ณ ดินแดนชมพูทวีปสมัยพุทธกาล บริเวณชายขอบป่าลึกลับ " ป่าหิมพานต์ " ได้มีมนุษย์หญิงสาวชาวบ้านนามว่า " บัว " พลัดหลงเข้าไปบริเวณชายขอบป่านี้ ซึ่งเต็มไปด้วยภยันอันตรายจากปีศาจอสูรกาย แต่ทว่าหญิงสาวหาได้ทราบไม่....
ื " แฮ่กๆ..ๆ....ๆ....ๆ " หญิงสาววิ่งกระเสือกกระสนพลางกอดตะกร้าที่ใส่ผักผลไม้และสมุนไพรป่าไว้อย่างแนบแน่น พลางตะโกนขอความช่วยเหลือ " ช่วยด้วย! ผู้ใดก็ได้ช่วยข้าที! " หญิงสาววิ่งหน้าตาตั้ง เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ยเพราะขวากหนาม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ซ้ำร้ายยังวิ่งไปสะดุดรากของต้นไม้ใหญ่จนล้มลงไป พวกอสูรกายอำมหิตเหล่านั้นพุ่งเข้ามาประชิดแล้ว หล่อนได้แต่กรีดร้องหลับตาแน่นก้มหน้าลง...
" แคว่ก..แคว่กกก! " อสูรกายอำมหิตได้กางกรงเล็บข่วนลงไปบนแผ่นอกของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เข้ามาขวางหน้าหญิงสาวได้ทันเวลา แต่ท่านผู้นั้นกลับหาใช่มนุษย์ไม่ อมนุษย์ชายผู้มีเรือนผมยาวดำสนิทเงางาม ทว่ากลางหลังมีปีกนกสีแดงชาด ความตระหนกตกใจผสมกับอาการเหนื่อยหอบทำให้บัวสลบลงไป...
" อสูรกายชั่วช้า! บังอาจมาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ บัดนี้ชะตาเอ็งได้ขาดเป็นแท้แล้ว! " ชายหนุ่มพูดพลางกางกรงเล็บนกกระโดดตะครุบและฉีกอสูรกายเป็นชิ้นๆ เงาทมิฬที่เหลือจึงอันตรธานหายไป ชายหนุ่มยืนกุมบาดแผลที่อสูรกายต่ำช้าฝากไว้ที่แผ่นอก " หากมิเร่งรักษา คงเกิดพิษแก่เราเป็นแน่แท้ " ชายหนุ่มรำพึงรำพัน " รีบเร่งกลับไปรักษาที่รังไม้ใหญ่จักเป็นการดี " พูดพลางประคองหญิงสาวพร้อมกระพือปีกใหญ่บินขึ้นเหนือต้นไม้ขึ้นไปในอากาศ และเข้าไปในป่าหิมพานต์อันเป็นเขตอาศัย
ภายในป่าหิมพานต์นั้นมีพืชและผักผลไม้นานาพรรณ ทั้งสัตว์น้อยใหญ่ที่ล้วนแปลกหูแปลกตาไม่เหมือนกับป่าในเขตแดนมนุษย์ " ฎัณธี " ชายหนุ่มครึ่งคนครึ่งครุฑกระพือปีกบินผ่านสระน้ำกว้างใหญ่ ภายในสระมีดอกบัวหลากสีสันสวยงาม มีผึ้งภมรตอมไต่กลางเกสร มีใบบัวขนาดมโหฬารขนาดสิบคนยืน อีกทั้งยังมีปลาน้อยใหญ่สีสันวิจิตรตระการตา แหวกว่ายในธาราอย่างสำราญตามธรรมชาติ
หนทางเบื้องหน้าพบต้นไม้ใหญ่ขนาดยักษ์ดูเด่นสะดุดตา ตั้งตระหง่านท่ามกลางธรรมชาติอันแสนงดงามชมแล้วมิเบื่อ ฎัณธีกระพือปีกบินพุ่งขึ้นไปด้านบนยอดไม้ของต้นไม้ใหญ่ ปรากฏเป็นที่พักโอ่อ่า ราวกับมิใช่ที่สำหรับอมนุษย์ใช้อาศัย พื้นทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม หลังคาก็ใช้ไม้แบบเดียวกัน ด้านบนหลังคาปกคลุมไปด้วยใบไม้จนมิด กลางห้องมีเตียงไม้ขนาดสองคนนอน มีม่านที่ถักทออย่างวิจิตรกั้นข้างเตียง มีตั่งไม้ขนาดย่อมปูพื้นด้วยพรมตั้งอยู่ปลายเตียง ภายในห้องมิได้ประดับประดาด้วยทรัพย์ศฤงคารอันใดมากนัก
ฎัณธีประคองหญิงสาววางบนลงเตียงไม้ พลางปลดตะกร้าสมุนไพรของหล่อนออกวางไว้ด้านข้าง จึงเดินไปเปิดดาลหน้าต่างที่ขัดไว้ออกให้ลมได้หมุนเวียนเข้ามา แสงภายในห้องจึงสว่างขึ้น ฎัณธีทรุดตัวลงนั่งบนตั่งไม้ปลายเตียง " บัดนี้ข้าจักต้องเร่งฟื้นพลังเวท โคจรรักษาลมปราณภายในกาย พิษบาดแผลจักได้มิกำเริบ " สองมือวางบนเข่าพลางหลับตาลง....
ฎัณธีเคลื่อนการไหลเวียนของลมปราณภายในร่างกายรวบรวมไว้ที่ใต้ลิ้นปี่ หูสดับฟังเสียงธรรมชาติ กายสัมผัสลมพัดแผ่วเบาทำให้ผ่อนคลาย ปรากฏแสงสีขาวจางๆบริเวณใต้ลิ้นปี่เล็กน้อย บัดนี้พิษภายในร่างกายสลายไปหมดแล้ว ทว่าบาดแผลยังคงลึกอยู่
ฎัณธีลืมตาออกจากข่ายสมาธิ " เห็นทีต้องชำระร่างกายสักหน่อย " ชายหนุ่มรำพันในใจ
ฎัณธีลุกเดินไปยืนที่หน้าประตู พลางสยายปีกถลาลงไปยังสระน้ำกว้างใหญ่ด้านล่าง มองดูน้ำนิ่งภายในสระนั้นสีใส มองเห็นปลาฝูงน้อยๆหลากสี พวกปลาใหญ่และเหล่าดอกบัวกระจุกอยู่กึ่งกลางสระอีกทั้งยังมีพวกที่กระจายออกไป
" ตู้มมมมมมม! " เสียงที่ดังสนั่นพร้อมน้ำที่กระเซ็นเป็นวงกว้าง ปรากฏภาพเป็นมัจฉวาฬที่ปกติอาศัยอยู่ในน้ำลึกลงไปห้าเส้น (ร้อยวา) ผู้ที่สร้างเสียงให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่เบนความสนใจจากสิ่งตรงหน้า
" วันนี้เหล่าพวกพ้องนั้นยังครึกครึ้นเช่นเดิม " ฎัณธีรำพึงในใจพลางยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วจึงกวาดสายตามองหาใบบัวขนาดพอเหมาะสักใบแล้วย่อตัวลงนั่งชำระร่างกาย
กลับไปที่ทางฝั่งของบัว หญิงสาวนอนสะลึมสะลือค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น แม้จักงุนงงว่าตนมานอนที่ตรงนี้ได้อย่างไร แต่ก็หลับตางัวเงียต่อด้วยเป็นคนค่อนข้างขี้เซา ทั้งยังหาวปากกว้างชนิดที่ว่าแมลงวันบินเข้าไปได้หลายสิบตัว
สาวน้อยทำตาเบิกโพลงสะดุ้งลุกขึ้นนั่งบนเตียง เพราะเพิ่งระลึกได้ว่าตนวิ่งหนีอสูรกายจนหืดหอบแล้วสะดุดล้มลงสลบไป
" แต่....คลับคล้ายคลับคลาว่ามีท่านหนึ่งมาช่วยเราไว้ " บัวขบคิดพลางเอียงคอฉงน " คล้ายว่าท่านผู้นั้นจักเป็นอมนุษย์...ปีกสีแดงชาดนั่น..." เมื่อไขข้อข้องใจได้แล้ว สาวน้อยช่างสงสัยจึงเดินสำรวจรอบห้อง แล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตู
บัวยืนนิ่งอึ้งกับทิวทัศน์ตรงหน้าราวกับฝัน ขุนเขาบรรพตขนาดน้อยใหญ่สลับเรียงราย สีสันงดงามช่างต่างจากสามัญสำนึกของมนุษย์ บางลูกงามสว่างไสวราวกับแก้วมณี บางลูกเป็นสีโกเมนดังผลพลับสุก บางลูกนั้นงามราวกับมรกตสดใส บางลูกงามดังทับทิมวิไลตระการตา ตัดกับสีท้องนภาอันสว่างไสวราวกับมิเคยมียุคอนธกาล
มองไกลไปเหนือบรรพตหลากสีสัน พบฝูงนกน้อยใหญ่บินลอยอยู่บนฟ้า นกฝูงหนึ่งมีลำตัวขนาดใหญ่เท่าเกวียนหนึ่งคัน สีสันของพวกมันช่างวิจิตรพิศดารยิ่งนัก หงอนขนาดใหญ่อยู่บนศีรษะ จงอยปากแหลมดุจเคียวเกี่ยวข้าว ปีกกว้างยาวราวสองวา ขนหางนี้หนางอนชดช้อยหลากสีสัน กรงเล็บคู่นั้นดูท่าจะตะครุบช้างได้สักเชือก บัวยืนเหม่อลอยรำพัน
สาดสายตามองกว้างไปอีก พบวิมานขนาดย่อม มีที่ปลูกตามตีนภูเขาบ้าง อยู่แซมเจาะไปข้างในภูเขาบ้าง สลับประปรายกันไป มีคนธรรพ์บรรเลงเพลงชวนให้เคลิบเคลิ้มในอารมณ์ ทั้งยังมีวิมานบนต้นไม้ขนาดเล็กขนาดใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าวิหคนานาพันธุ์ ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วเคล้าไปกับเสียงดนตรีของเหล่าคนธรรพ์
" ฟู่วววววว..." ลมพัดแผ่วเบาทำให้บัวฟื้นขึ้นจากภวังค์ มองลงไปเบื้องล่างของต้นไม้ใหญ่ที่บัวยืนอยู่นั้น ปรากฏเป็นภาพสระน้ำขนาดใหญ่ กว้างยาวราวด้านละสามเส้น
บัวย่อตัวลงพลางเพ่งตามอง " เอ๋...นั่นท่านผู้มีพระคุณท่านนั้น..." บัวมองลงไปเห็นฎันธีที่กำลังเล่นน้ำแลดูสนุกสนานตามประสานก พลางรำพึงในใจว่าช่างเป็นภาพที่งดงามหาชมยากยิ่งนัก...
ทางฝั่งของฎัณธีเมื่อชำระล้างร่างกาย แล้วเล่นน้ำจนพอสำราญฤทัยเสร็จแล้ว จึงสยายปีกบินพุ่งขึ้นบนวิมาน " รังไม้ใหญ่ " ขึ้นไปพบสาวน้อยที่กำลังนั่งทำตาเบิกโพลงราวไข่ไก่ ใบหน้าจื้มลิ้มนั้นยังมอมแมมไปด้วยเศษฝุ่น เป็นภาพที่ชวนน่าขันยิ่งนัก
" ตื่นแล้วฤา? " ฎัณธีถามพลางอมยิ้มเล็กน้อย
" เจ้าวิ่งหนีอสูรกายแล้วสิ้นสติลงไป ข้าจึงพาเจ้ากลับมาด้วยกัน ด้วยบริเวณชายป่านั้นเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายแลอสูรกาย " ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงทุ้มทว่าอ่อนโยน
บัวลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่วายตกตะลึงกับบุรุษตรงหน้า ชายหนุ่มหล่อเหลาหน้าคมเข้ม คิ้วคมขนตาหนาเป็นแพ แววตาสีดำประกายแดงลึกทว่าอ่อนโยน จมูกโด่งราวเทพบรรจงปั้น ปากหนารับกับจมูก ผมยาวหยักศกสีดำมันนิลสยายพริ้วเล่นกับลมที่พัดมาแผ่วเบา หากสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นปีกวิหคสีแดงชาด คาดคะเนแล้วยาวด้านละครึ่งวา แม้จะลู่ลงคล้อยต่ำอยู่ ก็ยังดูกว้างมากนัก
" ข..ข..ข...ขอบใจมากเลยนะเจ้าคะ! " บัวกล่าวด้วยท่าทีลนลานพลางทรุดตัวลงไปกราบแทบเท้า น้ำตารื้นอยู่ที่เบ้า นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าแล้วยังอกสั่นขวัญแขวนมิหาย
" มิเป็นไรดอก... ลุกขึ้นเถิด " ฎัณธีพูดพลางประคองไหล่ของบัวให้ลุกขึ้น ใช้นิ้วยาวปาดน้ำตาบนขอบตาให้
" ข..ข้าชื่อบัว หมู่บ้านข้า...ย..อยู่ตีนภูเขาด้านล่าง วันนี้เข้าป่ามาเก็บสมุนไพร เกิดเรื่องมากมายจึงได้พบกับท่าน ขอให้ข้าได้ตอบแทนพระคุณท่านสักเรื่องนึงเถิดเจ้าค่ะ " ดวงตากลมโตส่งสายตาอ้อนวอน
" งั้นเจ้ามีความรู้ด้านสมุนไพรฤาไม่? เห็นเก็บมามากมายเพียงนี้ "
" ได้เจ้าค่ะ ท่าน..เอ่อ...? " สาวน้อยเอียงคอสงสัย
" ข้ามีนามว่า ฎัณธี "
" เจ้าค่ะ! ท่านฎัณธี ขอข้าไปเตรียมสมุนไพรให้สักครู่นะเจ้าคะ! "
บัวพูดพลางกุลีกุจอคัดแยกสมุนไพรในตะกร้าที่ตนเก็บมา เมื่อได้ตัวที่ต้องการแล้วจึงนำไปล้างน้ำแล้วบดให้ละเอียด แล้วจึงนำไปพอกบาดแผลให้ฎัณธีที่นั่งรออยู่บนเตียง
สาวน้อยนั้นค่อนข้างประหม่า ด้วยความที่ตนนั้นเป็นหญิง จึงมิเคยได้ใกล้ชิดกับชายใด ซ้ำยังเป็นบุรุษรูปงามนามก็เพราะ พวงแก้มอ่อนจึงแดงดั่งลูกตำลึงสุกอย่างเห็นได้ชัด
" ส..เสร็จแล้วเจ้าค่ะ " บัวพูดเสียงเบาพลางถอยห่างออกมาเล็กน้อย
" เจ้าดูเชี่ยวชาญการรักษาคนจริงเชียว "
" แท้จริงแล้วตระกูลข้าเป็นหมอสมุนไพร ได้รักษาชาวบ้านมาหลายชั่วอายุคน ข้าจึงได้ร่ำเรียนสรรพคุณยามาพอสมควร แต่ยังมิเคยได้รักษาคนจริงสักครั้ง ค่อยแต่เป็นลูกมือช่วยพ่อรักษาคนไข้ข้างๆตลอดเจ้าค่ะ " บัวพูดพลางยิ้มอ่อนหวาน
" อืม เป็นเช่นนั้นข้าคงมีวาสนาโดยแท้ ได้เจ้ารักษาให้เป็นคนแรก " ฎัณธีกล่าวด้วยสายตาอ่อนโยน " ขอบใจเจ้ามาก "
" เอ่อ...ณ เพลานี้ข้าอยู่ที่ใดฤาเจ้าคะ? "
" เพลานี้เจ้าอยู่ที่ป่าหิมพานต์ วิมานนี้เป็นวิมานที่ข้าอาศัยอยู่ "
" หากแต่ตามความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ธรรมดาที่จักเข้ามาใกล้ชายขอบป่าหิมพานต์ หรือเข้ามาในป่าหามีไม่ เว้นเสียแต่ผู้มีอภิญญาสูงเช่นเหล่าฤาษี เจ้าหลงเข้ามาได้เยี่ยงไรข้ายังไม่แจ้งใจให้แน่ชัด " ฎัณธีกล่าวพลางขมวดคิ้ว
" ข..ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ข้าเดินเก็บของป่า สักพักบรรยากาศในป่าจากที่สว่างมีเสียงนกกา พลันเปลี่ยนไปอึมครึมไร้แม้แต่เสียงจิ้งหรีด จนได้พบเจอกับเหล่าปีศาจเจ้าค่ะ " สาวน้อยพูดพลางทำหน้าหงอย
" ฉนั้นวันพรุ่ง ข้าจักไปถามท่านฤาษีอาจารย์ข้าละกัน เจ้าจักไปด้วยฤาไม่? "
" ไป! ไปเจ้าค่ะ! " สาวน้อยกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น " ขอข้าเดินชมป่าด้วยนะเจ้าคะ! "
" ย่อมได้ หากเจ้าปรารถนา จักได้ให้เจ้าสำราญก่อนพาไปส่งบ้าน " ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยน
" ขอบใจในน้ำใจไมตรีนะเจ้าคะ! " บัวยิ้มแก้มปริดูท่าร่าเริง แม้ใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่น กลับสะท้อนเข้าไปในดวงใจของฎัณธีทำให้เต้นระบำดั่งกลอง โดยเขาไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะสาเหตุใด....
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงโรยราหลังภูเขา สาวน้อยได้ลงมาล้างหน้าล้างตาเสียที ระหว่างที่เหม่อมองสระน้ำตรงหน้า ฎัณธีที่เพิ่งกลับจากไปเก็บผลไม้ในแดนมนุษย์มาไว้สำหรับเป็นอาหารของบัวก็มาถึง
ดวงจันทร์โผล่พ้นมาให้ยลโฉม แสงจากโคมไฟสาดส่องกระทบผนังไม้ในห้องดูวังเวง บัวยืนชมทิวทัศน์อยู่ริมหน้าต่าง ดวงจันทร์ที่ป่าหิมพานต์นั้นแสงสีนวลสุกสกาวงดงามยิ่งกว่าแดนมนุษย์ ชวนให้จ้องมองโดยไม่หน่ายหนี
" เข้ายามราตรีแล้ว เจ้าจงไปพักผ่อนเสียเถิด " ฎัณธีที่มายืนกอดอกชมจันทร์ด้านหลังบัวอยู่เงียบๆได้เอ่ยขึ้นมา ทำให้สาวน้อยสะดุ้งหันกลับไปมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังส่งยิ้มให้
" ราตรีนี้ข้าจักทำสมาธิถึงรุ่งสาง เช้าตรู่วันพรุ่งข้าจักพาเจ้าไปกราบพระดาบสอาจารย์ข้า "
" ด..ได้เจ้าค่ะ " บัวพูดพลางรีบจ้ำเดินออกมาจากหน้าต่าง ฎัณธีจึงไม่ทันสังเกตุเห็นว่าสาวน้อยเขินอายหน้าแดงเท่าใด
ดวงจันทร์ลอยคว้างอยู่กลางนภา สาวน้อยหัวถึงหมอนเพียงครู่เดียวก็หลับปุ๋ย ฎัณธีนั่งทำสมาธิอยู่บนตั่งไม้ปลายเตียง ราตรีนี้เงียบสงัดจนสดับได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเข้าออก
แม้อากาศค่อนข้างเย็นแต่บริเวณรอบกายของฎัณธีนั้นอุ่นได้ด้วยเพราะธาตุไฟภายในกายถ่ายเทออกมา
" ฎัณธี " อมนุษย์หนุ่มน้อยซึ่งจุติมาได้ ๕๐๐ กว่าปี ทำหน้าที่ปกปักรักษาอาณาบริเวณขอบชายป่าหิมพานต์ มีฤาษีอาจารย์นามว่า " พระสุบัณฏฤาษี " คอยอบรมสั่งสอนภาษา ศิลปวิทยาการแขนงต่างๆแก่ฎัณธี เดิมก่อนออกบวชฤาษีเป็นเจ้าผู้ครองนครเมืองๆหนึ่ง ภายหลังสละราชสมบัติเพื่อออกบวช ฝึกฝนปฏิบัติ พเนจรเรื่อยมาจึงได้อาศัยอยู่ ณ ป่าหิมพานต์ เป็นที่เคารพบูชาของเหล่าอมนุษย์แลสัตว์วิเศษทั้งหลาย
แสงอรุณโผล่พ้นยอดเขาพร้อมกับเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าสรรพสัตว์ บ่งบอกว่าเช้าวันใหม่ได้มาบรรจบอีกครา ลมเย็นสบายพัดผ่านทำให้หนุ่มสาวทั้งสองลืมตาตื่นขึ้นจากภวังค์
สาวน้อยเหยียดแขนทั้งสองบิดขี้เกียจพลางหาววอด แล้วจึงนั่งเหม่อมองแผ่นหลังกว้างของบุคคลตรงหน้า
" ตื่นกันแล้วก็ล้างหน้าล้างตาเสียเถิด " ฎัณธีพูดโพล่งขึ้นมาทำให้บัวหยุดมองแผ่นหลังกว้างนั้น " เช้าตรู่นี้เราจักไปกราบท่านดาบสกัน " ว่าแล้วชายหนุ่มก็รุดมาอุ้มประคองบัวลงไปสระน้ำด้านล่าง
" ท่านดาบสอยู่มิได้ไกลจากสถานที่นี้มากนัก เดินสักชั่วครู่หนึ่งคงถึงอาศรม "
" เจ้าจับมือข้าไว้เถิด อาจจักเกิดอันตรายได้ทุกเพลา อยู่ใกล้ชิดกันไว้จักได้อุ่นใจ " ฎัณธีพูดพลางยื่นมือหนามาจับมือน้อยๆของบัวไว้ แม้สาวน้อยจะมีท่าทีกระดากเขินอายทว่ามิได้ขัดขืน แล้วย่างเท้าเดินตามโดยมิได้รีรอ
สายตาชมคน ชมนกชมไม้เบื้องหน้า คิดแล้วคล้ายว่าเรานั้นดั่งมดตัวจ้อย พรรณไม้สูงชะลูดเสียดฟ้า เสียงธารากระทบโขดหิน เสียงนกน้อยใหญ่ขับร้องเพลงก้องกังวาล ผลไม้สีทองอร่ามแปลกตาลูกใหญ่เท่าโอ่งดิน นกยักษ์ที่เห็นเมื่อวันวานนั้นต่างกำลังจิกกินชวนน่าประหลาดใจ
เดินเหม่อลอยชมทิวทัศน์อย่างเพลิดเพลิน สาวน้อยเดินไปสะดุดเข้าที่รากของต้นไม้ทำหัวเกือบทิ่ม เป็นภาพที่ชวนขบขัน
" ฮ่าๆๆๆๆ เจ้านี่มันซุ่มซ่ามจริงเชียวบัว หากข้ามิได้ดึงมือเจ้าไว้คงล้มหน้าคะมำเป็นแน่แท้ " ฎัณธีหัวเราะร่าตัวโยนเพราะใบหน้าของบัวที่ดูเหลอหลา ทำให้สาวน้อยก้มหน้าอมยิ้มอย่างเขินอาย พวงแก้มนั้นแดงก่ำดั่งดอกชบาบาน
" เดินกันต่อเถิด อีกสักครู่คงถึงแล้ว "
" จับมือข้าไว้แน่นๆละกัน เดี๋ยวเผลอไปสะดุดหินก้อนน้อยๆตรงไหนอีก หึหึหึ " ฎัณธีเอ่ยพลางมิวายอมยิ้มแล้วจ้องมองไปในแววตาใส
ผิวอ่อนสีน้ำผึ้ง ดวงตากลมโต สีตางามราวน้ำตาลเชื่อม คิ้วบางเล็กโค้งรับกับดวงตา ปากบางชมพูระเรื่อดั่งกลีบบัว พวงแก้มอ่อนสีแดงระเรื่อรับกับจมูกที่ช่างพอดีกับใบหน้า
ฎัณธีเกิดมาหลายร้อยปีมิเคยได้ใกล้ชิดหญิงงามผู้ใด ทำให้ใจของชายหนุ่มสั่นระรัวดั่งกลองมะโหระทึกอีกครั้ง ฎัณธีรีบหลบสายตาจากดวงหน้าของบัว ราวกับว่าถ้าชมต่ออีกสักนิดคงได้เผลอจุมพิตเข้าที่ปากบางนั้นเป็นแน่
" เดินใกล้ถึงแล้ว " ฎัณธีกุมมือน้อยไว้แน่นเพราะเขินอายจนลืมตัว จิตใจเริ่มคุกกรุ่นด้วยอารมณ์แห่งความรัก
มองไปเบื้องหน้าปรากฏภาพกระท่อมที่สร้างจากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าแฝกสามชั้น ด้านในมีดาบสเฒ่ารูปหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ กายสวมอาภรณ์ทำจากหนังเสือ บนคอห้อยสร้อยลูกประคำสีดำสนิท หนวดเคราสีดอกเลายาวเฟื้อยเลื้อยถึงท้อง ผิวกายสีคล้ำเหี่ยวย่นชวนให้สะพรึงเล็กน้อย
" กราบท่านอาจารย์สุบัณฏขอรับ " ฎัณธีพูดพลางย่อตัวลงกราบพระดาบส บัวงุนงงเล็กน้อยแล้วกุลีกุจอลงกราบพระดาบสเช่นเดียวกัน
สุบัณฏฤาษีลืมตาออกจากฌาณสมาธิ สายตาสีดอกเลาที่ฝ้าฟางจากความแก่ชรา หรี่ตามองสองคนตรงหน้า
" ฎัณธี เพลาเช้าเช่นนี้พาลิงกังตัวจ้อยมาด้วยเหตุอันใดฤา?"
" มนุษย์เจ้าค่ะ! มิใช่ลิงกังที่ไหน มนุษย์ตัวเป็นๆเลยเจ้าค่ะท่านดาบส! " แม่บัวพูดโพล่งแก้ตัวพัลวันเรียกเสียงขบขันจากบุรุษทั้งสองดังก้องป่า
" ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ สายตาข้าฝ้าฟางมองพลาดเสียแล้ว " ดาบสที่ดูท่าทางอัธยาศัยดีกล่าวพลางหัวเราะร่า " เพลานี้พากันมาหาข้ามีเหตุอันใดฤา
"กราบเรียนพระอาจารย์ ที่หลานมาหาเพลานี้นั้นใคร่อยากจักทราบว่า เหตุใดแม่นางน้อยชาวมนุษย์ผู้นี้ถึงได้พลัดหลงมาตรงขอบชายป่าหิมพานต์ได้ขอรับ? "
สุบัณฏฤาษีมองหน้าบัว มิเอ่ยวาจาใด พลางหลับตาเข้าไปในฌาณสมาธิอีกครั้ง ทำให้รอบข้างกลับสู่ความเงียบสงัด
สักครู่นึงจึงลืมตาขึ้นมา พลางเอ่ยถาม
" อีหนู เจ้านามว่าอันใด อายุอานามเท่าไหร่ บ้านช่องอยู่แห่งหนใดฤา?"
" ข้าน้อยมีนามว่าบัว อายุย่างเข้า ๑๙ ขวบปี เป็นชาวมอญเมืองสุธรรมวดี ตั้งอยู่ที่ดินแดนสุพรรณภูมิเจ้าค่ะ "
" กระนั้นรึ ดินแดนสุพรรณภูมิอยู่ห่างจากป่าหิมพานต์ไกลโข การที่เจ้าพลัดหลงภพมิติเข้ามาได้เช่นนี้คือเจ้านั้นมีบุญญาธิการ แลจิตที่ละเอียดอ่อนยิ่ง ประกอบด้วยบุพกรรมชักนำพามาให้พบกับหลานข้า ณ ที่แห่งนี้ "
สองหนุ่มสาวได้ฟังแล้วต่างตกใจมองหน้า พลางหลบตาเขินอายมิพูดอันใด
" ดินแดนสุพรรณภูมิตั้งอยู่ทิศอาคเนย์ ฎัณธีเจ้าออกจากป่าหิมพานต์ไปส่งนังหนู สักเจ็ดวันเจ็ดคืนคงถึงที่หมาย "
" หลานรักเอ๋ย แดนมนุษย์ข้างนอกป่าหิมพานต์นั้นมีมนุษย์บางจำพวกจิตใจดุร้ายเสียยิ่งกว่าสัตว์ดิรัจฉาน เจ้าจงมีสติรักษาตนให้พ้นจากเภทภัย จงดูแลนังหนูนี่ให้ดี ภายภาคหน้าพวกเอ็งจักต้องพึ่งพาอาศัยกัน "
" ระหว่างที่เจ้าไปส่งนังหนู ข้าจักให้ผู้อื่นมารับหน้าที่ทำแทนเจ้า อย่าได้พะเว้าพะวงเรื่องใด ไปเสียเถิด "
" ขอรับท่านอาจารย์ " ฎัณธีพูดพลางกราบลาพระฤาษี แล้วจูงมือพาแม่บัวเดินออกไป
สุบัณฏฤาษีคำนึงในใจ หนทางข้างหน้าเจ้าทั้งสองจักได้พบเรื่องราวมากมายทั้งสุขแลทุกข์ ขอให้ใจรักมั่นกันไว้ด้วยดี.....
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!