ชนบทเล็กๆ ในเมืองเล็กๆ
น้อยครั้งจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปบนพื้นฐานกลไกอันเรียบง่าย
ใครจะคาดคิดยามค่ำคืนก็สามารถกลับกลายเป็นเงียบสงัดบรรยากาศวังเวงประหนึ่งเมืองร้างได้ไม่น้อย
แน่นอนอีกว่าเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนป่านนั้นเกิดมีใครต้องประสบเจอบางสิ่งหรือบางอย่างที่อาจมีก้ำกึ่งไม่มี ยากที่จะเชื่อในวินาทีแรกที่เห็นเข้าเราก็คงบอกได้เพียงประโยคเดียว
ท่านดวงไม่ช่วย ความนี้ซวยมาเยือนล้วนๆ
เคสนี้เองก็เช่นกัน..
"กรี๊ด!!! "
โครม!!!
ครืด!!!
เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงรถจักรยานยนต์เสียหลักล้มครูดไถลลากยาวกับพื้นถนนสนั่นไปสามบ้านแปดบ้าน ทำผู้คนแถบละแวกนั้นตื่นตกใจบ้างก็พร้อมใจเปิดบ้านออกมาดูเหตุการณ์บางราย
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องพุ่งตัวเข้าบ้านลงกลอนล็อคประตูแน่นหนาจ้าละหวั่นแทบไม่เห็นฝุ่นและกลับไปนอนคลุมโปงจับไข้หัวโกร๋นดังเก่าเพราะภาพที่พวกเขาเห็นนั่นคือ
อสูรเสือปลาหรือแมวดำเหลือบเทาอมมะกอก มีจุดน้ำตาลเรียงเป็นลายขนานทั่วร่างยักษ์ ดวงตาเขียวไสวถูกแสงไฟส่องกระทบจนมองเห็นชัดยิ่งกว่าชัดยืนอยู่กลางถนน
ห่างจากหญิงสาวเคราะห์ร้ายคล้ายพึ่งกลับจากที่ไหนสักแห่งนอนไร้สติโชกเลือด ข้างรถฟีโน่สภาพพังยับเยินไม่ไกลนัก
มันยกเท้าขึ้นมาเลียแล้วหันไปทำความสะอาดขนบ้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะย่างสามขุมตรงเข้าไปหาหญิงสาวหมายจะตะปบเล่นเป็นแมวหยอกหนูจึงค่อยเขมือบที่หลัง
วินาทีนั้นกลับถูกแรงอัดกระแทรกเต็มเหนี่ยวเข้ากลางลำตัวจากอะไรสักอย่างที่พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วดุจสายลม
ซึ่งมันแน่ใจว่าเป็นเท้าคนจนร่างมันกระเด็นครูดไถพื้นไปหลายตลบราวกับเป็นเพียง กระป๋องน้ำอัดลมเปล่าแกะกะขวางทางเดิน
"เจ้าเหมียว..แกซุกซนเกินไปแล้วให้พี่สาวผู้นี้ช่วยกำราบพยศดีหรือไม่"
น้ำเสียงใสๆ ไพเราะฉะฉานบ่งบอกว่าเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น นิสัยแก่นแก้วไม่น้อยผู้ซ่อนใบหน้าที่แท้จริงไว้ภายใต้หน้ากากขาวน้ำนมของนางรำ
สวมชุดดำรัดกุม มือถือพัดฉลุทำจากเนื้อไม้ชั้นดีสีแดงมีกลิ่นหอมดอกบัวจางๆ ดังลอยมาเหนือหัวอสูรเสือปลาที่นอนหมอบราบกับพื้น
ก่อนเท้าข้างหนึ่งของเธอจะเหยียบลงบนจมูกใหญ่มันไม่นึกขลาดกลัว ทำมันหงุดหงิดสะบัดหัวสุดแรง พรวดพราดลุกขึ้นพองขนส่งเสียงเกรี้ยวกราดเมื่อถูกเด็กสาวตัวจ้อยข่ม
เป็นผลให้สาวเจ้าร่างเล็กผอมบางลมพัดปลิวเสียหลักล้มลงไปนั่งพับเพียบกับพื้น จังหวะนี้มันไม่รอช้าเงื้อเท้าหมายกางเล็บตะปบขย้ำร่างเด็กสาวให้แหลกเหลวกระดูกหักคาเท้าไม่มีชิ้นดี
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวกรงเล็บยังไม่ทันถึงตัว เด็กสาวตรงหน้าก็กลับอันตรธานหายไปประหนึ่งร่างกายมลายกลายเป็นธาตุอากาศได้ เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะคล้ายเสียงวิญญาณเด็กน้อย
ชมชอบการหลอกหลอนให้ผู้คนหวาดกลัวเป็นอาจิณดังลอยมากับสายลมแผ่วๆ อยู่ไกลแสนไกลออกไป อสูรเสือปลาหันซ้ายหันขวามองหาเด็กสาวแต่ก็ไม่เจอ
กระทั่งสายตามันไปหยุดอยู่ที่ผู้มาใหม่ซึ่งสวมหน้ากากไม่ต่างกัน แต่เป็นเด็กผู้หญิงร่างสูงเพรียวกว่าสะพายกระเป๋าข้างสีเดียวกับชุด
มีจิตสังหารสงบแต่เยือกเย็นปนเปจิตสังหารรุนแรงมืดดำออกมาตลอดเวลา ทำมันที่จ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าน้ำเงินนิ่งงันของเด็กสาวใต้หน้ากาก ประสาทสัมผัสทุกส่วนเกิดไร้ซึ่งความรู้สึกไปชั่วขณะ
เธอปรากฏตัวขึ้นราวกับภูตผี เดินผ่านมันไปนั่งชันเข่าลงข้างร่างหญิงสาวเคราะห์ร้าย พร้อมกับจับมือหญิงสาวมาทาบชีพจร เมื่อรู้ผล เด็กสาวก็หยิบบางอย่างเล็กๆ ทรงกลมมีสีฟ้ามีประกายวาวระยับออกมาจากกระเป๋าสะพาย
แล้วใส่มันเข้าไปในปากหญิงสาวเคราะห์ร้าย ไม่มีท่าทีระแวดระวังหรือแยแสอสูรเสือปลาแม้แต่น้อย มันได้สติก็วิ่งตรงไปทางเด็กสาวมาใหม่จะจู่โจม ไม่นึกคิด เด็กสาวสาวคนแรกกลับโผล่มายืนตรงหน้าดักทางมันไว้ มันจึงหยุดชะงักฝีเท้าจ้องเขม็งหยั่งเชิง
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันตรายจากตัวเด็กสาวที่มากมายเกินกว่ามันจะรับมือไหว มันก็ถอยหลังหนีตีตัวออกห่างในทันที เด็กสาวเห็นท่าทางมันเปลี่ยนไปเกิดนึกสนุกขึ้นมา ก้าวขาเดินรุกเข้าหามันไม่ลดราวาศอก จนมันพองขนร้องขู่เสียงดัง
เมี๊ยว!!!
"จิ๊จิ๊ แกดุถึงเพียงนี้เห็นทีพี่สาวคงจักปราบให้เชื่องลำบาก ยากเข็ญเอาการเสียแล้วกระมัง เอาอย่างนี้ดีไหมบ้านเก่าแกอยู่หนใดพี่สาวใจดีจักส่งแกกลับไปให้ถึงที่เองหนา"
เด็กสาวเอ่ยน้ำเสียงหวาน หากแต่ชวนสะพรึงดังนางมารน้อยผู้หนึ่งดีๆ นี่เอง พลางยกพัดแดงขึ้นคลี่ออกป้องปากเสมือนเด็กหนุ่มเจ้าสำราญ ทำให้กลิ่นอายมากด้วยแสนยานุภาพแผ่กระจายออกมาจากตัวพัดจน
อสูรเสือปลาเห็นอาวุธลับประเภทซ่อนคมกรงเล็บที่ตัดทุกสิ่งอย่างง่ายดาย มีเพียงชิ้นเดียวในภพอจินไตยที่มันจากมา ซึ่งไม่ควรค่าแก่การตกมาอยู่ในมือเด็กสาวตัวจ้อยชัดๆ
ยังผงะเหลียวหน้าเหลียวหลังหาทางจะหลบหนีพัลวัน หากแต่ช้ากว่าเด็กสาวที่ลดมือจากใบหน้าลงท่วงท่างดงามชดช้อย
วาดแขนตวัดพัดคลับคลาจะร่ายรำไปยังอสูรเสือปลาสุดแรง ก่อให้เกิดคลื่นกรงเล็บมัจจุราชสายหนึ่งพุ่งเข้าหาอสูรเสือปลาสะบั้นร่างมันขาดเป็นสองส่วนไม่ทันให้มันได้ลองหนีหรือหวีดร้องโหยหวน
วินาทีต่อมาร่างของมันก็แหลกสลายกลายเป็นกลุ่มควันสีดำมอดไหม้และดับสิ้นจางหายไปไม่หลงเหลือสิ่งใดไว้ เด็กสาวจึงหุบพัดลงอย่างเงียบงัน ก่อนหันไปจะเอ่ยปากถามอีกคนที่ผละตัวจากหญิงสาวเคราะห์ร้ายมายื่นนิ่งไม่พูดไม่จา
ในมือ ถือโทรศัพท์ที่ไม่ใช่ของเธอ พลันเสียงรถพยาบาลก็ดังขึ้นอยู่ไม่ไกล ทำเด็กสาวงุนงงระคนสงสัยว่ารถพยาบาลมาได้ยังไง คนมาที่หลังจึงชูโทรศัพท์เป็นเชิงบอกว่าเธอเป็นคนเรียกรถพยาบาลมาเอง
เด็กสาวคนแรกจึงถึงบางอ้อ ขณะที่อีกคนเอาโทรศัพท์ไปวางข้างตัวคืนเจ้าของ แล้วทั้งสองก็หลบฉากไปซ่อนตัวในเงามืดเมื่อรถพยาบาลมาถึง ได้ชะลอจอดที่เกิดเหตุ
ก่อนจะมีพยาบาลกับผู้ช่วยลงจากรถมาดูอาการ และเคลื่อนย้ายร่างไร้สติของหญิงสาวเคราะห์ร้ายขึ้นรถ แล้วรถก็ออกตัวจากไปอย่างเร่งรีบจนลับสายตา เด็กสาวทั้งสองก็ออกมาจากที่ซ่อนตัว
"คิดเหมือนข้าหรือไม่ แม่หญิงนาคราช วัฏจักรนี้ช่างวุ่นวายจริงหนอ"
เด็กสาวคนแรกเอ่ยถามน้ำเสียงเบื่อหน่ายแต่สิ่งที่ได้รับคืนกลับเป็นคำตอบที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่า
"นั่นสินะคะ"
"ว้า~ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เธอจะยึดมั่นอุดมการณ์น่าเบื่อเอาแต่ทำท่าทางเป็นปลาทูแม่กลองที่ตายแล้วหน้างอคอหักไปจนแก่เฒ่าหัวหงอกไม่มีใครรับเป็นเจ้าสาวไม่ได้ คราวหน้าลองเอออ้อตามน้ำไปกับคนอื่นดูซะบ้างเถอะ"
"ฉันต้องทำ? "
คนมาที่หลังเอียงคอเหมือนตุ๊กตาโดนชักใยถามกลับบ้างน้ำเสียงเรียบเฉย
"ใช่ ถ้าเธออยากจะให้กาฝากซึมซับตัวตนดีๆ จากเธอด้านอื่นซะบ้างน่ะนะ ไปล่ะ"
เด็กสาวหมุนตัวก้าวขาจะเดินจากไปเมื่อพูดจบคำ ทำให้คนมาที่หลังเอ่ยถามไล่หลัง
"นั่นเธอจะไปที่ไหนต่อ"
"สมทบคะนิ้ง"
ร่างบางทิ้งตัวจากดาดฟ้าโรงแรมติดถนนเท้าแตะลงบนพื้นสี่แยกตัวเมืองที่เงียบสงัด
ไร้วี่แววรถรา ทั้งยังมีหมอกหนาปกคลุมทั่วอาณาบริเวณบดบังสายตาผิดปกติจนมองเห็น
เพียงสีสัญญาณไฟและไฟจากตัวรถยนต์ คันหนึ่งเสียหลักอยู่ข้างเลนถนน สภาพบุบจนไม่เหลือเค้าเดิม คล้ายถูกกรงเล็บสัตว์เจ้าของกลิ่นอายสาบสางลอยฟุ้งในมวลอากาศที่เด็กสาวสัมผัสได้ตะปบอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองแต่มากกว่านั้น
และที่แย่สุดคือคนขับเองก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา เด็กสาวจึงกวาดดวงตาน้ำเงินเยือกเย็นใต้หน้ากากมองไปทั่วอาณาบริเวณ พร้อมกับชักดาบเงินลงอาคม สลักอักขระโบราณออกจากปลอกมาถือ
ก้าวขาเดินอย่างเงียบงันไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าหาตัวต้นเหตุ แล้วเสียงสองเสียงเป็นเสียงกรีดร้องของผู้หญิงและผู้ชายราวกับหวาดกลัวปนเปเจ็บปวดถึงขีดสุดก็ดังขึ้นมา
เด็กสาวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบฝ่าหมอกหนาตรงไปยังทางด้านหน้า แล้วเธอก็ได้พบกับฝูงอสูรหมาในหิวกระหายตัวใหญ่ นัยน์ตาแดงฉานต่างรุมตะปบและกัดร่างหญิงชายคู่หนึ่งอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน
โดยมีตัวการเป็นชายชุดดำสีหน้าอำมหิตดั่งฆาตกรโรคจิตมีใบหูและหางปรากฏออกมาเธอตระหนักรู้ในทันทีว่า
มันคือด้านมืดของอจินไตยที่ถูกเรียกขานในกลุ่มพรานเร้นลับว่าโยนิมิจฉาทิฐิจ่าฝูงอสูรหมาใน ผู้ซึ่งมีจิตใจวิปลาสและโหดเหี้ยม
ถ้าพูดถึงเรื่องเพื่อสนองความต้องการตัวเองแล้วมันสามารถฆ่าชาวโยนิทุกสายเลือดและโยนิมิจฉาทิฐิด้วยกันได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ เลยแม้แต่น้อย และจะไม่มีอะไรที่เลวร้ายกว่าภาพที่นองด้วยเลือดและแผลเหวอะหวะของหญิงชายทั้งคู่ได้อีก
ถ้าหากไม่มีเด็กชายวัยประมาณสิบขวบกว่าเห็นจะได้ ยังมีลมหายใจ นั่งนิ่งบนพื้นคล้ายช็อคสุดขีด ดวงตาเลื่อนลอยไร้แวว
มีปลายดาบจากโยนิมิจฉาทิฐิชนชั้นล่างที่ยื่นอยู่ด้านหลังพาดอยู่บริเวณคอ ถือเป็นการหยามหน้าและฝ่าฝืนกฎเหล็กโลกมนุษย์อย่างใหญ่หลวงที่ว่า
'โยนิภพคู่ขนานไม่ว่าร้ายหรือดีท่านสามารถเดินทางข้ามมิติมาโลกมนุษย์ได้ แต่ท่านไม่สามารถก่อเรื่องหรือเข่นฆ่ามนุษย์ได้ หากท่านฝ่าฝืนกฎ โทษของท่านมีเพียงตายเพื่อชดใช้สถานเดียว'
ทำให้เด็กสาวปล่อยจิตสังหารรุนแรงออกมา ขณะอักขระโบราณบนตัวดาบมีไอน้ำแข็งระเหยออกมา และตัวด้ามจับก็ปรากฏน้ำแข็งมากมายเกาะดังผลึก พร้อมฆ่าไม่มีเลี้ยง
"หือ..เจ้ามาช้าไปหนาแม่หญิงพรานเร้นลับ จงดูเอาเถิดมนุษย์ที่เจ้าปกป้องเสียยิ่งกว่าชีพจรเจ้าเอง ข้าเพียงแต่ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงหยอกล้อเล่นรอให้เจ้ามาก็จักสิ้นชีพ..."
กึ๊ด!!
ไม่ทันสิ้นคำโยนิมิจฉาทิฐิ เด็กสาวตรงหน้าก็พุ่งเข้าตวัดดาบอาคมฟาดฟันสะบั้นร่างอสูรหมาในได้ชื่อว่าดุร้ายไม่น้อยในแดนอจินไตย
ตัวหนึ่งหัวขาดตัวหนึ่งลำตัวขาดและอีกตัวหนึ่งถูกสะบั้นร่างจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี เลือดสีดำสาดกระจายในชั่วพริบตาอย่างเลือดเย็นเฉกเช่นพญายมแดนดิน
เหล่าอสูรหมาในจึงยุติการรุมทำร้ายชายหญิงคู่นั้นในทันที มันหันไปร้องคำรามโกรธเกรี้ยวใส่เด็กสาวแล้วพากันกรูเข้ารุมล้อมสู้แรงคมดาบอาคม
อย่างบ้าคลั่งแต่ท้ายที่สุดพวกมันก็จบชีวิตลง สังเวยให้แก่ดาบเด็กสาวอย่างอนาถนอนอาบทะเลโลหิตเอ่อนอง ส่งกลิ่นคาวคลุ้งด้วยร่างไร้วิญญาณมีบาดแผลถูกคมดาบอาคมตัดเฉือดเฉือนทั่วร่างเกลื่อนพื้น
และวินาทีนั้นเอง เด็กสาวก็เพ่งเป้าตรงเข้าจู่โจมโยนิมิจฉาทิฐิต่อด้วยการเคลื่อนไหวรวดเร็วมองตามไม่ทันไม่รีรอให้อีกฝ่ายที่ยืนตะลึงได้ทันตั้งตัว
มือเรียวแตะถูกดาบได้ ก็แช่แข็งมันด้วยผลึกน้ำแข็งที่ขยายตัวเองแตกแขนงลามไปถึงมือโยนิมิจฉาทิฐิอย่างรวดเร็วป้องกันคมดาบจะโดนเด็ก
ก่อนที่เธอจะคว้าคอโยนิมิจฉาทิฐิเหวี่ยงสุดแรง ร่างโยนิมิจฉาทิฐิกระเด็นไปกระแทรกเข้ากับเสาไฟฟ้าเกิดเสียงดัง และมีรอยแตกร้าวที่เสาไฟฟ้า
น่ากลัวว่ามันจะหักโค่นลงมาทับเอา แล้วเด็กสาวก็ตามไปเงื้อดาบสุดแขนแทงเข้ากลางอกโยนิมิจฉาทิฐิจนปลายดาบทะลุร่างราวกับถูกจับวางให้เป็นเป้านิ่ง
"อึ๊ก!! "
"ดาบนี้สำหรับสิ่งที่เจ้าได้กระทำ ลงไปชดใช้กรรมในขุมนรกดูเสียบ้างเถิดจักได้หูตาสว่างมิคิดกระทำการป่าเถื่อนตามอำเภอใจที่ใดในชาติหน้าอีก "
เอ่ยจบคำเด็กสาวก็กระชากดาบอาคมออกทำให้เลือดดำเข้มข้นไหลทะลักออกมาจากปากแผลถูกแทง หยดลงบนพื้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
พริบตาต่อมาหนามน้ำแข็งไม่ต่ำกว่าสิบก็แทงทะลุออกมาจากร่างโยนิมิจฉาทิฐิอย่างไม่ปราณี สาสมกับที่มันได้ลงมือฆ่าคนอย่างไม่ไว้หน้าเด็กสาว
โยนิมิจฉาทิฐิจึงพึมพัมออกมาด้วยความตกตะลึงตระหนักได้ว่าตนถูกลวงเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่มาเพื่อสร้างความโกรธแค้นจนถึงขีดสุดของความอดทนที่จะยื่นอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไม่รู้สึกผิดว่า
ตัวเองเป็นตัวตนเหตุ การตายของมนุษย์ที่คอยปกป้องนักปกป้องหนาให้แก่เด็กสาวเท่านั้น ที่สำคัญตนนั่นหาใช่คู่ต่อสู้เด็กสาวผู้นี้ด้วยซ้ำแต่มารู้ตัวเอาตอนนี้มันจะช่วยอะไรในเมื่อทุกอย่างมันได้สายเกินไปเสียแล้ว
"บ้า..สิ้นดี.."
สิ้นประโยคร่างของโยนิมิจฉาทิฐิก็ล้มลงสิ้นใจตายในที่สุด หมอกหนาจึงค่อยๆ จางหายไปไม่หลงเหลือม่านพรางตาใดๆ ไว้
"ปฐวีเพลิงผลาญ"
พรึ่บ!
สิ้นคำร่ายวิถีอาคมพรานเร้นลับจบคำ เปลวไฟสีม่วงแดงก็ลุกโชติช่วงขึ้นมาจากใต้พื้นดินแผดเผาร่างของเหล่าอสูรหมาในและร่างโยนิมิจฉาทิฐิที่บางทีก็ไม่สลายไปเองจนแหลกสลายกลายเป็นผงเถ้าธุลี
เพียงถูกสายลมพัดก็ปลิวหายไปในมวลอากาศในไม่กี่ชั่วอึดใจ แล้วเด็กสาวก็เดินไปยังเด็กชายที่ได้สติลุกพรวดพราดเข้าไปกอดร่างไร้วิญญาณผู้เป็นพ่อแม่แน่นแต่กลับไม่มีน้ำตาหรือเสียงสะอื้นไห้ออกมา
ทำให้เด็กสาวมองเห็นภาพซ้อนทับของตัวเองในอดีตและบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เด็กคนนี้ช่างคล้ายกับเธอ..มีบางอย่างที่คล้ายกับเธอจริงๆ เธอจึงเอ่ยกับดวงวิญญาณหญิงชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
มองเด็กชายด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดาของกลไกโลก ออกไปเพื่อให้พวกเขาทั้งสองได้ไปสู่สุคติไม่มาคอยวนเวียนตามติดเด็กชายในวันข้างหน้าเพราะยังมีห่วง
"พวกคุณไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเด็กคนนี้ ถ้าหากไม่มีใครรับไปดูแล ทางสภาพรานเร้นลับยินดีจะรับเด็กไปเลี้ยงดูจนกว่าเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่เอง"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็หันมาพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงรับรู้
'ฉันฝากพระเพลิงด้วยนะแม่หนู'
หญิงวัยกลางคนยิ้มบางๆ แล้วร่างของพวกเขาก็โปร่งแสงค่อยๆ จางหายไปในที่สุด เด็กสาวจึงเอาโทรศัพท์ออกมาโทรเรียกคนของสภาพรานเร้นลับให้มารับตัวพ่อแม่เด็กไปดำเนินการ
ทำพิธีทางศาสนาเมื่อดวงจิตได้ละจากสังขาร พร้อมกับพาเด็กไปดำเนินการใต้ความคุ้มครองดูแลสภาพรานเร้นลับ แล้วเด็กสาวก็เก็บโทรศัพท์เมื่อมีคนคุ้นหน้าสองคนปรากฏตัวมายื่นข้าง
"ฉันมาช้าไปหรือเปล่า"
ร่างบางถือพัดไม้ฉลุแดงเอ่ยถามทันทีที่เห็นเด็กน้อยนั่งนิ่งข้างร่างไร้วิญญาณขณะที่อีกคนที่ตามมา เดินไปที่เด็กชายเปิดกระเป๋าสะพายข้างนำผ้าขาวที่พับเก็บในกระเป๋าเตรียมไว้
เผื่อเกิดเหตุโศกนาฏกรรมออกมา ขออนุญาตเด็กชายปิดร่างพ่อแม่ เด็กก็ยินยอมให้ปิดแต่ก็ไม่ลุกไปไหน เด็กสาวจึงตอบเหมือนรู้อยู่แก่ใจแล้ว
"ช้าเร็วไม่ต่างกันยังไงซะพวกเขาก็มีอายุขัยไม่ถึงวันพรุ่งนี้ สงสารก็แต่เด็กจะมีปมในวันข้างหน้ามั้ยไม่มีใครรู้"
"ก็จริงของคะนิ้ง แต่ว่านะเจ้าหนูนี่หน้าตาท่าทางจะฉลาดน่าดูเอางี้มั้ยไม่ต้องยกให้สภาพรานเร้นลับ ให้มาเป็นลูกสมุนลลิตดีกว่า ลลิตจะให้ข้าวให้น้ำเลี้ยงดูเป็นอย่างดีให้เหมือนเจ้าอ้วนกลมเอง"
ไม่ว่าเปล่าเด็กสาวแทนตัวเองว่าลลิตยังตรงไปจับแก้มเด็กชายบีบทั้งสองข้างราวกับเป็นตุ๊กตา ทำคนถูกเรียกว่าคะนิ้งกุมขมับ
เดินไปแกะมือนางมารน้อยตรงหน้าออก ปล่อยเด็กเป็นอิสระ พร้อมกับเอ่ยดับฝันเด็กสาวไปในตัวด้วย
"ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก"
"ทำไมอ่ะ ลลิตสัญญาเลยว่าจะไม่ทำให้คะนิ้งผิดหวังที่ยกเจ้าหนูนี่ให้"
ลลิตว่าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทำให้เด็กชายหลบไปอยู่ด้านหลังคะนิ้งเกาะเสื้อคะนิ้งไม่ปล่อย
"เพราะว่าเด็กคนนี้ไม่ใช้สัตว์เลี้ยง แล้วก็ท่าทางเด็กไม่ได้อยากไปกับลลิตอยู่เลยนะ"
คะนิ้งพูดตามตรงทำให้ลลิตเชิดหน้าใส่คะนิ้งประชดประชันแล้วหันไปโวยใส่เด็ก
"เชอะ! ใจร้าย ไม่เอาก็ได้ เด็กบ้า! "
"อย่าพาลสิ ลลิต"
"ลลิตไม่ได้พาล ไม่รักคะนิ้งแล้ว กลับล่ะ"
ว่าแล้วลลิตก็หมุนตัววิ่งจากไปราวกับเด็กน้อยโดนขัดใจจนลับสายตา
ทำคะนิ้งหันไปมองอีกคนที่ยื่นนิ่งมองดูเหตุการณ์ไม่พูดไม่จาอย่างต้องการคำตอบ
"อะไรของเขา"
"ก็แค่เด็กไม่รู้จักโตล่ะมั้งค่ะ"
เด็กสาวตอบสั้นๆ แล้วไม่พูดอะไรอีกทำให้คะนิ้ง อดคิดไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเป็นเธอที่แปลกคนหรือเป็นเพื่อนที่แปลกคนกันแน่แต่ละคนดูวุ่นวายและเย็นชาดีจัง ก่อนที่เธอจะวางมือบนหัวเด็กที่เกาะเสื้อเธอพร้อมกับเอ่ยปลอบโยน
"ไม่เจ็บตรงไหนนะ"
คำพูดนี้ทำให้เด็กชายปล่อยเสื้อเด็กสาวเดินก้มหน้าก้มตาไปนั่งกอดเข่าข้างร่างไร้วิญญาณพ่อแม่ที่มีผ้าขาวคลุมร่างไว้แล้ว
คะนิ้งเห็นแบบนั้นก็กุมขมับบ่นพึมพัมเหมือนคนสติหลุดลอยรอบตัวมีแต่ออร่าหดหู่มืดมนจนดูไม่น่าเข้าใกล้ออกมา
"ฉันพูดอะไรผิด? มันทำร้ายจิตใจเด็กใช่มั้ย? เขาเกลียดฉันแล้วเหรอ? ฉันไม่ควรพูดอะไรจะดีที่สุดสินะ เฮ้อ...."
มือเรียวจากอีกคนแตะลงบนบ่าคะนิ้งแผ่วเบา คะนิ้งจึงหันไปปล่อยออร่ามืดดำใส่เด็กสาวแทน
"เธอไม่ต้องปลอบฉันหรอกเกวฉันโอเคดี ฉันไม่เป็นไรไม่ได้เป็นอะไรเลยสักนิด อย่างมากก็แค่ปวดใจนิดหน่อยนิดเดียวแค่นั้นเองแค่นั้นจริงๆ "
"ฟังจากน้ำเสียงกับท่าทางของเธอฉันคิดว่าไม่น่าใช่นะ"
เกว หรือเกวลี ว่าด้วยเสียงราบเรียบแต่กลับแสดงถึงความรู้สึกอยากจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้คะนิ้งเลิกหดหู่
"เธอพูดถูก บางทีฉันก็คิดว่ามันแย่ที่ฉันมัวแต่ลงมือทำมากกว่าพูดจนทำให้ฉันเป็นประเภทการแสดงออกกับวาจาบกพร่อง"
คะนิ้งเอ่ยน้ำเสียงหดหู่หนักกว่าเก่า
"ฉันรู้ค่ะ แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรยากเกินไปนี่คะ เวลารู้สึกยังไงเธอก็แค่ต้องพูดมันทั้งหมดออกไป ส่วนคำพูดของเธอจะสื่อถึงคนฟังมั้ยนั่นมันก็เรื่องของเขาแล้วว่าเขาสามารถรับรู้ความรู้สึกเธอมากน้อยแค่ไหน อีกอย่างเด็กดูท่าทางไม่ได้เกลียดเธออยู่เลยนะเขาคงอยากจะอยู่คนเดียวแล้วคิดอะไรสักหน่อยมากกว่า ยังไงซะนั่นก็พ่อแม่เด็ก พวกเขาจากไปด้วยสถานะการณ์เลวร้ายที่อาจสร้างปมในใจให้กับเขาแต่อีกเดี๋ยวเขาก็จะเข้าใจสัจธรรมโลกว่าโชคชะตาไม่มีผู้ใดฝ่าฝืนได้แม้แต่เทวเทวียังค้นหานิพพาน เพราะงั้นเธออย่าพึ่งไปคิดมากแทนเด็กที่ต้องหาทางออกเองเลยจะดีกว่า เธอทำงานของเธอก็เต็มที่อยู่แล้วรับอย่างอื่นเข้ามาอีกมันจะลำบากตัวเองกว่าเดิมเปล่าๆ "
เกวลีพูดจบคะนิ้งก็เลิกหดหู่ในทันที ไม่วายยังย้อนแซวเกวลีที่ตั้งใจพูดมากๆ ๆ เป็นพิเศษอีกต่างหาก
"ก็จริงของเกวว่าแต่ว่านะเกวนี่ก็มีส่วนอ่อนโยนเหมือนกันนี่นานึกว่าจะเย็นชาเป็นอย่างเดียวซะอีกน่ารักจริงเชียว"
"เธอกำลังพูดเรื่องอะไรฉันไม่เข้าใจหรอกค่ะถือซะว่าฉันไม่ได้ยินแล้วกัน"
"หืม..เขินก็บอกเถอะฉันรู้นะ"
"ฉันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้หรอกค่ะ"
เกวลีบอกปัดพอดีกับได้ยินเสียงรถขับมาทางพวกเธอดังขึ้นมา
"ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาถึงแล้ว อย่าลืมอ่านหนังสือล่ะ แล้วเจอกันห้องสอบค่ะ"
เกวลีว่าจบก็จากไปอีกคนทิ้งให้คะนิ้งอยู่กับเด็กชายตามลำพัง
"...พรุ่งนี้แล้วสินะ"
คะนิ้งพึมพัมขณะสายลมระลอกหนึ่งพัดพาเอาใบไม้แห้งลอยวนในมวลอากาศผ่านไป
คะนิ้งเห็นเด็กชายท่าทางจะหนาวจึงถอดเสื้อแขนยาวทับเสื้อแขนกุดยื่นให้เด็กชาย
"ใส่ซะสิ"
"..แล้วพี่.."
เด็กชายเหลือบมองคะนิ้งเปิดปากพูดกับเธอเป็นครั้งแรก
ทำให้เธอได้เห็นหน้าตาน่ารักชัดๆ แล้วก็อดคิดไม่ว่า
ดวงตาสีม่วงประกายน้ำเงินนิ่งสงบ ตัดกับผมสีดำสนิท แถมผิวยังขาวจัด จะดูเหมือนตุ๊กตาเกินไปแล้ว
"เห็นอย่างนี้แต่ร่างกายฉันเป็นน้ำแข็งน่ะนะกับอากาศแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก นายเอาไปใส่เถอะเดี๋ยวจะไม่สบายเอาแล้วมาโทษว่าเป็นความผิดฉัน ฉันไม่รู้ด้วยนะ"
คะนิ้งอธิบายแล้วก็ยัดเยียดเสื้อแขนยาวให้เด็กชาย เด็กชายจึงยอมใส่มันแต่โดยดี แล้วเอ่ยถามคะนิ้ง
"พี่ไม่กลับ? "
"อืม"
คะนิ้งที่ยืนอยู่ด้านข้างเด็กชายตอบทั้งที่ตามองไปทางอื่น
"ทำไม? "
"ฉันก็อยู่เป็นเพื่อนนายไง"
เมื่อเด็กชายได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปไม่ถามอะไรอีก คะนิ้งจึงเป็นฝ่ายถามบ้าง
"นายมีญาติคนไหนที่อยากไปอยู่หรือเขาอยากให้ไปอยู่ด้วยมั้ย"
"จะผลักไสผมเหรอ พี่รับปากแล้วนะ"
"หือ? นายมองเห็น? ฉันแค่ถามเผื่อว่านายจะ..."
"ไม่มีหรอก "
เด็กชายเอ่ยแทรกทำคะนิ้งที่ยังไม่ทันได้พูดจบไม่รู้จะงุนงงหรือแปลกใจอันไหนก่อนดี
"ทำไมล่ะ"
"ผมเป็นลูกบุญธรรม ไม่มีใครสนใจผมนอกจากพ่อแม่ที่รับผมมาจากบ้านเด็กกำพร้าทั้งนั้น อีกอย่าง...พี่อย่าถามอะไรผมมากกว่านี้จะดีกว่า ผมไม่อยากสนทนากับคนใส่หน้ากาก"
คำพูดแรกๆ คะนิ้งกำลังจะสงสารแต่คำพูดหลังๆ นี่สิคะนิ้งนั่งลง จับแก้มเด็กชายบีบแทบจะทันทีทันใด
"นี่เจ้าหนู ฉันรู้ว่านายกำลังเสียใจแต่ฟังให้ดีตอนนี้ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่เพราะงั้นพรานเร้นลับจะไม่ถอดหน้ากากให้ใครเห็นหน้าตาเด็ดขาดถึงนายจะมองเห็นอยากเห็นหรือรู้อะไรก็ตามเข้าใจมั้ย"
"ไม่เข้าใจ"
เด็กชายตอบหน้ามึน ขณะที่รถคันสีดำเหมือนรถพยาบาล มาหยุดจอดแล้วผู้ชายร่างสูงโปร่งสองคนแต่งตัวคล้ายคะนิ้งแต่งหน้ากากจะออกไปทางลวดลายยักษ์
ก็ลงมาจากรถ เดินตรงมาที่คะนิ้งพอเห็นเด็กชายนั่งอยู่ข้างคะนิ้งก็ยิงคำถามแทบจะทันที
"ทำไมเธอยังปล่อยให้เด็กมีสติ"
"การตั้งคำถามกับคนที่นายไม่ควรมีคำถามนี่งานนายเหรอ ฉันว่าไม่น่าใช่นะ นายควรจะเคลื่อนย้ายพ่อแม่เด็กขึ้นรถแล้วพาเด็กไปที่พักจะดีกว่ามั้ย? หรือต้องให้ฉันทำเอง เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าถ้าให้ฉันทำฉันไม่รับประกันว่านายจะได้ยืนทำหน้าที่อยู่ในสภาอย่างสบายใจได้นะ"
คะนิ้งลุกขึ้นเดินไปตบบ่าชายหนุ่มที่เป็นคนพูดแล้วถามกลับเสียงเย็น
ทำให้ชายหนุ่มสงบเสงี่ยมเมื่อสัมผัสได้ว่ามีเกล็ดน้ำแข็งเกาะบนบ่า
เพราะในสภามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้พลังนี้ได้ซึ่งคนๆ นั่นก็คือ น้องสาวของผู้นำของสภานั่นเอง
"ขออภัยขอรับข้ามิทราบว่าท่านจักมา"
ชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกคะนิ้งในทันทีด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดคะนิ้งจึงโบกมือไล่
"จะบอกว่าการใส่หน้ากากลบตัวตนก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งหรือไงนะ? แต่เอาเถอะครั้งนี้ฉันจะไม่ถือสานายอย่าให้มีครั้งหน้าอีกแล้วกันไปทำงานของนายซะไป"
"ขอรับ"
ชายหนุ่มรับคำก็เดินไปหลังรถแล้วทั้งสองคนก็เคลื่อนย้ายร่างพ่อแม่เด็กขึ้นรถขณะที่เด็กชายเดินมาอยู่ข้างคะนิ้งพึมพัมบางอย่างออกมา
"พี่รู้มั้ยพวกเขาตายเพราะผม"
"ทำไมคิดงั้น? มันเป็นเรื่องของชะตากรรมร่วมกันจนกว่าจะหมดบ่วงต่อกันต่างหาก เหมือนกับคำพูดที่คนเคยว่าไว้ไง มีพบก็ต้องมีจากมีพรากก็ต้องมีหวนคืนเพราะอสงไขยไม่มีอะไรจีรังไม่มีอะไรยั่งยืนไม่มีอะไรที่นายควบคุมได้ อย่างมากก็แค่ต้องปล่อยวางมันทิ้งไป "
ว่าแล้วคะนิ้งก็ยื่นมือไปขยี้ผมเด็กชาย เด็กชายจึงเงยหน้ามองเธอด้วยดวงตาว่างเปล่า
"เหมือนพี่กับผมเหรอ? "
คำถามนี้ทำคะนิ้งชักมือกลับไปเกาหัวด้วยความงุนงง แต่ก็ตอบไปตามน้ำทั้งๆ ที่รู้สึกได้ว่าเด็กตั้งคำถามแปลกๆ ชอบกล
"อ่า...ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง พวกเขาย้ายร่างพ่อแม่นายเสร็จแล้วนายขึ้นรถไปกับพวกเขาเถอะ"
"ผมจะได้เจอพี่อีกมั้ย"
"ก็อาจจะได้เจอถ้าโชคชะตาเข้าข้างนาย"
คะนิ้งว่าทำให้เด็กชายเอียงคอน้อยๆ ด้วยสีหน้าสงสัย
"พี่พูดเหมือนกับว่าจะไปอยู่ที่ๆ ไกลมาก"
"นั่นสิ ฉันต้องไปแล้ว หวังว่านายจะไม่โทษตัวเองเกินไปนะดูแลตัวเองด้วยล่ะ โชคดี..พระเพลิง "
พูดจบคำร่างคะนิ้งก็หายไปไม่เหลือร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้ให้ไล่ตามทัน เด็กชายนาม พระเพลิง จึงหลับตาหนักอึ้งและล้มลงกับพื้นหมดสติต่อหน้าต่อตาชายหนุ่มทั้งสองคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทำให้พวกเขาตรงไปดูอาการเด็กเพราะคิดว่าเด็กอาจได้รับบาดเจ็บ แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าบาดแผล พวกเขาจึงรีบพาตัวเด็กขึ้นรถแล้วออกตัวรถตรงไปยังสภาไม่รอช้า
*โยนิ แปลว่า กำเนิด หมายถึงที่เกิด ที่ให้กำเนิดสัตว์
*มิจฉาทิฐิ แปลว่า ความเห็นผิดจากความเป็นจริง หรือผิดตามทำนองคลองธรรม
เอย...
"เจ้าเอย! "
เฮือก!?
เสียงโหวกเหวกของผู้เป็นแม่ทำเด็กสาวเจ้าของชื่อ ทะลึ่งตัวขึ้นนั่งหลังตั้งฉากกับเก้าอี้ประหนึ่งซอมบี้ผุดขึ้นจากหลุม
ก่อนเจ้าเอยจะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่ถือไม้หน้าสามชี้มาทางเธอสีหน้าดำทะมึนด้วยความมึนงงระคนสลึมสลือ ทำเด็กสาวตกใจตื่นเต็มตาขึ้นมาทันใด
"หือ..เฮ้ย!?ใจร่มๆ ก่อนแม่ นี่เอยปลุกยากถึงขนาดกับต้องพกคมแฝกมาด้วยเลยเรอะ"
"ฉันไม่ได้เอามาตีแกฉันเอามาไล่งูที่มานอนขดตัวบนเก้าอี้ที่แกนั่งอยู่ต่างหาก ไม่รู้มันหายไปไหนแล้วเนี่ย"
ระรินว่าพลางกวาดสายตามองไปทั่วห้องทำเจ้าเอยกลอกตาล๊อกแล๊กไปมาขณะเค้นสมองใช้ความคิด
"งูเงออะไรกันแม่เอยก็อยู่ตรงนี้ตลอดไม่ได้ลุกไปไหนเลยนะแม่ตาฝาดป่าว"
"ถึงฉันจะอายุมากตาฉันก็ไม่ได้ฟ่าฟางขนาดสร้างภาพหลอนขึ้นมาซ้ำๆ นะเจ้าเอย"
"เอยไม่ได้หมายความอย่างนั้นแบบว่าถ้ามันมานอนจริงๆ เอยก็เป็นผีสิแม่ไม่เห็นเอยอ่ะ"
"ตอนนั้นแกอาจละเมอเดินเข้าห้องน้ำก็ได้เจ้าเอย"
"เป็นไปได้ด้วยเหรอแม่"
เจ้าเอยมองระรินตาปริบๆ
"ไม่รู้ล่ะฉันขอยืนยันคำเดิมฉันเห็นงูดำตัวใหญ่ในห้องแกหลายครั้งแล้วจริงๆ แกไม่เชื่อก็ตามใจแต่แกต้องเอาเจ้านี่ไว้ป้องกันตัวเผื่อว่ามันจะออกมาให้เห็นอีก"
ระรินว่าแล้วก็ยัดเยียดไม้หน้าสามใส่มือเจ้าเอย เด็กสาวจึงหน้ามุ่ยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่ก็รู้ว่าแม่เป็นห่วงเลยยอมรับมันมาอย่างช่วยไม่ได้
"แล้ววันหลังฉันจะไปหาซื้อว่านไล่งูมาให้วางไว้ในห้องจะได้เลิกหลอนว่ามันจะออกมาฉกแกเมื่อไหร่สักที"
ระรินว่าจบเจ้าเอยก็หูผึ่งสีหน้าเป็นกระต่ายตื่นตูมขึ้นมาทันใด
"ไม่ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกแม่เปลืองตังค์เปล่าๆ อีกอย่างเอยก็แพ้มันด้วยแทนที่แม่จะไล่งู แม่จะไล่เอยก่อนนี่แหละ"
จบคำเจ้าเอย ระรินก็ขมวดคิ้วเป็นปมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
"แกนี่นะแพ้ว่านไล่งูเจ้าเอยอำฉันเล่นรึไง"
"เอยพูดจริงๆ แม่ มีครั้งหนึ่งเอยไปบ้านเพื่อนแล้วเดินผ่านมันอยู่ๆ ก็เวียนหัวแถมกลิ่นยังเหม็นมากจนต้องเดินหนี แม่อย่าซื้อเลยนะงูมันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แม่ลองให้คนมาดูก็ได้ถ้าไม่มีก็แล้วๆ ไปเนาะแม่"
เจ้าเอยไม่ว่าเปล่าก็วางไม้ไว้บนโต๊ะแล้วผละตัวจากเก้าอี้ปรี่เข้าไปกอดแขนระรินเหนียวหนึบ ออดอ้อนหญิงสาวจนโดนโบกหน้าผากไปทีหนึ่ง
"นี่แน่ะ อสรพิษก็คืออสรพิษไม่ต้องมาพูดว่ามันไม่น่ากลัวเลยเจ้าเอย"
"โหย~ เจ็บนะแม่ เขกมาได้"
เด็กสาวโอดครวญลูบหน้าผาก ด้วยใบหน้างำงอคอหักเป็นปลาทูแม่กลองไปในบันดล
"สมควรโดนคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขาดีนัก"
"แม่อ่ะ"
"ไม่ต้องมาแม่องแม่อ่ะไปอาบน้ำแต่งตัวเลยไปอย่ามัวลีลาเป็นแม่สายบัวรอท่าอยู่"
ระรินว่าพลางโบกมือไล่
"ช้ากว่านี้ก็ไม่สายหรอก แม่เล่นปลุกตั้งแต่ไอ้แจ้ข้างบ้านโก่งคอขันโหยหวนขนาดนี้"
"ไม่ต้องเลยๆ ไปเดี๋ยวนี้จะได้มีเวลาทบทวนเนื้อหาที่อ่านเมื่อคืน"
ระรินดุเสียงเขียว เจ้าเอยจึงไม่อยากขัดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กสาวจะไม่ต่อรอง
"ค่ะๆ ไปก็ได้แต่แม่ต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่ไปเหยียบร้านขายต้นว่านไล่งูหรือซื้อมันมาซ่อนในห้องเอยเด็ดขาดห้ามเด็ดขาด"
เจ้าเอยว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
ระรินจึงพยักหน้ารับไปแม้จะแปลกใจว่าเป็นไปได้ด้วยเหรอที่คนจะแพ้ว่านไล่งูก็ตาม
"ฉันสัญญา"
"จริงนะจริงๆ นะแม่"
เจ้าเอยถามย้ำให้มั่นใจ
"อืม เดี๋ยวฉันไปหาคนเชี่ยวชาญจับงูมาดูห้องแกก็ได้"
ได้ยินแบบนั้นเจ้าเอยก็โผเข้ากอดระรินคลอเคลีย
"เอยรักแม่ที่สุดเลย"
"จ้าๆ ไปอาบน้ำซะไป สระผมด้วยหัวเหม็นแล้วเนี่ยยัยเด็กสวยแต่รูปขี้เกียจสระผม"
"ฮี่ๆ ๆ รับทราบเจ้าค่ะ"
เจ้าเอยคลายวงแขนว่าด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้ว เดินไปหยิบผ้าขนหนูในตู้จะเดินเข้าห้องน้ำส่วนตัว
แต่ก็ชะงักเท้าหันกลับมาถามคำถามแปลกๆ กับระรินประโยคหนึ่งคล้ายอยากรู้แต่น้ำเสียงเจือแววหดหู่ชวนประหลาด
"สมมุติว่าเอยไม่ใช่เอยคนเดิมแม่ยังจะรักเอยอยู่มั้ย"
"จู่ๆ ก็ถามอะไรแบบนั้นยัยเจ้าเอยแกจะเป็นยังไงฉันก็รักของฉัน ฉันมีแกเป็นลูกคนเดียว ไม่รักแกแล้วฉันจะไปรักแมวที่ไหนล่ะ"
คำพูดระรินทำเจ้าเอยหลุดหัวเราะรวนออกมา
"ฮ่าๆ ๆ ๆ รู้เรื่อง คราวนี้เอยไปอาบน้ำจริงๆ ละ"
ว่าจบเจ้าเอยก็เดินเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้ระรินมองตามหลังแล้วพึมพัม
"อะไรของยัยลูกคนนี้นับวันยิ่งแต่จะแปลกคนขึ้นทุกที"
วูบ~
จู่ๆ บรรยากาศในห้องเจ้าเอยก็ตกอยู่ในภวังค์ความเย็นดุจมีมวลคลื่นน้ำมองด้วยตาเปล่าไม่อาจเห็น
ไหลทะลักโอบกอดห้องทั้งห้องกดทุกจริงให้จมดิ่งลงสู่ห่วงแห่งชโลทรเพียงเสี้ยววินาที จนระรินรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายไม่ธรรมดา
พลันสายตาก็กระทบกับเงาดำคดเคี้ยวบนเพดานที่ค่อยๆ เลื้อยลงมายังผนังห้องเจ้าเอย
ขยายรูปร่างเป็นงูใหญ่เท่าต้นตาลมีหงอน ชูคอสูงตระหง่านท่วมหัว
ทำระรินตื่นตะลึงหากแต่ไม่ได้ขวัญอ่อนหวาดกลัวจนสติ สตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัววิ่งเตลิดออกไป กลับกันระรินเลือกยื่นนิ่งไม่ขยับ
จ้องเขม็งพิจารณาก็พบว่าเงาตรงหน้าคล้ายมีชีวิตแต่เพียงชั่วกระพริบตา
มันก็พลันมลายคลายรูปลักษณ์ไปเสียสิ้น ราวกับเป็นแค่ภาพลวงตาที่จิตปรุงแต่งสร้างขึ้นมา ระรินจึงส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป
"นี่ฉันฝันว่างูเผือกตัวใหญ่จะมาเอาตัวยัยเจ้าเอยไปถึงขนาดเก็บมาคิดเป็นตุเป็นตะเลยรึ ไม่ได้การล่ะเห็นทีต้องแวะไปหาหมอสักหน่อยแล้ว"
ระรินเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าทุกอย่างที่ตนสัมผัสได้นั้นหาใช่สิ่งที่ย้ำคิดย้ำทำไปเองไม่
ขณะที่เจ้าเอยกำลังแปรงฟันอยู่หน้าอ่างล้างหน้าติดกระจกบานใหญ่
มีผ้าขนหนูพาดบ่ายังไม่ผ่านการอาบน้ำใดๆ ชายหนุ่มภูมิฐานราวๆ ยี่สิบกว่า แต่งชุดสูทดำ
มีรัศมีน่ายำเกรงลุ่มลึกแผ่กระจายออกมาทั่วร่างสูงโปร่ง ผู้มีใบหน้าดั่งเทพบุตรรูปงามแดนนภา ดวงตาสงบนิ่งมากด้วยกลิ่นอายลึกลับน่าค้นหา
ก็ปรากฏตัวมายืนด้านข้างเด็กสาวอย่างเงียบงันก่อนจะเปล่งวาจาทุ้มต่ำหนักแน่นออกมา ทำเจ้าเอยหันไปถลึงตาเขียวปั้ด แยกเขี้ยวเต็มไปด้วยฟองยาสีฟันใส่
"อันว่าความลับนี้มิมีที่ใดในโลกา เจ้าจักปิดได้นานสักเท่าใดกันเทียวภุชคินทร์"
"ภุชคินทร์ น้องสาวท่านสิ!"
"พูดถูกเจ้าเป็นน้องสาวข้า"
ชายหนุ่มเอ่ยสีหน้าระรื่น ทำเจ้าเอยขมวดคิ้วแทบจะเป็นปมอยู่รอมร่อ ก้มหน้าก้มตาล้างปากแล้วตอกกลับน้ำเสียงขุ่น
"ข้าประชด!"
"เป็นเช่นนั้นฤา"
ชายหนุ่มยังคงสีหน้าระรื่นต่อไปไม่เลิก
"ท่านมีธุระอันใด จงเร่งรีบว่าความมาเถิดพระเชษฐา อย่าได้มัวพิรี้พิไรโผล่ไปแวบมาตามติดน้องสาวผู้นี้เยี่ยงลูกกรอกน้อยหาใช่นาคาผู้ยิ่งใหญ่อยู่เลยเจ้าค่ะ"
เจ้าเอยถามเข้าประเด็น ทำไมเธอจะไม่รู้ดีล่ะว่าสิ่งที่แม่ตนเห็นเป็นความประสงค์ของบุรุษน่าตายจอมยั่วโทสะผู้นี้ล้วนๆ
"หึๆ หนีมากำเนิดเมืองมนุษย์ครานี้นับว่าปากคอเจ้าช่างเราะร้ายกับพี่ขึ้นมิใช่น้อยนักหนา"
ชายหนุ่มหาได้ใส่ใจวาจาแดกดันเพียงแต่ขบขันท่าทางปานอยากจะเคี้ยวร่างเขาให้เป็นผงธุลีบัดเดี๋ยวนี้ของเจ้าเอยที่หน้าดำขึงขังเป็นยักษ์มารไปเสียแล้ว ทำเจ้าเอยกดเสียงต่ำบ่งบอกว่าเธอไม่สนุกด้วย
"ท่าน-พี่-นา-เคนทร์"
"เอาเถิดๆ ข้ามิหยอกล้อเจ้าแล้ว"
นาเคนทร์เลิกเย้าแหย่เจ้าเอย พลางสะบัดมือเล็กน้อย ก็ปรากฏกล่องสีดำสลักลวดลายพญานาคขึ้นมาในมือ
"ท่านพ่อทราบความว่าเจ้าจักจากไปในที่ห่างไกลสายตา เป็นกังวลหนักหนาว่าภัยร้ายจักเล่นงานเจ้าสาหัส ท่านจึงฝากข้าให้นำแหวนนาคาคุ้มภัยมามอบให้แก่เจ้า เจ้าจงรับไว้เสียเถิดภุชคินทร์"
นาเคนทร์ว่าแล้วยื่นกล่องในมือให้เจ้าเอย เจ้าเอยจึงรับมันมาเปิดเพ่งพินิจดูก็พบว่าด้านในมีแหวนพญานาคสีดำลวดลายวิจิตรขดตัวได้รูป
ทำให้เธอลูบไล้อย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเจือแววรู้สึกผิดลึกๆ ออกมา
"ฝากท่านพี่ขอบพระคุณท่านพ่อแทนข้าด้วย แม้นข้าทำผิดต่อท่านนักท่านยังมีเยื่อใยห่วงต่อข้า"
"บุตรผู้ใด ผู้ใดย่อมรักแม้นกายหยาบจักเป็นอื่น แลข้าเองก็มิได้แตกต่างกันนัก แล้วข้าจักบอกให้"
นาเคนทร์ตกปากรับคำ
"เพียงแต่ก่อนกลับข้าจักขอกล่าวความตักเตือนเจ้าสักเรื่องหนึ่งหนา"
"เชิญท่านว่ามาเถิดเจ้าค่ะ"
"สิ่งใดดีจงอย่าได้คิดว่าดีสิ่งใดมิดีจงอย่าได้คิดว่ามิดีหากเจ้ายังมิได้ยลโฉมถึงแก่นแท้เพราะภายภาคหน้าชีวิตเจ้าจักเป็นไปเช่นไรนั่นคือชะตากรรมที่เจ้าเลือก แลเป็นการยากนักที่พญานาคเยี่ยงข้าฤาท่านพ่อจักยื่นมือเข้าไปฝ่าฝืนกฎแห่งบ่วงของเจ้าได้เจ้าเข้าใจหรือไม่น้องสาวข้า"
"ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ"
"ดียิ่ง เมื่อเจ้าไปแล้วข้าจักดึงความทรงจำท่านแม่ภพนี้เรื่องเจ้าฝากฝังผลึกนาคาไว้ชั่วคราว ป้องกันผลยุ่งยากเกิดตามมา แลจักคอยเฝ้าระวังภัยห่างๆ ให้ เจ้าจักได้มิต้องคอยห่วงใย แต่กระนั้นเพลาใดข้าเกิดเหงา นึกอยากจักปรากฏตัวให้ผู้อื่นเห็นแก้เบื่อขึ้นมาอันนี้ก็ช่วยมิได้หนา"
นาเคนทร์เอ่ยหน้าตาย แล้วเขาก็ชิ้งหนีไปทิ้งให้เจ้าเอยหัวฟัดหัวเหวี่ยง
กดด่าไม่เป็นภาษากับนิสัยแผลงๆ เล่นไม่เลิกราวกับเด็กน้อยชมชอบการกลั่นแกล้งผู้อื่นของนาเคนทร์
ทั้งที่เป็นพี่ชายจากภพอดีตอายุอานามรึก็ห่างกันอยู่หลายพันปีนักแท้ๆ
7.00 น.
บ้านแดนไพศาลกึ่งอู่ซ่อมรถใหญ่แห่งหนึ่ง
"พ่อ เห็นกุญแจรถฟ้ามั้ยอ่ะ"
เด็กสาวหน้าตาสะสวย ร่างสูงเพรียวระหง สวมเสื้อยีนน้ำเงินทับชุดนักเรียน บนบ่าสะพายกระเป๋าข้าง
ในมือสวมถุงมือแฟชั่นสีดำถือหมวกกันน็อคผู้ชายนิยมติดมาด้วย
ดูแล้วท่าทางห้าวหาญเกินหญิงไม่เบาเดินมาเรียกชายวัย40แต่ยังดูหนุ่มแน่นที่ก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าฝากระโปรงรถยนต์
ด้วยท่าทีดวงตาหรี่ปรือ จนปกรณ์เงยหน้าขึ้นมองยังส่ายหัว
"อยู่ที่พ่อเอง..ไอหยา นี่แน่ใจนะว่าตื่นแล้วฟ้าหยาด"
ปกรณ์ว่าพลางลวงกุญแจจากกระเป๋าเสื้อส่งให้
"โห่ แน่ใจสิพ่อนี่ใครฟ้าหยาดคนจริงนะ"
ฟ้าหยาดรับกุญแจมาก็เปิดปากหาวไม่มีอายทีหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นเสยผมหน้าแนบหูมีรอยเจาะไม่ได้ใส่ต่างหูเพราะมีสอบไม่ต่ำกว่าห้ารู
ก่อนจะสวมหมวกกันน็อคอย่างทะมัดทะแมงอกผายไหล่ผึ่งประหนึ่งชายชาติทหาร
ทำปกรณ์เห็นแล้วก็เกิดอาการไมเกรนถามหาปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันใดได้แต่ส่ายหัวปลงๆ ไปมาหลายรอบพลางคิดในใจ
ไอ้เรารึอุสาห์ตั้งชื่อสมหญิงให้ซะดิบดีดูซิดันกลายเป็นหญิงสมชายไปได้
"เฮ้อ"
"เป็นไรอ่ะพ่อ"
"เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร ทีหลังก็เก็บไว้ให้ดีเหมือนเจ้ากำไลที่ไม่เคยถอดห่างจากตัวเลยหน่อยแล้วกัน หายขึ้นมาพ่อไม่รู้ด้วยแล้วนะ"
"คร้าบผม งั้นฟ้าไปโรงเรียนล่ะ "
ฟ้าหยาดโน้มศีรษะไหว้ปกรณ์งามๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงรถ
สักพักเสียงสตาร์ทรถก็ดังขึ้น แล้วบิ๊กไบค์คู่ใจสีดำก็แล่นออกสู่ถนนด้วยความเร็วแรง ซิ่งเต็มพิกัด จนลับสายตา
"อื้อหือน้องฟ้าหยาดคนแมนวันนี้ก็เท่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างนี้ลุงจะได้ลูกเขยหรือลูกสะใภ้หว่า"
ชายหนุ่มญาติห่างๆ ปกรณ์เอ่ยแซวขณะเดินเข้ามาในอู่พร้อมเพื่อนช่างด้วยกันทำปกรณ์แทบลิ่วประแจขันน๊อตไปแสกกลางกระหม่อมซะเดี๋ยวนั้น
"เดี๋ยวเถอะเจ้ากันต์ปากวอนแต่เช้าโดนหักเงินสักหน่อยเป็นไรฮึ"
"อ้าก! อย่านะลุง กันต์ผิดไปแล้วทีหลังจะไม่ปากสุนัขอีกสาบานเลยลุงยกโทษให้กันต์นะ พลีสๆ ๆ ๆ "
กันต์โอดครวญยกใหญ่จนเพื่อนพากันหัวเราะฮา ท่าทางหูหางตกเป็นหมาหงอยของกันต์ไปตามๆ กัน
"เออๆ ฉันพูดขู่แกเล่นหรอกไอ้นี่ก็จริงจังไปได้ ไหนๆ ก็มาก่อนเวลาแล้วไปหาทำงานโน่นไป"
ปกรณ์โบกมือไล่ด้วยความรำคาญ
"คร้าบ"
กันต์ฉีกยิ้มกว้างเอ่ยน้ำเสียงทะเล้น ก่อนผละตัวไปทำงานของตน
ทางด้านฟ้าหยาด
เด็กสาวขับรถมาถึงบริเวณจุดที่ตั้งของมหาลัยประจำเมืองก็แทบจะเบรกบิ๊กไบค์ไม่ทัน
เมื่อดันมาเจอกลุ่มนักศึกษาเหมือนจะต่างถิ่นกับเจ้าถิ่นตะลุมบอนตีกันด้วยอาวุธสนับมือ ไม้หน้าสาม อาจจะมีมีดหรือแรงกว่านั้นก็ปืน ราวกับโกรธแค้นกันมาเป็นสิบชาติ
บนถนนไม่เกรงใจรถราแม้ว่าจริงๆ แล้วตอนนี้จะมีแค่ฟ้าหยาดที่อยู่ในเหตุการณ์และถือว่าโชคดีไปที่ยังไม่มีคนสัญจรตามร้านร่วงฝั่งฟุตบาทก็ตาม
ฟ้าหยาดซึ่งจอดรถห่างพอจะไม่โดนลูกหลงจึงทำหน้าที่พลเมืองดี
เอาโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้ง191อย่างไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง
จากนั้นเธอก็เก็บโทรศัพท์ เคาะนิ้วกับแฮนด์รอท่าว่าเมื่อไหร่รถคันสีเลือดหมูสลับขาวจะมา
หรือเมื่อไหร่ไอ้ความป่าเถื่อนตรงหน้ามันจะยุติลง ปล่อยให้เธอไปโรงเรียนเพื่อสอบวันสุดท้ายสักที กระทั่งเสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่ง
แล้วก็มีผู้ชายคาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาเจ้าถิ่นยกมือกุมท้องสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนที่จะทรุดตัวล้มลงกับพื้น
พลันวงตีกันก็แตกกระจายเป็นผึ้งรังแตก เหล่านักศึกษาต่างถิ่นวิ่งหนีผ่านฟ้าหยาดไปไม่แยแส
วินาทีนั้นทุกอย่างดูช้าลงคล้ายกับฟันเฟืองถูกสโลว์ ขณะฟ้าหยาดมองดูภาพผู้ชายถูกยิงมีกลุ่มเพื่อนสภาพสะบักสะบอมไม่แพ้กันรายล้อม
ในห้วงอารมณ์กระวนกระวาย กังวลกดดัน หนักหน่วง วุ่นวายไปหมดด้วยนัยน์ตาว่างเปล่าราวกับมองดูนกแสนสวยถูกยิงปีกหัก ร่วงจากฟ้าตกลงมาตายตรงหน้าแล้วคิดไปว่าไม่เกี่ยวกับเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นลึกๆ แล้วในใจเธอก็ยังหลงเหลือจิตใต้สำนึกอันเรียกว่าสงสารอยู่เธอจึงทำในสิ่งที่นางในวรรณคดีผู้มีจิตใจงามตามท้องเรื่องสมควรทำ
แม้จะขัดกับตัวตนของเธอที่ไม่ชอบยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นโดยใช่เหตุลิบลับ นับว่าครั้งนี้คงเคยมีกรรมร่วมกันแล้ว
"ชิส์! "
บรื้น!!
เอี๊ยด!!!
"เฮ้ย! อะไรวะ! อยากตายรึไง!! "
นักศึกษาต่างถิ่นกร่างสุดตะคอกใส่ฟ้าหยาดที่ขับบิ๊กไบค์ไปตีโค้งจนเกิดเสียงดังดักหน้าไม่ให้นักศึกษาต่างถิ่นวิ่งไปยังจุดที่จอดรถ
ทำให้ฟ้าหยาดเงยหน้า ใช้นิ้วเลื่อนกระจกหมวกกันน็อคขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีดำสนิทที่ค่อยๆ กลายเป็นสีเขียวฟ้าลึกลับมืดมนไร้จุดสิ้นสุดดังห้วงมหาสมุทรสุดหยั่งถึง
จ้องมองนักศึกษาที่โวยเธอรวมทั้งคนอื่นที่อยู่ตรงนั้นอย่างเยือกเย็น
เหล่านักศึกษาเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาพิศวงนั้นเข้าก็ยืนนิ่งราวกับร่างกายถูกสะกดตรึงไว้อย่างสมบูรณ์แบบในทันที
จะมีก็แค่ตากับประสาทหูเท่านั้นที่ยังรับรู้ว่าเด็กสาวบัดนี้ได้ลงจากรถมายืนตรงหน้า
เอาเหรียญดวงตาออกจากกระเป๋ากระโปรงมาวางบนนิ้วโป้ง
แล้วเธอก็ออกแรงดีดจนมันลอยหมุนคว้างในอากาศและตกลงสู่พื้นกลางวงเหล่านักศึกษาในเวลาต่อมา
กิ๊ง!
กิ๊ง!
เสียงกระทบดังกังวานราวกับระฆังสะท้อนจากใกล้เป็นไกลกระทั่งสูญหายไป
เพียงเสี้ยวกระพริบตาสถานที่ใหม่อันเป็นทะเลเย็นฉ่ำดั่งหยาดทิพย์ชโลมจิต
กว้างขวางเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวใสกระจ่างจนมองเห็นกระทั่งทรายขาวและตัวปลาแหวกว่ายไปมา
ระดับความลึกเพียงเอว เหล่านักศึกษาก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ถนน
โดยที่เด็กสาวตรงหน้าเหล่านักศึกษาเองก็ได้กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในวรรณคดีปรัมปรา
ส่วนบนห่มผ้าแถบคาดอกสีฟ้า และเครื่องประดับทองเหลืองสมัยโบราณกาล ผมสีดำเงาสลวยถูกปล่อยยาวถึงกลางหลังลู่ระนาบผิวขาวดั่งกระเบื้องเคลือบแตกหักง่าย
ขณะที่ส่วนล่างครึ่งกายบางใต้น้ำคือครีบหางเกล็ดฟ้ามีประกายเงินวาวระยับยามต้องแสงกระทบแลดูงดงามล้ำค่า ช่างลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์และน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกันเพราะเด็กสาวไร้ท่าทีเป็นมิตรสุดจะหาคำกล่าว
"วารีเอยจงลงทัณฑ์"
ฟ้าหยาดเปิดปากเอ่ยวาจาราบเรียบจบคำมวลน้ำรอบตัวเหล่านักศึกษาก็พลันก่อตัวสูงขึ้นเป็นรูปร่างอรชรของหญิงสาวมีใบหูดั่งครีบ หางดั่งนางสุพรรณมัจฉาหลายตนรายล้อม
มองดูแล้วให้ความรู้สึกคลับคล้ายรูปปั้นประติมากรรมสีครามของคนครึ่งปลา อันมีนามเรียกว่า ภูตพรายวารีแห่งห้วงน้ำผู้เป็นบริวารประมุขเงือกสมุทร
พวกนางอ้าปากมากด้วยฟันแหลมคมเปล่งเสียง กรีดร้องโหยหวนทรงพลังประสานกันพร้อมเพรียง จนเกิดเป็นคลื่นเสียงรุนแรง สามารถถล่มเรือให้อับปางลงอย่างง่ายดาย
ทำให้เหล่านักศึกษาหลุดจากภวังค์ยกมือขึ้นปิดหูทุกข์ทรมานค่อยๆ มีเลือดแดงฉานไหลออกมาจากดวงตา จมูก และปากชวนสยอง
บางก็ทรุดตัวลงร้องโอดครวญด้วยความปวดร้าวถึงขั้วกระดูก เจ็บเจียนตายแสนสาหัส คล้ายถูกของมีคมที่มองไม่เห็นนับพันตวัดกรีดบาดทิ่มแทงเฉือดเฉือนทั่วร่าง ทั้งบ้าคลั่งและเลือดเย็นอย่างถึงที่สุด
ไร้ซึ่งหนทางหลบหนีนอกเสียจากชีวีจักสูญสิ้น สังขารจักแหลกเหลวเป็นเถ้ากระดูก เมื่อเพ่งพินิจใคร่ครวญแล้ว ช่างน่าเวทนามิน่าดูชมยิ่ง ฟ้าหยาดจึงยกมือข้างที่สวมกำไลทองเหลืองมีความพิเศษกว่าชิ้นอื่น
ขึ้นเป็นเชิงสั่งให้หยุด เสียงจากภูตพรายวารีจึงเงียบสงัดลง เหลือเพียงเสียงคร่ำครวญร่ำไห้หวาดกลัวดั่งมนุษย์เสียสติของเหล่านักศึกษาที่ยังคงดังอยู่
"ครานี้จักถือว่าข้าผู้น้อยสั่งสอนบทเรียนให้ จงกลับใจแลจดจำห้วงอารมณ์เจียนตายแต่มิอาจตายได้นี้หยั่งรากฝังลึกลงจิตใต้สำนึกไว้เสียเถิด หากหนหน้าฟ้าใหม่ข้าผู้น้อยบังเอิญประสบพบเจอเช่นนี้อีกเข้า เกรงว่าแม้นมีร้อยชีวิตสังเวยแด่ข้าผู้น้อยก็จักหาได้เพียงพอไม่หนา พี่ชายทั้งหลายท่านนี้"
ฟ้าหยาดเอ่ยน้ำเสียงเย็นเหยียบจับใจจบคำ บรรดาภูตพรายวารีก็ทิ้งร่างตรงเข้าจู่โจมกดร่างนักศึกษาลงสู่ใต้มหาสมุทร อันกลับกลายเป็นลึกสุดจะมองเห็นก้นบึ้งทะเลขึ้นมา
ทว่าทันใดชั่วพริบตาท้องน้ำเค็มปร่าที่พวกเขาคิดว่าถูกกระชากลงมาตายก็พลันสูญสลายมลายหายไป กลับกลายเป็นว่าพวกเขายังยืนอยู่กลางถนนดังเดิม
ราวกับว่าฝันร้ายที่พึ่งเผชิญหน้าเป็นเพียงภาพมายาน่าสะพรึงกลัว แต่ตัวต้นเหตุที่นั่งอยู่บนรถบิ๊กไบค์ สวมใส่หมวกกันน็อค ทั่วร่างเต็มไปด้วยจิตสังหารนั้นกลับมีอยู่จริง
ฟ้าหยาดเห็นพวกนักศึกษายืนเหม่อมองเธอตาลอยก็บีบแตรเรียกสติ ทำพวกเขาตกใจวิ่งไปทรุดเข่านั่งกับพื้นฟุตบาทหมดสภาพ พึมพัมแต่คำว่า จะไม่ทำแล้วๆ ซ้ำๆ ไปมาไม่มีทีท่าว่าจะหนี เธอฟังแล้วก็ยกนิ้วปาดคอเป็นเชิงบอกว่า ขืนทำอีกตายแน่
จนพวกต่างก็พยักหน้ารับรัวๆ ฟ้าหยาดเห็นแบบนั้นจึงสตาร์ทรถขับกลับไปจอดรถริมฟุตบาทที่กลุ่มนักศึกษาเจ้าถิ่นยังเกาะกลุ่ม ไร้วี่แววรถพยาบาลและดูท่าทางคนเจ็บใกล้จะได้ไปพบหน้าพญายมราชเร็วๆ นี้
"ให้ช่วยมั้ยพี่"
"ไม่ใช่หมอจะช่วยอะไรได้น้องมาทางไหนก็ไปทางนั้นเลย! "
หนึ่งในนักศึกษาพูดไล่ฟ้าหยาดเสียงเครียด ฟ้าหยาดไม่ได้โกรธเคืองอะไร เพียงแต่ลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อคออก
ทำให้คนที่มองมายังเธอปิดปากอย่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าต่ำหลบตาทันใด เมื่อสบตาฟ้าหยาด แล้วบังเกิดความรู้สึกว่าฟ้าหยาดมีอะไรบางอย่างที่ทำให้สัญชาตญาณพวกเขาบอกว่าขัดใจไม่ได้ขึ้นมา
"งั้น ขอดูอาการคนเจ็บก่อนก็ได้แล้วจะไป"
เด็กสาวหาได้รีรอให้มีคนตอบย่างเท้าเดินไปนั่งชันเข่าข้างคนเจ็บที่ หน้าตาซีดเซียวไร้สีเลือดนอนหลับตาขบกรามแน่น ท่ามกลางบรรยากาศอึกอักจะพูดไล่ฟ้าหยาดก็ไม่กล้าของเหล่านักศึกษา
"อึดใช้ได้นี่พี่ชาย ไม่อยากตายตอนหนุ่มสิท่า แต่ก็กร่างไม่เบาเลยนะเนี่ย"
ฟ้าหยาดเอ่ยขณะก้มหน้าก้มตาหยิบขวดโหลมีไข่มุกดุจลูกกวาดหลากสีออกจากกระเป๋ามาเปิดเลือกหยิบเม็ดสีแดงทับทิมคล้ายหยดเลือดออกมา
เงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาเรียบนิ่ง ดุดันใช้ได้เลยทีเดียวจ้องเขม็งฟ้าหยาดไม่กระพริบราวกับจะสิงสู่ร่างเธออะไรเทือกนั้นทำฟ้าหยาดเสียวสันหลังวาบ
"อ่า...มองอย่างงี้น่ากลัวไปมั้ยพี่ อะ อ้าปากดิ"
ฟ้าหยาดยื่นไข่มุกจ่อปากนักศึกษาจัดว่าหน้าตาดีมากคนหนึ่งที่เอาแต่จ้องและจ้องเขม็งฟ้าหยาดไม่วางตา คล้ายฟ้าหยาดเป็นคนรักแต่ชาติปางก่อนที่หนีจากก็ไม่ปาน
"มุกนี้เป็นยาที่ดีที่สุดกินเข้าไปแล้วถ้าพี่เป็นอะไรไปให้ตามไปหักคอฉันได้เลย เอ้า! เชิญ "
ฟ้าหยาดต้องลงทุนพูดโน้มน้าวคนเจ็บ ดื้อเพ่งที่ขบกรามแน่นท่าทางจะเจ็บมากๆ
จนเขายอมเปิดปากอย่างว่าง่าย ฟ้าหยาดจึงป้อนไข่มุกแดงทับทิมให้
ทันทีที่แตะถูกลิ้น ไข่มุกก็พลันละลายกลายเป็นของเหลวหนืด รสชาติคาวพิลึกเหมือนเลือด ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเลือดเค้นมาจากหัวใจฟ้าหยาด แข็งตัวเป็นมุกโลหิตเงือกสมุทร สรรพคุณน่าพิศวงบอกใครไม่ได้นั่นแหละนะ
"เท่านี้ก็เรียบร้อย งั้นขอตัวนะพี่ชาย ขอให้โชคดี"
ฟ้าหยาดปิดฝาและเก็บขวดโหลใส่กระเป๋าดังเดิมจะลุกชิ้งหนี
อนิจจาคนเจ็บกลับทะลึ่งตัวลุกขึ้นมาคว้าแขนเธอไว้ซะแน่นเป็นกาวตราตุ๊กแกเหนียวหนึบทนนาน ขณะที่เริ่มมีอาการแกร่งทั้งร่าง ร้องเสียงลอดไรฟันด้วยความปวดร้าวแสนสาหัส
จากอวัยวะภายในที่กำลังฉีกขาด กระดูกแตกละเอียดจนได้ยินเสียงดังเปราะๆ อื้ออึงอยู่ในหูเขาไปหมด ทำเหล่านักศึกษาเห็นเพื่อนทรมานก็พากันตื่นตูมเป็นกระต่ายยกใหญ่
"เฮ้ย! นาราเป็นไรวะ! น้องเอาอะไรให้มันกินทำไมมันเป็นงี้!? "
"ยา"
ฟ้าหยาดตอบสั้นๆ พยายามจะงัดแงะแกะมือที่ระบายความเจ็บ ด้วยการกดแรงบีบลงมาปานจะหักแขนเธอทิ้งเสียจนฟ้าหยาดเจ็บไปด้วย แต่ก็ไม่สามารถจะแกะมือหรือคีมก็ไม่รู้ของนักศึกษานาม นารา ออกได้
"ยาอะไรกัน!? เห็นๆ อยู่ว่าจะฆ่ามันชัดๆ เลยนะน้อง! "
ชายหนุ่มโวยวายร้อนรน ทำฟ้าหยาดชักหัวเสียตาม อ้าปากจะสวนกลับไปบ้างไม่สนหน้าพี่หน้าน้องที่ไหนทั้งนั้นว่า ไม่ได้จะฆ่าโว้ย
แต่เสียงรถพยาบาลกับรถตำรวจบทจะมาก็มา ดังขึ้นซะก่อน ฟ้าหยาดจึงเป็นคนแรกที่ปิดปากเงียบ กระทั่งรถพยาบาลมาจอด
มีบุคคลที่รอคอยลงจากรถพร้อมอุปกรณ์การแพทย์วุ่นวายไปหมดเตรียมจะย้ายร่างนาราที่ถูกวางให้นอนบนเปลขึ้นรถ
แต่ก็ย้ายไม่ได้เพราะติดตรงที่คุณพี่นาราดื้อเพ่งจับแขนฟ้าหยาดไว้ไม่ปล่อยประหนึ่งให้ตายยังไงก็จะพาฟ้าหยาดไปด้วยนี่แหละ จนฟ้าหยาดถูกมนุษย์ผู้ช่วยเข้าใจผิดไปเรียบร้อย
"น้อง แฟนน้องเขาอยากให้ไปด้วยน้องก็ไปๆ เถอะมัวแต่ชักช้าเดี๋ยวไม่ทันการกันพอดี"
"แฟนที่...."
"ไอ้เวรนารา! จะได้พบหน้าพญายมอยู่แล้วยังจะมาจับมงจับมือหญิงหาบิดาอีก ปล่อยเลยไอ้นี่ เพื่อนแม่งซีเรียสเพราะเป็นห่วงแกจนหน้าคล้ำหน้าดำหมดละเนี่ย เบิ่งตามาดูบ้างดิเว้ย! "
คำด่ากราดของนักศึกษาคนเดียวกับที่ไล่ฟ้าหยาดดังแทรกราวกับเสียงสวรรค์ นาราจึงยอมคลายมือปล่อยฟ้าหยาดให้หลุดจากพันธนาการอย่างเชื่องช้า
คล้ายปล่อยสายริบบิ้นแดงให้หลุดลอยจากมือถูกสายลมพัดพาไปไม่หวนกลับมา แม้พยายามไขว่คว้าเท่าไหร่ก็ไม่ได้คืน แล้วนาราก็มองหน้าฟ้าหยาดด้วยสีหน้านิ่งงันแต่ดวงตาดุๆ กลับฉายแววหม่นเศร้าจางๆ ชั่ววูบหนึ่งพาดผ่าน
ก่อนเขาจะหลับตาตาลงข่มความเจ็บดุจมีแมลงนับหมื่นรุมกัดแทะภายในร่างกายจนปั่นป่วนไปหมด ผู้ช่วยจึงพาตัวเขาขึ้นรถไป ทำให้ฟ้าหยาดมองตามด้วยความประหลาดใจ
คนเราจะสามารถแสดงความรู้สึกคล้ายถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังกับคนแปลกหน้าได้ด้วยงั้นหรือ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเด็ดขาด
ฟ้าหยาดจึงเค้นสมองตัวเองดูว่าอยู่มาจนอายุ18 ปี เธอเคยทิ้งคนรักแบบไม่ใยดีมาก่อนบ้างมั้ย นึกๆ จนถี่ถ้วนดีแล้วก็ยังได้คำตอบว่าไม่มีทางเด็ดขาดเช่นเดิม
ทำไมน่ะรึ เพราะเธอเป็นเงือกไง เงือกสมุทรที่ไหนจะไปปักใจรักมนุษย์ โยนิท้องทะเลที่รู้สึกอย่างนั้นได้ แสดงว่านางต้องเตรียมใจแหกกฎฟ้าเอาไว้พอสมควรแล้วเท่านั้นล่ะนะ งั้นก็สรุปได้เลยว่ากรณีนี้คงจำผิดคนแล้ว
ฟ้าหยาดจึงเลิกถามตัวเองมองตามรถพยาบาลที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตาแล้วก้มมองนาฬิกาที่บอกว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงใกล้จะแปดโมงอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนสักเท่าไหร่
"ประเดี๋ยวก็คงจักกระอักเลือดออกมามากมายพร้อมด้วยกระสุนแลหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อฟื้นคืนมาไร้บาดแผลสติสัมปชัญญะครบถ้วนคงเกิดความโกลาหลงุนงงให้วุ่น เฮ้อ บุญกรรมใดหนาข้าจักต้องช่วยเหลือชายผู้นั้นถึงเพียงนี้ช่างมืดแปดด้านจริงแท้"
ฟ้าหยาดพึมพัมกับตัวเองพลันหูก็ได้ยินเสียงตำรวจคุมตัวนักศึกษาต่างถิ่นและเจ้าถิ่นให้ขึ้นรถทั้งสองคันไปที่โรงพัก
สักพักก็เริ่มมีไทยมุงจากไหนไม่รู้มายืนดูกันอย่างสนใจบ้างก็พูดด่าทอตามประสาคนมีอคติ ฟ้าหยาดเห็นแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะ
ผลักตัวเองออกจากวงจรแม่แรงที่ดึงดูดเธอเข้ามาพัวพันเดินตรงไปยังรถคู่ใจ หยิบหมวกกันน็อคมาสวมเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนบิ๊คไบค์ เอาขาตั้งขึ้น สตาร์ทเร่งเครื่อง ปลดเกียร์
แล้วบิดแฮนด์ออกตัวมุ่งสู่โรงเรียนมัธยมศึกษาโดยที่คนข้างหลังจะเป็นโรคลืมหน้าเธอกันถ้วนหน้าแม้แต่กล้องวงจรปิดยังเออเร่ออย่างไม่ทราบสาเหตุกันเลยทีเดียวเชียว
"หืม....คราวนี้ช่วยคนงั้นเหรอแถมยัง..."
เด็กสาวใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตาเฉี่ยวคม พึมพัมทั้งๆ มีอมยิ้มอยู่ในปากเมื่อปรากฏตัวขึ้นมาบนฟุตบาทอย่างเงียบเฉียบ
พอดีกับรถตำรวจสองคันขับผ่านไปเกิดสายลมระลอกหนึ่งพัดมาปะทะร่างเธอ ทำให้กระโปรงนักเรียนพริ้วไปด้านหลังตามแรงลม
แต่เด็กสาวหาได้สนใจจับกลับกันยังมองมองตามรถ ทำจมูกฟุดฟิดดมหากลิ่นวิญญาณในมวลอากาศแล้วสีหน้าก็นิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดหนักขึ้นมาทันใด
"...มีเค้าลางเงื่อนตายยุ่งยากเพราะคนอื่นเพิ่มมาให้แก้ซะด้วยสิ"
จบคำเด็กสาวก็หมุนตัวพอดีกับมีเด็กผู้ชายประมาณ3-4ขวบได้วิ่งมาชนเธอเข้าแล้วล้มลงไป ก้นกระแทรกพื้นเสียเองร้องไห้โฮงอแงจนเกินแง่เกินงาม
ทำเด็กสาวจ้องเด็กนิ่งชั่งใจว่าจะเอายังไงดีอยู่ครู่หนึ่ง ก็นั่งลงชันเข่าตรงหน้าเด็กน้อย ยื่นมือไปดีดหน้าผากทีหนึ่ง
ป๊อก!
"โอ๊ย! "
"เงียบเถอะเจ้าหนูพี่เสือหาใช้นางฟ้าใจดีกับเด็กขี้แยสักเท่าใดนา อย่าได้มากระตุกหนวดพี่เสือจะดีกว่า"
เธอเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบแต่ติดจะดุจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเด็กน้อยน่าสงสารท่าที ดุจพยัคฆ์ร้ายจ้องตะปบเหยื่อ จนเด็กน้อยหยุดร้องพยักหน้ารับรัวๆ
"หึๆ อะไรกันๆ ขู่แค่นี้กลัวแล้วหรือ งั้นพี่เสือให้นี่ปลอบขวัญละกัน"
เด็กสาวแทนตัวเองว่าพี่เสือล้วงอมยิ้มสายรุ้งจากกระเป๋าสะพายมายัดเยียดใส่มือเด็กน้อย แล้วสายตาก็พลันเห็นอักขระคุ้นตาบนแขนเด็กที่ลอดออกมาจากเสื้อแขนยาว
เด็กสาวจึงคิดจะเลิกแขนเสื้อเด็กขึ้น แต่แม่เด็กเดินออกมาจากร้านค้าใกล้ๆ ตรงเข้ามาพยุงร่างเด็กให้ลุกขึ้นซะก่อน พร้อมกับมองมายังเธออย่างไม่เป็นมิตรก่อนที่จะพาเด็กน้อย
ที่หันกลับมามองเด็กสาวชั่วครู่หนึ่ง เดินจากไปในทันทีทำให้เด็กสาวลุกขึ้นทำสีหน้าครุ่นคิด
"รู้สึก..เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง"
พึมพัมจบคำเด็กสาวก็หมุนตัวก้าวขาเดินจากช้าเป็นเร็วขึ้นเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่งด้วยความว่องไว
ดุจคลื่นมรสุมกำลังแรงระลอกหนึ่งพัดผ่านไปพร้อมกับมีเสียงคำรามกึกก้องดังขึ้นดั่งสายฟ้าฟาดลงมายามอากาศปลอดโปร่งทำผู้คนพากันผวากันเป็นแถบ
โฮกกก!!!
โรงเรียนมัธยมศึกษา
หน้าระเบียงชั้นม.6 เวลาไล่เลี่ยกัน
"เออนี่ ได้ยินข่าวมาบ้างหรือเปล่า"
"ข่าวอะไรล่ะ"
"ก็ข่าวมีตัวประหลาดออกทำร้ายคนที่ตรอกเมืองเมื่อคืนไงคนเค้าลือกันให้แซ่ดจะตายไป"
"อ้อ เรื่องนี้เอง ก็ต้องได้ยินสิ ฉันยังสงสัยไม่หายเลย คนแถวนั้นบอกว่าเห็นแมวดำตัวใหญ่มากๆ ตาสีเขียวดุเชียวยืนอยู่ใกล้ๆ ผู้หญิงล้มรถบาดเจ็บสาหัส แต่กล้องวงจรปิดเห็นแค่ผู้หญิงเสียหลักล้มลงไปเอง แถมถูกส่งโรงพยาบาลเพราะเจ้าตัวเป็นคนโทรเรียกรถมา ทั้งที่สภาพก็ไม่ได้สาหัสอย่างที่บอกแค่มีแผลถลอกไม่ลึกมาก พอฟื้นขึ้นมายังเบลอๆ จำอะไรไม่ได้ด้วยอ่ะ "
"ฉันก็อาการเดียวกันนั่นแหละเกิดอุบัติเหตุคล้ายกันแบบนี้ที่ไรคนอยู่ในเห็นการณ์พูดจาทำนองเห็นงูดำเห็นเสือดำเห็นหมาดำเห็นสารพัดสัตว์ดำเป็นตัวต้นเหตุกันหมดบางที่เห็นผีสาวชุดดำใส่หน้ากากชวนขนลุกหกเจ็ดคนออกมาล่ามันก็มี ฟังแล้วฉันนี่มึนตึ๊บ คือนี่มันยุคไหนแล้ว เรื่องแบบนี้มันก็มีแต่ในนิยายเท่านั้นแหละจริงมั้ย"
"อืม นั่นสิ ไม่รู้เรื่องจริงหรือกระแสกุขึ้นมา สนใจมากก็ปวดหัวเปล่าๆ อ่านหนังสือสอบดีกว่า"
"ก็จริงพิลึกน่าปวดเศียร"
สองนักเรียนหญิงคุยกันจบประเด็นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อโดยไม่รู้เลยว่าคำพูดเหล่านั้น เด็กสาวนั่งเป็นกลุ่มที่ระเบียงห่างออกไป ผู้กลายเป็นหัวข้อสนทนาได้ยินทุกประโยคชัดถ้อยชัดคำ
"มนุษย์หนามนุษย์เรื่องจริงก็ดูไม่ออกเรื่องหลอกแห่เชื่อกันจัง"
ลลิตบ่นลอยๆ ขณะในมือถือพัดไม่ได้คลี่ออก เคาะลงบนมือเป็นจังหวะเนิบนาบ
มีหนังสือวางทาบอยู่บนหน้าตักท่าทีสบายเกินหน้าเกินตาจนถูกอคิราห์ ควบตำแหน่งนักเรียนดีเด่นคนเก่งพร้อมๆ กับตำแหน่งแม่ประจำกลุ่ม เจ้าของใบหน้าหวาน นั่งใกล้ๆ ปิดเอวให้ ร้องโอดครวญเสียยกใหญ่
"โอ๊ยๆ เจ็บแล้วๆ ๆ ~"
"เจ็บแล้วก็กรุณาจำด้วยจ้ะ มัวแต่ค้อนแคะคนอื่นไม่ได้ทำให้คะแนนสอบเธอดูดีขึ้นมาหรอกนะ ทางที่ดีที่สุดคือเธอต้องทำให้ได้เหมือนคะนิ้งไม่ก็เกวลีเท่านั้นคะแนนที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำที่สุดในห้องถึงจะดูดีขึ้นมารู้มั้ย"
ว่าแล้วอคิราห์ก็พยักเพยิดหน้าไปยังคะนิ้งและเกวลีที่จดจ่ออ่านหนังสืออย่างตั้งใจด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดไปกับสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียวมากกว่าสิ่งใดรอบตัวทำ ลลิต จู่ๆ ก็สีหน้านึกสนุกขึ้นมาจนน่าตีสักที
"ข้าผู้น้อยอ่อนด้อยปัญญาสมาธิสั้นนักมีเพียงพละกำลังตัดสินปัญหา แม่หญิงคนงามจักให้ข้าผู้น้อยทำอย่างไรเล่า โปรดชี้แนะข้าผู้น้อยมาสักสองสามข้อได้หรือไม่เจ้าค่ะ"
ลลิตเอ่ยน้ำเสียงยียวนกวนโทสะทำให้อคิราห์ฟังแล้วก็ตั้งถามขึ้นมากลับบ้าง
"เวลานี้สำหรับเธอเป็นเวลาเล่นสินะ ทั้งที่เย็นนี้ก็จะถูกส่งตัวไปแล้วน่ะเหรอ ไม่ดีเลยนะ ระหว่างที่ยังพอมีอิสระทำไมเธอไม่ลองลงมือทำอะไรให้เต็มที่ดูสักครั้งล่ะ หรือว่าการที่ต้องไปเผชิญชะตากรรมในพิภพอจินไตยเธอรู้ชะตาตัวเองว่าจะได้กลับมาอย่างปลอดภัยอยู่แก่ใจแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรสักนิดเลยจ๊ะ?"
" คะ ใครมันจะไปรู้กันเล่า! เลิกพ่นวาจาชวนปวดหัวออกมาไปเลยนะ! "
ลลิตไปไม่เป็น ยกพัดชี้หน้าอคิราห์หน้าตาบูดบึ้งทันที
"นี่คำสั่งเหรอ? "
อคิราห์ทำสีหน้าครุ้นคิดว่าพลางดันพัดไปทางอื่น
"ใช่! "
"ไว้เธอทำคะแนนสอบได้เท่าคะนิ้งฉันจะลองเก็บมาพิจารณาดูนะ"
อคิราห์คลี่ยิ้มหวานที่ทำให้โลกนี้ดูสดใสขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือไปขยี้ผมลลิตท่าทางเอ็นดู จนผมลลิตที่รวบทวิลเทล เสียทรงลลิตจึงปัดมือออกแทบจะทันที
"ฝากไว้ก่อนเถอะคิราห์ร้อยเล่มเกวียน"
"ฉันไม่ธนาคารเพราะงั้นรีบๆ มาเอาคืนด้วยล่ะ"
"เชอะ! "
ลลิตเชิดหน้าใส่อคิราห์แรงๆ มีแง่งอนแต่อีกเดี๋ยวพอหัวเย็นลงก็ลืมไปเองซะงั้นว่าไปโกรธใครมา ทำเจ้าเอยมองดูอยู่นานอดหลุดหัวเราะไม่ได้
"หึๆ "
"ขำอะไรเจ้าเอยขี้เมา"
"เปล๊า อ่านหนังสือเหอะ ถึงเป็นเธอก็เถียงคิราห์ไม่ชนะหรอก"
เจ้าเอยบอก ทำลลิตเบ้ปากใส่ ก่อนจะยกหนังสือมาใกล้หน้าประชดประชัน เป็นอันว่าจบสงครามวาทะ
สักพักเสียงทักทายกึ่งเดาสถานการณ์ถูกก็ดังขึ้นมา พร้อมกับร่างสูงเพรียวของดาวโรงเรียน หน้าตาสะสวย เพียบพร้อมด้วยออร่าเด่นสง่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวทั้งห้า
"ไง อ่านหนังสือกันจนหน้าเครียดหรือว่าลลิตแผลงเดชแล้วถูกคิราห์สยบล่ะบรรยากาศมาคุเชียว"
ควับ
เมื่อได้ยินดังนั้นลลิตก็หันไปส่งค้อนวงใหญ่ใส่คนพูดแทบจะทันที
"ไม่ต้องมาซ้ำเติมเลยนะนิศามากเรื่อง"
"จ้ะๆ ไม่ซ้ำเติมก็ได้ ว่าแต่ฟ้าหยาด นีล รัชตาแล้วก็ดารัณยังไม่มาเหรอ"
นิศาเอ่ยถามเมื่อมองไปไม่เห็นคนอื่นๆ
"ใช่ พวกฟ้าหยาดน่าจะกำลังมา แต่ดารัณฉันคิดว่ายัยนั่นอาจจะไม่มาเข้าสอบเพราะดารัณเป็นประเภทสังคมมนุษย์สัมพันธ์เป็นศูนย์ แถมยังชอบบ่นว่าน่าเบื่อ เวลาอยู่ในที่ที่มีคนเยอะอีกต่างหาก"
เจ้าเอยออกความเห็น
"ก็จริงของเธอแต่ว่าถ้าไม่มาก็แย่สิเพราะทางสภาส่งเรื่องขอโรงเรียนให้พวกเราสอบทุกวิชาเสร็จภายในวันนี้ เพราะเกินจะยื้อเวลาเลี่ยงเดินทางไปภพอจินไตยแล้วนี่นา"
"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงดารัณก็ติดต่อยากกว่าคนอื่นซะด้วยสิ คงต้องรอดูแล้วล่ะนะว่า ยัยนั้นมีความคิดอยากจบม.ปลายมั้ย"
เจ้าเอยว่าทำให้นิศาพยักหน้าเห็นด้วย
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!