เรามักทำร้ายคนที่เรารักบ่อยกว่าทำร้ายคนที่เราเกลียด นี่คือเรื่องจริง เชื่อสิผมรู้ดี พ่อกับแม่บอกเสมอว่ารักผม แต่ความรักของพวกเขากลับทิ้งแผลใจเอาไว้ให้ผมอย่างเจ็บแสบ
เช้าวันแรกของการเปิดเทอม ผมนั่งอยู่แถวหน้าในห้อง ม.1/3 มองดูรอยขีดเขียนบนโต๊ะไม้เก่าที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ผมไม่ได้เลือกที่นั่งตรงนี้เพราะอยากเป็นเด็กเรียนดีหรอกนะ แต่เพราะส่วนสูงของผมเตี้ยกว่าคนอื่น ๆ ครูเลยจับให้มานั่งหน้าห้อง
เสียงชอล์กขีดเขียนบนกระดานดำดังแกรก ๆ ผมพยายามตั้งใจฟังที่ครูสอน แต่พัดลมเพดานที่กำลังหมุนเอื่อย ๆ ส่งเสียงครืดคราดเหมือนจะขาดใจจนน่ารำคาญ
เฮ้อ… ถ้าผมได้เข้าโรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ ทุกอย่างคงดีกว่านี้ ได้ยินว่าตึกเรียนที่นั่นสะอาดสะอ้าน มีสนามฟุตบอลกับอัฒจันทร์อย่างใหญ่ ห้องเรียนก็ทันสมัยพร้อมแอร์เย็นฉ่ำ ไม่เหมือนที่นี่ โรงเรียนมัธยมวัชรโยธินที่เต็มไปด้วยของโบราณ โต๊ะเรียนมีแต่รอยขีดเขียนสะเปะสะปะ ผนังเปื้อนคราบสกปรก และพัดลมที่ใกล้จะพัง
ผมยังจำวันนั้นได้ดี วันที่ผลสอบเทอมสุดท้ายของชั้น ป.6 ออกมา ผมดีใจมากเพราะสอบได้ที่หนึ่ง และพ่อกับแม่สัญญาว่าถ้าผมทำได้ พวกเขาจะให้ผมเรียนต่อที่เซนต์ปีเตอร์ โรงเรียนสุดหรูที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด
วันเกิดปีที่สิบสามของผมมาถึงพร้อมกับเค้กก้อนใหญ่บนโต๊ะ แต่บรรยากาศกลับเย็นชาเกินกว่าจะเป็นวันพิเศษ แม่ลูบหัวผมเบา ๆ แล้วพูดเสียงแผ่ว
“เจมส์... ลูกรัก” น้ำเสียงของแม่ดูลังเล “แม่ขอโทษ เราคงส่งลูกไปเรียนที่เซนต์ปีเตอร์ไม่ได้แล้ว”
เปรี้ยง! เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ไม่จริง นี่ล้อกันเล่นใช่มั้ย ผมหันไปมองพ่อ พ่อก้มหน้าทำเหมือนไม่กล้าสบตา แล้วอธิบายว่าค่าเทอมของเซนต์ปีเตอร์แพงเกินไป ค่ากิจกรรม ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์ ทุกอย่างแพงขึ้นหมด
“แต่พ่อกับแม่สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอฮะ” ผมพูดเสียงสั่น กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ
“ผมอวดทุกคนแล้วว่าจะไปเรียนต่อที่เซนต์ปีเตอร์”
“พ่อรู้ แต่ตอนนี้บ้านเรายังไม่พร้อมจริง ๆ” พ่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามอธิบาย
“เจมส์... ลูกรู้หรือเปล่าว่าพ่อก็เป็นศิษย์เก่ามัธยมวัชรโยธิน พ่ออยากให้ลูกไปเรียน ม.1 ที่นั่น ลูกจะต้องชอบแน่”
พ่อกับแม่สบตากัน ก่อนที่พ่อจะยิ้มแห้ง ๆ พยายามแต่งเรื่องเพื่อให้ผมรู้สึกดีขึ้น “เขาว่ากันว่าโรงเรียนนี้มีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ด้วย เจ๋งใช่มั้ยล่ะ”
แม่รีบเสริมทันที “ใช่จ้ะ เป็นสมบัติเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสงครามโลก บางทีลูกอาจเป็นคนหามันเจอก็ได้นะจ๊ะ”
เอาแบบนี้จริงดิ นี่พ่อกับแม่คิดว่าผมเป็นใคร อินเดียน่า โจนส์งั้นเหรอ
“ไม่เอา ผมไม่อยากได้สมบัติ ผมอยากได้โรงเรียนที่พ่อกับแม่สัญญาไว้ พ่อเป็นคนพูดเอง ถ้าผมสอบได้ที่หนึ่ง ผมจะได้เรียนที่เซนต์ปีเตอร์ ผมควรจะได้เรียนที่เซนต์ปีเตอร์สิฮะ ไม่ใช่วัชรโยธิน”
เสียงของผมดังเกินไป พ่อเหลียวมองรอบตัวเหมือนกับกลัวคนอื่นได้ยิน แต่ผมไม่สนอีกแล้ว
“ทำไมต้องเกิดกับผม ไม่ยุติธรรมเลย” ผมกัดฟันแน่น พยายามกลืนก้อนจุกในลำคอ “ทุกคนโกหกกันหมด”
แม่เม้มปาก ดูเจ็บปวด “ไว้เราค่อยคุยกันทีหลังนะลูก” แม่พยายามทำเสียงอ่อน เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“มาเป่าเทียนสิเจมส์ บางทีคำอธิษฐานของลูกอาจเป็นจริงก็ได้” พ่อพูดขณะที่ใช้ไฟแช็กจุดเทียนทั้งสิบสามเล่มบนเค้ก
“ได้ งั้นขอให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุด... เพี้ยง!”
ผมเป่าเทียนจนดับ กลิ่นควันลอยเข้าจมูกจนต้องเบือนหน้าหนีก่อนจะวิ่งเข้าห้องนอน ปิดประตู ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม น้ำตาไหลพรากและไม่พูดอะไรอีก
ไม่นานเสียงทะเลาะกันก็ดังลั่นไปทั่วบ้าน ก็เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นั่นแหละ ผมพยายามยกมือขึ้นปิดหู แต่ก็หนีความจริงไม่ได้ว่าสาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะผม พ่อกับแม่ตะโกนใส่กันไปมาแต่แล้วจู่ ๆ ทุกอย่างก็เงียบลง ซึ่งผมรู้ดีว่ามันเป็นความเงียบก่อนที่คลื่นสึนามิจะซัดถล่มทุกอย่างให้พังพินาศ ผมต้องหยุดพวกเขาก่อนมันจะสายเกินไป
ผมเปิดประตูห้อง ตะโกนออกไปสุดเสียง “พอเถอะฮะ!”
“พอทั้งคู่นั่นแหละ ผมจะไปเรียนที่วัชรโยธินก็ได้ พอใจหรือยังฮะ” น้ำตาเค็ม ๆ ไหลมาถึงปากผม
พ่อกับแม่เงียบกันไป ผมฉวยโอกาสพูดต่อก่อนที่พวกเขาจะทะเลาะกันอีกครั้ง “แต่พ่อกับแม่ต้องสัญญาว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก”
ผมรู้ดีว่าถ้าไม่พูดออกไปตอนนี้ อีกไม่เกินชั่วโมงข้างหน้า เรื่องราวทั้งหมดจะไปโผล่บนเฟซบุ๊กของแม่ พร้อมคำบรรยายสุดร้อนแรงให้ป้าข้างบ้านเอาไปนินทากันอย่างสนุกปาก น่าทึ่งที่คนโบราณคิดค้นแอปที่ทำให้ใครต่อใครเขียนเรื่องแย่ ๆ ของตัวเองลงไปในนั้นได้ เฟซบุ๊กไม่ใช่ทะเบียนบ้าน ไม่ต้องเขียนทุกอย่างลงในนั้นหรอก ผมไม่เข้าใจคนแก่ที่เล่นแอปนี้เลยจริง ๆ
“เจมส์... ลูกพ่อ” พ่อเดินเข้ามาพร้อมกับก้มลงกอดผม
“แม่ขอโทษนะลูก” แม่เอื้อมมือมากอดเราไว้ด้วยกัน มันได้ผล พวกเขาหยุดทะเลาะกันแล้ว
“ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันเพราะผม ผมอยากให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน” ผมพูดออกไปทั้งที่น้ำตายังไหลพราก
พ่อถอนหายใจยาว “เราเป็นครอบครัวเดียวกันเสมอ ไม่มีอะไรเปลี่ยน”
แม่พยักหน้า ลูบหลังผมราวกับปลอบโยนเด็กที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย “ใช่จ้ะ ไม่มีอะไรเปลี่ยน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็รักลูกเสมอ”
เพราะแบบนี้เอง ความรักของพ่อกับแม่ก็เลยทำให้ผมได้มาอยู่ที่โรงเรียนมัธยมวัชรโยธินแบบไม่เต็มใจนัก นั่งอยู่บนโต๊ะแถวหน้าสุด ใกล้กระดานดำ ฟังเสียงพัดลมเพดานที่หมุนช้า ๆ ส่งเสียงครืดคราดเหมือนพยายามร้องขอความช่วยเหลือ ไม่ต่างอะไรจากผมในตอนนี้
...****************...
ที่โรงเรียนใหม่ ผมนั่งเงียบ ๆ ตลอดช่วงเช้า พยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ ไม่อยากทำความรู้จักกับใครด้วย กระทั่งถึงช่วงพักเที่ยงผมถึงรู้ตัวว่ากำลังอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโรงอาหาร และเมื่อมองสำรวจไปรอบ ๆ ก็เห็นทุกโต๊ะมีนักเรียนจับกลุ่มกันหมด เหลือแค่ผมที่นั่งคนเดียว กำลังใช้ช้อนเขี่ยใบกะเพราไปไว้ที่ขอบจานข้าวอย่างตั้งใจ
เอี๊ยด! เก้าอี้ข้าง ๆ ผมถูกลาก ตามมาด้วยเสียงของเด็กผู้ชาย
“นั่งด้วยได้มั้ย”
ผมเงยหน้าขึ้น เห็นเด็กคนหนึ่งยืนถือจาน อีกมือถือขวดน้ำ ท่าทางลำบากใจ
“แบบว่า… ที่อื่นเต็มหมดแล้ว” เขาพูดอ้อนวอน
ผมถอนหายใจ ก่อนจะตอบอย่างเฉยเมย “ไม่ได้ ฉันอยากนั่งคนเดียว”
แต่เด็กชายกลับวางจานลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงหน้าตาเฉย “ไม่ต้องอายหรอกน่า ฉันจะนั่งเป็นเพื่อนเอง”
ผมจ้องเขาอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะส่ายหัวเบา ๆ แล้วหันกลับมาสนใจผัดกะเพราของตัวเองต่อ
“หวัดดี ฉันเฮกเตอร์” เขาพูดพลางเปิดขวดน้ำดื่ม
“ไม่ได้ถาม” ผมตอบห้วน ๆ แต่เห็นอีกฝ่ายหน้าเสีย “ไหน ๆ นายก็พูดแล้ว ฉันชื่อเจมส์ อยู่ห้อง ม.1/3”
“ร้ายกาจ!” เฮกเตอร์ทำตาโต “แบบว่า… เราอยู่ห้องเดียวกันใช่มั้ย” เขาพูดอย่างตื่นเต้น
“คงงั้น” ผมพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตักข้าวเข้าปากแล้วแอบมองเขาครู่หนึ่ง สมองเริ่มคิดอะไรเล่น ๆ ถ้าเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ เขาจะทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้นะ หากโชคดี วันนี้ผมอาจมีรอน วีสลีย์ เป็นของตัวเอง
ในที่สุดผมจึงตัดสินใจถามลองเชิงเฮกเตอร์ “นี่ นายมีพี่ชายเรียนที่นี่ด้วยหรือเปล่า?”
“ฉันไม่มีพี่ชาย” เขาขมวดคิ้วตอบโดยไม่ต้องคิด
ผมจึงถามต่อ “งั้นนายก็ต้องมีน้องสาว?”
“ฉันลูกคนเดียว” เฮกเตอร์ส่ายหน้า
“ชุดนักเรียนนายใส่ต่อของคนอื่น?”
เขาทำหน้างง ก่อนจะตอบเสียงแข็งขึ้นนิดหน่อย “ฉันเพิ่งซื้อใหม่”
“พ่อทำงานกระทรวงฯ?”
“ทำสวนยาง”
“บ้านนายเลี้ยงนกฮูก?”
“เลี้ยงไก่ชน”
“กลัวแมงมุมมั้ย?”
“อีบึ้งย่างไฟอร่อยมาก”
“ถ้าเอาสัตว์มาโรงเรียนได้หนึ่งตัว นายจะเลือกอะไร?”
“งูหางกระดิ่ง”
ผมชะงัก วางช้อนลงแล้วจ้องหน้าเฮกเตอร์ “บ้าเอ๊ย!”
“อะไร?!” เฮกเตอร์ตกใจ
“ฉันนึกว่านายเป็นรอน แต่ไม่ใช่” ผมรู้สึกผิดหวังอย่างแรง
“รอนไหน?”
“รอน วีสลีย์” ผมรีบเฉลย แต่เฮกเตอร์กลับทำหน้างง
“ไม่เห็นรู้จัก”
ผมเบิกตากว้างเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย ไม่อยากจะเชื่อ หมอนี่ไปอยู่ไหนมา ทำไมไม่เคยดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กที่ไม่เคยดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพหรอก เชื่อผมสิ
“ถ้าไม่ใช่รอน แล้วนายเป็นใคร?” ผมกลอกตาคิดหนัก
“ฉันเพิ่งบอกว่าชื่อเฮกเตอร์ นายกับฉันเรียนอยู่ห้องเดียวกัน”
“ฉันรู้แล้ว”
“นายโอเคใช่มั้ย?”
“ฉันโอเค”
“นายเพ้อเหมือนคนบ้าเลยเพื่อน” เฮกเตอร์เริ่มขยับเก้าอี้ออกห่างอย่างระแวง
“ฉันปกติดีทุกอย่าง” ผมยักไหล่แล้วหยิบกล่องนมขึ้นดูดรวดเดียวจนหมดก่อนลุกขึ้นยืน “แล้วก็… ฉันไม่ใช่เพื่อนนาย”
พูดจบผมจึงหยิบจานข้าวเดินไปเก็บ และออกจากโรงอาหารโดยไม่หันกลับมามองเฮกเตอร์อีก ตั้งใจจะหาที่เงียบ ๆ นั่งพัก แต่แสงแดดข้างนอกทำให้ผมต้องลังเล ไม่ไหว โรงเรียนนี้ร้อนจนผมแทบเป็นลม จะมีที่ไหนเย็น ๆ และเงียบสงบบ้างมั้ยนะ แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาให้หัว ใช่ ห้องสมุดยังไงล่ะ
ผมถามทางไปห้องสมุดจากเด็กนักเรียนแถวนั้น และไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็ก้าวเข้ามาในห้องสมุดอันเงียบสงบ เย็นสบาย นี่แหละสมบูรณ์แบบ ผมเดินไล่มองหนังสือจากชั้นวางก่อนจะหยิบเล่มหนึ่งมาเปิดอ่าน หวังว่ามันจะทำให้ผมลืมความน่าเบื่อของโรงเรียนใหม่นี้ได้สักพัก
...****************...
เสียงระฆังดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มต้นคาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนค่อย ๆ เงียบลงเมื่อครูก้าวเข้ามาในห้อง เขาเป็นผู้ชายตัวสูง หน้าตาเย็นชา ดูไร้อารมณ์ สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำพับถึงศอกกับกางเกงสีเดียวกัน
ครูวางหนังสือลงบนโต๊ะเสียงดัง ปัง! จนผมสะดุ้ง
จากนั้นหัวหน้าห้องก็ลุกขึ้นสั่ง “นักเรียนเคารพ!”
ทุกคนกล่าวพร้อมกัน “ซาหวาดดีครับ/ค่ะ คุณครู”
“นั่งลงได้” ครูพูดสั้น ๆ สายตากวาดมองไปรอบห้อง
“ขอบคุณครับ/ค่ะ คุณครู” เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังกุกกัก แล้วทุกอย่างก็เงียบลงอีกครั้ง
“หลับตา” ครูออกคำสั่ง “นั่งสมาธิสามนาที”
ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง ทุกคนหลับตาลง เวลาสามนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า ก่อนที่เสียงของครูจะดังขึ้นอีกครั้ง
“ลืมตาได้”
ทันทีที่ทุกคนลืมตา ครูก็ใช้ชอล์กสีขาวเขียนชื่อตัวเองบนกระดานดำ
“กีรติ คือชื่อของผม” เขาพูด ภายหลังพวกเราเรียกเขาว่าครูกี
“ก่อนจะเริ่มเรียน เรามาตกลงกันก่อน” ครูยกชอล์กขึ้นเคาะกับกระดานเป็นจังหวะ
“ผมมาที่นี่เพื่อสอนความรู้ให้พวกคุณ ผมไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่เพื่อนเล่น ผมเป็นครู จำไว้ให้ดี”
ทั้งห้องเงียบกริบ
“ที่นี่… ผมให้เกียรติพวกคุณทุกคน” ครูกล่าวช้า ๆ
“แต่ถ้าใครไม่ให้เกียรติผม ก็เอาเกรดศูนย์ไป”
ไม่มีการหยอกล้อหรือพูดเล่นในระหว่างคาบเรียน ผมก้มหน้าจดสมการตัวเลขอย่างตั้งใจ เสียงปากกาขีดเขียนบนสมุดดังสลับกับเสียงขยับเก้าอี้เป็นครั้งคราว ความเอาจริงเอาจังของครูทำให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
จนกระทั่ง… แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง! เสียงระฆังสุดท้ายของวันดังขึ้นทลายความตึงเครียดที่สะสมมาตลอดคาบ ครูหยุดพูดทันที ปิดหนังสือเรียนลง แล้วก้าวออกจากห้องไปโดยไม่เสียเวลาเลยสักวินาทีเดียว
ผมเองก็รีบเก็บอุปกรณ์การเรียนยัดใส่กระเป๋าและออกจากห้องเป็นคนแรก วิ่งผ่านลานหน้าเสาธงตรงไปที่ประตูด้วยความหวังว่ารถโรงเรียนจะมารออยู่แล้ว แต่กลับไม่มี ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำได้แค่เดินเล่นอยู่แถวนั้นจนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับรูปปั้นที่ตั้งอยู่บนฐานสูง สนิมสีเขียวเกาะตามซอกหลืบของเนื้อโลหะบ่งบอกถึงความเก่าแก่ ขณะที่ผมกำลังไล่สายตาสำรวจอยู่นั้น พลันมีเสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้นจากข้างหลัง
“รูปปั้นเด็กหญิงนางฟ้า เพื่อระลึกถึงเด็ก ๆ ที่จากไปในช่วงสงคราม สร้างโดยพ่อเลี้ยงจักรคำ วัชรโยธิน คนที่ก่อตั้งโรงเรียนนี้”
ผมหันขวับไปตามเสียง เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ เธอตัวผอมแต่สูงกว่าผม ใบหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ ท่าทางคึกคักตลอดเวลา
“รู้ได้ไง” ผมถาม
“ก็อ่านดูสิ” เธอชี้ไปที่แผ่นทองเหลืองที่ติดอยู่ตรงฐานรูปปั้น
“รู้มั้ยว่าสมัยสงครามโลก พ่อเลี้ยงเอาสมบัติมาซ่อนไว้ที่นี่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหาเจอ” เธอพูดพลางเหลือบตามองรูปปั้น
“เหลวไหล โกหกทั้งเพ” ผมสวนกลับทันที ไม่ชอบท่าทางสาระแนอวดเก่งของเธอเลย
“เธอจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ใคร ๆ ก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้นแหละ” เธอยักไหล่ ทำหน้าเหมือนไม่ใส่ใจว่าผมจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม
“ถ้าทุกคนรู้ มันก็แปลว่าสมบัติคงไม่เหลือแล้วน่ะสิ” ผมพูดย้อนและมันได้ผล เธออ้าปากเหมือนจะเถียงแต่ก็พูดไม่ออก ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันชื่อเมย์” เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้า
ผมจึงปล่อยกรรไกรทันที “ฉุบ! ฉันชนะ”
รอยยิ้มของเธอหายไป “ไม่ใช่เป่ายิ้งฉุบ จับมือทักทายน่ะ ไม่เคยเห็นในหนังเหรอ”
“อ๋อ” ผมร้องเบา ๆ
“งั้นเรามาแนะนำตัวกันใหม่ ฉันชื่อเมย์…”
“ไม่ได้ถาม” ผมตัดบทเย็นชาพอ ๆ กับสีหน้าของรูปปั้น
“รู้ตัวมั้ยว่าเธอเนี่ย มารยาทแย่มาก” น้ำเสียงบ่งบอกว่าเมย์เริ่มโมโห
“รู้แล้วก็หลีกไปสิ” ผมเดินเลี่ยงเธอออกมา
“นี่ ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับเธอก็เท่านั้นเอง” เมย์พยามชวนผมคุยอีกครั้ง
ผมหยุดเดินชั่วขณะ ก่อนจะหันกลับไปสบตาเธอ “ทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนกับฉัน”
“ก็… ไว้ลอกการบ้านไง วันนี้ฉันเห็นเธอที่ห้องสมุดกำลังนั่งอ่านหนังสือคนเดียว แล้วเธอก็นั่งโต๊ะหน้าห้อง ฉันเลยคิดว่าเธอเป็นเด็กเรียน เป็นเด็กฉลาด ฉันอยากเป็นเพื่อนกับคนฉลาด ๆ”
“อย่างี่เง่า ฉันไม่ได้เลือกที่นั่งเอง!” ผมตวาดเสียงดัง “และฉันก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเธอด้วย” ทันทีที่พูดจบผมก็เดินหนี
“เดี๋ยวสิ งั้นมาร่วมทีมล่าสมบัติกับฉันมั้ย นี่…” เสียงแหลม ๆ ของเมย์ดังไล่หลังมาแต่มันไม่ได้ทำให้ผมหยุดเดิน
...****************...
ประตูหน้าบ้านเปิดออก ผมเดินลากเท้าเข้ามา รู้สึกหมดแรงเหมือนเพิ่งออกไปรบ ทั้งที่ความจริงแค่ไปโรงเรียนวันแรกเท่านั้นเอง
“ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างลูก สนุกมั้ย” เสียงแม่ดังมาจากห้องรับแขก
ผมหันไปมอง แม่กำลังง่วนอยู่กับการปัดฝุ่นบนชั้นวางของ ท่าทางคล่องแคล่วราวกับนักกายกรรม แป๊บเดียวก็ปีนขึ้นไปเช็ดโน่นนี่อีก
“ก็ดีฮะ” ผมตอบส่ง ๆ ขณะก้มลงถอดถุงเท้า แทบไม่มีแรงอธิบายอะไรยืดยาว
“ดีแบบไหนจ๊ะ” แม่ยังคงถามต่อ ไม่ปล่อยให้คำตอบลอยหายไปกับอากาศ
ดีที่ยังรอดชีวิตกลับมา ผมอยากตอบแบบนั้น
“ก็… ครูบางคนใจดี บางคนก็ดุ” ผมถอนหายใจ
“อ้อ วันนี้มีเด็กผู้ชายมาขอนั่งกินข้าวกับผมด้วย แล้วก็มีเด็กผู้หญิงอีกคนมาชวนคุย ถามชื่อผมด้วย แต่ผมไม่บอก”
“ทำไมล่ะ” แม่หยุดเช็ดโต๊ะ หันมามองด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สิฮะ ผมไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเธอ” ผมยักไหล่
แม่หัวเราะเบา ๆ “เหรอ แล้วลูกมีเพื่อนใหม่บ้างหรือยัง”
“ยังเลยฮะ” ผมตอบตามตรง
“ไม่เป็นไรจ้ะ พรุ่งนี้ลูกต้องหาเพื่อนดี ๆ ได้สักคนแน่ แม่เชื่ออย่างนั้น”
“ฮะ” ผมรับคำ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง จะบอกแม่ยังไงดีว่าผมไม่ได้อยากไปโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ
“งั้นถอดชุดนักเรียนใส่ตะกร้าแล้วไปอาบน้ำนะลูก” แม่พูดพลางก้มลงเช็ดโต๊ะต่อไป
แม่คงจะเหนื่อยมาก ผมทนเห็นแม่ทำงานบ้านคนเดียวไม่ไหว ผมจึงหันหลังเดินเข้าห้องไปจะได้ไม่ต้องเห็น
วันแรกเพิ่งผ่านไป แต่กลับรู้สึกเหมือนใช้พลังงานหมดทั้งชีวิต แค่วันเดียวยังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วพรุ่งนี้ล่ะจะเป็นยังไงต่อ ผมหาแรงบันดาลใจจากที่นั่นไม่เจอเลย มีแต่แรงบันดาลโทสะล้วน ๆ
...****************...
กลิ่นหอมของหมูผัดเปรี้ยวหวานลอยมาแตะจมูก ข้าวสวยร้อน ๆ วางอยู่ตรงหน้า ข้าง ๆ มีต้มจืดเต้าหู้หมูสับหม้อใหญ่ที่แม่ตักแบ่งใส่ถ้วยเล็กให้พ่อกับผม พ่อมักชมเสมอว่าแม่ทำกับข้าวอร่อย ไม่มีใครเก่งเท่าแม่แล้วล่ะ
“แม่บอกว่าลูกยังไม่มีเพื่อนใหม่เลยเหรอ” พ่อถามพลางตักข้าวใส่จาน สีหน้าดูห่วงใย แต่ไม่ได้กดดันจนเกินไป
“เพิ่งวันแรกเอง ให้เวลาลูกหน่อยสิ” แม่ช่วยพูดแทนผม ขณะใช้ตะหลิวค่อย ๆ พลิกผัดเปรี้ยวหวานในกระทะก่อนตักใส่จาน
“แม่ยังบอกอีกว่ามีเพื่อนผู้หญิงอยากรู้จักชื่อลูก แต่ลูกไม่ตอบ ไหงเป็นงั้นล่ะ” พ่อถามต่อ น้ำเสียงแฝงความสงสัย
ผมวางช้อนลง ถอนหายใจเบา ๆ ไม่น่าเล่าให้แม่ฟังเลย “ก็… ผมไม่ชอบเธอ”
“ทำไมล่ะ” พ่อเลิกคิ้วมองผมด้วยความสงสัย
“เธอนึกว่าผมเป็นเด็กเรียน เพราะผมได้นั่งโต๊ะแถวหน้าในห้องเรียน” ผมพูดพลางเขี่ยหอมใหญ่ไปไว้ที่ขอบจาน
พ่อหัวเราะในลำคอ “แล้วลูกไม่ใช่เด็กเรียนเหรอ ปีที่แล้วลูกสอบได้ที่หนึ่งทั้งสองเทอมเลยนะ”
ขอบคุณที่ย้ำว่าสอบได้ที่หนึ่ง ผมยังโกรธเรื่องโรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ไม่หาย
“ครูประจำชั้นจัดที่นั่งตามส่วนสูง ผมตัวเตี้ยที่สุดในห้องก็เลยได้นั่งแถวหน้าฮะ”
แม่ยิ้มขำก่อนตักหมูผัดเปรี้ยวหวานเพิ่มให้ผมอีก “งั้นลูกต้องกินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ”
ผมมองหมูในจานแล้วเผลอเบะปากเมื่อเห็นว่ามีมะเขือเทศกับพริกหวานปะปนอยู่ด้วย “แม่ ผมไม่อยากกินผัก มันไม่อร่อย”
“ไม่ได้ กินหมูแล้วก็ต้องกินผักด้วย ไม่งั้นจะไม่โตนะ” แม่พูดเสียงดุขึ้นเล็กน้อย
“เอางี้ ถ้าลูกกินหมดแล้วเดี๋ยวพ่อให้เล่นมือถือ โอเคมั้ย” พ่อเลื่อนจานผมกลับมาตรงหน้า
ผมหรี่ตานิดหนึ่งอย่างชั่งใจ ก่อนพยักหน้ารับ “ก็ได้ฮะ”
ผมรีบตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก ตั้งใจเคี้ยวให้จบ ๆ ไป แต่ไม่รู้ทำไมผมคิดถึงรูปปั้นเด็กหญิงนางฟ้าสีเขียวหม่นใกล้ ๆ ลานหน้าเสาธง
“พ่อฮะ ช่วยเล่าประวัติโรงเรียนให้ผมฟังได้มั้ยฮะ”
พ่อหันมามองผมอย่างไม่เชื่อหู แม่ถึงกับวางช้อน
“ได้สิ ลูกอยากฟังเรื่องไหนล่ะ”
...****************...
“ถ้าจะเล่าก็ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นเลยนะ” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าครุ่นคิดเหมือนกำลังลำดับเรื่องราว
“ก่อนจะมีโรงเรียนมัธยมวัชรโยธิน ที่ดินตรงนั้นเคยเป็นโรงงานแปรรูปไม้มาก่อน มีท่อนซุงกองเต็มไปหมดเหมือนภูเขา”
เสียงช้อนกระทบจานเงียบลง ทุกคนตั้งใจฟังพ่อเล่าเรื่อง
“เจ้าของที่ดินคือส่างปันโย เศรษฐีชาวไทใหญ่ที่ร่ำรวยจากการค้าขายไม้สักกับบริษัทฝรั่งที่เข้ามาทำไม้ในไทย เขาว่าสมัยนั้นส่างปันโยร่ำรวยมหาศาลจนแม้แต่เจ้าเมืองยังต้องมาขอกู้ยืมเงิน”
ผมนั่งฟังตาโต ส่วนแม่ก็ตั้งใจฟังเงียบ ๆ
“ต่อมา พ่อเลี้ยงจักรคำ วัชรโยธิน ลูกชายของส่างปันโยก็ได้รับมรดกจากพ่อ และก็ยังร่ำรวยขึ้นอีกเพราะว่าพ่อเลี้ยงปล่อยเงินกู้ให้กับพวกคนใหญ่คนโต ลือกันว่าหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้แต่เจ้านายบางพระองค์ก็เคยเป็นลูกหนี้ของพ่อเลี้ยง”
พ่อเล่าต่ออย่างช้า ๆ “แล้วพอถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อเลี้ยงก็หันไปทำการค้ากับพวกญี่ปุ่นจนได้กำไรมากมาย กระทั่งมีอยู่คืนหนึ่ง… ตู้มมมม!!!”
ผมกลืนน้ำลายแล้วถามเสียงเบา “ใครตกน้ำเหรอฮะ”
“เสียงระเบิดลูก บ้านของพ่อเลี้ยงถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดจนไฟไหม้ทั้งหลัง มีคนเห็นหีบสมบัติถูกขนขึ้นจนเต็มหลังรถบรรทุกแล้วขับไปที่โรงเลื่อยเก่า ซึ่งก็คือที่ตั้งของโรงเรียนในตอนนี้นี่เอง”
พ่อหยุดคิด แล้วพูดต่อ
“บ้างก็ว่าพวกคนใหญ่คนโต หรือไม่ก็พวกญี่ปุ่นนั่นแหละที่ระเบิดบ้านเพราะไม่มีเงินจ่ายให้พ่อเลี้ยง”
ผมเบิกตากว้าง “งั้นก็หมายความว่าพ่อเลี้ยงต้องรวยกว่าคนพวกนั้นมากเลยใช่มั้ยฮะ”
“ร่ำรวยมากมายมหาศาลจนนึกไม่ถึงเลยเชียวล่ะ ว่ากันว่าเครื่องเพชร ทองคำ หรือของใช้ในวังหลายชิ้นก็กลายเป็นสมบัติของพ่อเลี้ยง”
“แต่เรื่องเล่ายังไม่จบแค่นี้ ว่ากันว่าตอนที่สร้างโรงเรียน พ่อเลี้ยงแอบสร้างห้องลับไว้เก็บสมบัติด้วย แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีใครรู้ว่าห้องนั้นอยู่ตรงไหน”
ขนลุกซู่ โรงเรียนมีห้องแห่งความลับด้วย อย่างกับฮอกวอตส์แน่ะ
“แล้วมีใครเคยเจอสมบัติบ้างมั้ยฮะ” ผมถาม
พ่อยิ้มมุมปาก “ถ้ามีคนเจอแล้ว เรื่องนี้ก็คงไม่เป็นตำนานน่ะสิ จริงมั้ยลูก”
หัวใจผมเต้นแรงเมื่อรู้ว่าอาจจะเป็นคนแรกที่หาสมบัติเจอ
“หรือบางที ขุมทรัพย์นั้นอาจไม่มีอยู่จริงเลยก็ได้” พ่อพูดพร้อมยักไหล่
“อ้าว” ผมเริ่มรู้สึกผิดหวัง
“บางคนว่าพ่อเลี้ยงใช้เงินสร้างโรงเรียนไปจนหมดแล้ว”
“ไม่มีเหลือเลยเหรอฮะ”
พ่อยิ้มมุมปาก “ถ้าอยากรู้จริง ๆ ลูกก็ลองหาดูสิ”
แม่หัวเราะเบา ๆ แล้วส่ายหน้า “อย่าทำโรงเรียนพังนะลูก”
“แล้วพ่อรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงฮะ” ผมเลิกคิ้วถาม
“อ่านจากอินเทอร์เน็ตน่ะ วิกิพีเดีย แล้วก็จำที่คนอื่นเล่ามาอีกที ถ้าลูกอยากรู้ก็ลองกูเกิลหาประวัติโรงเรียนดูสิ”
พ่อยื่นมือถือให้ผม นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่ยอมให้ผมเล่นมือถือบนโต๊ะกินข้าว
“แต่ในอินเทอร์เน็ต ใครจะเขียนอะไรลงไปก็ได้นี่ฮะ ทั้งเรื่องจริงเรื่องโกหก ปนกันมั่วซั่วไปหมด”
“นั่นสินะ” พ่อพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วถ้ามีคนรู้ที่ซ่อนขุมทรัพย์ แต่ไม่ยอมบอกล่ะฮะ”
“ขุมทรัพย์มหาศาลขนาดนั้น ถ้ามีคนรู้ทำไมเขาต้องปิดเป็นความลับด้วยล่ะ”
“มันอาจเป็นสมบัติต้องคำสาปก็ได้ เหมือนเหรียญทองโจรสลัดในหนังไพเรตส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน ที่ทำให้ลูกเรือแบล็กเพิร์ลกลายเป็นผีดิบ”
“พ่อจำได้ว่าตอนแรกลูกไม่เชื่อว่ามีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ในโรงเรียน แล้วตอนนี้สมบัติต้องคำสาปกับเรือแบล็กเพิร์ลมาได้ยังไง”
พ่อหัวเราะคิกคักและผมก็เถียงไม่ออกจริง ๆ
...****************...
แถวนักเรียนยาวเหยียดไปจนสุดลานหน้าเสาธง ผมยืนตัวตรงตามระเบียบ รู้สึกอายตัวเองที่เกือบหลงเชื่อเรื่องขุมทรัพย์ที่พ่อเล่าให้ฟังเมื่อคืนนี้ ผมหมายถึง ก็ดูตึกเรียนพวกนี้สิ ผนังปูนเก่าจนสีลอก ตามซอกมีคราบน้ำฝนเกาะเป็นด่าง ๆ ถ้าที่นี่มีสมบัติซ่อนอยู่จริง ผมก็อยากให้ใครสักคนหาเจอเร็ว ๆ เผื่อพวกเขาจะเอาเงินมาซ่อมโรงเรียน หรือไม่ก็ซื้อแอร์มาติดในห้องเรียนให้เราบ้าง
ลมร้อนพัดมาพร้อมแดดแรง ๆ ที่แผดเผาผิว ผมรู้ว่าแสงแดดตอนเช้าช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดี แต่ถ้ามันร้อนขนาดนี้ผมคงได้วิตามินดีเหลือใช้ไปทั้งชาติ ตาแก่หัวล้านที่กำลังพล่ามอยู่ตรงนั้นคือครูใหญ่ เขายืนอยู่ในร่มสบาย ๆ ส่วนพวกเรากลับต้องมาตากแดด เห็นหัวครูใหญ่แล้วผมนึกว่ามีพระอาทิตย์สองดวง ร้อนชะมัด เราไม่ใช่อูฐทะเลทรายและไม่ใช่แผงโซลาร์เซลล์ เพราะงั้นรีบ ๆ สั่งเลิกแถวสักทีเถอะ
“…และขอให้พวกเธอทุกคนตั้งใจเรียน ทั้งหมด เลิก… แถว!” ในที่สุดครูใหญ่ก็รู้ตัวว่าควรหยุดพูด ผมสงสัยมาตลอดว่าคนหัวล้านนี่เขาต้องล้างหน้าถึงตรงไหน
เสียงรองเท้านักเรียนกระทบพื้นดังเป็นจังหวะ พวกเราพากันเดินกลับห้อง ผมเดินนำแถวเพราะตัวเตี้ยที่สุดในชั้น ม.1/3 แม่บอกว่าผมเป็นเด็กโตช้า แต่มั่นใจว่าผมจะสูงขึ้นอีกแน่นอน ขอให้มันจริงเถอะ
คาบแรกของวันนี้คือวิชาประวัติศาสตร์ ผมหยิบหนังสือออกมาวางบนโต๊ะ ตามด้วยสมุด ปากกา และไม้บรรทัด ก่อนจะได้ยินเสียงแหลม ๆ ของเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้าง ๆ
“นี่ นายเตี้ย” เสียงของเธอดังพอจะเรียกความสนใจจากนักเรียนครึ่งห้อง
ผมจำเสียงนี้ได้ทันที หันขวับไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “อย่าเรียกฉันแบบนั้น ฉันมีชื่อ”
เธอยักไหล่ “แต่เมื่อวานเธอไม่ยอมบอกชื่อฉันนี่ นายเตี้ย”
“เตี้ยบ้านเธอสิ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงโมโห “ทำไมฉันต้องบอกชื่อด้วย” เริ่มรู้สึกหงุดหงิด น่ารำคาญจริง ๆ
“ก็ทั้งห้องเหลือแค่เธอคนเดียวที่ฉันยังไม่รู้จักชื่อเล่น” ว่าแล้วเมย์ก็ก้มลงอ่านชื่อที่ปักบนเสื้อออกเสียงชัด ๆ
“หรือจะให้ฉันเรียกเธอว่า เด็กชายณัฐวีร์ จิรโชติ”
“ก็ได้ ฉันชื่อเจมส์ พอใจหรือยัง”
เธอพยักหน้า “ก็เท่านี้แหละ ฉันแค่ถามชื่อเล่น ไม่ได้ถามชื่อพ่อชื่อแม่สักหน่อย หรือจะให้ฉันเรียกเธอด้วยชื่อพวกเขาดี”
“ใครกันแน่ที่มารยาทแย่” เดาว่าอีกไม่นานผมกับเธอคงได้วางมวยกันสักวัน ก็รู้แหละว่าชกผู้หญิงมันไม่ถูกต้อง แต่ก็อย่างที่คนโบราณเคยว่าไว้ ถ้าทุกคนมัวแต่ให้อภัยแล้วเมื่อไหร่จะได้เอาคืน
“เจมส์ ว่าแต่นายตัดสินใจได้หรือยัง” เธอเปลี่ยนเรื่อง
“ตัดสินใจเรื่อง?” ผมเลิกคิ้วสงสัย ไม่แน่ใจว่าเมื่อวานนี้พูดอะไรกับเธอไปบ้าง
“ล่าสมบัติไง” เธอตอบ
“ปัญญาอ่อน” ผมสวนกลับทันทีโดยไม่ต้องคิด
“ไม่อ่อนสิ เราต้องเรียนที่นี่ไปอีกตั้งหลายปี น่าสนุกดีออก ลองดูก็ไม่เห็นเสียหาย”
“เสียเวลาชีวิต ฉันมั่นใจว่ามีคนพยายามหามาแล้วเป็นสิบ ๆ ปีแต่ก็ไม่เห็นจะเจออะไร”
“นั่นเพราะว่าพวกเขาไม่ใช่ฉันยังไงล่ะ”
“แล้วเธอวิเศษกว่าพวกนั้นตรงไหน” ผมถามกลับ
“เพราะฉันคือนักล่าสมบัติมือหนึ่งยังไงล่ะ”
เธอคนนี้หลงตัวเองอย่างแรง เป็นผมคงไม่ยอมพูดอะไรแบบนี้เด็ดขาด ต่อให้จับแม่ผมเป็นตัวประกันก็ตาม
“นักล่าสมบัติมือหนึ่ง? แล้วอีกมือขาดหรือไง” ผมล้อเลียน
“ปากเสีย” เมย์มองค้อน
“แล้วเธอเคยเจอสมบัติที่ไหนมาบ้าง” ผมตั้งใจประชด
“ยังไม่เคยเจอสมบัติ แต่ฉันหาเงินที่พ่อแอบเอาซ่อนแม่เจอเป็นประจำ” เธอพูดอย่างภูมิใจ ผมล่ะสงสารสามีในอนาคตของเธอจริง ๆ
“เอางี้ ถ้านายสนใจจะเข้าร่วมทีมค้นหาสมบัติกับฉัน ตอนพักเที่ยงให้ไปเจอกันที่ห้องสมุด โอเคนะ” พูดจบเธอก็เดินกลับไปที่โต๊ะ
แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรต่อ เสียงรองเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นที่ประตู ครูประจำวิชาประวัติศาสตร์เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกาย เธอเป็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ดูเด็กกว่าอายุจริง เหมือนนักศึกษาฝึกสอนมากกว่าครูโรงเรียนมัธยม คนนี้แหละครูประจำชั้น ม.1/3 และเป็นคนเลือกที่นั่งให้กับผมเมื่อวานนี้
อ้อ… ผมลืมบอกเรื่องสำคัญที่สุด ครูประจำชั้นของผมเธอชื่อ ‘รินลดา วัชรโยธิน’ ซึ่งหมายความว่าเธอเป็นทายาทของพ่อเลี้ยงจักรคำ วัชรโยธิน ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้ และถ้าจะมีใครรู้เรื่องขุมทรัพย์ในโรงเรียนล่ะก็ ต้องเป็นเธอคนนี้แหละ
ทันทีที่ครูรินลดาเดินผ่าน กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ แบบเดียวกับเมื่อวานก็ลอยมาแตะจมูกผม ครูวางหนังสือลงบนโต๊ะ สายตากวาดมองไปรอบห้องสำรวจดูความเรียบร้อย ก่อนจะยิ้มให้พวกเราอย่างพึงพอใจ
หัวหน้าห้องไม่รอช้าลุกขึ้นสั่ง “นักเรียนเคารพ”
เสียงนักเรียนทั้งห้องประสานกันอย่างพร้อมเพรียง “ซาหวาดดีครับ/ค่ะ คุณครู”
“สวัสดีค่ะนักเรียนทุกคน เอาล่ะ นั่งสมาธิกันก่อน”
ผมหลับตา เสียงในห้องค่อย ๆ เงียบลง
สามนาทีผ่านไป “โอเค ทุกคนลืมตาได้”
“วันนี้มากันครบใช่มั้ย ไหน… ใครไม่มาบ้างให้ยกมือขึ้น” ครูพูดพร้อมกับยกมือ “อ้าว… ไม่มีเลยเหรอ” มุกตลกของครูสร้างเสียงหัวเราะได้นิดหน่อย
ครูตบมือเบา ๆ ให้ทุกคนเงียบ แต่ก็มีเสียงนักเรียนหลายคนที่ยังกระซิบกระซาบ กระทั่งเมย์ยกมือขึ้นถามอย่างลังเล
“จริงหรือเปล่าคะที่ครูเป็นหลานของคนที่สร้างโรงเรียนนี้”
“ไม่ใช่หลานหรอกค่ะ” ครูรินยิ้ม “อันที่จริงครูเป็นเหลน พ่อเลี้ยงจักรคำเป็นคุณทวดของครูเอง ถ้านับทางพ่อนะคะ” ผมมั่นใจว่าครูตอบคำถามนี้มาแล้วเป็นร้อย ๆ ครั้ง
“งั้นครูก็รู้เรื่องขุมทรัพย์ใช่มั้ยคะ” เมย์ถามอย่างตื่นเต้น
“เรื่องนั้นเขารู้กันทั้งเมืองแล้วค่ะ” ครูพูดพร้อมกับเดินวนไปตามทางเดินระหว่างแถวโต๊ะนักเรียน
“แล้วมีสมบัติซ่อนอยู่ในโรงเรียนจริงหรือเปล่าคะ” คำถามยังดำเนินต่อ เมย์ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดไป
“ก็น่าจะจริง เพราะที่บ้านครูไม่มีสมบัติอะไรเลย สงสัยคุณทวดจะเอามาซ่อนไว้ที่นี่จนหมด” เสียงนักเรียนหัวเราะครืนทันทีที่ครูพูดจบ
“แล้วครูมีแผนที่หรือลายแทงสมบัติมั้ยคะ”
“แผนที่อะไรไม่มีหรอกค่ะ” ครูหยุดคิด “แต่มีคำกลอนที่คุณทวดท่านแต่งไว้ ไม่แน่นะมันอาจจะพาไปหาที่ซ่อนสมบัติก็ได้” คำว่าที่ซ่อนสมบัติทำให้บรรยากาศในห้องเรียนเต็มไปด้วยความคึกคักมากขึ้น
“แบบว่า เป็นความลับของตระกูลงั้นเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก กลอนนี้ก็ติดอยู่ใกล้ ๆ ป้ายชื่อโรงเรียนตรงหน้าประตูนั่นไง ใครผ่านไปผ่านมาก็เห็น” ครูรินเดินไปหยุดที่โต๊ะกลางห้องและมองไปรอบ ๆ
“อะไรคะ ไม่เคยอ่านกันเลยเหรอ” น้ำเสียงของครูผิดหวังเล็กน้อย “งั้นครูจะท่องแค่รอบเดียวตั้งใจฟังนะ”
“ความดีย่อมนำใจให้เจริญ
รู้เผชิญปัญหาไม่หวาดหวั่น
คงวิชาศาสตร์ศิลป์ส่องชีวัน
คุณอนันต์ล้ำเกินพรรณนา
ค่าความรู้ประเสริฐเลิศคณานับ
กว่าสินทรัพย์ศฤงคารและยศฐา
เงินมากมายหากสิ้นไร้ปัญญา
ทองนักหนายังสูญไปไม่ยั่งยืน”
ผมฟังครูรินท่องกลอนอย่างตั้งใจ ก่อนที่เด็กหญิงเมย์จะร้องถามขึ้น “แล้วมันซ่อนปริศนาอะไรไว้คะ”
“ไม่มีปริศนาหรอกค่ะ ความหมายของกลอนนี้ก็คือ ความรู้มีค่ามากกว่าเงินทอง” คำตอบของครูทำให้หลายคนผิดหวัง
“ครูครับ สมมติถ้าครูเจอสมบัติแล้วจะเอาไปทำอะไรครับ” เสียงมาจากเด็กผู้ชายโต๊ะหลังห้อง
“ไม่รู้สิคะ ติดแอร์ในห้องเรียนมั้ง” ครูพูดเหมือนอ่านใจผมออก
“งั้นที่ครูมาสอนโรงเรียนนี้เพราะอยากหาสมบัติด้วยใช่มั้ยครับ” เด็กชายคนนั้นยังคงคาดคั้น
“ไม่หรอกค่ะ ที่ครูมาสอนก็เพราะว่าอยากให้นักเรียนทุกคนมีความรู้ต่างหาก” ผมเชื่อว่าคำตอบของครูคงเรียกคะแนนจากเวทีประกวดนางงามได้เลย
“เอาจริง ๆ สิครับครู”
“อยากรู้จริง ๆ เหรอว่าทำไมครูถึงมาสอนที่นี่” ครูเดินกลับมาหน้าห้อง นักเรียนรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“เพราะครูต้องทำงานยังไงล่ะคะ สักวันพอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พวกเธอทุกคนก็ต้องทำงานเหมือนกัน ดังนั้นตั้งใจเรียนนะคะ จบมาจะได้ทำงานที่สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและสังคม” ครูพูดพลางยิ้มให้นักเรียน
“เอาล่ะ ๆ เรื่องขุมทรัพย์พักเอาไว้ก่อน อย่าลืมว่าความรู้มีค่ามากกว่าเงินทองนะคะ” จากนั้นครูรินก็พาเราย้อนกลับสู่กรุงศรีอยุธยาอย่างรวดเร็ว
“ใครพอจะบอกครูได้บ้างว่าช้างทรงของพระนเรศวรชื่ออะไร”
“ก้านกล้วยครับ!” นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้นตอบอย่างมั่นใจ ต้องโทษกันตนาที่ทำให้เด็กเข้าใจผิดกันทั้งประเทศ
แล้วการเรียนการสอนในคาบวิชาประวัติศาสตร์ก็เริ่มต้นขึ้น ไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับรายวิชาอีกจนหมดคาบ
...****************...
อากาศตอนกลางวันร้อนจนแทบละลายทุกสิ่ง ผมนั่งกินข้าวในโรงอาหารคนเดียวเช่นเคย จากนั้นจึงเดินเตร็ดเตร่ไปตามโถงทางเดิน หวังจะหาที่เงียบ ๆ ฆ่าเวลา ห้องสมุดคือจุดหมายของผม มันเย็นสบาย สงบ และเป็นที่ที่ผมสามารถซุกตัวอ่านหนังสือหรือแอบงีบหลับได้โดยไม่มีใครสนใจ
เสียงเอะอะดังมาจากหน้าห้องน้ำ และนั่นคือจังหวะที่ผมเดินผ่านพอดี เด็กชายโชคร้ายคนหนึ่งยืนชิดผนัง หน้าซีด ตัวสั่น ขณะมองไปยังรุ่นพี่ ม.6 สองคนที่ยืนขวางหน้า เฮกเตอร์นั่นเอง ผมเดาว่าเขาน่ามีปัญหาเรื่องผูกมิตรกับคนในโรงเรียน
“ฉันรู้ว่าแกยังมีอีก เอาออกมาซะดี ๆ อย่าขี้เหนียว” รุ่นพี่ตัวโตพูดเสียงแข็งอย่างไร้ความปรานี
“ผม... ผมไม่มีจริงแล้ว ๆ” เฮกเตอร์ตอบเสียงสั่น พยายามกุมกระเป๋ากางเกงไว้แน่น
“โกหกเหรอ” อีกฝ่ายกระชากคอเสื้อของเขาเบา ๆ พอให้รู้ว่าไม่อาจหนีไปไหนได้ “รู้มั้ยว่าคนโกหกจะต้องโดนอะไร”
เฮกเตอร์มองไปรอบ ๆ เหมือนจะขอให้ใครสักคนช่วย แต่ไม่มีนักเรียนคนไหนสนใจ บางคนคนแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น บางคนมองแวบเดียวแล้วรีบเดินหนี ใจผมบอกให้ทำเหมือนคนอื่น เดินผ่านไปเสีย ไม่ใช่เรื่องของเราที่ต้องเข้าไปยุ่ง
แต่แล้วเฮกเตอร์ก็สบตาผม น้ำตาคลอเหมือนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ ช่างเขาเถอะ เดี๋ยวก็มีคนอื่นมาช่วยเอง แต่… ผมรู้ดี ความจริงคือจะไม่มีใครหน้าไหนมาช่วยเด็กอ่อนแอที่กำลังถูกรังแกอยู่หรอก
เดินต่อไปอย่าหยุด ใจผมสั่ง แต่ปากของผมมันทะลึ่งไวกว่าสมอง “สวัสดีครับคุณครู!” ผมตะโกนสุดเสียง หาเรื่องตายชัด ๆ
อันธพาลทั้งสองสะดุ้ง รีบปล่อยมือจากเฮกเตอร์ หันมองซ้ายมองขวา แต่ไม่เห็นครูอยู่แถวนั้น คนหนึ่งหันมาหรี่ตาใส่ผมอย่างหงุดหงิด
“อะไรของแก”
“อ้าว ผมคิดว่าครูเดินมา” ผมพึมพำ “โทษทีครับ สงสัยตาฝาด” ผมควรจะวิ่งหนีไปตั้งแต่ตอนนี้ แต่เงาร่างใหญ่ที่ทาบทับลงบนตัวผมมันน่ากลัวจนผมก้าวเท้าไม่ออก
รุ่นพี่คนนั้นหัวเราะ “เฉิงตู แกว่าไอ้เตี้ยนี่มันมีเงินติดตัวเท่าไหร่วะ”
“เท่าไหร่ก็เป็นเงินทั้งนั้นแหละเขื่อน เอาน่า… ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” เฉิงตูตอบ
เฮกเตอร์ขยับมาหลบข้างหลังผมทั้งที่เขาตัวสูงกว่า อย่างกับผมจะช่วยอะไรได้
ผมสูดลมหายใจลึกก่อนกระซิบบอกเฮกเตอร์ “นับถึงสามแล้ววิ่งเลยนะ หนึ่ง…” แต่เฮกเตอร์ไม่อยู่แล้ว เขารีบวิ่งหนีทันทีทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับสองพี่เบิ้ม
เขื่อนคว้าตัวผมไว้ได้ทันก่อนจะวิ่งหนีไปอีกคน “ไงล่ะพระเอก เพื่อนแกไปซะแล้ว ทีนี้ก็… มีเท่าไหร่ควักออกมาให้หมด”
ในที่สุดผมก็จนมุม พยายามคิดหาทางออก “ช่วยด้วยครับครู” ผมตะโกนเต็มเสียง หัวใจเต้นแรงเหมือนกลองรัว
“แกหลอกเราเป็นครั้งที่สองไม่สำเร็จหรอก” เฉิงตูทำเสียงดุใส่ผมพร้อมกับย่างสามขุมเข้าหา
ผมกลืนน้ำลาย หัวสมองวิ่งพล่านหาทางหนี แล้วทันใดนั้นเอง
“ทำอะไรกันนักเรียน” เสียงทุ้มต่ำของใครคนหนึ่งดังขึ้น เหมือนระฆังช่วยชีวิต ครูกีรติเดินพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็วและหยุดที่พวกเรา เขื่อนปล่อยมือจากแขนผมทันที
“ผมถามว่าพวกคุณกำลังทำอะไร” น้ำเสียงของครูเย็นเฉียบจนผมขนลุก เดาว่าคงมีใครสักคนไปฟ้องครู ทำไมผมไม่ทำแบบนั้นแต่แรกนะ
“ไม่มีอะไรครับ เราแค่เจอกันหน้าห้องน้ำเฉย ๆ” เฉิงตูดึงผมเข้าไปกอดคอพลางยิ้มให้กับครู ผมแอบหยิกเฉิงตูตรงขาหนีบด้านในอย่างสุดแรงจนเขากระโดดโหยง ครูกีเห็นทุกอย่างแต่นิ่งเฉย
“ไม่มีอะไรก็ไปซะ” ครูพูดเสียงเรียบ
ขาทั้งสองข้างของผมวิ่งไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ เฮกเตอร์ที่แอบดูอยู่ห่าง ๆ ออกมาจากที่ซ่อน
“เจมส์ นายจะไปไหน” เขาถามขณะที่ผมวิ่งผ่าน
“หุบปาก” ผมตะโกน “ฉันจะฆ่านายแล้วมัดศพกับรถม้าลากไปทั่วโรงเรียน คอยดูเถอะ” ผมคิดถึงจุดจบของเจ้าชายเฮกเตอร์ในหนังเรื่องทรอย
เฮกเตอร์วิ่งตามผมมาติด ๆ เสียงหอบของเราสะท้อนในโถงทางเดิน จนกระทั่งมาถึงห้องสมุด ผมถอดรองเท้าวางไว้ข้างนอกรีบปิดประตูแล้วพิงตัวกับผนัง ลมหายใจหอบไม่เป็นจังหวะ เฮกเตอร์เองก็เช่นกัน
“นายตามฉันมาทำไม” ผมมองเขาก่อนจะเบือนหน้าหนี
“ฉันแค่อยากมีเพื่อน” เขาตอบอย่างจริงใจ
“ทุเรศมาก ฉันเกือบซวยเพราะนายแล้วรู้มั้ย” ผมยังโกรธไม่หาย
“ยังไงก็เถอะ ขอบคุณนะที่ช่วยฉัน” น้ำเสียงเฮกเตอร์มีความโล่งอกเจืออยู่ในนั้น
...****************...
ในห้องสมุดมีคนอยู่สองประเภท แบบแรกคือหนอนหนังสือขยันอ่าน กับแบบที่สองคือพวกขี้เกียจสันหลังยาวที่เข้ามางีบหลับหลังจากกินข้าวเสร็จ ผมน่าจะเป็นส่วนผสมของทั้งสองแบบ และเมย์… เธอเป็นแบบไหนถึงได้วุ่นวายกับผมไม่หยุด
“มาช้าจัง” เมย์ร้องขึ้นทันทีที่เห็นผมกับเฮกเตอร์เข้ามาในห้องสมุด
“นี่เธอพูดกับฉันเหรอ” ผมถามพลางหันไปมองซ้ายขวา
เด็กหญิงลุกจากโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองหนังสือแล้ววิ่งตรงมาหาผม
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าบื้อ คราวหน้าคราวหลังก็หัดรักษาเวลาด้วย” เมย์พูดแล้วดึงแขนผมไปนั่งที่โต๊ะของเธอ เฮกเตอร์เดินตามมาอย่างช่วยไม่ได้
“นั่งลง!” เธอสั่ง
ผมกับเฮกเตอร์นั่งลง เมย์กอดอกทำหน้าขึงขัง “เอาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจ พูดออกมาได้เลย”
“พูดอะไร” ผมถาม
“ก็พูดเรื่องของเราไง” เธอตอบ
“เรื่องของเราที่ไหน ไม่มี” ผมส่ายหน้ารีบปฏิเสธ
“แหม ก็เรื่องนั้นแหละ” เมย์ยังคงพูดเป็นปริศนา
“เรื่องนั้นน่ะมันเรื่องอะไรล่ะ” ผมชักเริ่มหงุดหงิด
เมย์ขยับเข้าใกล้ผม เอามือป้องปากกระซิบคล้ายกับกลัวใครได้ยิน
“เรื่องที่นายจะขอให้ฉันรับเข้าทีมค้นหาสมบัติยังไงล่ะ” ในที่สุดเธอก็เฉลย
“ห๊ะ ฉันพูดแบบนั้นตอนไหน” ผมเลิกคิ้วถาม
“เธอนี่ปากแข็งจริง” เมย์พูดพร้อมใช้มือจิ้มหน้าอกผม
“ส่วนเธอก็ไม่ฟังใครเหมือนกัน” ผมย้อนบ้าง แต่ไม่ได้จิ้มกลับ เพราะมันคงไม่สุภาพ
“โอเค งั้นตกลงตามนี้” เมย์พูดเองเออเอง
“เดี๋ยว ฉันยังไม่ได้ตกลง” ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมงงไปหมด
“เป็นอันว่ารู้กัน” เมย์ยกมือทำท่าโอเค
“ส่วนเธอ… เฮกเตอร์ มาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบ” เมย์ชะโงกหน้าไปพูดกับเฮกเตอร์
“เอ่อ… เปล่า คือฉันแค่…” ผมว่าเฮกเตอร์ก็คงสับสนไม่แพ้กัน
“ก็ได้ เห็นแก่เจมส์ ฉันจะรับเธอเข้าทีมอีกคนก็แล้วกัน” เมย์ยื่นมือออกไป เฮกเตอร์จับมือเธออย่างงง ๆ
“เดี๋ยวสิ ทีมอะไร” เฮกเตอร์ปล่อยมือแล้วหันมามองผมคล้ายขอคำอธิบาย
“อย่ามาถามฉัน ฉันก็เพิ่งเข้ามาในนี้พร้อมกับนาย” ผมปฏิเสธจะตอบคำถาม
เมย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาเถอะ เธอเพิ่งมาใหม่คงไม่เข้าใจหรอก”
“ไม่เข้าใจอยู่แล้ว” เฮกเตอร์ยอมรับ “เธอพูดว่าเอาเถอะอะไร”
“แสดงว่าเธอไม่ตั้งใจฟังใช่มั้ย เฮกเตอร์” เมย์ทำเสียงดุ
“ฉันฟังอยู่ แต่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอพูดเรื่องอะไร” เฮกเตอร์ยิ่งสับสนขึ้นเรื่อย ๆ
“เรื่องทีมของเราน่ะสิ”
“ทีมของเรา? ทีมอะไร”
“ก็ทีมค้นหาสมบัติยังไงล่ะ ซื่อบื้อเอ๊ย เธอไม่ได้ฟังที่ครูพูดเมื่อเช้าเหรอว่าสมบัติทั้งหมดถูกซ่อนไว้ที่โรงเรียน บ้านครูรินถึงไม่มีสมบัติอะไรเลย”
“เอ่อ… ฉันว่านั่นเป็นมุกตลกของครูมากกว่านะ” เฮกเตอร์ขอค้าน
“เธอนี่มันซื่อบื้อจริง ๆ ถ้าโรงเรียนนี้ไม่มีขุมทรัพย์ครูก็ต้องบอกว่าไม่มีสิ แต่ครูไม่ได้ปฏิเสธด้วยซ้ำ ซึ่งฉันเชื่อเต็มร้อยว่ายังไงมันก็ต้องมี เพราะทุกคนรู้ว่ามันถูกซ่อนไว้แต่ยังไม่เคยมีใครหาเจอ นั่นหมายความว่าสมบัติยังอยู่ในนี้ ที่นี่ ตรงไหนสักแห่งของโรงเรียน” เมย์ชี้นิ้วลงบนโต๊ะ
“ทีนี้เข้าใจหรือยัง” เธอจ้องหน้าเราอย่างเอาจริงเอาจัง
“เข้าใจว่า?” แน่นอน เฮกเตอร์ตามไม่ทัน
“โอ๊ย… ทำไมลูกน้องฉันซื่อบื้อได้ขนาดนี้เนี่ย” เมย์โอดครวญ
“เดี๋ยว ใครเป็นลูกน้องใครนะ” ผมประท้วง
“ก็เธอสองคนไง ฉันเป็นลูกพี่ เป็นหัวหน้าทีมค้นหาสมบัติที่เราเพิ่งก่อตั้งกันเมื่อกี้ ลืมแล้วเหรอ”
“อ่า…” เฮกเตอร์อ้าปากค้าง กะพริบตาปริบ ๆ ดูเหมือนสมองของเขาจะไม่ประมวลผลแล้ว
ยังไม่ทันที่เราจะตกลงกันเสร็จ ปัญหาใหม่ก็เดินผ่านประตูห้องสมุดเข้ามา สองรุ่นพี่เกเร เขื่อนกับเฉิงตูตามพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว
เฮกเตอร์สบตากับผมแล้วเราก็หันไปมองหน้าเมย์พร้อมกัน “ช่วยด้วยเมย์ สองคนนั้นกำลังตามล่าเรา” ผมกระซิบขณะมุดลงใต้โต๊ะ
สัญญาเลย ถ้าวันนี้เมย์ช่วยให้พวกเรารอด ผมจะยอมเรียกเธอว่าลูกพี่ก็ได้
...****************...
ท่ามกลางความเงียบในห้องสมุด ผมกับเฮกเตอร์ซ่อนตัวอยู่หลังชั้นหนังสือขนาดใหญ่ โดยมีเงาร่างของสองอันธพาลไล่ล่าไปทั่วห้อง
“แกไปดูฝั่งนู้น ทางนี้ฉันหาเอง” เสียงเขื่อนร้องสั่งเฉิงตู
ผมดึงแขนเสื้อเฮกเตอร์เบา ๆ ส่งสัญญาณให้ขยับต่อไป ทีละแถว ทีละแถว พวกเรากำลังเข้าใกล้ประตูทางออกห้องสมุดไปทุกที ขณะที่ก้าวย่างอย่างระมัดระวัง ไหล่ของเฮกเตอร์ก็ไปชนเข้ากับชั้นหนังสือ
ปึ้ก!
เสียงหนังสือเล่มหนึ่งตกกระทบพื้นดังลั่น
เฮกเตอร์ตัวแข็งทื่อ ผมหันขวับไปตามเสียง รีบยกมือปิดปากเขาไว้ไม่ให้เผลอร้องออกมา
ฝีเท้าหนัก ๆ เดินตรงมาทางพวกเราทันที
เขื่อนหยุดยืนหน้าชั้นหนังสือ มองซ้ายมองขวา พร้อมกับขมวดคิ้ว หรี่ตาดูกองหนังสือที่ตกอยู่บนพื้น ราวกับกำลังชั่งใจ
เฮกเตอร์กำเสื้อผมไว้แน่นจนรู้สึกได้
เขื่อนหยิบหนังสือที่ตกขึ้นมา ก่อนจะพึมพำกับตัวเองแล้วหันหลังเดินออกไปสมทบกับเฉิงตู ทั้งสองหายลับไปอีกทาง
ผมปล่อยมือออกจากปากเฮกเตอร์ เขาสูดลมเข้าลึก ๆ ใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ
“เกือบไปแล้ว…” เฮกเตอร์กระซิบเสียงสั่น
“ไปต่อ” ผมดึงเขาให้ก้มต่ำหลบอยู่หลังชั้นหนังสือ
พวกเราขยับตัวอย่างระมัดระวัง ทีละก้าว ทีละก้าว แต่แล้ว...
“จ๊ะเอ๋ตัวเอง” เขื่อนโผล่มาด้านหลังพวกเรา แสยะยิ้มยืนมองเหมือนเสือที่เจอเหยื่อของมันแล้ว
เฮกเตอร์หน้าซีด หัวใจผมเต้นโครมคราม แต่แล้วทันใดนั้น…
ปึ้ก!
เสียงหนังสือหล่นดังสนั่นไปทั้งห้องสมุด
“เอ๊อะ! ตีนฉัน” พี่เบิ้มร้องโอดโอยทันที
หนังสือปกแข็งหล่นทับอยู่บนนิ้วเท้าของเขื่อน สันของมันหนาจนผมรู้สึกเจ็บแทน
เมย์ยืนขวางพวกเราเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอยิ้มประกาศชัยชนะ
“อุ๊บ… ขอโทษที เผลอทำหลุดมือน่ะ” เมย์พูดเสียงใส แต่สีหน้าดูไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด
เด็กหญิงผู้กล้าหาญ เธอคือซาร่าห์ คอนเนอร์ เธอคือแคตนิส เอฟเวอร์ดีน คือฟูริโอซ่าของผม แต่ตอนนี้ผมต้องช่วยเธอจากอันตรายก่อน
“หนีเร็ว” ผมคว้าแขนเมย์กับเฮกเตอร์แล้ววิ่งไปตามซอกของชั้นหนังสือ
เขื่อนเดินกะโผลกกะเผลกพร้อมกับตะโกนสั่ง “เฉิงตู พวกมันไปทางแกแล้ว ดักไว้อย่าให้หนีไปได้”
เมย์ เฮกเตอร์ และผมหยุดชะงัก ชั้นหนังสือแถวสุดท้ายเป็นปราการเพียงหนึ่งเดียวที่กั้นพวกเรากับสองนักล่าเอาไว้ อันธพาลโรงเรียนมองผ่านช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือเหมือนสัตว์ร้ายที่จ้องเหยื่อของมัน
เมย์ขมวดคิ้ว กวาดสายตามองรอบตัวพยายามคิดแผนการบางอย่างในหัว ก่อนจะหันมากระซิบ
“ช่วยกันผลักชั้นหนังสือ”
“ห๊ะ” ผมกับเฮกเตอร์ร้องออกมาพร้อมกัน
“ไม่ต้องคิด ทำเลย”
เราสามคนวางมือแนบกับขอบชั้นหนังสือ นับจังหวะในใจ หนึ่ง… สอง… สาม… ผลัก!
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เร็วเข้า อีกที” เมย์กัดฟัน หนึ่ง… สอง… สาม…
ครืนนนน!!!
ชั้นหนังสือเอียงไปพิงกับอีกแถวหนึ่ง ก่อนจะล้มลงเป็นทอด ๆ ราวกับโดมิโน่ขนาดยักษ์ ดังสนั่นโครมครามไปทั่วห้องสมุด ฝุ่นคละคลุ้ง พร้อมกับเสียงร้องแตกตื่นของนักเรียนทุกคนที่อยู่ในนั้น
ผมยืนอ้าปากค้าง แทบไม่อยากเชื่อสายตาในสิ่งที่พวกเราทำลงไป
“พ่อกับแม่ต้องฆ่าฉันแน่ ๆ” เฮกเตอร์พูดอย่างสิ้นหวัง
“ช่างมันก่อน วิ่ง” เมย์สั่ง
เราสามคนพุ่งตรงไปที่ประตู ก่อนจะหายออกจากห้องสมุด ทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง และสองรุ่นพี่เกเรที่ถูกฝังอยู่ตรงไหนสักแห่งใต้กองหนังสือที่ล้มระเนระนาด
“ขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้นะ… ลูกพี่” ผมหันไปสบตาเมย์ที่กำลังเดินจ้ำอ้าวอย่างเร่งรีบ
“ด้วยความยินดี” เธอยิ้มให้ผมด้วยความภูมิใจ
วันนี้เองที่ผมได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าความรู้คืออาวุธเป็นยังไง
...****************...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!