก่อนจะขยายตัวออกเป็นคลื่นกระแทก “ตู้ม!!”
ร่างของนักล่าถูกเหวี่ยงกระเด็นกระแทกกับต้นไม้
ที่บนต้นไม้ไกลออกไป
หญิงสาวผมยาวสีเงินที่แอบดูอยู่เงียบๆ ยิ้มบาง
“ในที่สุด…เนตรแห่งตระกูลดราเวลล์ก็กลับมาแล้ว”
เสียงกระแทกอากาศดังสนั่นเมื่อร่างของชายสวมหน้ากากปลิวกระเด็นไปไกลหลายเมตรก่อนจะกลิ้งไปตามพื้นดินจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว
“อะ…อะไรกัน…เมื่อกี้มัน…”
เรน มองมือตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว เหงื่อผุดเต็มใบหน้า และดวงตาข้างซ้ายของเขาสะท้อนแสงสีฟ้าจางๆ — แสงจากพลังที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรียกว่าอะไร
ศัตรูที่โดนพลังผลักกลับยันตัวลุกขึ้นอีกครั้ง เขาค่อยๆ ยืดตัว สะบัดไหล่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงต่ำ
“หึ…ใช่จริงๆ ด้วย…พลังนั่น… เนตรบาเรียของตระกูลดราเวลล์”
แววตาของเรนสั่นไหวทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น
“นายเป็นใครกันแน่… ทำไมถึงรู้ชื่อตระกูลดราเวลล์”
ชายคนนั้นไม่ตอบคำถาม แต่ยกดาบขึ้น กระแทกเข้ากับบาเรียสีใสที่ห่อหุ้มร่างของเรนอย่างรุนแรง
ผัวะ!
เสียงร้าวของพลังเวทดังก้อง ดาบปะทะกับโล่เวทหลายครั้งติดต่อกัน และแต่ละครั้ง บาเรียก็เริ่มแสดงรอยร้าวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“อย่าได้หวังว่าพลังครึ่งเดียวจะช่วยชีวิตแกได้นานนัก เด็กเปรต…”
“ข้าจะฟาดมันจนกว่าบาเรียจะพัง และกระชากหัวแกเป็นรางวัลให้จอมราชันย์เดี๋ยวนี้!”
เรนก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก เขายังไม่รู้แม้แต่จะใช้พลังนั่นยังไง เขาเรียกมันไม่ได้ตามใจ และเขาไม่อยากสู้ตายตรงนี้
แต่ก่อนที่ดาบจะฟาดลงอีกครั้ง — เสียงคำรามของลมและแสงสีเงินก็พุ่งทะลวงจากฟากฟ้าใส่ร่างของศัตรูอย่างจัง
ตูม!!
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเรน — หญิงสาวผมเงินในชุดคลุมดำที่แววตาแข็งกร้าวและเปื้อนเลือดจากการต่อสู้
“เรน! หนีไป!” เธอตะโกน
“พวกมันกำลังจะมามากกว่านี้อีก! ถ้านายยังอยู่ตรงนี้ นายจะตายนะ!”
เรนยังตกใจอยู่ หัวใจเต้นถี่จนแทบหายใจไม่ทัน
“แต่ว่า…คนในหมู่บ้าน…”
“ไม่มีเวลาแล้ว! พาใครที่พอแบกได้หนีไปทางทิศเหนือ! ไปที่เมือง เอเซลฟอร์ด! ไปที่นั่น ที่นั้นยังปลอดภัย!”
หญิงสาวปะทะกับศัตรูอย่างไม่ลังเล แสงเวทสีเงินกระแทกใส่เป้าหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่เรนกัดฟัน หันหลังให้สนามรบ แล้วพุ่งตัวออกไป
เสียงกรีดร้องและเปลวเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ด้านหลังหมู่บ้านในยามค่ำคืน
เรนตะโกนเรียกชาวบ้านทุกคนให้ตื่น บอกให้พวกเขารีบหนี และในขณะที่ความโกลาหลปกคลุม เขาก็รีบตรงเข้าไปในบ้านไม้หลังเล็กที่มีชายชราอายุกว่าแปดสิบปีนอนอยู่
“ปู่! ปู่ต้องลุกขึ้นแล้ว เราต้องหนี!”
ชายชราเงยหน้ามาอย่างอ่อนแรง “มันถึงเวลาแล้วสินะ…ชะตาที่หลีกไม่พ้นของสายเลือดเรา…”
เรนไม่พูดอะไรต่อ เขาแบกร่างของปู่ขึ้นบนหลัง ฝืนแรงทั้งหมดพาชายชราออกจากหมู่บ้านไปพร้อมกับคนอื่นๆ
ในขณะที่หมู่บ้านทั้งหมดย่อยยับลงในเปลวเพลิง
เรนและชาวบ้านรอดมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
เมืองเอเซลฟอร์ด (Ezellford)
เมืองชายแดนทางเหนือที่มีภูเขาโอบล้อมและแม่น้ำคดเคี้ยวเป็นธรรมชาติ ตั้งอยู่ภายใต้การปกครองของสภาเผ่ามนุษย์ เป็นเมืองแห่งการหลบภัยและศูนย์รวมของผู้พลัดถิ่นจากสงครามในอดีต
เรนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนกระทั่งอายุได้ 19 ปี
ตลอดเวลา 3 ปีที่อยู่ที่นี่ เขาฝึกฝนร่างกายและจิตใจ แต่ก็ไม่เคยลืมแสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากดวงตาในคืนนั้น และคำพูดของศัตรูที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัว
จนกระทั่งวันหนึ่ง…
มีสารจาก “อาคาเดมี่ที่สอนใช้พลังจากเนตรแห่งเฟลโน่ร์” ส่งมาถึง
“ผู้มีพลังจงเข้าร่วม ณ ศูนย์ฝึกสอนสายเนตรแห่งเฟลโน่ร์ เพื่อเรียนรู้พลังที่แท้จริงของเจ้า โลกกำลังเดินเข้าสู่ยุคสงครามอีกครั้ง และสายเลือดของเจ้า…คือกุญแจของทุกสิ่ง”
จบตอนที่ 1
เมืองเอเซลฟอร์ดเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตที่หลากหลายและวุ่นวาย เป็นเมืองที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นศูนย์กลางของการศึกษาพลังที่ไม่ธรรมดาในช่วงเวลานี้ ชาวเมืองที่เคยหนีจากสงครามหรือภัยธรรมชาติต่างก็เดินทางมาที่นี่เพื่อหาความหวังใหม่ ในเมืองนี้มีสถานที่สำคัญหนึ่งที่ทุกคนรู้จักดี นั่นคือ “อาคาเดมี่แห่งเฟลโน่ร์” โรงเรียนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นที่เดียวที่สามารถฝึกฝนผู้ที่มีพลังพิเศษจากเนตรแห่งเฟลโน่ร์ได้
หลังจากที่เรนได้เดินทางมาถึงเมืองเอเซลฟอร์ด เขาและลูซ่าได้เดินทางมาถึงอาคาเดมี่แห่งเฟลโน่ร์ โรงเรียนใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง มองเห็นได้จากทั่วทั้งเมือง อาคารใหญ่โตหลายชั้นมีการออกแบบที่สง่างามและเต็มไปด้วยความทันสมัย เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในบริเวณอาคาเดมี่ก็ได้พบกับนักเรียนหลายคนที่กำลังมารวมตัวกันอยู่ในลานกลางแจ้ง
เสียงของอาจารย์ประจำอาคาเดมี่ดังขึ้นจากไมโครโฟนกลางลาน “ขอต้อนรับทุกคนที่มาถึงอาคาเดมี่แห่งเฟลโน่ร์ที่นี่เป็นสถานที่ที่จะช่วยให้คุณค้นพบพลังที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณ การฝึกฝนที่นี่ไม่ได้เป็นแค่การควบคุมพลัง แต่ยังเกี่ยวกับการเข้าใจตัวตนของคุณเอง เราจะช่วยให้คุณเติบโตและรู้จักใช้พลังเหล่านั้นให้ดีที่สุด”
เรนมองไปรอบๆ และเห็นนักเรียนหลายคนที่ต่างก็มีสีหน้าจริงจัง บางคนก็มีท่าทางมั่นใจ บางคนก็ดูตื่นเต้น แต่ทุกคนก็เตรียมพร้อมที่จะเริ่มการทดสอบ
“วันนี้เราจะเริ่มการทดสอบพลังเนตรของทุกคน เพื่อให้เราสามารถจัดกลุ่มและเลือกวิธีการฝึกสอนที่เหมาะสมกับแต่ละคน” อาจารย์กล่าวต่อ “การทดสอบนี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าคุณมีพลังเนตรประเภทใด และเราจะพาคุณไปยังเส้นทางที่ถูกต้องในการพัฒนามัน”
เรนยืนอยู่ในแถวพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ และสังเกตเห็นนักเรียนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา ชื่อว่า “ริน” นักเรียนหญิงที่ดูจะมีความมั่นใจในตัวเองมาก เธอมีผมสีดำยาวและดวงตาที่วาววับเหมือนกับใครบางคนที่มีพลังเนตรที่แข็งแกร่ง อีกคนคือ “โซอิ” นักเรียนชายรูปร่างสูงใหญ่ ดูจากท่าทางแล้วเขาน่าจะเป็นคนที่เคยผ่านการฝึกฝนมาก่อน
การทดสอบเริ่มต้นขึ้น เมื่อแต่ละคนเดินไปที่แท่นกลางลานทดสอบที่อาจารย์จัดเตรียมไว้ จากนั้นลำแสงจากผลึกสีฟ้าก็ส่องลงมาที่หัวของนักเรียนแต่ละคน เพื่อทำการวัดระดับพลังและประเมินประเภทของเนตรที่พวกเขามี
รินเดินขึ้นไปเป็นคนแรก เมื่อแสงส่องลงไปที่เธอ ร่างของเธอก็เริ่มส่องแสงจ้าเล็กน้อย ก่อนที่แสงจะจางลง อาจารย์กล่าวด้วยเสียงเย็น “เนตรแห่งลมพายุ… น่าสนใจทีเดียว” รินยิ้มพอใจก่อนจะเดินออกจากแท่นทดสอบ
ต่อมาถึงตาของโซอิ เมื่อแสงจากผลึกส่องลงไปที่เขา แสงที่ออกมามีความเข้มข้นและยาวนานกว่าคนอื่นๆ มันเปล่งประกายสีแดงสดใส อาจารย์มองดูด้วยความสนใจ “เนตรแห่งไฟ… ความร้อนแรงของพลังเนตรสายโจมตีจริงๆ”
เรนยืนรออยู่ในแถว ท่ามกลางเสียงพูดคุยและกระซิบของนักเรียนที่ยังไม่ได้ทดสอบ เขารู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรงขึ้น ทั้งที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร
เมื่อถึงตาของเรน เขาก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นทดสอบ ภายในใจรู้สึกตื่นเต้นแต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกไว้ เขาหมุนมือไปมาราวกับพยายามสะกดพลังที่ไม่รู้ตัวให้สงบลง แสงจากผลึกสีฟ้าลงมาส่องที่หัวของเขาและทันใดนั้น มันก็เกิดประกายแสงสว่างจ้าขึ้นจนทุกคนต้องหันไปมอง แสงที่ออกมาจากเขาสว่างจ้ามากจนทำให้พื้นดินรอบๆ สั่นสะเทือนน้อยๆ
อาจารย์และนักเรียนคนอื่นๆ มองไปที่แสงนั้นด้วยความสนใจ แต่ในที่สุดแสงก็เริ่มจางลง และเมื่อมันหายไปก็เหลือแค่เงียบงัน อาจารย์มองเรนแล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆ “เนตรสายป้องกัน… ความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่ง”
หลายคนในกลุ่มเริ่มพยักหน้าและพูดคุยกัน แต่ก็ไม่ได้ดูตกใจหรือประหลาดใจอะไร นักเรียนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่าเป็นแค่เนตรสายป้องกันธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษมากนัก
เรนยืนอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกถึงความผิดหวังเล็กน้อยในใจ แต่เขาก็พยายามกลั้นอารมณ์เอาไว้ พลังของเขาอาจจะไม่เด่นเหมือนคนอื่นๆ แต่เขาก็รู้ว่าการทดสอบนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
“ถึงจะเป็นเนตรสายป้องกัน แต่ก็มีประโยชน์มากในสนามรบ” อาจารย์พูดอย่างมั่นใจ “เราจะฝึกฝนกันให้เต็มที่”
เรนยิ้มให้กับตัวเอง แม้จะรู้สึกเหมือนพลังของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เขาก็มั่นใจว่าเขาจะเรียนรู้และพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นในที่แห่งนี้
หลังจากการทดสอบพลังเสร็จสิ้น อาจารย์ได้ทำการจัดกลุ่มนักเรียนตามประเภทของเนตรที่แต่ละคนมี กลุ่มแรกคือสายโจมตี กลุ่มที่สองคือสายป้องกัน และกลุ่มที่สามคือสายสนับสนุน ซึ่งแต่ละกลุ่มจะได้รับการฝึกฝนในด้านต่างๆ ตามความเหมาะสม
“ทุกคนค่ะ วันนี้เราจะเริ่มฝึกกันแล้ว ฉะนั้นขอให้ทุกคนตั้งใจฟังและทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด การจะใช้เนตรให้ได้ผลดีนั้นไม่ใช่แค่เรื่องพลัง แต่คือการควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณให้พร้อม” อาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
นักเรียนทุกคนได้ทยอยเดินไปยังที่ฝึกตามกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย สำหรับกลุ่มที่เรนเข้าร่วม คือนักเรียนที่มีเนตรสายป้องกัน อาจารย์จึงพาพวกเขาไปยังห้องฝึกที่เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่อาจารย์เลือกมาให้เหมาะสมกับการฝึกพลังเนตรประเภทนี้
“นักเรียนที่มีเนตรสายป้องกัน จะต้องฝึกการใช้พลังเพื่อสร้างเกราะป้องกันทั้งตัวเองและผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานของการใช้เนตรประเภทนี้” อาจารย์เริ่มอธิบายขณะยืนอยู่หน้าแผงป้ายที่แสดงเทคนิคต่างๆ ของเนตรป้องกัน
“การเบิกเนตรป้องกันนั้น คุณต้องพยายามดึงพลังภายในตัวคุณให้เกิดการปกป้อง ใช้สมาธิในการควบคุมมันให้เหมือนกับการห่อหุ้มตัวเองด้วยชั้นเกราะ หากทำได้ คุณจะสามารถสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้นได้”
เรนยืนฟังอยู่ด้านหลัง กลิ่นอายของความสงสัยลอยขึ้นมาในใจ เขาพยายามตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ แต่รู้สึกว่ามันยากเกินกว่าจะทำได้ในทันที
เมื่อทุกคนเริ่มฝึก อาจารย์ก็ยืนมองพวกเขาด้วยสายตาที่ใส่ใจ คอยแนะนำอย่างใกล้ชิด เรนเริ่มลองใช้เนตรของตัวเองตามคำแนะนำของอาจารย์ เขาหมดสมาธิลงและพยายามดึงพลังจากภายในออกมา แต่เมื่อเขาลองใช้เนตรเพื่อสร้างเกราะป้องกัน กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แสงจากเนตรของเขายังคงไม่ปรากฏออกมาเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ
เรนขมวดคิ้วและพยายามอีกครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ผลเช่นเคย เกราะป้องกันที่เขาพยายามสร้างยังคงไม่เกิดขึ้น
อาจารย์มองไปที่พระเอกด้วยความสงสัย “ทำไมกัน… ทำไมเนตรของเขาถึงไม่ปรากฏเหมือนคนอื่นๆ?” อาจารย์คิดในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน
นักเรียนคนอื่นๆ ในกลุ่มต่างก็ฝึกฝนและเห็นผลเร็วขึ้น ขณะที่พระเอกยังคงไม่สามารถใช้เนตรของตัวเองได้เหมือนคนอื่น ทำให้เขารู้สึกท้อใจอย่างมาก
“ไม่เป็นไร เรนน” อาจารย์เอ่ยเบาๆ “อาจจะเป็นเพราะคุณยังไม่สามารถควบคุมมันได้เต็มที่ เราจะฝึกกันไปทีละขั้นตอน ถ้ามีอะไรที่คุณสงสัยก็ถามมาได้เลย”
เรนพยักหน้าและพยายามทำตามอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าทำไมเนตรของตัวเองถึงไม่ปรากฏออกมา แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้และตั้งใจฝึกต่อไป
ในขณะที่เขาฝึกอยู่ มีนักเรียนคนอื่นที่เคยฝึกเสร็จแล้วเดินผ่านมาและเห็นสถานการณ์ของเขา พวกเขาจึงพูดกัน
“อ้าว เรนน ไม่ใช้เนตรของเขาเหรอ? เห็นได้ว่ามีแสงขึ้นมานะ แต่ทำไมไม่เห็นเนตรออกมาเหมือนคนอื่น?” หนึ่งในนักเรียนในกลุ่มสายป้องกันกล่าว
เรนหันไปมองและตอบด้วยเสียงที่อ่อนแอ “ใช่… ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”
ทุกคนในกลุ่มต่างพากันมองเรนด้วยความสงสัย แต่พวกเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการใช้พลังเนตรไม่ใช่เรื่องง่าย และการควบคุมมันนั้นต้องอาศัยเวลาฝึกฝน
ในขณะที่อาจารย์ยังคงยืนมองเรนด้วยความสงสัยในใจ คนอื่นๆ ในกลุ่มยังคงฝึกต่อไป และเรนก็ตั้งใจที่จะพยายามอีกครั้ง เพราะเขารู้ดีว่า หากเขายังยอมแพ้ ก็ไม่มีทางที่จะเติบโตและพัฒนาตัวเองได้
การฝึกฝนของทุกคนในวันนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น และในใจของเรนก็ยังคงมีความหวังที่ว่าในวันหนึ่ง เขาจะสามารถปลดล็อกพลังเนตรของตัวเองและค้นพบสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเขา
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!