ประเทศไทย
เสียงพิธีกรบนเวทีมวยขนาดใหญ่ดังขึ้นประกาศชื่อเสียงเรียงนามของคู่ชกคู่สำคัญของวันนี้ เสียงเชียร์ดังกระหึ่มทั่วทั้งสนามมวยที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของประเทศไทย เรือนร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของสตรีที่มีนามว่า อมิตา หรือ ฉายาน้องต้านางฟ้ามวยไทย ปรากฏบนเวทีมวย นอกจากฝีมือการออกหมัดและลูกเตะที่ทำเอาคู่แข่งน๊อคคาเวทีภายในสองยก เธอยังมีหน้าตาสะสวยเป็นอาวุธ ทำให้เธอมีทั้งแฟนคลับที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงทั่วทั้งประเทศไทย
“กรี๊ด……น้องต้านางฟ้ามวยไทย”
เสียงแฟนคลับสาวๆ ที่มาเชียร์นักมวยสาวในดวงใจต่างพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเรียกขานฉายาของเธอออกมา อมิตายกมือไหว้ก่อนที่จะเดินไปสวมนวมและใส่ฟันยาง คู่แข่งของเธอวันนี้เป็นนักมวยสาวชาวจีนที่เดินทางมาท้าประลองกับเธอ ดวงตากลมโตของหญิงสาวมองไปยังคู่แข่งที่มีรูปร่างไม่ต่างกันจากเธอสักเท่าไหร่ ริมฝีปากบางฉีกยิ้มออกมา
“ขอต้อนรับ น้องต้า นางฟ้ามวยไทยแห่งค่ายมวย อรุณรุ่ง”
สิ้นเสียงของพิธีกรเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ชื่อเธอก็ดังกระหึ่มเวทีอีกครั้ง นักมวยคนสวยเดินไปกลางเวทีแล้วยกมือไหว้รอบทิศ ก่อนที่จะวิ่งไปอยู่ข้างขวาของกรรมการ
“ขอต้อนรับผู้ท้าชิงเข็มขัดแชมป์มวยไทยของนางฟ้าเอเชียร์ของเราจากประเทศจีน หลินชูฉวง”
สิ้นเสียงพิธีกรนักมวยสาวจีนจึงยกนวมขึ้นมาไหว้เช่นกัน เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงเชียร์เป็นภาษาจีนดังขึ้นรอบทิศ
สองสาวยืนประจันหน้ากันอยู่บนเวที แววตาวาวโรจน์อย่างมุ่งมั่นของนักมวยสาวชาวไทยทำให้นักมวยสาวชาวจีนรู้สึกท้าทาย นานแล้วที่ไม่ได้เจอคู่แข่งที่น่าสนใจแบบนี้ เสียงระฆังดังขึ้นนวมทั้งสองชนกันก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มขยับเท้าของตน นักมวยทั้งสองต่างลองดูเชิงมวยของกันและกันในยกแรก
อมิตาก็ไม่ได้ออกอาวุธหนักมาตั้งแต่ต้น เธอต้องการหลอกล่อให้อีกฝ่ายใช้แรงให้มากในยกแรก และก็เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ หลินชูฉวงออกอาวุธจนหายใจหอบ ส่วนอมิตานั้นก็หลบหลีกหมัด เข่า และลูกถีบของอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว เสียงระฆังหมดยกดังขึ้นนักมวยทั้งสองจึงหยุดการชกแล้วเดินกลับไปยังข้างเวทีที่มีพี่เลี้ยงรอดูแลอยู่
“ไหวนะน้องต้า” เสียงของพี่เลี้ยงดังขึ้น
“ไหวพี่…เมื่อกี้หนูดูเชิงมวยของอีกฝ่ายแล้ว งานนี้ไม่หมู…แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของหนูแน่นอน”
นักมวยสาวบอกก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมา พี่เลี้ยงกับบิดาของเธอที่เป็นถึงเจ้าของค่ายมวยอรุณรุ่งค่อยสบายใจขึ้นเมื่อได้ยินเธอบอกเช่นนั้น
“เห้ย!! พวกมึงว่าน้องต้าจะน๊อคนักมวยจีนยกนี้ไหมวะ” แฟนคลับที่เชียร์อยู่ด้านล่างเอ่ยถามเพื่อนที่มาเชียร์ด้วยกัน
“กูว่ามีสิทธิ์ว่ะ ดูสายตากับรอยยิ้มของเธอ เป็นเหมือนรอบก่อนเลยฮ่าๆ ยิ้มแบบนี้โคตรน่ากลัว”
เพื่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังก่อนที่จะหัวเราะออกมา เพื่อนที่เหลือเห็นด้วย
ระฆังเตือนยกต่อไปดังขึ้น นักมวยสาวจากสองประเทศเดินไปประจันหน้ากันที่กลางเวที ก่อนที่กรรมการจะสั่งเริ่ม นวมของทั้งสองชนกันอีกครั้งก่อนที่นักมวยสาวชาวจีนจะสาวเท้าเข้าหาแล้วเริ่มออกหมัดก่อน อมิตาหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะสวนกลับไปอย่างเน้นๆ เสียงนวมกระแทกเนื้อของอีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังสนั่น หลินชูฉวงเริ่มออกอาการเหนื่อยเพราะออกแรงตั้งแต่ต้นยก
"นาทีสุดท้าย"
เสียงตะโกนดังจากข้างสังเวียนผืนผ้าใบ หญิงร่างเล็กแต่กำยำด้วยกล้ามเนื้อ ออกอาวุธทั้งหมัด เข่า ศอกใส่คู่แข่งนักมวยสาวชาวจีนแบบไม่ยั้ง แรงกระแทกถึงกับทำให้อีกฝ่ายชะงักนิ่งเป็นพัก จนสัญญาณหมดยกใกล้ดัง
หมัดตรงของนักมวยสาวชาวไทยก็พุ่งตรงไปยังโหนกแก้มของอีกฝ่าย ร่างกำยำของนักมวยสาวชาวจีนถึงกับเซเพราะมึนกับหมัดที่เน้นและหนักแน่นของอีกฝ่าย และแล้วร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของคู่แข่งก็ล้มตึงลงเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนๆ ที่มาเชียร์
“นั่นไง..กูว่าแล้วฮ่าๆๆๆ” แฟนมวยของอมิตาร้องออกมาให้กับความคิดที่ถูกต้องของตน
เสียงระฆังดังขึ้นพร้อมกับกรรมการที่ยกมือทั้งสองขึ้นมาทำท่าไขว้กันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายชกไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีกับนักมวยสาวดาวรุ่งดังขึ้น อมิตานั่งลงก้มกราบเวทีก่อนที่จะลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปดูคู่แข่งที่ยังนอนสลบอยู่
เธอยกมือไหว้ขอโทษขอโพยก่อนที่จะลุกขึ้นวิ่งชูมือไปรอบๆ เวทีเรียกเสียงปรบมือดังสนั่นไปทั้งเวทีมวย ทีมแพทย์สนามเข้ามาดูแลก่อนที่จะหามนักมวยสาวชาวจีนออกจากสนามไปส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็กสมองเพราะแรงกระแทกน่าจะหนักพอสมควร
พิธีกรประกาศชื่อผู้ชนะในการป้องกันเข็มขัดแชมป์มวยไทยในครั้งนี้ กรรมการชูมือหญิงสาวขึ้นมา รอยยิ้มจากนักมวยสาวที่แจกจ่ายไปยังแฟนมวยทุกคนทำให้ทุกคนรู้สึกมีความสุขไปกับเธอด้วย น้อยนักที่ผู้หญิงจะชกมวยเก่งขนาดนี้ อมิตา น้องต้านางฟ้ามวยไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น หนึ่งในส่วนที่มีน้อยนิด หนึ่งในความภูมิใจของชาวไทย
นักข่าวที่มาทำข่าวต่างรอสัมภาษณ์นักมวยสาวดาวรุ่งที่สามารถรักษาเข็มขัดแชมป์ในครั้งนี้ได้อีกครั้ง ภาพที่นักมวยสาวคาดเข็มขัดและรับรางวัลถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์และออกข่าวกีฬาแทบจะทุกช่อง เรียกได้ว่าเธอกำลังโด่งดังและเป็นที่จับตามองของวงการมวยไทย
“ขอสัมภาษณ์น้องต้าหน่อยนะคะ” นักข่าวสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะที่นักมวยสาวเปิดโอกาสให้สัมภาษณ์ได้
“ได้ค่ะ” เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้
“กว่าที่น้องต้าจะประสบความสำเร็จในวันนี้ น้องต้าผ่านอะไรมาบ้าง ช่วยเล่าให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ เยาวชนหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ… กว่าที่ต้าจะมีวันนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่เพราะความชอบและความพยายาม ขยันฝึกซ้อมให้เป็นประจำเลยทำให้ต้าแข็งแกร่งขึ้น จากเด็กผู้หญิงอ่อนแอ ก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงมาได้ ดีที่คุณพ่อสนับสนุนและให้กำลังใจต้ามาโดยตลอด ไม่ว่าต้าจะล้มสักกี่ครั้ง ต้าก็จะรีบลุกขึ้นเสมอ ต้าจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์” คำตอบของนักมวยสาววัยสิบเก้าปีเอ่ยออกมาทำให้คนฟังรู้สึกชื่นชม
“เห็นมีวงในบอกมาว่าน้องต้าฝึกหนักมาก เวลาพักก็มีเพียงน้อยนิด ขอถามได้ไหมคะว่าทำไมน้องต้าต้องฝึกหนักขนาดนั้น” นักข่าวสาวอีกคนเอ่ยถามขึ้น อมิตาหันไปมองก่อนที่จะส่งยิ้มให้
“เพราะการเป็นแชมป์มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยาก…คือการรักษาแชมป์เอาไว้ให้ได้ค่ะ”
บรรดานักข่าวที่ยืนสัมภาษณ์นักมวยสาวดาวรุ่งของยุคต่างพากันยิ้มออกมากับคำตอบของเด็กสาววัยเพียงสิบเก้าปี แต่ทว่าประสบความสำเร็จในเส้นทางที่เลือกเดินเพียงเพราะความมุ่งมั่น ขยันและพยายาม พี่เลี้ยงและบิดาเข้ามาขออนุญาตพานักมวยสาวกลับไปพักผ่อน บรรดานักข่าวจึงยอมปล่อยให้นักมวยสาวไปทันที
ชุดนักมวยถูกเปลี่ยนเป็นชุดสมวัยของเด็กสาววัยสิบเก้าปี อมิตารีบหยิบแท็บเล็ตของตนขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันดูซีรีส์จีนที่ตนเปิดดูเอาไว้ก่อนการขึ้นชก นอกจากการเป็นนักมวยที่มีฝีมือแล้ว อมิตายังเป็นคอซีรีส์จีนอีกด้วย เรียกว่าซีรีส์จีนเรื่องไหนที่เธอไม่รู้จักคงจะไม่มีอีกแล้ว เพราะเด็กสาวนั้นติดซีรีส์จีนมาตั้งแต่เด็ก จนคนเป็นบิดามารดาคิดว่าลูกสาวเป็นคนจีนกลับชาติมาเกิด
“ฟังรู้เรื่องเหรอต้า” บิดาเอ่ยถามบุตรสาวขณะที่นั่งอยู่ในรถตู้ด้วยกัน
“รู้เรื่องสิพ่อ พูดได้ด้วยจะฟังไหมคิกๆๆ” อมิตาตอบบิดาก่อนที่จะเอ่ยถามพร้อมส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ดีเว้ย วันข้างหน้าพ่อจะได้รับลูกศิษย์เป็นคนจีนด้วยเลย ไหนๆ ลูกสาวก็พูดฟังภาษาจีนได้อยู่แล้ว จริงไหม” นายอรุณเอ่ยขอความเห็นจากบุตรสาว
“ดีค่ะ… แต่ตอนนี้ขอต้าดูซีรีส์ก่อนนะพ่อ นางเอกกำลังจัดการกับพวกที่มารังแกอยู่พอดี ถ้าต้าได้เจอผู้หญิงแบบคนพวกนี้นะ ต้าจะชกให้พวกนี้ให้พูดไม่ได้ไปหลายวันเลยคอยดูสิ หึๆ เห็นคนอ่อนแอกว่าแล้วชอบรังแก” นักมวยสาวตอบบิดาก่อนที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับซีรีส์จีนที่กำลังดูอยู่อย่างออกรสออกชาติ
“ฮ่าๆๆ พ่อล่ะกลัวแทนคนพวกนั้นเลย แต่ลูก… นี่มันคือละคร คือการแสดง เรื่องจริงคงไม่มีแบบนี้หรอกมั้ง”
อรุณบอกบุตรสาวก่อนที่จะยื่นมือไปยีผมของเธออย่างเอ็นดู อมิตาละสายตาจากจอมองหน้าบิดาแล้วส่งยิ้มให้ จากนั้นจึงก้มดูภาพเคลื่อนไหวในจอแท็บเล็ตต่อไปอย่างสนใจ อรุณมองบุตรสาวด้วยแววตาอ่อนโยน ถึงแม้อมิตาจะเป็นนักมวยที่เก่งกาจ แต่เธอก็ยังเป็นบุตรสาวที่อ่อนโยนและน่าทะนุถนอมของเขาเสมอ
อมิตาสูญเสียมารดาไปตั้งแต่อายุห้าขวบ อรุณผู้เป็นบิดาจึงเลี้ยงดูบุตรสาวมาเพียงลำพัง เธอถูกสอนท่ามกลางผู้ชาย ด้วยบิดาเปิดค่ายมวยจึงทำให้เด็กหญิงซึมซับและเริ่มที่จะเรียนรู้ เธอฝึกซ้อมมวยมาตั้งแต่เด็กและผ่านเวทีการชกมวยมามากมาย ถ้วยรางวัลเข็มขัดแชมป์ที่อยู่ในตู้ภายในบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ เป็นการบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นและพยายามของเธอ
“วันเกิดปีนี้อยากจัดที่ไหนล่ะลูก” อรุณเอ่ยถามบุตรสาวทันทีที่รถจอดลงที่หน้าบ้าน
“บ้านเรานี่แหละพ่อ ให้พวกพี่ๆ เขาได้กินกับเราด้วย”
พี่ๆ ที่เธอเอ่ยถึงนั้นเป็นนักมวยในค่ายที่มีทั้งหญิงและชาย บิดาของเธอมีลูกศิษย์ที่รักเขาและเขารักอยู่หลายคน และหลายคนนั้นเธอก็นับถือเป็นพี่ชายพี่สาวอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะทุกคนนั้นคอยดูแลเธอมาโดยตลอด จากเด็กหญิงผู้อ่อนแอ กลับกลายมาเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่งได้ในวันนี้ก็เพราะมีบิดาและพวกพี่ๆ คอยช่วยฝึกฝน
“อืม… แบบนั้นก็ได้ลูก หนูไปพักเถอะ เดี๋ยวสักพักค่อยลงมากินข้าว ขึ้นรถมานึกว่าจะหลับกลับดูซีรีส์ตลอดทาง ไม่ไหวเลยลูกคนนี้” อรุณบอกก่อนที่จะบ่นออกมาให้บุตรสาวเรื่องที่เธอติดซีรีส์จีนจนแทบจะไม่ยอมพักผ่อน
อมิตาหันมาส่งยิ้มทะเล้นให้บิดาก่อนที่จะเดินเข้าบ้านไป อรุณเดินตรงไปยังค่ายมวยของตนที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณบ้าน บ้านนอกเมืองหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากบิดาของเขาที่เปิดค่ายมวยมาก่อนหน้าเช่นกัน อมิตาที่เข้าบ้านไปตรงไปยังห้องนอนของตนจากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคลจากการกลับมาจากแข่งขันชกมวยเมื่อเช้าที่ผ่านมา
ณ เมืองหนานอัน เมืองแห่งการค้าขายของแคว้นต้าตง ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหนานอันแห่งนี้นั้น ทำให้มีตระกูลของขุนนางและตระกูลของพ่อค้าจากหลากหลายสกุลมาสร้างจวนและลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองแห่งนี้ รวมไปถึงจวนสกุลหลินของเจ้ากรมการกลาโหม 'หลินหยาง' ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในจวน เขามีฮูหยินและมีอนุภรรยาอีกสองคน มีบุตรชายกับบุตรีรวมห้าคน จากฮูหยินสองคนคือ ‘หลินชูจ้าน’ และ ‘หลินเยว่หรู’ กับอนุภรรยารองสองคนคือ ‘หลินจางหลง’ และ ‘หลินจินหรู’ และจากอนุภรรยาคนที่สองอีกหนึ่งคน คือ 'หลินซูเหมย' ภายในจวนแห่งนี้นั้นจึงมีเรือนทั้งหมดสี่หลัง หลังแรกเป็นบ้านใหญ่ และไล่ไปตามลำดับ
“ท่านพี่...ลูกซูเหมยป่วยอีกแล้วเจ้าค่ะ” อนุซูฉีมารดาของหลินซูเหมยบอกผู้เป็นสามีขณะที่เขามาค้างที่เรือน
"เจ้าว่าอย่างไรนะ ลูกห้าป่วยอีกแล้วอย่างนั้นหรือ" หลินหยางเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เขาเป็นชายที่ไม่ลำเอียง รักและห่วงใยบุตรทุกคนของตนอย่างเท่าเทียมกัน
"เจ้าค่ะท่านพี่ ยิ่งนางเติบโตขึ้นก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ"
"แล้วเจ้าตามท่านหมอมาดูนางหรือยัง"
“ตามมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอบอกเพียงว่าลูกห้านั้นมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก นางต้องออกกำลังให้มากกว่านี้ เพราะนางเอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ภายในห้องจึงทำให้นางไม่มีเรี่ยวแรง”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกให้ลูกห้าออกจากห้องเสียบ้าง ให้นางไปเดินเล่นจะได้มีเรี่ยวแรงมากขึ้น” ผู้เป็นสามีสั่งออกมาหลังจากยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ อายุบุตรีคนเล็กนั้นเพียงสิบห้าปี แต่ทว่ากลับมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงเช่นกับพวกพี่ๆ
“เจ้าค่ะท่านพี่ พรุ่งนี้น้องจะให้นางออกจากเรือนไปเดินออกกำลังเสียบ้าง”
อนุซูฉีบอกผู้เป็นสามี ถึงนางจะได้รับความรักและความเอ็นดูจากเขา แต่ทว่ากับอนุรองนางกลับได้รับการดูถูกและข่มเหงรังแกสารพัด อาจจะเพราะนางเป็นสาวชาวบ้านธรรมดา ไม่ใช่ลูกหลานของขุนนาง หรือตระกูลพ่อค้ามีเงิน นางจึงไม่ได้รับการยอมรับจากเด็กรับใช้ภายในจวน นางรับรู้เรื่องที่บุตรีของนางถูกบุตรีของอนุจินรังแกมาโดยตลอดแต่นางนั้นมีฐานะต่ำต้อยจึงมิอาจจะช่วยเหลือหลินซูเหมยได้
ภายในเรือนไม้ยามเซิน* บนเตียงไม้มีร่างผ่ายผอมบางของหญิงที่เพิ่งเข้าสู่วัยสาวนอนหันหลังห่มผ้าอยู่ สาวใช้วัยไล่เลี่ยกันคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
“คุณหนูห้าเจ้าคะ วันนี้อากาศดีเราออกไปเดินเล่นชมดอกไม้ในสวนกันดีไหมเจ้าคะ”
เสี่ยวเอ๋อสาวรับใช้ข้างกายที่รักและซื่อสัตย์กับคุณหนูอ่อนแออย่างคุณหนูห้าเอ่ยชวนคุณหนูขึ้นมาตามคำสั่งของนายท่านหลินหยาง
“ข้าไม่มีแรง…เสี่ยวเอ๋อ ข้าไม่อยากจะลุกไปที่ใดทั้งนั้น” คุณหนูสามเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา
“แต่คุณหนูเจ้าคะ นายท่านกำชับมาว่าให้คุณหนูออกกำลังบ้างนะเจ้าคะ อีกอย่างท่านหมอก็บอกมาเช่นนั้นด้วย” เสี่ยวเอ๋อพยายามหว่านล้อมคุณหนูของนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เสี่ยวเอ๋อ…เจ้าก็รู้ ถ้าหากข้าออกไปเดินเล่นภายในสวนดอกไม้ตามที่เจ้าว่า ข้าก็ไม่วายถูกพี่สี่รังแกข้า ไหนจะพวกคนในจวนที่ไม่เคยเห็นข้าเป็นคุณหนูของที่นี่อีก”
หลินซูเหมยบอกสาวรับใช้ข้างกายเสียงแผ่วเบา หลินซูเหมยนอกจากจะมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิดแล้ว นางและมารดามักจะถูกกลั่นแกล้งจากคนรับใช้บ้านรองและบุตรีของอนุจินอยู่เสมอ
“บ่าวรู้เจ้าค่ะ แต่นายท่านสั่งมานะเจ้าคะ ถ้าคุณหนูไม่ทำตามความต้องการของนายท่าน นายท่านจะขุ่นเคืองใจเอาได้นะเจ้าคะ”
เสี่ยวเอ๋อพยายามเกลี้ยกล่อมจนคุณหนูห้ายอมใจอ่อน นางค่อยๆ พยุงร่างกายผอมบางของตนลุกขึ้นจากฟูกนอนที่ปูอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ เสี่ยวเอ๋อไม่รีรอที่จะช่วยเหลือคุณหนูของนางให้ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง
ร่างผ่ายผอมเยื้องย่างตามทางไปยังสวนดอกไม้หลังเรือนของตน ณ ที่แห่งนั้นนางไม่รู้มาก่อนเลยว่า พี่สาวต่างมารดาของนางจะเดินเล่นอยู่ที่นั่นก่อนหน้านั้นแล้ว
“เอ๋….. น้องหญิงห้า นี่เจ้าออกมาจากห้องได้ด้วยหรือ ข้าก็นึกว่าเจ้าป่วยจวนใกล้ตายแล้วเสียอีก"
หลินจินหรูหรือคุณหนูสี่แห่งสกุลหลิน วัยสิบเจ็ดปีเอ่ยทักทายผู้เป็นน้องสาว นางเพียงต้องการออกมาเดินชมดอกไม้ภายในสวนไม่คิดว่าจะมีเรื่องสนุกให้ทำ
“ท่านพ่อขอให้ข้าออกมาจากเรือนบ้าง เพราะเห็นว่าข้าไร้เรี่ยวแรง ท่านพ่อจึงอยากให้ข้าได้ออกกำลังเผื่อว่าจะดีขึ้น” หลินซูเหมยตอบไปตามตรงแม้ภายในใจจะรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่ไม่น้อยที่ตนเกิดมาร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรงเฉกเช่นผู้อื่น
เสี่ยวเอ๋อที่พยายามจะยืนขวางไม่ให้คนพวกนี้มาใกล้นายหญิงน้อย กลับถูกเด็กรับใช้คนสนิทของคุณหนูสี่กันตัวออกห่างจากคุณหนูของนาง หลินซูเหมยเห็นท่าไม่ดีจึงตอบไปตามตรง
“หึ! ร่างกายผ่ายผอมเยี่ยงศพเดินได้เช่นเจ้าจะเอาอะไรมาดีขึ้น ข้าว่ามีแต่จะขวางหูขวางตาคนอื่นเสียเปล่าๆ เด็กๆ พาน้องห้าของข้ากลับเรือนไปประเดี๋ยวนี้ ข้าเกรงว่าหากท่านพี่เยว่หรูเดินผ่านมาชมดอกไม้ในสวนแห่งนี้แล้วนางจะไม่เจริญตา”
หลินจินหรูเอ่ยออกมาอย่างไม่รักษาน้ำใจคนฟัง สาวรับใช้ที่ติดตามนางมาด้วยตั้งท่าจะเดินไปจับแขนของคุณหนูห้าตามคำสั่ง
“หยุดนะ!!! อย่าแตะต้องคุณหนูของข้า” เสี่ยวเอ๋อร้องห้ามออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“บังอาจ!! เจ้าเป็นเพียงเด็กรับใช้ข้างกายนาง กลับกล้าหาญขึ้นใส่คุณหนูสี่เช่นข้าอย่างนั้นรึ! ดี!! พวกเจ้าจัดการนางให้หลาบจำ”
นางหันไปสั่งสาวรับใช้สองคนที่เดินมาด้วยกันให้จัดการกับเสี่ยวเอ๋อ หลินซูเหมยที่อ่อนแอไม่สามารถช่วยเหลือเสี่ยวเอ๋อได้จึงได้ร้องไห้ออกมา
“หือๆๆ ท่านพี่อย่าทำเสี่ยวเอ๋อเลยเจ้าค่ะ ผิดที่น้องไม่สั่งสอนเสี่ยวเอ๋อให้ดีเอง น้องขออภัยแทนนางด้วยนะเจ้าคะ” คนผอมแห้งแรงน้อยเอ่ยออกมาอย่างอ้อนวอน
“ครานี้คงจะไม่ได้หรอกนะน้องห้า เพราะเด็กรับใช้ของเจ้าล้ำเส้นข้ามาแล้ว เอ้า!!! ยืนนิ่งกันทำไม จัดการนางให้หลาบจำเพื่อครั้งหน้านางจะได้มิกล้าขึ้นเสียงกับข้าอีก” หลินจินหรูเดินไปจับแขนของน้องสาวเอาไว้พร้อมกับออกคำสั่งให้คนของนางจัดการสาวรับใช้คนสนิทของผู้เป็นน้องสาว
“เพี๊ยะ!!! เพี๊ยะ!!! เพี๊ยะ!!!”
เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังไปตามแรงตบ แต่ทว่าเสี่ยวเอ๋อกลับไม่ยอมคุกเข่าเพื่อขอโทษกลับยอมทนกัดฟันไว้ให้พวกสาวใช้ของคุณหนูสี่ตบ
“เสี่ยวเอ๋อ….. ฮือๆๆๆ ยกโทษให้เสี่ยวเอ๋อด้วยเถอะนะเจ้าคะ นางมิได้ตั้งใจเสียงดังใส่ท่านพี่จริงๆ แค่กๆๆ” หลินซูเหมยพยายามเอ่ยห้ามปรามพี่สาวของนางพร้อมทั้งส่งเสียงไอออกมา
“ว๊าย!! ทำไมเจ้าถึงไออย่างนี้ นี่เจ้าจะเอาโรคมาปล่อยข้าหรือเปล่า”
หลินจินหรูรีบปล่อยมือที่จับน้องสาวอยู่ก่อนหน้า พร้อมทั้งบ่นออกมาให้กับคนป่วยทันที
“หยุดนะ!!! พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”
ราวกับเสียงสวรรค์ หลินเยว่หรู คุณหนูรองบุตรีที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ของจวนเดินเข้ามาเห็นภาพเบื้องหน้าพอดีจึงตะโกนเพื่อห้ามปราม นางไม่ชอบการใช้กำลัง เพราะว่าการเป็นบุตรีของภรรยาเอกนางจึงได้เรียนรู้มากกว่าบุตรีคนอื่นๆ ภายในจวนแห่งนี้
“ทะ..ท่านพี่”
หลินจินหรูอุทานชื่อของพี่สาวต่างมารดาออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะส่งสัญญาณให้สองสาวใช้ปล่อยตัวเสี่ยวเอ๋อ หลินซูเหมยรีบสาวเท้าเข้าไปหาสาวใช้ของนางทันที
“นางทำผิดเรื่องอะไร เจ้าถึงต้องกระทำการรุนแรงเช่นนี้” หลินเยว่หรูเอ่ยถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่จะเดินไปยืนข้างๆ น้องห้าของนาง
“น้องหญิงห้า.. นี่เจ้ามีแรงเดินแล้วหรือ” หลินเยว่หรูเอ่ยถามน้องเล็กออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ท่านพี่… ข้าพอมีแรงนิดหน่อยเจ้าค่ะ ท่านพ่อกำชับท่านแม่บอกให้ข้าออกกำลังเสียบ้าง ข้าเลยจำต้องออกมาเดินที่สวนดอกไม้แห่งนี้ หากข้าทำให้ท่านพี่ไม่สบายใจ ข้าขอตัวกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ” หลินซูเหมยตอบพี่สาวคนรองยืดยาวพร้อมกับเอ่ยขอตัว
“เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น จวนแห่งนี้ก็เป็นจวนของเจ้า ดอกไม้ก็เป็นของจวน ใช่ของข้าผู้เดียวที่ไหนกันเล่า เจ้าเดินออกกำลังให้สบายใจแล้วค่อยกลับไปพักเถิด" หลินเยว่หรูคว้าแขนบอบบางเอาไว้ก่อนที่จะเอ่ยกับน้องห้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"น้องหญิงสี่… แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้รุนแรงกันถึงเพียงนี้”
“ท่านพี่สี่หวังดีกับข้า อยากให้ข้ากลับเข้าไปพักข้างในเรือน นางจึงจะให้เด็กรับใช้พวกนั้นไปส่งข้า แต่เสี่ยวเอ๋อนางก็ย่อมดูแลข้าได้ นางจึงไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำให้น้องหวาดกลัว นางอาจจะไม่รู้ความเพราะอยู่รับใช้น้องแต่ในเรือน พี่สี่โปรดให้อภัยนางด้วยนะเจ้าคะ” คุณหนูห้าเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทว่ายังคงชัดถ้อยชัดคำ
“น้องหญิงสี่… เจ้าก็ชอบทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ให้เสี่ยวเอ๋อดูแลนายหญิงของนางด้วยตัวเองก็ถูกต้องอยู่แล้ว เจ้าไปยุ่งด้วยเหตุอันใดกัน”
“น้องต้องขออภัยท่านพี่ น้องคงจะตีความหมายของนางผิดไปเองจึงทำให้ตามืดบอดสั่งลงโทษนางไป เสี่ยวเอ๋อ ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วย”
หลินจินหรูเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิดแต่ทว่าในใจของนางนั้นกลับรู้สึกตรงกันข้าม ดวงตากลมวาวโรจน์จ้องมองไปยังน้องห้าผู้อ่อนแอกับสาวใช้ที่กล้าขึ้นเสียงต่อหน้าของนางด้วยความชิงชัง
“จบเรื่องแล้วก็แยกย้ายกันไป ไปเถอะน้องหญิงห้า…. พี่จะพาเจ้าไปส่งที่เรือน”
คุณหนูรองประคองน้องห้าของเธอเดินตรงไปยังเรือนสี่ ซึ่งเป็นเรือนนอนของซูอี๋เหนียง ด้านหลังของคุณหนูทั้งสองมีเด็กรับใช้รวมกับเสี่ยวเอ๋อเดินตามไปสามคน
‘ถึงอย่างไรแล้วอย่างน้อยในจวนแห่งนี้ก็ยังมีคุณหนูรองที่ยังรักและเอ็นดูคุณหนูห้าผู้อ่อนแอของนางอย่างแท้จริง’
เสี่ยวเอ๋อฉีกยิ้มออกมาอย่างสบายใจ มือบางยกขึ้นมาลูบใบหน้าที่เพิ่งจะรู้สึกปวดเพราะแรงกระทบของฝ่ามือ นางยินดีถ้านางเจ็บแล้วสามารถปกป้องคุณหนูของนางได้
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้รับความเอ็นดูจากท่านพี่ไปจากข้าคนเดียวหรอก คอยดูเถอะข้าจะเอาคืนให้สาสม ขี้โรคอย่างเจ้าจะอยู่ได้อีกนานสักเท่าใดกัน แล้วนางเสี่ยวเอ๋ออีกคน เป็นเพียงเด็กรับใช้กล้าดีอย่างไรถึงกล้ามาขึ้นเสียงใส่ข้า ถ้าพี่รองไม่มา ข้าจะสั่งให้พวกเจ้าจับนางโยนลงน้ำไปเสียเลย"
คุณหนูสี่แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดออกมาทันที ยามที่พี่รองของนางลับสายตาไป พลางคิดไปถึงแผนการมากมายที่จะทำให้อีกฝ่ายไม่ขวางหูขวางตาเธออีกต่อไป แต่ทว่าประโยคที่เอ่ยออกมาทำเอาเด็กรับใช้ต่างหันมามองหน้ากัน หากเป็นเรื่องจริงที่คุณหนูสี่ถึงขั้นหมายมาดจะเอาชีวิตของอีกฝ่าย พวกนางสองคนคงจะไม่พ้นต้องเดือดร้อนไปด้วย
"หึ!! กลับเรือน!! ข้าหมดอารมณ์เดินเล่นแล้ว”
หลินจินหรูสบถออกมาก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินกลับเรือนของนางไป เด็กรับใช้ทั้งสองรีบสาวเท้าเดินตามคุณหนูสี่ไปไม่ห่าง
*ยามเซิน คือเวลา15.00-16.59
เสียงเนื้อกระทบกับกระสอบทรายดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ค่ายมวยที่เต็มไปด้วยนักมวยชายรูปร่างกำยำกำลังฝึกซ้อมมวยกันอยู่อย่างขะมักเขม้น รวมไปถึงร่างเล็กแต่กำยำของหญิงสาวที่มีใบหน้าสะสวยกำลังซ้อมอยู่กับคู่ซ้อมที่เป็นชายอยู่อย่างไม่เกรงกลัว ท่าทางออกหมัด เท้า เข่า ศอกของเธอเป็นไปอย่างชำนาญ อีกทั้งยังหลบหลีกคู่ต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
เสียงระฆังดังเตือนหมดยกจากข้างเวทีมวย ร่างบางจึงเดินกลับไปทิ้งตัวลงที่เก้าอี้พักผ่อนของเธอ อมิตายกขวดน้ำเกลือแร่ขึ้นมาดื่ม ก่อนที่จะหยิบผ้าเย็นที่พี่เลี้ยงเตรียมเอาไว้ให้ขึ้นมาเช็ดเหงื่อ
“อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะได้แข่งอีก พี่ต้าทำไมซ้อมหนักจัง” ไข่หวานนักมวยสาวสมัครเล่นภายในค่ายมวยอรุณรุ่งแห่งนี้เอ่ยถามไอดอลของเธอออกมา
“ก็เพราะการรักษาแชมป์พี่จึงต้องฝึกให้ร่างกายพร้อมและตื่นตัวอยู่เสมอไง” ต้า นางฟ้าเอเชียหรือ อมิตานักมวยคนสวยตอบรุ่นน้องด้วยรอยยิ้ม
“อนาคตข้างหน้า หากไข่หวานได้ก้าวขึ้นสังเวียน ไข่หวานต้องจำเอาไว้ให้ดีว่าการเป็นแชมป์มันไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการรักษาแชมป์ เข้าใจไหม” อมิตาบอกรุ่นน้องสาวก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปกลางเวที
นวมของเธอชนกับนวมของคู่ซ้อมอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะแลกอาวุธกันอย่างดุเดือดแบบไม่มีใครยอมใคร เสียงเชียร์จากลูกศิษย์ของเจ้าของค่าย รวมไปถึงนักมวยของค่ายดังไปทั่วทั้งค่ายมวย นายอรุณมองบุตรสาวอยู่ไกลๆ ด้วยสายตาแห่งความภูมิใจ กว่าอมิตาจะมีวันนี้มันไม่ง่ายเลย แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้เพียงเพราะเธออดทนและพยายามฟันฝ่าทุกอุปสรรคที่เข้ามา
นักมวยหนุ่มพ่ายแพ้ให้กับชั้นเชิงการหลบหลีกที่เหนือกว่า และหมัดกับเข่าที่เน้นหนักจนเขาต้องยอมรับเลยว่า สมแล้วกับแชมป์ที่เธอได้รับ ดีที่ว่าเธอไม่น๊อคเขากลางอากาศอย่างเช่นคู่แข่งคนอื่น
"พี่ว่าผู้ท้าชิงรอบหน้าน๊อคตั้งแต่ยกแรกแน่ๆ ฮ่าๆ" นักมวยหนุ่มรุ่นพี่เอ่ยขึ้น
"หึๆ พี่ก็พูดเกินไป รอบหน้าหนูอาจจะพลาดก็ได้" อมิตาบอกพร้อมกับหัวเราะออกมา นักมวยรุ่นพี่กับรุ่นน้องถึงกับปรามออกมา
"พูดอะไรแบบนั้นต้า ยังไงแกก็ทำได้อยู่แล้ว พี่ว่าอนาคตแชมป์โลกไม่ไกลแน่นอน"
“นั่นสิ! พี่ก็คิดเหมือนกันว่าต้าเป็นนักมวยอนาคตไกล” พี่เลี้ยงนักมวยที่เป็นคนดูแลนักมวยสาวมาตั้งแต่ขึ้นสังเวียนชกครั้งแรกเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
“โอเค อาทิตย์หน้าวันเกิดต้าแล้ว ขอเชิญพี่ๆ น้องๆ ทุกคนมาร่วมงานด้วยนะ” นักมวยสาวบอกขณะที่ลุกขึ้นยืน
“ได้เลย” ทุกคนเอ่ยออกมาพร้อมกัน ต้า หรืออมิตาจึงเดินมุดเชือกแล้วลงจากเวทีฝึกซ้อมมวยของบิดา
เธอเดินจากไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองตามไปด้วยความชื่นชม อมิตาเป็นนักมวยหญิงที่เก่งจนหาตัวจับยากในปัจจุบัน ไม่เพียงศิลปะแม่ไม้มวยไทยเท่านั้น เรียกได้ว่าศิลปะการต่อสู้ทุกอย่างเธอเก่งหมด แต่ถ้าถนัดและชื่นชอบจริงๆ คงต้องยกให้การชกมวยเป็นลำดับแรก
"เห้ย!!"
จู่ๆ รุ่นน้องในค่ายก็อุทานออกมาเสียงดังพร้อมกับแสดงท่าทางตกใจราวกับมองเห็นบางสิ่งบางอย่างเบื้องหน้าที่ทำให้เกิดอาการแบบนั้น
"ไอ้บอส เป็นอะไรของมึงวะ ร้องซะเสียงดัง กูสะดุ้งหมดไอ้เด็กนี่"
"พ่ะ...พ่ะ... พวกพี่ไม่เห็นกันเหรอ" เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ราวกับกำลังเสียขวัญ
"เห็น... เห็นอะไรของมึง กูก็เห็นน้องต้าเดินกลับบ้านเธอไปปกติ" รุ่นพี่เอ่ยถามออกมาอย่างงุนงง
"ป่ะ...ผม ผม เห็น.... เห็น"
"เห็นอะไรของมึง พูดดีๆ นะ ถ้าโจ๊กใส่พวกกู มึงโดนอัดแทนกระสอบทรายแน่" นักมวยรุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ผ่ะ…ผม เห็นพี่ต้า… เห็นพี่ต้า” รุ่นน้องชื่อบอสเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พร้อมทั้งขยี้เปลือกตาของตนอีกครั้ง
“เออ…กูรู้แล้ว กูก็เห็นน้องต้าเพิ่งเดินไป ไอ้นี่!!! จะโวยวายทำเพื่อ!!!”
นักมวยรุ่นพี่ตะคอกใส่รุ่นน้องที่ชื่อบอสเสียงดังก่อนที่จะตบหัวเด็กหนุ่มไปหนึ่งทีแล้วแยกย้ายกันไปฝึกซ้อมต่อ บอสไม่กล้าพูดเรื่องที่เขามองเห็นเมื่อสักครู่ออกมา เขากลัวว่าถ้าพูดไปแล้วจะทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ดีและไม่สบายใจไปด้วย เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดมัน ว่าเขามองเห็นนักมวยสาวดาวรุ่งที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการมวยอย่าง พี่ต้า นางฟ้ามวยไทยไม่มีศีรษะ เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นมาก็พบว่าขนของเขาลุกชัน ถึงจะเพียงแค่แว๊บเดียวมันก็ทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี
“พ่อจ๋า… กำลังทำอะไรอยู่จ๊ะ”
ต้า หรืออมิตาเดินเข้ามาภายในบ้านก็มองเห็นบิดานั่งเช็ดถ้วยรางวัลของเธอที่ได้มาจากการแข่งขันชกมวยมาตั้งแต่เด็กจึงเอ่ยถามขึ้น ก่อนที่จะเดินไปนั่งลงข้างๆ ของบิดา
“พ่อกำลังเช็ดถ้วยรางวัลของลูกอยู่น่ะต้า เป็นยังไงซ้อมมวยเหนื่อยไหม”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังออกมาจากริมฝีปากหนาของชายวัยสี่สิบ เขาละสายตาจากสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาววัยสิบเก้าปีที่เป็นดังตัวแทนความรักของเขาและภรรยา เขาและภรรยาอายุเท่ากันแต่งงานกันตอนอายุยี่สิบปี และมีบุตรสาวเพียงคนเดียวคือต้า หรืออมิตา ภรรยาจากเขาไปในวัยเพียงสามสิบห้าปี
“กำลังคิดถึงแม่อยู่ล่ะสิ” เธอยิ้มบางๆ ออกมา
“อืม…. ความสำเร็จในวันนี้ของลูก เสียดายที่แม่เขาไม่ได้เห็น”
อรุณเอ่ยออกมาน้ำตาซึมเมื่อนึกถึงภรรยาที่ร่วมกันปลุกปั้นนักมวยกันมา รวมไปถึงบุตรสาวที่ภรรยาสนับสนุนให้ชกมวยมาตั้งแต่ห้าขวบ
“พ่อจ๋า.. ต้าเชื่อว่าแม่จะต้องมองเห็น พ่ออย่าเสียใจไปเลยนะจ๊ะ ถึงเราสามคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ยังไงเราก็ยังอยู่ในใจของกันและกันเสมอ ต้าเชื่อว่าแม่กำลังมองมาที่เราสองคนพ่อลูกอย่างมีความสุข และต้าเชื่อว่าแม่ต้องภูมิใจในตัวต้า”
หญิงสาวเมื่อถอดชุดนักมวย ถอดนวมออกนักมวยสาวที่เก่งกาจก็กลายเป็นเพียงบุตรสาวที่น่ารักของบิดาเสมอ อรุณดึงร่างเล็กของบุตรสาวเข้ามาในอ้อมกอด
“ชีวิตของพ่อตอนนี้ก็มีแค่ลูกคนเดียวเท่านั้นที่พ่อเป็นห่วง ถึงลูกจะเก่งกาจขนาดไหน แต่อย่าลืมว่าอย่าใช้ชีวิตประมาท” อรุณบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“จ้ะพ่อ… ต้าจะใช้ชีวิตให้ดีๆ จะไม่ประมาทและจะคิดก่อนทำเสมอ” อมิตาให้คำมั่นสัญญากับบิดา
สองพ่อลูกนั่งช่วยกันเช็ดถ้วยรางวัลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะขอตัวกลับเข้าห้องไปดูซีรีส์จีนที่เธอชื่นชอบ อรุณมองตามร่างบางที่เดินจากไปด้วยสายตาห่วงใย ทั้งชีวิตนี้เขาก็เหลือบุตรสาวเพียงคนเดียวแล้ว มีเพียงเธอที่เขาเป็นห่วงและอยากพาเธอเดินไปบนเส้นทางความฝันให้ได้ไกลที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะสามารถทำเพื่อลูกได้
อมิตาเดินเข้าห้องนอนของตนก่อนที่จะตรงไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระล้างคราบเหงื่อไคลจากการฝึกซ้อมมวยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่สวมใส่สบายๆ เสร็จแล้ว ร่างเล็กที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจึงเดินกลับมายังเตียงนอน เธอเอื้อมมือไปหยิบแทปแล็ตเครื่องบางขึ้นมาแล้วเปิดแอปพลิเคชันเพื่อดูซีรีส์จีนที่ตนชื่นชอบ
“โถ่เว้ย!!! เป็นลูกอนุแล้วยังไงวะ เป็นลูกอนุแล้วไม่ใช่คนหรือยังไงกันวะ”
เสียงหวานสบถออกมาให้กับฉากหนึ่งของซีรีส์จีนที่กำลังดูอยู่ ซีรีส์จีนเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวของขุนนางที่มีภรรยาหลวงและภรรยาน้อย บุตรของภรรยาน้อยนั้นโดนดูถูกเหยียดหยาม และถูกข่มเหงสารพัด ต่างจากลูกที่เกิดจากภรรยาหลวง การแบ่งชนชั้นในซีรีส์ทำให้เธอรู้สึกโมโหและอินไปกับเนื้อเรื่องด้วย
“ถ้าแม่เป็นนางเอกนะ แม่จะจัดการคนพวกนี้ให้หลาบจำเลย กล้าดียังไงมารังแกนาง คนเขียนบททำไมเขียนให้นางเอกอ่อนแอจังวะหึ่ยๆๆๆ”
เธอยังคงก่นด่าและแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างออกรสออกชาติ เธอปิดแอปพลิเคชันก่อนที่จะวางแทปแล็ตเครื่องบางของตนไว้บนหัวเตียงเช่นเดิม
อารมณ์การดูซีรีส์เรื่องนี้ของเธอหมดไปทันทีที่นางเอกของเรื่องถูกรังแก เธอเอาแต่คิดเล่นๆ อยู่ภายในใจ ถ้าหากเธอเป็นลูกอนุแบบในซีรีส์เธอจะไม่อ่อนแอแบบในซีรีส์เด็ดขาด เธอจะต่อสู้กับทุกอุปสรรคที่เข้ามาและเธอจะปกป้องคนที่เธอรัก แต่พอคิดไปคิดมานี่ก็เป็นแค่ละครที่มีคนเขียนบทขึ้นมา หากเป็นเรื่องจริงนางเอกคงจะไม่ยอมคนง่ายๆ แบบนั้นแน่ๆ เธอล้มตัวลงนอนก่อนที่จะหลับตาลงเพียงไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลียจากการฝึกซ้อมมวย
ช่วงเย็นหลังจากที่อรุณทำอาหารง่ายๆ ให้ตนเองและบุตรสาวเสร็จเขาจึงหันไปล้างจาน แต่ทว่าเขากลับพลาดไปถูกจานใบโปรดของอมิตาตกลงมาแตกกระจาย บุตรสาวเมื่อได้ยินเสียงของตกแตกดังมาจากในครัวเธอจึงรีบสาวเท้าก้าวเดินไปตามเสียงทันที
“พ่อ!!! เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” เสียงหวานอุทานร้องเรียกบิดา ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“โอ๊ย!!! อย่าเพิ่งเข้ามาลูก พ่อทำจานตกแตก” อรุณอุทานออกมาเมื่อจานที่แตกบาดเข้าที่มือของตน ก่อนที่จะร้องห้ามไม่ให้บุตรสาวเดินเข้ามาหาตน
“โถ่!!! พ่อจ๋า…. ทำไมไม่ระวังเลยจ๊ะ พ่อรีบไปทำแผลเถอะ เดี๋ยวทางนี้ต้าเก็บกวาดให้”
อมิตารีบบอกบิดาด้วยน้ำเสียงห่วงใย อรุณพยักหน้าก่อนที่จะลุกขึ้นยืน เขามองจานที่แตกก่อนที่จะมองไปยังใบหน้าสวยของบุตรสาวอย่างใจคอไม่ดี
“ต้า… เก็บระวังหน่อยนะลูก อย่าให้เศษจานบาดนะ” เขาบอกเธอด้วยความเป็นห่วง
“จ้ะพ่อ… พ่อรีบไปทำแผลเถอะนะจ๊ะ” อมิตาบอกบิดา อรุณพยักหน้าก่อนที่จะเดินจากไป
อมิตาก้มหน้าลงมองเศษจานที่แตกกระจายบนพื้น จานใบนี้เป็นจานที่เธอชอบมากเพราะเป็นจานที่มารดาซื้อมาให้เธอโดยเฉพาะ ถึงจะรู้สึกเสียดายแต่ในเมื่อของมันแตกไปแล้วมันก็คงไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ อมิตาเดินไปหยิบที่ตักผงขยะกับไม้กวาดมาจัดการเก็บกวาดเศษแก้วที่อยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง เมื่อเก็บกวาดเสร็จแล้วเธอจึงนำไปเททิ้งลงถังขยะ
“พ่อจ๋า… ทำแผลหรือยังจ๊ะ” เธอเอ่ยถามบิดาหลังจากที่ทิ้งเศษจานที่แตกเรียบร้อยแล้ว
“ทำแล้วลูก แผลนิดเดียวไกลหัวใจ” อรุณชูมือที่ทำแผลเรียบร้อยให้บุตรสาวดู
“ไปกินข้าวเย็นกันดีกว่านะลูก พ่อหิวแล้ว”
อมิตาพยักหน้าก่อนที่จะเดินนำไปที่ห้องครัว แล้วเป็นฝ่ายตักผัดและแกงใส่จานชามวางลงบนโต๊ะบริการบิดาที่บาดเจ็บเพราะล้างจานแทนเธอ ทุกทีเธอจะเป็นฝ่ายล้างจานด้วยตนเองแต่ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นเพราะเหตุใดเธอจึงนอนหลับลึกจนเลยเวลาที่ต้องล้างจาน พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงของที่ตกแตกพอดีจึงได้เห็นว่าบิดาทำจานใบโปรดของเธอตกแตก แต่เธอก็ไม่ได้โกรธเขา เพราะตัวเขามีค่ากับเธอมากกว่าจานใบนั้นหลายเท่า
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!