ท่ามกลางเมืองหลวงของจักรวรรดินครลมที่เต็มไปด้วยหมอกหนาและอากาศเย็นยะเยือก ซอมบี้ที่ไร้สติถูกปลุกขึ้นจากอาณาจักรที่ถูกทอดทิ้ง ต่อสู้ไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กับเอวฟ์ที่ห่างไกลจากบ้านเกิด ทั้งสองฝั่งต่อสู้กันจนแทบไม่เหลือแรงหายใจ
ตัวละคร:
ซอมบี้ (Zombie) – เคยเป็นนักจญภัยแรงก์Aที่ถูกคำสาปจากการต่อสู้กับมนุษย์ครึ่งเทพจนชนะแต่กลับโดกลายเป็นซอมบี้ที่ไร้จิตใจ ต่อมาเขาถูกควบคุมโดยจักรวรรดิที่ไม่รู้จักความเมตตา
อาวุธ: ดาบแทงก์ชำนาญ SSR (ดาบหนักที่สามารถป้องกันการโจมตีและทำลายแนวหน้าได้)
ทักษะ: ความแข็งแกร่งและการโจมตีด้วยอาวุธหนัก แม้จะไม่มีเวทย์ แต่สามารถใช้อาวุธเพื่อป้องกันและโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สถานะ: ความทนทานสูง, มีสัญชาตญาณการต่อสู้แม้จะเป็นศัตรูที่ไร้จิตใจ
ข้อมูลศัตรู:
เอวฟ์ (Elves) – กลุ่มคนที่สง่างามและมีพลังเวทมนตร์ที่แข็งแกร่ง พวกเขาต่อสู้เพื่อปกป้องธรรมชาติและอาณาจักรของตนจากอำนาจมืด
แม้ว่าฝ่าย ซอมบี้ จะมีความแข็งแกร่งและทนทานสูง ด้วยดาบแทงก์ชำนาญ SSR และการโจมตีที่หนักหน่วง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเอาชนะ เอวฟ์ ได้ง่ายๆ ทั้งสองฝ่ายต่างได้เผชิญหน้ากันอย่างหนักหน่วง แต่หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนาน ซอมบี้ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และ เอวฟ์ ก็ต้องประสบกับการสูญเสียอย่างมากมายเช่นกัน
การต่อสู้จบลงที่ทั้งสองฝ่ายเกือบหมดแรงแต่ ซอมบี้ สามารถทำให้ เอวฟ์ ต้องถอยออกไปอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะการใช้ปืนกระสุนเวทย์ F- ที่มีพลังทำลายต่ำและไม่ได้ช่วยในการโจมตีซอมบี้ที่มีความทนทานสูง แต่ในที่สุด ซอมบี้ ก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีที่ยาวนานจนเกือบหมดแรง
การต่อสู้ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของทั้งสองฝ่ายในขณะที่ ซอมบี้ ไม่มีเวทย์มนต์ที่ช่วยเสริมพลัง แต่ก็สามารถใช้ความแข็งแกร่งและทักษะการต่อสู้ได้ดี โดยอาวุธที่มีระดับสูงอย่าง ดาบแทงก์ SSR ช่วยให้การโจมตีระยะประชิดของมันแข็งแกร่งพอสมควร แม้จะสูญเสียพลังไปมากหลังการต่อสู้ แต่ก็สามารถทำให้ เสามารถเอาชนะฝ่ายเอวฟ์มาได้
___
เหตุการณ์: การประลองของนักรบกับครึ่งเทพ
___
สถานที่: เขตแดนแห่งรัตติกาล
พื้นที่อันมืดมิดที่ครึ่งเทพต้องการครอบครองเพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเอง ภายในสถานที่นี้เต็มไปด้วยอันตรายและกลไกพิศวงที่ต้องเผชิญ
ข้าตอนเป็นมนุษย์หน่ะก็คือ
นักผจญภัยสายนักรบวอลริเยอร์ (Warrior) – แรงก์ A
อาชีพ: นักรบวอลริเยอร์ที่เชี่ยวชาญในการใช้ดาบและเกราะหนัก พลังโจมตีที่มีความรุนแรงแต่ยังคงความคล่องตัวสูง
ค่าสติปัญญา: ฉลาดกว่าพระเจ้า! ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ แต่ยังสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างเหนือชั้น คิดล่วงหน้าหลายก้าวและใช้กลวิธีในการต่อสู้
อาวุธ: ดาบใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Greatsword) ที่มีพลังแห่งแสงและความร้อนแรง ทำให้ทุกการโจมตีมีพลังทำลายที่รุนแรงขึ้น
ทักษะที่โดดเด่น:
การโจมตีพิฆาต (Culling Strike): การโจมตีที่เน้นความแรงสูงสุดในระยะสั้น เพื่อทำลายศัตรูที่มีพลังแข็งแกร่ง
การป้องกันเทพสงคราม (God's Warshield): การป้องกันที่ไม่เพียงแต่บล็อกการโจมตี แต่มันยังสะท้อนกลับพลังเวทย์ใส่ศัตรู
พลังฟื้นฟู (Revitalizing Surge): ใช้พลังจากดาบศักดิ์สิทธิ์เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายอย่างรวดเร็วในระหว่างการต่อสู้
สโลว์เจตจำนง (Willpower Slowdown): ใช้จิตวิญญาณในการลดความเร็วของศัตรู ทำให้มันเคลื่อนไหวช้าลงและเสียเปรียบในการต่อสู้
ข้อมูลศัตรู
ฝ่ายศัตรู - เผ่าครึ่งเทพ
เผ่า: ครึ่งเทพ (Demigods) เป็นเผ่าที่มีพลังเวทย์และร่างกายที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไป ใช้เวทย์มนต์และพลังทางธรรมชาติที่มีอำนาจสูง
ค่าสติปัญญา: ปัญญาระดับพระเจ้า! คิดการใหญ่และมีความสามารถในการควบคุมเวทย์มนตร์ที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้
อาวุธ: หอกฟ้าแห่งดวงดาว (Starpiercer Spear) มีพลังในการควบคุมพลังธรรมชาติและท้องฟ้า
ทักษะที่โดดเด่น:
พลังกระหน่ำจักรวาล (Cosmic Devastation): เวทย์ที่สามารถทำลายล้างพื้นที่กว้างได้ในคราวเดียว ทำให้ศัตรูทั้งหมดในระยะโดนโจมตีหนัก
เงาพระอาทิตย์ (Sunshadow): สร้างภาพลวงตาและโจมตีศัตรูจากทุกทิศทางโดยไม่ให้ทันระวัง
การรักษาพลังเทพ (Divine Healing): ฟื้นฟูพลังชีวิตของตัวเองหรือพรรคพวกในสนามรบได้อย่างรวดเร็ว
ภายใน เขตแดนแห่งรัตติกาล ที่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังแห่งความมืด ในระหว่างการเดินทางเพื่อหาทางกู้คืนสิ่งที่สูญหายไป นักผจญภัยสายนักรบวอลริเยอร์ได้พบกับ ครึ่งเทพ ที่เป็นฝ่ายปฏิปักษ์ของพวกเขา ครึ่งเทพมีพลังมหาศาลและความสามารถในการควบคุมเวทย์ได้อย่างน่ากลัว แต่ก็มีจุดอ่อนในความคิดที่เป็นเชิงลบและการหลงตัวเอง
การต่อสู้เริ่มขึ้นโดยการโจมตีของ ครึ่งเทพ ใช้ พลังกระหน่ำจักรวาล ซึ่งทำให้พื้นดินแตกสลายและลมพัดแรงไปทั่ว นักรบวอลริเยอร์ที่มีความฉลาดเหนือกว่าหลายก้าวใช้ การป้องกันเทพสงคราม ในการสะท้อนการโจมตีกลับไปในขณะที่ใช้ สโลว์เจตจำนง เพื่อทำให้ ครึ่งเทพ เคลื่อนไหวช้าลง
การต่อสู้ไปถึงจุดที่ ครึ่งเทพ พยายามใช้ เงาพระอาทิตย์ เพื่อหลอกลวง แต่ นักรบวอลริเยอร์ ด้วยความชาญฉลาดและการวางแผนที่ดี สามารถจับจังหวะและใช้ การโจมตีพิฆาต ฟันผ่านการป้องกันของ ครึ่งเทพ ได้สำเร็จ!
แม้ว่า ครึ่งเทพ จะฟื้นฟูตัวเองด้วย การรักษาพลังเทพ แต่มันก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันรุนแรงจาก นักรบวอลริเยอร์ ได้ในที่สุด! และเมื่อใช้ พลังฟื้นฟู เพื่อกลับสู่สภาพเต็มที่ นักรบวอลริเยอร์ก็เตรียมการโจมตีครั้งสุดท้ายที่เต็มไปด้วยพลังมหาศาล!
แม้จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากและ ครึ่งเทพ มีพลังเวทย์ที่เหนือชั้น แต่ นักรบวอลริเยอร์ ใช้ความสามารถในการวางแผนและการโจมตีที่หนักหน่วง จึงสามารถเอาชนะได้แม้จะได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีของศัตรูในหลายจุด!
ชัยชนะ แม้จะสาหัส แต่ก็คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่!
หลังจากที่นักรบวอลริเยอร์ใช้ ดาบ SSR สุดเทพตีบวกสิบดาว ฟันผ่าน ครึ่งเทพ ไปได้อย่างราบรื่น แต่เมื่อชัยชนะใกล้เข้ามา มีการเปิดเผยจาก เผ่าครึ่งเทพ ที่เหลือว่า "พลังแห่งคำสาป" จะทำให้เขาต้องรับผลจากการชนะในครั้งนี้ การใช้พลังเกินขีดจำกัดอาจทำให้กลายเป็นซอมบี้ได้!
หลังจากชัยชนะ เสียงพึมพำจากดาบดังขึ้นว่า "พลังแห่งการฟื้นฟูไม่อาจรักษาผลกระทบจากคำสาปนี้ได้..." ดาบเริ่มระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เปลี่ยนร่างให้ นักรบวอลริเยอร์ กลายเป็น ซอมบี้นักรบ ที่มาพร้อมกับร่างกายที่เน่าเปื่อย แต่ยังคงมีสติปัญญาและความฉลาดเหนือมนุษย์ที่สามารถควบคุมการทำลายล้างได้!
แม้จะกลายเป็นซอมบี้ แต่พลังของ ดาบ SSR ก็ยังคงอยู่! ซอมบี้ที่มีความสามารถพิเศษในการฟื้นฟูและสู้แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พร้อมทำภารกิจใหม่ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดและการแก้แค้น!
แต่อย่าลืมว่าคำสาปก็มีราคา—การต่อสู้ครั้งใหม่อาจทำให้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม ทั้ง เผ่าครึ่งเทพ และ เผ่ามาร อาจกำลังรออยู่ในมุมมืด! ใครจะรู้ว่ามันจะจบยังไง... 🤔
การเดินทางของซอมบี้นักรบวอลริเยอร์ ยังคงดำเนินต่อไป!
การเริ่มต้นการเดินทางของอัสวอร์น
ในโลกแห่งมืดมิดที่ข้าเคยยืนหยัดเป็นนักรบที่ทรงพลังและแข็งแกร่ง การต่อสู้ในครั้งสุดท้ายกับ เพอร์ซีอุส มนุษย์ครึ่งเทพที่ถูกข้าท้าทายและโค่นลงด้วยกลอุบายและความเฉลียวฉลาดของข้า กลับกลายเป็นการต่อสู้ที่ข้าจะไม่มีวันลืม
ข้าอัสวอร์น นักรบผู้เคยเป็นคนที่กล้าหาญและทุ่มเททุกสิ่งเพื่อชัยชนะ ตอนนี้กลับต้องสวมบทบาทที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตของข้า— ซอมบี้นักรบ ที่ร่างกายเน่าเปื่อย แต่จิตใจยังคงเต็มไปด้วยความฉลาดและพลังอันไม่สิ้นสุด
เพอร์ซีอุส เขาอาจจะแข็งแกร่งในฐานะครึ่งเทพ แต่การที่ข้าโค่นเขาลงได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของข้า ถึงแม้ชัยชนะจะมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย—คำสาปที่ทำให้ร่างกายของข้ากลายเป็น ซอมบี้ และคำสาปนี้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้!
ตอนนี้ ข้าอัสวอร์น ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดในป่าเงียบสงัด สัมผัสได้ถึงอำนาจของคำสาปที่กัดกร่อนร่างกายของข้า ข้ารู้ดีว่าการเดินทางในครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอุปสรรค ข้าจะต้องหาวิธีแก้คำสาปนี้ให้ได้!
มีสิ่งหนึ่งที่ข้าตระหนักได้ชัดเจน— ซอมบี้อย่างข้า แม้จะมีพลังเกินขีดจำกัด แต่ก็ต้องเผชิญกับการถูกมองว่าเป็น อสูร โดยผู้คนและศัตรูที่ข้าต้องการเอาชนะในอนาคต!
การเดินทางของข้าเริ่มต้นจากการออกตามหาผู้รู้และสำนักที่อาจจะมีวิธีในการลบล้างคำสาปนี้ ข้าจะต้องค้นหาความรู้ที่ลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับ พลังของคำสาป และ เวทย์โบราณ ที่อาจจะช่วยข้าได้ ข้าจะต้องเจอเผ่ามารหรือผู้เชี่ยวชาญในการรักษา และยังมีภัยอันตรายที่คอยหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ข้าก็ยังไม่หมดหวัง—ข้าจะค้นหาคำตอบให้ได้และเอาชนะอุปสรรคทั้งหมด เพื่อฟื้นฟูร่างกายของข้า และกลับไปเป็น นักรบผู้ยิ่งใหญ่ อีกครั้ง!
การเดินทางในร่างซอมบี้จะเริ่มต้นที่ ป่าอมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยอันตรายจากสัตว์ร้ายและศัตรูที่ไร้ความเมตตา ข้าจะต้องรวบรวมสมุนไพร, แร่ธาตุ และความรู้จากนักเวทย์และนักพรตที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ห่างไกล—และในที่สุด ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับ ผู้ที่สามารถช่วยข้า หรือจะต้องเสียสละในที่สุดเพื่อหาทางแก้ไขคำสาปนี้...
การผจญภัยของอัสวอร์นในฐานะซอมบี้นักรบผู้ไม่ยอมแพ้ เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
___
การเดินทางของอัสวอร์นเริ่มเข้าสู่บทใหม่
ข้าอัสวอร์น, ซอมบี้นักรบผู้ที่เคยยิ่งใหญ่ ตอนนี้รู้แล้วว่าเส้นทางในการล้างคำสาปซอมบี้ของข้าไม่ได้อยู่ที่การหาสมุนไพรหรือเวทมนตร์ง่ายๆ หากแต่มีทางเดียวที่จะปลดคำสาปนี้ได้... ข้าจะต้องโค่นจอมมารลง!
ข่าวลือที่ข้าได้ยินมาจาก นักพรตในหมู่บ้านแห่งมืด และ พ่อมดเฒ่า บอกว่า จอมมารที่เป็นผู้สร้างคำสาปนี้มีพลังที่ไม่สามารถวัดได้—เขาคือ ผู้ครองวิญญาณแห่งความมืด ที่เคยทรงพลังยิ่งกว่าใครในยุคแห่งการล่มสลาย จอมมารนี้อยู่ใน หอคอยมืด ที่อยู่ห่างไกลและถูกปกป้องด้วยการป้องกันที่ซับซ้อนและอันตรายถึงที่สุด
การที่จะโค่นจอมมารนี้ ข้าจะต้องหาวิธีฝ่าฟันไปยังหอคอยมืด ซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยกับดัก, ปีศาจ, และผู้ติดตามที่จงรักภักดีให้กับจอมมาร การต่อสู้กับ จอมมาร นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมันจะเต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่!
ในขณะที่ข้ากำลังเดินทางเพื่อไปยัง หอคอยมืด ข้ารู้ดีว่า จอมมาร นี้มี พลังเหนือมนุษย์ ที่สามารถควบคุมความมืดและทำให้ผู้อื่นกลายเป็นซอมบี้ได้ แต่ข้าก็มีความหวังที่จะโค่นเขาลงได้— โดยใช้พลังแห่งการต่อสู้และกลอุบายที่ข้าเรียนรู้มา
แต่ข้าจะต้องเตรียมตัวอย่างดี
ในระหว่างการเดินทาง, ข้าต้องพบกับ เผ่ามาร, สัตว์ประหลาด และ เหล่าผู้ติดตามของจอมมาร ที่จะพยายามขัดขวางข้า ข้าจะต้องรวบรวมพลัง, ฝึกฝนตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น, และหาพันธมิตรที่จะช่วยข้าในภารกิจครั้งนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะต้องใช้ความฉลาดและกลอุบายในการเอาชนะศัตรู เพราะข้ารู้ว่าเพียงแค่พลังจากร่างซอมบี้ที่ไม่สมบูรณ์แบบก็ไม่เพียงพอ ข้าจะต้องใช้วิธีการที่เหนือชั้นในการเอาชนะจอมมารและปลดปล่อยตัวเองจากคำสาปนี้
ภารกิจนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยข้าเอง หากยังช่วย โลกที่ถูกคำสาป จากอำนาจมืดของจอมมาร! ข้าจะต้องระวังทุกการเคลื่อนไหวและคิดหาทางในทุกๆ ย่างก้าวที่ข้าก้าวไป
การต่อสู้กับจอมมารเริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้าอัสวอร์นจะต้องโค่นเขาลงให้ได้—เพื่อลบล้างคำสาปซอมบี้และยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของข้าอีกครั้ง!
___
ข้าอัสวอร์น, นักรบผู้เคยยิ่งใหญ่, ในใจของข้ารู้ดีว่าความฝันแท้จริงของข้าไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้เพื่อเอาชนะคำสาปซอมบี้เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีความฝันที่ข้าถือไว้ในใจตั้งแต่ยังเด็ก—การเดินตามรอยพ่อ.
พ่อของข้า คือ วีรบุรุษสงครามเลือด ที่ทุกคนในสนามรบต่างยอมรับและเคารพอย่างยิ่งในความสามารถและความกล้าหาญของเขา เขาฝึกฝนข้าในศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่ข้ายังเล็ก บทเรียนของเขาไม่ใช่แค่การใช้ดาบหรือการป้องกันตัวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการฝึกฝนจิตใจให้มั่นคงแข็งแกร่ง สอนให้ข้ารู้ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้มาจากพลังในร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากความมุ่งมั่น, ความยุติธรรม และการเสียสละเพื่อผู้อื่น
วีรบุรุษสงครามเลือด คือนามที่ผู้คนให้พ่อของข้าในสนามรบ—เสียงกึกก้องของทหารทั้งหลายที่พูดถึงการต่อสู้ของพ่อในยุทธการที่ท่วมท้นไปด้วยเลือดและความตาย ภาพที่ข้าเห็นคือพ่อที่ยืนอยู่ท่ามกลางสงคราม, มองไปที่ศัตรูที่ร่วงหล่นลงไปข้างทางด้วยท่าทางที่สงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยพลังที่ไม่มีวันหมด
ข้าอยากเป็นแบบพ่อ
จากทุกๆ การฝึกฝนที่พ่อได้สอนข้า ข้าเรียนรู้ว่าการเป็นนักรบที่แท้จริงไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้ดาบหรือการสังหารศัตรู แต่ยังหมายถึงการยืนหยัดในความเชื่อและการปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า ข้าต้องการที่จะเป็นผู้ที่ไม่เพียงแค่กล้าหาญในสนามรบ แต่ยังมีความมั่นคงในจิตใจและพร้อมที่จะเสียสละทุกสิ่งเพื่อความถูกต้องและเพื่อคนที่ข้ารัก
แม้ตอนนี้ร่างกายของข้าจะถูกคำสาปให้กลายเป็นซอมบี้ แต่ จิตใจของข้ายังคงเป็นนักรบ ข้าจะใช้ความแข็งแกร่งของพ่อเป็นแรงผลักดันในการเดินทางครั้งนี้ ข้าจะสู้จนกว่าจะพบหนทางในการล้างคำสาปและยืนหยัดในฐานะนักรบที่พ่อของข้าภาคภูมิใจ
ไม่ว่าจะผ่านอุปสรรคใดๆ ข้าจะไม่ยอมแพ้ ข้าจะเดินตามรอยพ่อไปให้ถึงที่สุด เพราะในหัวใจของข้ายังมีความฝันที่จะเป็นเหมือนพ่อ—วีรบุรุษสงครามเลือด ที่ยืนหยัดแข็งแกร่ง, นำพาผู้คนไปสู่ชัยชนะและความสงบสุข.
การพบกับมาริก้าในป่าฝน
ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระทบใบไม้เสียงดังพร่ำพรอด, ข้ากำลังเดินทางไปยังเส้นทางที่ห่างไกลจากหมู่บ้านเมื่อก็พบกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน. มอนสเตอร์ จำนวนมากรุมล้อมสาวน้อยคนหนึ่งในป่าฝน มอนสเตอร์เหล่านั้นกำลังพุ่งเข้าหานางอย่างดุเดือด ข้าหยุดชะงักและรีบวิ่งไปช่วยทันที
ท่ามกลางฝูงมอนสเตอร์ที่รอบล้อม, สาวน้อยคนนี้ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ แต่กลับใช้ เวทย์เพลิง อันร้อนแรงโจมตีมอนสเตอร์รอบตัวด้วยความสามารถที่ไม่น้อยหน้าผู้ใหญ่ แต่ยังมีการเคลื่อนไหวที่ขาดประสบการณ์เมื่อเจอศัตรูหลายตัวในคราวเดียว
ข้าไม่รอช้า ใช้ทักษะนักรบของข้าเข้าไปจัดการศัตรูอย่างรวดเร็ว ใช้ดาบของข้าตัดฟันมอนสเตอร์ที่เข้ามาใกล้ และช่วยเหลือสาวน้อยจากการถูกล้อมจนหมดสิ้น
หลังจากการต่อสู้จบลง สาวน้อยคนนั้นก็หันมามองข้าและกล่าวคำขอบคุณ
มาริก้า (Mariika), สาวน้อยผู้ใช้ เวทย์เพลิง, ดูเหมือนจะมีความรู้สึกประหลาดใจที่ข้าเข้ามาช่วยเหลือ นางสวมเสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยฝนและมีบาดแผลเล็กน้อยจากการต่อสู้ แต่นางกลับไม่แสดงอาการหวาดกลัวใดๆ
“ข...ขอบคุณท่านนักรบ ข้าเกือบจะไม่รอดแล้ว” มาริก้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นอยู่เล็กน้อย ขณะที่นางค่อยๆ รวบรวมความกล้า
“ไม่เป็นไร, ข้าแค่ทำตามที่ควรจะทำ” ข้าตอบ นึกถึงความฝันที่จะช่วยเหลือผู้คนให้ปลอดภัยจากภัยอันตราย
มาริก้าหันไปมองข้าอย่างขอบคุณ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“ท่านนักรบ...ท่านคงไม่ใช่แค่คนเดินทางธรรมดาใช่ไหม? ท่านดูเหมือนมีพลังมาก”
ข้า พยักหน้าเล็กน้อย “ข้าเป็นนักรบ...แต่ตอนนี้ข้ากำลังเดินทางเพื่อค้นหาวิธีล้างคำสาปที่ทำให้ข้า...กลายเป็นซอมบี้” ข้าพูดเบาๆ ในที่สุด หลังจากที่ได้มีโอกาสพูดถึงสภาพของตนเอง
“ซอมบี้...?!” มาริก้าทำท่าตกใจ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น “ถ้าอย่างนั้น...ท่านก็ต้องมีกลวิธีหรือวิธีการที่ข้าช่วยได้ใช่ไหม? ข้าจะช่วยท่านให้ได้”
ข้าเห็นแววตาของมาริก้าที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ มันทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอมีเรื่องราวอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอเต็มใจช่วยเหลือแม้จะยังไม่รู้จักกันดีนัก
“มาริก้า...เจ้าคือใคร?” ข้าถามด้วยความสงสัย
“ข้าเป็นนักเวทย์เพลิง ที่ถูกส่งมาจากเมืองไฟ” มาริก้าตอบพร้อมกับการแนะนำตัว “ข้าไม่ใช่คนธรรมดา ข้าเป็นผู้ฝึกเวทย์ที่พึ่งเริ่มต้นฝึกฝนด้วยตัวเอง ข้าใช้เวทย์เพลิงได้ในระดับหนึ่ง แต่มันยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ”
ข้า คิดในใจว่า— การเดินทางนี้อาจไม่เหงาและยากลำบากอีกต่อไป หากข้าได้ร่วมเดินทางกับสาวน้อยผู้มีพลังเวทย์เพลิงที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจและความมั่นใจ ข้าจะสามารถหาแนวทางในการเอาชนะคำสาปนี้ได้
“หากเจ้ามีเวทย์เพลิง และเจ้าต้องการช่วยข้า... งั้นข้าจะขอให้เจ้าเดินทางร่วมกับข้าด้วย เราจะหาวิธีแก้คำสาปนี้ไปด้วยกัน” ข้าพูดออกไปอย่างจริงจัง
มาริก้าพยักหน้ารับด้วยท่าทีแน่วแน่ “ข้าจะไม่ยอมให้ท่านอยู่คนเดียวในเส้นทางนี้ ข้าจะช่วยท่านอย่างสุดความสามารถ!”
ตอนนี้, ข้ากับ มาริก้า ได้เป็นพันธมิตรในเส้นทางอันยากลำบากนี้—การเดินทางเพื่อหาวิธีล้างคำสาปซอมบี้และอาจจะพบเรื่องราวใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น.
___
ความสงสัยในตัวมาริก้า
ข้าได้มอง มาริก้า อย่างละเอียดอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินคำพูดของนาง การที่นางใช้เวทย์เพลิงได้แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่นั่นก็ไม่อาจปิดบังสิ่งที่ข้าเพิ่งได้รู้จากพลังส่องสเตตัสของข้า
ระดับพลังของมาริก้า: SSR
นางมีพลังที่เกินขอบเขตของมนุษย์ปกติไปแล้ว ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะพบกับใครที่มีพลังระดับนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ดูเหมือนจะอ่อนแอ แต่การที่มีพลังระดับ SSR นั่นไม่ธรรมดาเลย
ครึ่งปีศาจหรือไม่?
มันเป็นคำถามที่ข้าถามตัวเองอยู่ตลอดเวลา มาริก้าอาจจะเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่หลงทางในป่า แต่ด้วยพลังที่สูงลิ่วขนาดนี้ บวกกับการที่นางใช้เวทย์เพลิง—ซึ่งเป็นเวทย์ที่บางทีจะพบได้ในเผ่าปีศาจบางชนิด—ข้าก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าอาจมีบางสิ่งที่นางซ่อนอยู่
แต่ข้าไม่ได้ถามออกไป
แม้จะมีคำถามมากมายในใจ แต่ข้าเลือกที่จะไม่ถามมันออกไปในตอนนี้ ข้ารู้ว่าการถามเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้อาจจะทำให้บรรยากาศระหว่างข้ากับมาริก้าแปลกไป ข้าจะยังคงไว้ใจในความตั้งใจของนางและเดินทางไปด้วยกันเพื่อหาทางแก้คำสาปของข้า
มาริก้า ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีความลับซ่อนอยู่ในตัวเอง แต่จนถึงตอนนี้นางก็ยังคงเป็นเพื่อนร่วมทางที่เต็มใจช่วยข้า ข้าไม่คิดว่าจะมีอะไรน่ากลัวไปมากกว่านี้
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีบางอย่างซ่อนอยู่... แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องการที่สุดคือการช่วยเหลือจากเจ้าจริงๆ” ข้าพูดออกไปโดยไม่มีท่าทีสงสัย เพราะในใจข้าก็ไม่ได้อยากมองนางเป็นศัตรู
มาริก้าหันมามองข้าพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ และกล่าวออกมา “ข้าจะช่วยท่านให้ดีที่สุด... ไม่ว่าท่านจะเห็นข้าเป็นอย่างไร ข้าจะเป็นพันธมิตรที่ดีในเส้นทางนี้”
ในขณะที่เราก้าวเดินต่อไป ข้ารู้ว่าอาจจะต้องเจอกับอันตรายมากมายจากการที่มีมาริก้าอยู่ข้างกาย แต่ข้าก็ไม่สามารถปล่อยให้สงสัยครอบงำจิตใจได้ ข้าจะเดินไปตามทางของตัวเอง พร้อมกับมาริก้า—ผู้ใช้เวทย์เพลิง และมีพลังอันเกินขอบเขตที่ข้าไม่สามารถมองข้ามได้.
ใต้แสงจันทร์ในคืนที่เงียบสงัด และกองไฟที่ลุกโชติช่วง อากาศเย็นและแสงไฟทำให้บรรยากาศดูน่าอัศจรรย์ แต่ข้ากลับรู้สึกถึงความเศร้าสร้อยจากเรื่องราวที่มาริก้าเริ่มเล่าให้ฟัง ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหนักใจและท่าทีที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
มาริก้าเริ่มต้นเล่าให้ข้าฟังถึงอดีตของนางอย่างเปิดอก โดยไม่ต้องหลบหลีกคำถามใดๆ “ข้าสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก... พ่อของข้าคือปีศาจและแม่ของข้าก็เช่นกัน ทุกคนเกลียดข้าเพราะข้าคือผลลัพธ์ของความรักระหว่างปีศาจและมนุษย์ ข้าไม่เคยรู้สึกถึงความรักจากใครนอกจากนักปราชญ์ที่รับข้าไปเลี้ยง... เขาทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและอาจารย์ให้ข้า จนกระทั่งข้าอายุ 11 ปี”
น้ำเสียงของมาริก้าแสดงให้เห็นถึงความเศร้าแต่ก็เต็มไปด้วยความเคารพในนักปราชญ์ผู้นั้น “เมื่อพ่อของข้าออกไปหาของป่า เขาก็ไม่กลับมา...เขาถูกมอนสเตอร์ฆ่าตาย ทิ้งให้ข้าและแม่ต้องประคองกันอยู่สองคน”
ข้ารู้สึกถึงความเศร้าในเรื่องราวของมาริก้า และสิ่งที่ทำให้ข้าคิดหนักก็คือช่วงเวลาที่เธอต้องเผชิญในชีวิตวัยเด็ก
“แล้วก็เกิดหน้าแล้งในหมู่บ้านนั้น... ทุกคนต่างรังเกียจข้าและแม่... พวกเขาทำให้แม่ของข้าถูกประหารชีวิต พวกเขากล่าวหาว่าแม่ของข้าคือความวิบัติของหมู่บ้าน ข้าอายุแค่ 4 ขวบตอนนั้น... แม้ข้าจะหนีรอดมาได้ แต่ข้าก็เกือบจะตายอยู่แล้ว...” มาริก้าเงียบไปสักพัก น้ำตาเกือบจะไหลออกมา แต่เธอก็พยายามกลั้นมันไว้
“หลังจากนั้นข้าได้สัมผัสไฟร้อนจากโลกันต์... และพลังของข้าก็ตื่นขึ้น ข้าใช้ชีวิตอยู่ในป่าหลายเดือนจนเจอเข้ากับนักปราชญ์ผู้ที่รับข้าไปเลี้ยง... เขาทำให้ข้ารู้จักการควบคุมพลังของตัวเอง จนกระทั่งอาทิตย์ที่แล้ว... ท่านนักปราชญ์ได้เอาสมุดเวทย์มนต์ขั้นสูงมาให้ข้าและบอกให้ข้าหนีไป” มาริก้าหยุดนิ่งและหันมามองข้าด้วยดวงตาที่มีความหมองหม่น
“แต่มันไม่ง่ายเลย... กองทัพจอมมารบุกเข้ามาและต้องการสมุดนั้น... เขาพยายามทำลายท่านนักปราชญ์และพยายามฆ่าข้า ท่านนักปราชญ์บอกให้ข้าหนีไป แม้ข้าจะฆ่ามอนสเตอร์ได้ แต่เมื่อมันมีมากเกินไป ข้าก็ไม่อาจสู้ได้เต็มที่ และมันเหมือนจะมีมือมองมาจากทางจอมมาร ท่านจอมมารรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่แล้ว... เขาส่งพวกมอนสเตอร์มาเพื่อจับตัวข้า...” มาริก้าพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย
“จนกระทั่ง... ท่านมาช่วยข้าเอาไว้” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขอบคุณ แม้จะเจ็บปวดจากการเล่าเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็มีความอบอุ่นในคำพูดของเธอ
ข้าสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดและความสูญเสียในอดีตของมาริก้า แม้เธอจะพยายามซ่อนความเศร้า แต่ข้าก็รู้ว่าเธอกำลังแบกรับความหนักหน่วงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในชีวิต นางไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่รู้จักหยุดยั้ง แต่ยังต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่ลึกซึ้งอยู่ในใจของตนเอง
"มาริก้า... ข้าจะช่วยเจ้าในการต่อสู้กับพวกมัน ข้าจะช่วยแก้แค้นให้พ่อแม่ของเจ้าและทุกคนที่ทำร้ายเจ้า" ข้าพูดออกไปอย่างมั่นใจ
“ขอบคุณท่าน...” มาริก้าเงยหน้าขึ้นและมองข้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ ข้ารู้สึกถึงความเชื่อมั่นที่นางมอบให้ข้า
จากนั้นเราทั้งสองคนก็ร่วมกันมุ่งหน้าต่อไปยังเส้นทางที่ท้าทาย และข้าก็รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ได้ง่าย แต่มันก็เป็นเส้นทางที่ข้าจะต้องเดินไปเพื่อช่วยเหลือนางและค้นหาวิธีแก้คำสาปที่ข้าถูกสาปไว้
ข้ากลับมาอีกครั้งกับมาริก้าใต้แสงจันทร์ที่เงียบสงัด หลังจากที่นางได้มอบสมุดเวทย์มนต์ให้ข้า พร้อมคำพูดที่สัญญาว่าจะไม่มีวันทรยศต่อผู้มีพระคุณ ข้าสามารถรู้สึกถึงความมั่นคงและความเชื่อใจที่นางมอบให้ข้า แม้จะมีอดีตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ข้าเปิดสมุดเวทย์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง หน้าแรกของสมุดเขียนด้วยตัวอักษรโบราณที่ข้ารู้จักบ้างเล็กน้อยจากการเรียนรู้วิชามาจากนักปราชญ์ แต่ยังคงมีหลายคำที่ข้าต้องใช้พลังเวทย์เพื่อแปลมัน
เมื่อข้าเปิดไปยังหน้าถัดไป ข้าพบข้อความที่น่าตกใจ... จอมมารไม่ได้ต้องการสมุดเวทย์นี้เลย! สิ่งที่เขาต้องการคือ สร้อยอัญมณีล้ำค่า ที่ซ่อนอยู่ในสมุดนี้ ข้าสงสัยว่าทำไมสร้อยนี้ถึงถูกเก็บไว้ในสมุดเวทย์ และทำไมจอมมารถึงต้องการมันถึงขนาดนี้
มาริก้าพูดเสียงต่ำๆ ขณะที่ข้ามองไปที่สร้อยในสมุด “ข้าก็ไม่รู้... ข้าพบสร้อยนี้ในบ้านของท่านนักปราชญ์ตอนที่ท่านสั่งให้ข้าหนีไป... ท่านบอกว่าอย่าทิ้งมันไป และให้เก็บรักษาไว้ตลอดชีวิต แต่ข้าก็ไม่เคยรู้เลยว่ามันมีความสำคัญอะไร”
ข้าพิจารณาสร้อยที่ดูเหมือนจะเป็นอัญมณีที่ไม่ธรรมดา อัญมณีที่มีแสงระยิบระยับคล้ายกับพลังเวทย์ที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ทำไมจอมมารถึงต้องการมัน? สร้อยนี้มีคุณค่ามากเกินไปสำหรับแค่การตกแต่ง
“ถ้าเจ้าบอกว่าไม่รู้ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...” ข้าพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้กับมาริก้าเพื่อปลอบใจ
ข้าหันกลับมาพิจารณาเส้นทางข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ข้าเข้าใจแล้วว่าจอมมารต้องการสร้อยนี้เพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่ยังไม่เปิดเผยออกมา การค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในสร้อยนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยข้าหาทางแก้คำสาปของข้าได้
"มาริก้า..." ข้าหันไปหานาง “เราจะหาคำตอบให้ได้ ว่าทำไมจอมมารถึงต้องการสร้อยนี้ และถ้าเราสามารถหาวิธีใช้มันให้เป็นประโยชน์ เราจะหยุดแผนการของเขาได้”
มาริก้าพยักหน้ารับ ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ข้าจะอยู่ข้างท่านเสมอ ข้าจะช่วยท่านตามหาคำตอบนี้ให้ได้ ไม่ว่ามันจะนำไปสู่ทางไหนก็ตาม”
การเดินทางของเราจะไม่ง่าย แน่นอน แต่ข้าก็รู้ดีว่าเราจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ใหญ่ขึ้นและแผนการที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ในตอนนี้ ข้าจะไม่ยอมให้คำสาปหรือความมืดมิดใดๆ มาหยุดข้าได้
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!