1.ก้าวแรกของการเป็นคิง
”นี่รุยตื่นได้แล้วลูก เดี๋ยวจะไปสอบสายเอานะ วันนี้เป็นวันสำคัญในการสอบด้วยไม่ใช้รึไง”
วันนี้เป็นวันสอบคัดเลือกตัวแทนหมู่บ้านที่รุยตั้งตารอ เขาฝึกฝนฝีมือตัวเองมาตลอดเพื่อวันนี้
”กี่โมงแล้วเนี่ยแม่ (เสียงงัวเงีย)”
เจ้าหนูรุยเป็นคนที่ตื่นสายอยู่เป็นประจำ เพราะเขาจะใช้เวลาหลังเลิกเรียน ออกไปฝึกฝนขัดเกลาฝีมือตัวเองอยู่ในป่าคนเดียวทุกๆ คืน จนบางครั้งเขาก็กลับเข้าบ้านหลังเที่ยงคืนอยู่บ่อย ๆ มันทำให้คุณแม่ต้องค่อยปรุกเขาอยู่เป็นประจำ
”7โมงครึ่งได้แล้วละมั้งลูก”
”7โมงครึ่ง!! แย่แล้วแบบนี้ ทำไมพึ่งปลุกผมละเนี่ยแม่!! ถ้าไปไม่ทัน8โมงผมไม่ได้เข้าสอบแน่เลย วันนี้เป็นวันสอบคัดเลือกคิงและผู้รับพลังงานด้วยสิ.. แม่ก็รู้ว่าวันมันสำคัญกับผมแค่ไหน!!”
เจ้าหนูรุยรีบกระโดดลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยความเร่งรีบ รุยใช้เวลาในการอาบน้ำเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น รุยวิ่งไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ พอแต่งตัวเสร็จ เขาก็กระโดดตัวลอย แล้วใช้ก้นสไลด์กับราวบันไดลงมาชั้นล่างด้วยความคล่องแคล่ว
”แม่ปิ้งขนมปังไว้ให้แล้วนะอาบน้ำเสร็จแล้วลงมากินก่อนไปด้วยละ”
ทุกๆ เช้าก่อนไปโรงเรียนแม่ของรุยจะเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เป็นประจำ แต่ด้วยนิสัยที่ตื่นสายอยู่เสมอของรุยทำให้เขากินข้าวเช้าที่แม่เตรียมไว้ไม่ค่อยทันนัก
(รุยคาบขนมปังไว้ในปาก) “ผมไปก่อนนะครับแม่“ เขาเตรียมตัวที่จะออกวิ่ง ท่าทางจริงจัง เขาหมุนปลายเท้าเป็นวงกลมสลับไปมา
(แม่คว้ามือรุยไว้) “นี่รุย!! สู้ๆนะลูก ลูกต้องทำได้แน่นอน”
แม่คือคนที่ค่อยให้กำลังใจและสนับสนุนรุยเสมอไม่ว่าจะเรื่องอะไร ต่อให้ทุกคนในหมู่บ้านจะต่างพากันหัวเราะเยาะลูกของเธอที่เกิดมามีพรสวรรค์เป็นถึงคิงแต่กลับไม่สามารถปรุงอาหารเวทย์ให้ผู้รับพลังงานกินได้แม้แต่คนเดียว
(รุยยิ้ม) “มันแน่นอนอยู่แล้วครับ!!” น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ต่อให้ทุกคนบนโลกนี้จะค่อยพากันดูถูกตัวเขาแต่รุยไม่เคยเก็บมันมาใส่ใจเพราะรุยมั่นใจว่าสักหนึ่งเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น
แล้วจะต้องมีคนที่สามารถ รับพลังจากอาหารของเขาได้ รุยมักจะเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับนึกถึงคุณพ่อของเขาที่จะค่อยบอกเขาอยู่เสมอว่า...
“อย่าให้ใครมาดูถูกลูกได้ละ คนพวกนั้นที่ค่อยชี้หน้าด่าลูก สักวันหนึ่งพวกเขาจะต้องมาหลบอยู่ด้านหลังของลูกแน่นอน ถ้าถึงวันนั้นรุยช่วยปกป้องพวกเขาด้วยละ!!”
รุยจำคำสอนนี้ได้อย่างดี มันเป็นแรงผลักดันให้ตัวเขาไม่ย่อท้อต่อคำดูถูกใดๆ
เจ้าหนูรุยรีบวิ่งออกจากบ้านไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด ตอนนี้เวลาก็ปาเข้าไป 7.40 แล้ว ถ้าเขาไปสถานที่สอบไม่ทันเวลา เขาจะถูกตัดสิทธิ์ทันที เพราะในการสอบครั้งเป็นการสอบที่สำคัญของหมู่บ้าน นักเรียนทุกคนในหมู่บ้านล้วนแข่งขันกันเพื่อที่จะได้เข้าสอบในครั้งนี้
อาจารย์ทาเคบะ อาจารย์ประจำชั้นเรียนสอดส่องสายตามองหาเจ้าหนูรุย “จะมาทันไหมนะเจ้าหมอนั่น”
อาจารย์ทาเคบะเป็นอาจารย์ประจำชั้นเรียนของรุย เขามีภูมิหลังที่ดีกับพ่อของรุย และเขารู้ดีว่าเจ้าหนูรุย ต้องพบเจออะไรบ้างหลังจากที่พ่อของเขาได้จากไป
”ในที่สุดฉันก็มาทันเวลาจนได้” (เสียงหายใจเหนื่อยหอบ)
และแล้วในที่สุด รุยก็วิ่งมาที่สนามสอบได้ทันเวลา อาจารย์ทาเคบะหันไปมองที่เจ้าหนูรุย
“คิดว่าเธอจะไม่มาสะแล้ว”
”ต้องมาอยู่แล้วสิ“
”เพราะผมนะ!! จะต้องเป็นคิงของโรงเรียนในปีนี้ให้ได้“
รุยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและสีหน้าสุดจริงจัง
อาจารย์ทาเคบะจับหัวเจ้าหนูรุยแล้วหัวเราะ
“ฮา ๆ นั้นสินะ!! ก็นายนะตั้งใจมากกว่าใครในโรงเรียนเลยนิ”
“ดูนั้นสิ!! ไอ้คิงผู้โดดเดี่ยวมันมาด้วยวะ ฮาๆ“
(เสียงเพื่อนๆ ในชั้นเรียนต่างพากันหัวเราะรุย)
สิ่งนี้เกิดขึ้นกับรุยอยู่เป็นประจำ ในทุกๆวันที่เขามาโรงเรียน รุยมักจะถูกเหล่านักเรียนพากันพูดจาดูถูกเขา บางทีก็โดนเพื่อนๆแกล้ง แต่รุยก็สู้กลับทุกครั้งถึงแม้มันจะจบลงด้วยการที่เขาต้องโดนรุมทำร้ายจนบาดเจ็บ โดนพ่อแม่ของเด็กที่มารุมรังแกเดินเข้ามาชี้หน้าด่าพร้อมทั้งดูถูกตัวเขา สิ่งนี้มันทำให้รุยเองแทบไม่มีเพื่อนในโรงเรียนเลย
“พวกนายคอยดูเถอะ ฉันจะซัดพวกนายให้กระเดนในการสอบครั้งนี้ให้ดู!!”
“แกจะซัดพวกฉันได้ยังไง ก็มันไม่มีใครรับพลังจากอาหารห่วยๆ ของแกได้สักคนเลยนี่หว่า ฮาฮาฮา”
“ไม่มีแล้วไงฟะ!! เดี๋ยวฉันก็จะทำมันเอง กินมันเอง และสู้เองเลยเว้ย!!”
รุยตะโกนใส่พวกที่ว่าเขาด้วยความโมโหสุดขีด ลุยโคตรเจ็บใจ แต่ก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าคำพูดของเพื่อนๆในโรงเรียนนั้นเป็นเรื่องจริง
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา รุยปรุงอาหารเวทย์ไปแล้วไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง แต่ทุกครั้งที่เขาปรุงมัน แล้วส่งต่อให้คนที่เป็นร่างรับพลังงานกิน ก็ยังไม่มีใครปลดปล่อยพลังเวทย์ออกจากอาหารที่รุยปรุงได้เลย มิหนำซ้ำคนที่กินอาหารเข้าไปยังพูดเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า… อาหารของรุยนั้น มันทั้งแปลกทั้งแย่ และไร้พลังเวทย์ นั้นจึงทำให้ในการสอบครั้งนี้รุยตั้งใจที่จะปรุงอาหารขึ้นมาแล้วกินมันเอง
“แบบนั้นไม่ได้นะรุย ไม่มีใครสามารถเป็นทั้งคิงและผู้รับพลังงานได้หรอกนะ” (เสียงเตือนจากอาจารทาเคบะ)
อาจารทาเคบะรู้ดีว่าสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้ เพราะร่างกายของคิงและผู้รับพลังงานนั้นมีองค์ประกอบที่แตกต่างกันมาก คนที่เกิดมามีความสามารถเป็นคิงจะมีร่างกายที่บอบบางและไม่มีต่อมปลดปล่อยพลังงาน แต่จะมีพลังเวทย์มหาศาลที่นำมาใช้ปรุงอาหารเวทย์ได้ ส่วนคนที่เป็นร่างผู้รับพลังงาน ร่างกายของพวกเขาจะมีความแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมากและเซลล์ในร่างกายของพวกเขาจะผลิตต่อมรับพลังงานเวทย์ออกมาทั่วร่างกาย ต่อมพวกนี้มีไว้รับพลังเวทย์จากอาหารที่ปรุงโดยคิงแล้วปลดปล่อยมันออกมาในรูปอาหารที่กินเข้าไป ยิ่งคิงปรุงอาหารออกมาได้ดีเท่าไหร่ ร่างผู้รับพลังงานก็จะสามารถปลดปล่อยพลังงานออกมาได้แข็งแกร่งมากเท่านั้น
“ใช่ ใช่ ใครที่ไหนจะเป็นทั้งคิงและผู้รับพลังงานได้ทั้งคู่ละ ไอ้โง่เอ้ย!! ถ้าแกไม่มีผู้รับพลังงานก็กลับบ้านไปสะไอ้สวะ!!”
(เสียงเพื่อนในชั้นเรียนตะโกนพร้อมกัน)
“กลับบ้านไปสะ ไอ้คิงผู้โดดเดียว กลับบ้านไปสะ ไอ้คิงผู้โดดเดียว”
จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา “ฉันเอง...”
ตอนนี้เสียงที่ทุกคนกำลังตะโกนอยู่ก็เงียบลงทันที เหล่านักเรียนพากันหันไปมองที่ต้นเสียงนั้น
“แกบ้าไปแล้วรึไง แกบ้าไปแล้วรึไง โซ อาหารที่ไอ้บ้านั้นทำ ขืนแกกินเข้าไปมีหวังได้ไปนอนคุยกับรากมะม่วงแน่!!”
เสียงที่พูดแทรกขึ้นมานั้น คือเสียงของนักเรียนที่มีชื่อว่า “โซ” เขาเป็นหนึ่งในนักเรียนหัวกะทิของโรงเรียน ทุกคนต่างรู้กันดีว่าโซนั้นมีความสามารถในการเป็นร่างผู้รับพลังงานที่แข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับนักเรียนในปีเดียวกัน
“เธอมั่นใจแล้วใช่ไหมโซ?”
อาจารทาเคบะถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับใช้มือจับลงไปที่ไหล่ของโซเบาๆ
“ครับอาจารทาเคบะ“ โซพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางรุย
รุยยิ้มพร้อมยกนิ้วโป้งขึ้น
“ฉันจะทำอาหารที่ทรงพลังที่สุดให้นายกินเอง!!”
ความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมแววตาสุดมุ่งมั่น ทำให้โซยิ้มและพยักหน้าให้กลับรุย
“ฝากด้วยนะรุย”
“เอาละ!! เอาละ!! ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว อาจารจะขอเริ่มการสอบในครั้งนี้แล้วนะ!!”
(กติกาการสอบ)
การสอบในครั้งนี้จะเป็นการจับคู่ระหว่างคิงและผู้รับพลังงาน จะเป็นการสอบโดยใช้อาหารเวทที่คิงปรุงขึ้นมาแล้วส่งต่อให้ผู้รับพลังงานกิน แล้วผู้รับพลังงานจะต้องเข้าต่อสู้กันอย่างสุดความสามารถ
ผู้เข้าสอบมีทั้งหมด 16 คน แบ่งเป็น 8 คู่ รอบแรกจะเป็นการต่อสู้แบบ 1คู่ ต่อ 1คู่ เข้าต่อสู้กัน หลังจากที่ชนะ จะเหลือ 4 คู่ รอบต่อไป ทั้ง 4 คู่จะต้องเข้าต่อสู้กันในทีเดียวถือเป็นรอบตัดสิน คู่ไหนเอาชนะและเหลือรอดเป็นคู่สุดท้าย จะถือว่าเป็นตัวแทนของหมู่บ้าน ขึ้นไปทำหน้าที่เป็นแนวหน้าในการต่อสู้เพื่อปกป้องหมู่บ้าน กับพวกรุ่นพี่ทีมก่อนหน้านี้
”วัตถุดิบที่ทุกคนจะได้ใช้ในการปรุงอาหารเพื่อสอบในครั้งนี้ จะมีทั้งหมดดังนี้!!”
อาจารทาเคบะพูดเสียงดังและชี้นิ้วไปยังโต๊ะอาหารที่เตรียมเอาไว้
“1. ผักกาดหิมะ”
(ลักษณะเป็นผักกาดเกล็ดหิมะสีน้ำเงิน ตัวผักกาดมีความเย็นและมีรสหวานมาก)
“2. ผักบุ้งงูท้องแดง“
(ลักษณะต้นเป็นเหมือนงูตัวสีเขียวยาว ตรงปลายสุดของยอดจะมีต่อมพิษ ใต้ท้องของต้นจะมีขีดเป็นสีแดงยาว มีความกรอบมากแต่รสชาติจืด)
“3.ใบระบำเพรา”
(ลักษณะเป็นต้นไม้ขนาดเล็ก มีใบเล็กสีแดงอมส้ม รสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอมฉุนเป็นเอกลักษณ์)
“4.เนื้อหมูภูเขาไฟ”
(เป็นเนื้อหมูสีแดงและมีไขมันแซกเป็นสีดำ เนื้อมีความแน่นและมีกลิ่นควันไฟจากภูเขาไฟ)
“5.เนื้อปลาปีศาจ”
(เป็นปลาหาพันธุ์ยากและมีความดุร้าย มีเกล็ดเป็นสี ม่วงอมดำ เนื้อมีความหวานและแน่นมาก)
“6.พริกสายฟ้า”
(เป็นพริกสีเหลืองทอง มีความเผ็ดร้อนมาก เวลากัดจะถูกไฟฟ้าช็อตเบาๆเข้าที่ปาก)
“7.กระเทียมจิงโจ้”
(เป็นกระเที่ยมที่มีสองขา สามารถกระโดดได้ มีกลิ่นหอมฉุนแบบกระเทียม)
” ถ้าทุกคนมีเมนูในหัวแล้ว เริ่มมได้!! “
อาจารทาเคบะประกาศเริ่มการต่อสู้ เหล่าคิงของแต่ละทีมรีบวิ่งออกไปเลือกวัตถุดิบที่ตัวเองจะนำมาปรุงอาหาร ทุกคนต่างเลือกเอาวัตถุดิบที่คิดว่าจะสามารถปรุงอาหารในครั้งนี้ ให้ออกมาได้แข็งแกร่งที่สุด
” ถ้างั้นมาลุยกันเลย!!“
”อย่างแรกฉันขอรับเนื้อหมูภูเขาไฟไปก่อนละ ต่อมาก็พริกสายฟ้า ตามด้วยกระเทียมจิงโจ้ และสุดท้ายใบระบำเพรา“
รุยเข้าไปเลือกวัตถุดิบที่เขาจะเอาไปทำอาหารออกมาทั้งหมด4อย่าง
”เจ้ารุยคิดจะทำอาหารอะไรออกมาอีกละเนี่ย? วัตถุดิบแต่ละอย่างดูไม่เข้ากันเลย!!“
อาจารทาเคบะพูดพร้อมกับเอามือกุมไปที่ขมับ
”ไอ้รุยนี้มันโง่จริงๆ ด้วยว่ะ ของแต่ละอย่างที่มันเลือก จะเอาไปใช้ปรุงเป็นอาหารได้ยังไงกัน แกเสร็จฉันแน่คราวนี้ “
การต่อสู้ในรอบนี้ “รุย” และ “โซ” ต้องเจอกับ “ทามะ” และ “บาจิ” ทั้งสองเป็นคนจากตระกูลริมแม่น้ำในหมู่บ้าน ตระกูลนี้ขึ้นชื่อเรื่องการทำอาหารด้วยปลาและสาหร่าย พวกเขาสามารถดึงพลังเวทย์ออกจากสัตว์น้ำหรือพืชที่ขึ้นในน้ำ มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และวัตถุดิบในครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าทางของทีมพวกเขาอีกด้วย
”ฉันมั่นใจในตัวนายนะ ปรุงอารที่ทำให้ฉันมีพลังเวทย์มหาสานออกมาให้ได้นะรุย“
โซยังคงเชื่อมั่นและคิดว่ารุยจะต้องทำอาหารที่แข็งแกร่งออกมาให้เขากินได้
”ฉันขอเริ่มเลยแล้วกัน จงลุกโชนขึ้นไฟเวทย์!!“
รุยจุดไฟเวทย์ขึ้นจากฝ่ามือ ลูกไฟเวทย์สีน้ำเงินเปล่งประกายขึ้นบนฝ่ามือของเขา รุยง้างแขนขวาออกไปจนสุด แล้วขว้างลูกไฟเวทย์ลงไปในกระทะ “พรึ่บ” ทันทีที่ลูกไฟกระทบกับก้นกระทะก็เกิดเปลวเพลิงสีน้ำเงินอันแสนร้อนแรงรุกขึ้นทันที
(คิงทุกคนจะสามารถจุดไฟเวทย์ขึ้นจากฝ่ามือของตัวเองได้ และจะสามารถปล่อยรสชาติเครื่องปรุงออกมาจากปลายนิ้วทั้งห้าของตัวเองได้ตามความนึกคิด)
จากนั้นรุยได้เริ่มการปรุงวัตถุดิบทันที รุยใช้มือตบพริกสายฟ้าและกระเทียมจิงโจ้จนแหลก พอเสร็จเขาก็โยนมันลงไปในกระทะที่กำลังร้อน เขาผัดมันจนมีกลิ่นหอมลอยออกมา หลังจากนั้นรุยก็เริ่มสับเนื้อหมูภูเขาไฟจนมันละเอียด เสร็จแล้วก็ใส่มันลงไปในกระทะ ท่าทางการผัดอันสุดแสนร้อนแรงทำเอาเพื่อนๆ ที่มาดูต่างพากันประทับใจ เขาผัดจนสีแดงของหมูเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ มันคือสีของหมูที่เริ่มจะสุก
“ต่อไปคือขั้นตอนการปรุงรส!!”
รุยตระโกนออกมาเสียงดัง เขาโยนตะหลิวลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า และกางนิ้วออก ชี้มันลงไปที่กระทะ รุยปล่อยกระแสพลังเวทย์ลงไปที่ปลายนิ้วทันที
“ออกมาสะ!!ความหวานของน้ำตาล”
นิ้วของรุยส่องแสงสีน้ำเงินขึ้นทันที จากนั้นที่ปลายนิ้วก็มีผลึกน้ำตาลพุ่งออกมา ผลึกน้ำตาลสีขาวสะท้อนแสงได้ลงเข้าไปคลุกเคล้ากับเนื้อหมูสับ เสร็จจากนั้นรุยก็ได้ปล่อยน้ำปลารสเค็ม ที่มีสีน้ำตาลอ่อนละมุลออกมา
พอดีกับจังหวะที่ตะหลิวล่วงลงมา รุยเหวี่ยงมือไปคว้ามันด้วยความเร็ว จากนั้นเขาก็ใช้ตะหลิวผัดส่วนผสมทุกอย่างจนเข้ากันดี สีของหมูสับตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาลที่เข็มขึ้นดูน่ากินมาก
“สุดท้าย!! ลงไปในกระทะได้เลยใบระบำเพรา”
รุยเด็ดใบใบระบำเพราออกมาหนึ่งกำมือแล้วโยนมันลงไปปิดท้าย เขาจับด้ามกระทะไว้อย่างแน่นแล้วสะบัดข้อมือขึ้นลงเป็นจังหวะ เนื้อหมูและส่วนผสมทั้งหมดคลุกเคล้ารวมกัน จนมีกลิ่นหอมลอยขึ้นมา
“เสร็จเรียบร้อย!! ลงจานได้“
”ฉันขอตั้งชื่ออาหารจานนี้ว่า ผัดระบำเพราหมูสับ!!”
อาจารทาเคบะถึงกับอุทานออกมาว่า
“อุต๊ะ นั้นมันชื่ออะไรวะนะ!! ฉันไม่เคยได้ยินในตำราอาหารเวทย์มาก่อนเลย”
หลังจากที่ทุกคนได้เห็นอาหารที่รุยทำเสร็จ เหล่าเพื่อน ๆ นักเรียนก็ต่างพากันหัวเราะออกมา
“รุยมันทำเมนูบ้าอะไรออกมาอีกแล้วละเนี่ย ฮาๆ”
“คู่ของเรานี้โชคดีจริงๆ เลยวะบาจิ ที่จับฉลากเจอกับไอ้รุยจอมโง่นั้น เดียวฉันจะใช้ “ผัดฉ่าปลาปีศาจ” จัดการพวกมันให้เละเลยค่อยดู”
ทามะ และ บาจิ ได้ทำเมนูขึ้นชื่อของตระกูลเขา อย่าง..
”ผัดฉ่าปลาปีศาจ” นี่เป็นเมนูสุดแข็งแกร่งมากๆ มันถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลริมแม่น้ำเลยทีเดียว รุยและโซเจอของแข็งเข้าให้แล้ว….
“ถ้าไอ้โซไม่สามารถดึงพลังออกมาได้ นายรีบจัดการมันในครั้งเดียวเลยนะ จากนั้น ก็เข้าไปซัดไอ้รุยต่ออีกคนด้วยเลย เอาให้มันปางตายไปเลย ฮาๆ“
“แต่ว่าตามกฎแล้วเราห้ามโจมตีคนที่เป็นคิงไม่ใช้เหรอ? ทามะคุง “
“ชั่งกฎห่าเหวนั้นสิวะบาจิ!! ในเมื่อไอ้รุยมันกล้ามาปากดีกับฉัน มันก็ต้องสมควรจะได้บทลงโทษด้วยยังไงละ”
ตอนนี้ทั้งสองทีมได้เตรียมอารหารเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ต่อไปจะเป็นการส่งอาหารให้ผู้รับพลังงานกินและปลดปล่อยพลังออกมาเพื่อเข้าต่อสู้กัน
ทางด้านทีม “ทามะ” และ “บาจิ” ได้ทำเมนูขึ้นชื่อของตระกูลอย่าง “ปลาปีศาจผัดฉ่า” ส่วนรุยนั้นได้ทำเมนูสุดแปลกที่ไม่มีในตำรา ชื่อว่า “ผัดระบำเพราหมูสับ!”
ก่อนที่การต่อสู้ของผู้รับพลังจะเริ่มขึ้น ทางด้านตัวอาจารทาเคบะ จะต้องกางโดมม่านพลังป้องกันรอบสนามไว้ เพื่อไม่ให้นักเรียนคนอื่นและประชาชนในหมูบ้านโดนลูกหลงจากการต่อสู้ไปด้วย
อาจารทาเคบะ ใช้มือล้วงลงไปหยิบซองขนมจากกระเป๋ากางเกงของเขาขึ้นมา เขาแกะปากถุงขนมออกแล้วยกซองขนมเทใส่ปากทันที
เสียงเคี้ยวขนมของอาจารทาเคบะดังลั่นไปทั้งสนาม
หลังจากที่กินขนมเข้าไป ร่างกายของอาจารทาเคบะก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนแปลง... ตัวของเขาค่อยๆ เรืองแสงสีเขียวออกมา ใต้ฝ่ามือทั้งสองข้างของอาจารทาเคบะมีรูขนาดใหญ่เกิดขึ้น
เขาประสานฝ่ามือเข้าหากันด้วยความเร็ว เสียงของฝ่ามือที่กระทบกันดังสนั่น มันทำเอาเด็กๆบางคนต้องยกมือมาปิดหู จากนั้นเขาก็กระชากฝ่ามือทั้งสองออกพร้อมกันอย่างรวดเร็ว เกิดคลื่นลมพุ่งออกไปรอบสนาม
เขาก็กางแขนออกไปจนสุด ทันใดนั้นก็เกิดเป็นม่านพลังบาเรียสีเขียวขึ้นรอบๆสนาม มันค่อยๆ เชื่อมต่อกัน จนกลายเป็นโดมขนาดใหญ่ครอบคลุม อยู่รอบสนามต่อสู้ เหล่านักเรียนที่เห็นก็ต่างพากันตื่นเต้นกับพลังของอาจารย์ทาเคบะ
” นั้นคือพลังของอาจารย์ทาเคบะที่เขาลำลือกันเหรอเนี่ย ได้เห็นไกล้ ๆ แล้วตื่นเต้นชะมัด “
บาเรียของอาจารย์ทาเคบะเป็นพลังที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พลังนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงที่โดงดังไปถึงหมูบ้านอื่นๆพอสมควร
”เริ่มต่อสู้ได้!!“ สิ้นเสียงของอาจารทาเคบะ ผู้รับพลังงานของทั้งสองทีม ได้ตักกินอาหารในจานทันที
” ออกมาแล้วพลังเวทย์ของฉัน “
หลังจากที่”บาจิ“กินปลาปีศาจผัดฉ่าเข้าไป ร่างกายของบาจิก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง... ตามตัวของเขาเริ่มมีเกล็ดปลาสีม่วงขึ้นทั่วร่างกาย ตรงก้นก็มีหางของปลาปีศาจ งอกออกมา หูของเขาเปลี่ยนเป็นครีบปลา บาจิได้อ้าปากเผยให้เห็นฟัน อันแหลมคมทั่วทั้งปาก รอบๆ ร่างกายมีออร่าพลังเวทย์ที่เป็นเหมือนหยดน้ำค่อยๆ ลอยขึ้นมา
”เป็นไงละ นี้แหละพลังเวทย์จากอาหารขึ้นชื่อของตระกูลฉัน พวกแกจงหวาดกลัวสะเถอะ!! ฮาๆ“
ทางด้านของโซเองก็ได้กินอาหารของรุยเข้าไปพร้อมกัน แต่ตอนนี้ร่างกายของเขากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเลย
”อะไรกัน? ทำไมไม่รู้สึกถึงพลังเวทย์หรือการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย!!“
โซหันกลับไปมองหน้ารุยด้วยสีหน้างุนงง
”ทำไมกัน?.. ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยละ? ไม่สิ!! ฉันสัมผัสได้ มันกำลังออกมาแล้วละ…“
รุยสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่กำลังหลั่งไหลอยู่ในตัวของโซ
ทันใดนั้นทั่วร่างกายของโซก็มีออร่าสีทองค่อยๆ ลอยขึ้นมา แขนเล็ก ๆ ของโซค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นมัดกล้าม มัดกล้ามของเขามันเริ่มขยายใหญ่ขึ้น หน้าของโซเปลี่ยนเป็นหมูภูเขาไฟที่มีดวงตาสีแดงกรำ มันดูดุดันพอสมควร
ที่แผ่นหลังมีใบระบำเพรา งอกออกมาเต็มด้านหลัง ดูเหมือนว่าการปรุงอาหารของรุยครั้งนี้ เขาจะทำมันออกมาได้สำเร็จ โซสามารถรับพลังงานจากอาหารของรุยออกมาใช้ได้ แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น….
จู่ ๆ โซก็ไม่สามรถควบคุมตัวเองได้ สีออร่าเริ่มเปลี่ยนจากสีทองไปเป็นสีแดง โซร้องคำรามด้วยความน่ากลัว เหล่านักเรียนด้านนอกที่ได้เห็นต่างพากันตกใจ แม้แต่รุยเองก็ยังยืนอ้าปากค้าง ตัวของเขาแข็งจนทำอะไรต่อไม่ถูก
ตอนนี้โซไม่มีสติเหลืออยู่แล้ว เขาใช้มือกุมไปที่หัวของตัวเอง โซเดินเป๋ไปเป๋มา จากนั้นก็เซจนไปกระแทกเข้ากับกำแพงบาเรีย
“หยุดมันที!! หยุดมันที!!”
เสียงพูดดังออกมาจากร่างของโซที่กลายเป็นเหมือนอสูรกายหมูป่าไปแล้ว ร่างกายของเขามันไม่ยอมหยุดเปลี่ยนแปลงสภาพและมันยังขยายใหญ่ขึ้นเลื่อยๆ
”แย่ละสิโซควบคุมพลังเวทย์ในตัวเองไม่ได้ พลังเวทย์มันมีมากเกินไป”
“นี่รุยนายทำอารหารอะไรให้โซกินเข้าไปกันแน่“
อาจารทาเคบะเองก็ตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาได้แต่จ่องมองไปยังโซ
”แกรออะไรของแกวะบาจิ!! รีบๆเข้าไปจัดการมันสักทีสิวะ!! พลังกระจอกๆ แบบนั้น หมัดเดียวก็เกินพอ“
”บาจิอย่าพึ่งเข้าไปนะ ตอนนี้โซไม่สามารถควบคุมพลังตัวเองได้ “
ไม่ทันที่อาจารย์ทาเคบะจะพูดจบประโยค บาจิได้กระโดดเข้าไปหาโซที่กำลังคุ้มคลั่ง
”แกตายไอ้โซ..หมัดพลังเกล็ดปลาปีศาจ!!“
”เอาไปกินสะ ย๊ากก“
บาจิปล่อยหมัดตรงอันรุนแรงออกไปใส่โซเต็มๆ ทันทีที่หมัดตรงพุ่งเข้าใส่หน้าของโซ รอบๆ สนามก็เกิดเสียงดังสนั่น เศษฝุ่นกระจัดกระจายเต็มสนามจนมองไม่เห็นร่างของโซ
แต่หลังจากฝุ่นค่อยๆ จางลง บาจิต้องตกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขา
“อะไรกัน!! ทำไมมันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยวะ หรือเมื่อกี้ฉันพลาดเป้าไป ดวงดีจริงๆนะแก“
”ครั้งนี้ไม่มีพลาดแน่ เอาไปกินอีกรอบสะ หมัดพลังเกล็ดปลาปีศาจ!!!!!”
บาจิกระโดดง้างหมัดพุ่งเข้าไปหาโซอีกรอบ แต่รอบนี้โซในร่างที่ควบคุมไม่ได้ เขางอเข่าลงเล็กน้อย พร้อมกับเอาปลายนิ้วเท้าจิกลงบนพื้น จากนั้นก็ดีดตัวพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว มันเป็นความเร็ว ที่ราวกับถูกหยุดเวลาไว้ ไม่ทันเสี้ยววินาทีโซก็ถึงตัวบาจิแล้ว
โซใช้มือขนาดใหญ่วางทาบลงที่หน้าของบาจิ เขาค่อยๆ ใช้นิ้วบีบเข้าหากันด้วยความแรงบนใบหน้าของบาจิ พลังในการบีบมันมหาศาลามาก มันทำเอา”ลูกตา“ของบาจิทะลัก!!ออกมา มันช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองมาก
โซกำหัวบาจิทุ่มลงกับพื้นด้วยความแรง เป็นความแรงขนาดที่ทำให้พื้นแตกกระจายออกจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ เขายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น โซยังจับขาบาจิขึ้นมาเหวี่ยงด้วยความแรงออกไป มันเป็นแรงเหวี่ยงที่แรงมาก ร่างบาจิปลิวไปติดกำแพงบาเรียของอาจารทาเคบะ ทำให้กำแพงบาเรียเกิดรอยร้าวแตกร้าวขนาดใหญ่ในทันที
”พลังมากอะไรขนาดนี้ เพียงแค่การเหวี่ยงครั้งเดียวก็ทำให้กำแพงบาเรียสุดแข็งแกร่งของฉันแตกร้าวได้เลยเหรอเนี่ย“
“ขืนปล่อยไว้บาจิอาจจะไม่รอด“
“นี้นักเรียนด้านนอก!!! รีบวิ่งไปตาม ครูใหญ่มาเดี๋ยวนี้!!”
เหล่านักเรียนรีบพากันวิ่งออกไปตามหาครูใหญ่ ทันทีหลังจากที่อาจารทาเคบะออกคำสั่ง
ตอนนี้เหตุการเริ่มที่จะแย่ลงทุกที อาจารทาเคบะไม่สามารถรออยู่เฉยๆได้ เขารีบกระโดดพุ่งเขาไปคว้าตัวบาจิออกมา ทันทีที่สัมผัสร่างกายของบาจิ อาจารทาเคบะก็รับรู้ได้ในทันที ว่ากระดูกทั่วทั้งร่างของบาจินั้น… แหลกละเอียดหมดแล้ว
แต่ไม่ทันที่อาจารทาเคบะจะได้ส่งตัวบาจิออกไปจากโดมบาเรีย โซก็หายตัวมายืนอยู่ที่ด้านหลังของพวกเขาแล้ว
โซตวัดแขนแบคแฮน ใส่พวกเขาทันที อาจารทาเคบะใช้จังหวะเสี้ยววิเปิดเกาะบาเรียป้องกันไว้ได้
แต่ความแรงก็ยังทำให้ตัวของอาจารทาเคบะที่อุ้มบาจิอยู่ไถลออกไปไกลพอสมควร เกาะบาเรียแตกราวเป็นทางยาว
“ถ้ายังอุ้มบาจิอยู่แบบนี้จะกลายเป็นเราจะไม่รอดกันทั้งคู่แน่ๆ”
อาจารทาเคบะวางตัวบาจิลงไว้กับพื้น แล้วกางบาเรียห่อหุ้มตัวบาจิไว้อีกสองชั้น จากนั้นอาจารทาเคบะก็ล้วงมือลงเข้าไปในประเป๋าแล้วคว้าขนมขึ้นมายกเทใส่ปากเข้าไปอีกหนึ่งห่อ
หลังจากที่กินขนมห่อนี้เข้าไป ร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำแถมยังมีแขนงอกออกมาเพิ่มอีกสองแขน โดมบาเรียก็เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีดำ มันทำให้คนที่อยู่ภายในโดม ไม่สามารถมองเห็นได้ นอกจากตัวอาจารทาเคบะ เขายังสามารถมองเห็นทุกอย่างชัดเจน
“ไม่ได้ใช้พลังนี้มานานมากแล้วสินะ!!...“
“เข้ามาได้เลยโซ!!…”
สิ้นเสียงทั้งคู่ก็พุ่งทยานเข้าหากันด้วยความเร็ว แต่ครั้งนี้โซไม่สามารถสัมผัสถึงตัวอาจารทาเคบะได้เลย เขามองไม่เห็นตัวของอาจารทาเคบะ ทุกอย่างมันมืดสนิด โซได้แต่เหวี่ยงแขนไปรอบๆตัว ทางด้านอาจารทาเคบะเข้าโจมตีด้วยความเร็วอย่างต่อเนื่อง เขาโจมตีไปทั่วทั้งร่างกายของโซ ด้วยความเร็วที่เหนือชั้น แต่โซก็ยังสามารถยืนรับการโจนตีได้อย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ล้มลง
“สภาพร่างกายนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ ขนาดโดนการโจมตีต่อเนื่องแบบนี้ ก็ยังไม่สามารถทำให้เสียหลักได้เลย”
อาจารทาเคบะยังโจมตีต่อไปเลื่อยๆ การต่อสู้กินเวลานานพอสมควร จนตอนนี้ขาของโซเริ่มบาดเจ็บแล้วหนึ่งข้าง โซค่อยๆย่อขาลงไปนั่งชันเข่าพร้อมกับสงเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดออกมา อาจารทาเคบะได้หยุดการโจมตีลงและมองดูอาการของโซอยู่ห่างๆ
“เขาหายใจถี่รัวอย่างหอบเหนื่อย” ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีสภาพที่ไม่ต่างกันมากนัก
โซมีอาการบาดเจ็บที่ขาหนึ่งข้าง ส่วนอาจารทาเคบะเอง ก็แทบไม่เหลือแรงที่จะขยับตัวต่อไปแล้ว
”ทันเวลาสินะ“
มีเสียงแก่ๆเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโดมบาเรีย
อาจารย์ทาเคบะ พอได้ยินเสียงนี้ เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้ออออ! มาได้สักทีสินะ คุณครูใหญ่!!“
“สภาพนายดูแย่มากเลยนะ ทาเคบะ “
คุณครูใหญ่มาทันเวลาพอดี เขาจ้องมองไปยังโซที่นั่งชันเข่าอยู่กลางโดม ครูใหญ่ไม่รีรอ เขาหันไปพูดกับคุณครูสาวที่เดินตามหลังของเขา “ส่งอาหารของเธอมาหน่อยซิ โรส” ครูใหญ่รับจานจากมือครูสาว อาหารจานนี้ มีส่วนประกอบเป็นหนวดปลาหมึกขนาดใหญ่ ที่ถูกราดด้วยน้ำซอสสีเหลืองนวล
“ถ้าจะจับหมูป่าก็ต้องเป็นหนวดปลาหมึกยักษ์นี้ละ”
ครูใหญ่หยิบหนวดปลาหมึกยัดเข้าใส่ปาก พร้อมกับเคี้ยวมันด้วยความเอร็ดอร่อย หลังจากที่กัดกินเคียวหนวดชิ้นใหญ่จนหมด เขาก็ดูดน้ำซอส ที่เลอะนิ้วทั้งห้าทีละนิ้ว เสียงดูดแล้วดึงนิ้วออกด้วยความเร็ว มันชั่งไพรเรอะสะเหลือเกิน
ทันใดนั้นเอง ร่างครูใหญ่ ก็เปล่งแสงสีเหลืองอร่ามออกมา แขนของเขา เริ่มเปลี่ยนเป็นหนวดของปลาหมึกขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง พร้อมทั้งมัดกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ที่ขยายใหญ่ขึ้น เสียงของเสื้อผ้าฉีกขาด ต่อมาก็มีน้ำซอสสีเหลืองๆ ไหลออกมาเคลือบไว้ทั่วร่างกาย
ทันทีที่ร่างกายครูใหญ่ เปลี่ยนแปลงเสร็จสมบูรณ์ ครูสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ถึงกับอ้วกพุ่งออกมา ครูใหญ่หันหลังกลับไปตวาดเสียงใส่
“นี่เธอจะอ้วกมันทุกครั้งเลยรึไง!!”
“โทษทีค่ะ ผ.อ. ฉันยังไม่ชินกับมันสักที”
ขณะที่ทุกคนยืนคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ โซก็กลับมาลุกยืนขึ้นได้อีกครั้ง เหมือนตอนนี้ร่างกายของเขาจะรักษาบาดแผลจนหายได้แล้ว ทำเอาอาจารย์ทาเคบะตกใจอยู่ไม่น้อย ครูใหญ่ไม่รอช้า เขารีบกระโจนเข้าไปหาโซด้วยความเร็ว
ครูใหญ่ใช้มือที่เป็นหนวดปลาหมึกฟาดด้วยความแรงใส่ที่ลำตัวของโซ โซกระเด็นออกไปจนติดกำแพงบาเรีย แต่เขาก็ลุกกลับขึ้นมาด้วยความเร็วเช่นกัน ครูใหญ่ไม่รอให้โซตั้งหลักหลักได้ดี ครูใหญ่พุ่งเข้าไป!! เขากระหน่ำฟาดด้วยความแรงอย่างต่อเนื่อง
โซตอนนี้ทำได้แค่ตั้งรับไว้ โซยกแขนสองข้างขึ้นมาตั้งการ์ดกันเอาไว้ ครูใหญ่ยังคงฟาดอย่างต่อเนื่องต่อไป พร้อมทั้งยังปล่อยน้ำซอสสีเหลืองทิ้งไว้ทั่วสนาม โซเริ่มมองความเร็วของหนวดปลาหมึกออก เขารอจังหวะแล้วจากนั้นก็คว้ามันไว้ ทำเอาครูใหญ่ตกใจ แต่ด้วยความลื่นของน้ำซอสที่เคลือบหนวดปลาหมึกไว้ ทำให้ครูใหญ่สามารถรูดหนวดออกมาจากฝ่ามือของโซได้
“มันเริ่มตามความเร็วของเราทันแล้วสินะ”
ทั้งคู่พุ่งเข้าต่อสู้กันอีกครั้ง แต่ด้วยน้ำซอสที่เลอะอยู่เต็มพื้น ทำให้จังหวะที่โซใช้เท้าดีดตัว กลับกลายเป็นว่าเขาฟรีทิ้งอยู่กับที่ ครูใหญ่ใช้โอกาสนี้ฟาดหนวดปลาหมึกที่ห่อหุ้มพลังเวทเพิ่มเข้าไปฟาดใส่โซอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง คราวนี้พลังมันรุนแรงขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก
การฟาดทุกครั้งมันทำให้เกิดบาดแผลขึ้น โซกระเด็นไปทุกครั้งที่โดนฟาดครูใหญ่ก็พุ่งตามไปฟาดอย่างต่อเนื่องไม่มีช่องว่างให้โซได้ฟื้นฟูตัวเอง หลังจากที่โจมตีอย่างต่อเนื่องครูใหญ่ก็รีบสั่งให้อาจารย์ทาเคบะ ใช่บาเรียสร้างเป็นเครื่องพันธนาการ โซทันที
“จังหวะนี้แหละทาเคบะจับเขาเอาไว้”
อาจารย์ทาเคบะใช้บาเรียล็อกทุกส่วนของร่างกายโซไว้ ในที่สุดโซก็ถูกครูใหญ่และอาจารย์ทาเคบะล็อกตัวไว้สำเร็จ โซร้องขู่คำรามด้วยความโกรธ
“รุยเข้ามานี้หน่อย”
อาจารย์ใหญ่เรียกให้รุยเดินเข้าไปหา
“อาหารที่เธอปรุงนะ มันมีพลังเวทที่บิดเบี้ยวมหาศาลอยู่ เธอต้องเป็นคนคลายมันออก”
ครูใหญ่ชี้นิ้วไปทางโซ บอกให้รุยเดินเข้าไปสัมผัสตัวโซแล้วคลายพลังเวทที่กำลังครอบงำจิตใจของโซออก รุยเดินเข้าไปจับลงที่กลางหน้าอกของโซ
“แล้วผมต้องทำยังไงต่อ” รุยพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“จงสัมผัสให้ถึงพลังแก่นเวทย์สิ เพ่งสมาธิลงไปที่ฝ่ามือ หากสัมผัสก้อนพลังเวทขนาดใหญ่ได้แล้ว ให้เธอพูดว่าคลาย”
“คลาย..” หลังจากที่รุยพูดคำว่าคลายร่างกายของโซก็ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพกลับคืนเป็นร่างมนุษย์แบบเดิม อาจารย์ทาเคบะและครูใหญ่ก็ได้คลายพลังของตัวเองออกเช่นกัน หน่วยพยาบาลรีบวิ่งเข้ามาอุ้มตัวโซและบาจิ ไปทำการรักษาทันที
“ทุกคนจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ” รุยพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา เขารู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงดี…” ครูใหญ่พูดแล้วเดินจากไป
อาจารย์ทาเคบะเข้ามาจับที่ไหล่ของรุย พร้อมกับยิ้มให้เขา “ฉันเชื่อว่าทุกคนจะต้องปลอดภัยแน่นอน”
หลังเหตุการณ์ผ่านไปสองวัน รุยได้เข้าไปที่โรงพยาบาลเพื่อถามเรื่องอาการของโซและบาจิ
“คุณหมอครับ อาการของเพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ”
หมอได้เล่าอาการของบาจิให้รุยฟัง... บาจิอาการหนักพอสมควร กระดูกที่แตกหักนั้นรุนแรงมากเขาอาจต้องใช้เวลานอนรักษาตัวในโรงพยาบาลไปอีกเป็นเดือน แต่สิ่งที่หนักที่สุดเลยคือดวงตาทั้งสองข้างของบาจิ หมอไม่สามารถรักษาลูกตาของเขาได้เนื่องจากลูกตาได้หลุดออกมาเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อตาย บาจิจะต้องกลายเป็นคนตาบอดไปตลอดชีวิต
หลังจากที่รุยได้ฟังสิ่งที่หมอบอก น้ำตาก็ไหลออกมา “มันเป็นความผิดของผมเอง”
หมอยังได้เล่าถึงอาการของโซต่อ โซนั้นดูเหมือนจะแย่ไม่แพ้บาจิ ร่างกายของเขารับพลังงานอันมหาศาลเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์และต่อมรับพลังงานทุกส่วนในร่างกายใช้ความสามารถเกินขีดจำกัดไปหลายเท่า
ถึงเขาจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติแต่เขาจะไม่สามารถ เป็นร่างรับพลังงานได้อีกต่อ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แย่สุดๆ ของโลกนี้ การเป็นคนธรรมดาไม่ต่างอะไรจากการเป็นคนไร้ค่า
เพราะโลกนี้หากไม่มีพลังอะไรเลยก็จะถูกมองว่าไร้ประโยชน์ อนาคตของเขาจะไม่มีใครจ้างทำงาน จะไม่มีใครอยากคบหา และ คนที่ไร้พลังมักจะถูกต่อว่าและเอาเปรียบอยู่เสมอ
รุยช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน น้ำตาของเขาไหลออกมาไม่หยุด รุยได้แต่โทษตัวเองอยู่แบบนั้น จนอาจารย์ทาเคบะต้องมาพาตัวเขาออกไป
“เธออย่าโทษตัวเองไปเลยนะ เพราะทุกคนเขาสมัครใจในการสอบครั้งนี้ด้วยตัวเอง”
อาจารย์ทาเคบะลูบหัวรุยพร้อมปลอบประโลม เพราะไม่อยากให้รุยต้องโทษตัวเองอยู่แบบนี้
“มันเป็นเพราะผมนี้แหละ ถ้าผม...ฮือ..ฮื..อ...ถ้าผมไม่ทำอาหารให้โซกิน ทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้”
รุยวิ่งสติแตกหนีเข้าไปในป่า เขาทำใจไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ไม่เป็นอะไรนะลูก”
แม่เดินเข้ามาปลอบรุยที่กำลังนั่งเสียใจคนเดียว อยู่กลางป่า
“ผมจะเลิกเป็นคิงครับแม่”
รุยบอกกับคุณแม่และร้องไห้ออกมาไม่หยุด
“จะล้มเลิกการเป็นคิงเพียงเพราะเรียงแค่นี้อย่างงั้นเหรอเจ้าหนู”
เสียงของชายแกที่เดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ เมื่อเงาจากต้นไม้ค่อยๆ เคลื่อนออกไปก็เผยให้เห็นร่างของครูใหญ่ คุณครูใหญ่เดินเข้ามาหารุยพร้อมกับให้ข้อคิดรุย
“ถ้าเธอยอมแพ้ ก็เท่ากับสิ่งที่เพื่อนยอมเสียไปต้องสูญเปล่านะสิ”
“การที่ทุกคนยืนหยัดที่จะต่อสู้ด้วยอาหารของนาย ก็เพราะว่าเขาเชื่อใจในตัวนายไม่ใช่รึไง”
“ครูใหญ่....ฮือ...อ...” รุยกลั้นใจปาดน้ำตาบนหน้าออก
“ผมจะแข็งแกร่งขึ้นครับ ผมจะต้องปกป้องเพื่อนของผมและหมูบ้านนี้ไว้ให้ได้”
หลังจากที่รุยได้คุยกับครูใหญ่เขาก็มีเป้าหมายในการเป็นคิงต่อไป เพื่อที่จะปกป้องเพื่อนของเขา และ ทุกคนที่รุยได้คิดว่าตัวเองทำร้ายไป รุยจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากกว่านี้
“ว่าแต่... ฉันขอดูกระทะของเธอหน่อยได้ไหม?”
ครูใหญ่ต้องการตรวจสอบดูกระทะที่รุยใช้ รุยส่งมันให้กับเขา หลังจากที่ครูใหญ่ได้สัมผัสและพลิกดูไปมา เขาก็รู้ได้ทันทีว่ากระทะใบนี้มันผิดปกติ “เธอใช้กระทะใบนี้มานานแค่ไหนแล้วละเนี่ย” ครูใหญ่ถามด้วยความสงสัย
“ผมได้รับมันต่อมาจากคุณพ่อนะครับ”
กระทะใบนี้ พ่อของรุยได้ส่งต่อมันให้เขา มันเป็นกระทะที่มีความเก่าพอสมควร รอบๆ ตัวกระทะ ก็มีแต่รอยบุบจากการใช้มานานมากมาย ทำให้ครูใหญ่รู้ได้ในทันทีที่สัมผัส
“กระทะของเธอมันใช้ไม่ได้แล้วนะเจ้าหนู”
ครูใหญ่อธิบายว่า กระทะของรุยนั้นมีทั้งรอยบุบ รอยรั่วมากมายไปหมด มันทำให้พลังเวทที่ปรุงลงไปในอาหาร บิดเบี้ยว เกิดความไม่เสถียรขึ้นและผิดเพี้ยนไปหมด หากผู้รับพลังงาน กินอาหารที่มีพลังเวทบิดเบี้ยวเข้าไปอาจเกิดอาการคลุ้มคลั่งได้ ยิ่งผู้ที่ปรุงอาหารมีพลังเวทมหาศาล ความบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งทวีคูณจนเกินความควบคุม
“ฉันมีเพื่อนที่ตีกระทะเก่งๆ อยู่คนหนึ่ง แต่เขาอยู่ห่างออกไปคนละหมู่บ้านนะ”
คุณครูใหญ่แนะนำและส่งแผนที่ให้กับรุยดู หมู่บ้านของเพื่อนครูใหญ่ดูเหมือนจะอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร ครู่ใหญ่ให้รุยคุยกับคุณแม่เพื่อตัดสินใจ หากเขาต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น รุยจำเป็นจะต้องมีกระทะที่ดี
“ผมไปได้ใช่ไหมครับแม่?”
สายตาเจ้าหนูรุยกลับมาดูมุ่งมั่นขึ้นอีกครั้ง เขาจ้องมองยังใบหน้าของคุณแม่ที่แสนจะเป็นห่วงลูก แต่ด้วยแววตาของรุยนั้น มันทำให้คุณแม่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ดูแลตัวเองด้วยนะลูก”
คุณแม่กล่าวคำลาพร้อมกับน้ำตาที่ซึมออกมาเบาๆ
รุยได้เตรียมตัวออกเดินทางไปยังหมู่บ้านของช่างตีกระทะ แต่เขาได้ออกไปคนเดียวเนื่องจากคุณแม่ได้ขอร้องให้ครูใหญ่หาคนเดินทางไปกับรุยด้วยอีกคน ครูใหญ่จึงได้ส่ง หลานชายจอมขี้เกียจของเขาไป
การเดินทางในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รุยได้ออกไปนอกหมู่บ้าน เขาดูตื่นเต้นกับมันมากๆ
“ไปกันเถอะเจ้าทึ่ม”
เสียงของหลานชายครูใหญ่ตะโกนบอกรุย จากนั้นทั้งคู่ก็ได้ออกเดินทาง........
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!