NovelToon NovelToon

เรื่องราวที่เล่าขานตำนานรักนางพยากินรี

บทที่ 1 คำสัญญาใต้แสงจันทร์

ว่ากันว่า...

กินรีนางหนึ่งเคยเหินหากินในยามรัตติกาล ดั่งเงาละไมที่ล่องลอยไปตามลำแสงจันทร์ ราวม่านหมอกที่พลิ้วไหวใต้กลีบฟ้า นางมิใช่เพียงเงาสะท้อนแห่งปีก แต่คือบทเพลงไร้เสียงที่ชักนำใจให้หลงใหล

เสียงหัวเราะของนางอ่อนหวานดังสายลมแรกแห่งฤดูบุษบัน เย็นละมุนดุจมือนุ่มที่สัมผัสข้างแก้ม แต่ในความอ่อนโยนนั้นกลับซ่อนกลิ่นเย้ายวนลึกลับ ราวบุปผาเร้นราตรีที่ผลิบานในเงาจันทร์ ส่งกลิ่นหอมตรึงตราเฉพาะผิวเผิน หากแท้จริงซุกซ่อนพิษไว้ในเกสร

ผู้ใดเผลอใจฟังเสียงนั้น…ก็มิผิดอะไรกับผีเสื้อที่หลงเงาจันทร์ โบยบินเข้าหาแสงงามโดยไม่รู้ว่าปลายทางคือขุมนรกของกลีบไฟ

ทุกครั้งที่พระจันทร์ลอยสูงเหนือยอดไม้ ค่ำคืนก็พาใครคนหนึ่งหายไปทีละคน…ทีละคน เงียบงันดั่งดาวที่สิ้นประกายไร้คำร่ำลา ราวชะตากรรมที่ไม่ยอมเปล่งเสียง

เมื่อคืนแล้งนานวัน ความหวาดกลัวก็เริ่มฝังรากลึกลงในหัวใจมนุษย์ ดั่งหมอกหนาทอคลุมขอบฟ้าในฤดูหนาว ผู้คนเริ่มหวาดระแวงเงาทุกเงา เสียงทุกเสียงยามค่ำกลายเป็นถ้อยกระซิบจากยมทูตที่รอเรียกวิญญาณกลับสู่นิรันดร์

ตำนานที่เคยเป็นเพียงเสียงเล่าใต้แสงตะเกียง จึงกลายเป็นต้นเพลิงในใจ มนุษย์จึงรวมพลังกันอย่างเงียบงัน ร่ายเวทมนตร์จากความหวาดหวั่นและความโกรธเกรี้ยว จุดประกายเปลวเพลิงแห่งการล่า ราวดอกไม้ไฟในคืนสิ้นศรัทธา

และนั่น…คือจุดเริ่มต้นของสงครามใต้เงาจันทร์

เมื่อเหยื่อ…ไม่ใช่เพียงมนุษย์อีกต่อไป

และกินรี…ก็มิใช่นางในนิทานที่เคยเปล่งเสียงเพียงในบทกวี

ท่ามกลางเปลวเพลิงและความเคลือบแคลง ชะตาของกินรีผู้หนึ่งกับชายมนุษย์จึงพันเกี่ยวกันดั่งด้ายแดงแห่งโชคชะตา ถูกผูกไว้ในเวลาที่ผิดพลาด และรักกันในฤดูที่ไม่เอื้อ

แต่หากหัวใจยังเต้นตามเสียงของตนเอง…ใครเล่าจะห้ามไม่ให้รักผลิบานแม้ในเงามรณะ?

 

ปึก! เสียงปิดหนังสือเล่มใหญ่ดังก้อง

"เอาล่ะ ตัวแสบ พี่จะเล่าให้ฟังต่อพรุ่งนี้เช้านะ พี่สัญญา ตอนนี้ก็แปดโมงครึ่งแล้ว ได้เวลาซักผ้า!"

มือน้อยๆดึงชายเสื้อพี่สาวเบา ๆ "พี่คร้าบ~ ขอฟังต่อคืนนี้นะครับ พี่สาว~"

หญิงสาวร่างบางยิ้มเล็กน้อย พลางมองน้องชายอย่างเอ็นดู "ก็ได้ พี่สัญญา…แต่ถ้าพี่เห็นน้องไปเล่นใกล้สระน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่ พี่จะไม่เล่านิทานอีกเลยนะ เข้าใจไหม?"

"คร้าบ~ ผมสัญญาเลยครับพี่สาว!"

แต่เด็กน้อยคนนี้ก็ยังจะเล่นใกล้ๆขอบสระน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่อีก

... 

“ตึ๊งๆๆ! ได้เวลา 19:00 น.เป๊ะ! เข้านอนได้แล้วครับ!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยดังกังวาน ดั่งระฆังวิเศษปลุกเจ้าชายน้อยให้รีบซุกตัวใต้ผ้าห่มราวนักรบที่หลบภัยในหอคอยแห่งราตรี

แอ๊ด~ ตึ๊ง! เสียงประตูเปิดกะทันหัน ราวม่านเวทีละครที่ถูกดึงขึ้น เผยให้เห็นเงาผู้มาเยือน ฝีเท้าแผ่วเบาราวแมวป่าที่ไต่เข้ามาท่ามกลางความนิ่งเงียบ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงเก้าอี้ข้างเตียง

"ไอ้ตัวแสบ! ยังไม่นอนอีก ถ้านอนดึก เดี๋ยวก็ไม่โตหรอก!" น้ำเสียงพี่สาวดังขึ้นเบา ๆ ดั่งลมแผ่วพัดปลายใบไม้ มือของนางบีบแก้มของน้องชายอย่างอ่อนโยน ราวเมฆขาวโอบแสงอรุณ

"โอ๊ย~ พี่สาว ผมเจ็บนะ! ก็ผมรอฟังตำนานรักกินรีจากพี่นี่นา แล้ววันนี้พี่สัญญาไว้แล้วด้วยว่าจะเล่าให้ฟัง!" เสียงออดอ้อนของเด็กชายเปล่งออกมาราวลูกแมวที่แอบอ้อนขออ้อมกอด เขายื่นมือเล็ก ๆ ไปดึงแก้มพี่เบา ๆ ดุจผีเสื้อน้อยแตะกลีบดอกไม้

พี่สาวหัวเราะแผ่วเบา ดวงตาสว่างไสวราวดาวดวงน้อยกลางท้องฟ้าค่ำ ลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างแผ่วพลิ้ว ดั่งสายลมต้นฤดูใบไม้ผลิที่แอบปลุกดอกไม้ให้ผลิบาน

“ก็ใครกันล่ะที่มาผิดสัญญาแล้วมาอ้อน พี่ถึงใจอ่อนทุกที…ก็ได้ พี่จะเล่าให้ แต่เจ้าต้องหลับตา แล้วจินตนาการตามนะ”

“คร๊าบ~!”

 ...

เสียงลมแผ่วพัดผ่านป่าหิมพานต์ราวบทกล่อม ใบไม้เอนพลิ้วไหวภายใต้แสงจันทร์ ที่สาดลงผ่านยอดไม้ดั่งเส้นไหมเงิน ทอคลุมพื้นป่าไว้ดุจผ้าคลุมแห่งเวทมนตร์

ริมธารท่ามกลางโขดหิน ร่างหญิงสาวปรากฏ งดงามดุจภาพวาดจากจิตกรสวรรค์ ผิวเนียนละไมของนางเรืองรองภายใต้จันทรา ดั่งหยาดน้ำค้างบนกลีบดอกกล้วยไม้แรกเช้า

เส้นผมดำขลับพลิ้วไหวตามแรงลม คล้ายม่านรัตติกาลที่ขยับอย่างอ่อนหวาน ดวงตากลมโตสีเข้มลึกซึ้ง ราวสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนจิตวิญญาณของผืนป่า

อิริยาบถของนางงดงามประหนึ่งระบำสายลม ทุกการเคลื่อนไหวคือท่วงทำนองที่ธรรมชาติบรรเลง

นางคือ นางพญากินรีเชื้อสายพิเศษ ผู้มีปีกทองดุจแสงแรกของพระจันทร์เต็มดวง แผ่ประกายให้รัตติกาลมืดมนเปล่งแสงแห่งปาฏิหาริย์

ค่ำคืนนี้...จันทราลอยเด่นกลางเวหา ราวนัยน์ตาแห่งสวรรค์ จับจ้องชะตากรรมที่ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อย

ในความเงียบแห่งรัตติกาล เสียงลมหายใจของป่าและธารน้ำกล่อมโลกให้หลับใหล เงาร่างเล็ก ๆ ปรากฏอยู่หลังเถาวัลย์ ดวงตากลมใสเป็นประกายราวรวบรวมแสงดาวไว้ทั้งฟากฟ้า

วิหคจันทร์ เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ นางกินรีน้อยเชื้อสายสูงศักดิ์ แอบย่องออกจากเขตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่า ราวดอกไม้กลางคืนที่เบ่งบานใต้เงาไม้

เรือนผมสีดำสนิทปลิวไหวคล้ายม่านหมอกยามรุ่ง ปีกเล็กสีทองอ่อนเริ่มเปล่งแสง ดุจแสงอรุณแรกที่ยังไม่แจ่มชัด ทว่าเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งการเริ่มต้น

ก่อนจะได้เหินขึ้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ตามด้วยเสียงแผ่วนุ่มที่เปี่ยมอำนาจ

“เจ้าหนูน้อย…คิดว่าพี่จับไม่ได้หรือไง วิหคจันทร์”

เสียงของ ทิพากร ญาติสาวผู้สูงวัยกว่าดังขึ้น นางยืนใต้เงาไม้ใหญ่ ราวเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดวงตาคมลึกประหนึ่งหยาดฝนที่กลั่นจากเมฆสูง

วิหคจันทร์ชะงัก แล้วหันมายิ้มเจื่อน ๆ ราวอาทิตย์สุดท้ายของปลายหนาว “ข้าแค่อยากรู้ว่าโลกมนุษย์เป็นอย่างไร…เท่านั้นเอง”

ทิพากรมองนางด้วยแววตาอ่อนล้าแต่เปี่ยมรัก ราวสายน้ำเย็นที่หล่อเลี้ยงหินแห่งกาลเวลา

นางนั่งลงข้างโขดหิน ลูบเรือนผมของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน ดั่งลมไล้ผ่านยอดไม้

“โลกมนุษย์…ไม่ใช่ที่เจ้าควรไปยามนี้ มันซ่อนภัยที่มองไม่เห็น และบางครั้ง...มันไม่ให้อภัยแม้แต่ใจที่บริสุทธิ์ที่สุด”

“แต่พี่ก็รู้...เจ้าดื้อยิ่งกว่ากวางที่ไม่หลบฝน รั้นเสียยิ่งกว่าสายลมแล้งที่ไม่เปลี่ยนทิศ”

ทิพากรยิ้มบาง ๆ พลางถอนหายใจ “เพราะงั้น...พี่จะไม่ห้าม แต่จงจำไว้ วิหคจันทร์ หากเจ้าจะบินออกไป จงบินด้วยหัวใจที่ระมัดระวัง โลกมนุษย์มีทั้งพายุและสายฟ้า”

วิหคจันทร์พยักหน้าช้า ๆ ดวงตาฉายแววแน่วแน่ มือเล็กกำแน่นราวกุมคำมั่นศักดิ์สิทธิ์ “ข้าจะระวัง ข้าสัญญา...แล้วจะกลับมากอดพี่ให้แน่นที่สุดเลย!”

ทันทีที่คำพูดสิ้นสุด ปีกสีทองอ่อนก็แผ่กางออกช้า ๆ ดั่งกลีบดอกไม้แย้มรับแสงอรุณ และในชั่วขณะนั้น…ร่างน้อยก็ทะยานขึ้นฟ้า ฝ่าหมอกบางเหนือยอดไม้ ราวนกน้อยผู้กล้าโบยบินสู่โลกกว้างเป็นครั้งแรก

 ...

บทที่ 2 การพบเจอกัน

ทิพากร หลับตาทอดถอนใจให้กับโชคชะตาของผู้กล้าเล็ก ๆ ที่เพิ่งเริ่มโบยบิน

เสียงกระพือปีกเบา ๆ ของ วิหคจันทร์ คล้ายบทเพลงกล่อมหัวใจที่ถักทอด้วยด้ายแห่งความกล้า บรรเลงอยู่กลางความเงียบของค่ำคืนนางล่องลอยผ่านหุบเขา ป่าไผ่ และม่านหมอกบางที่ ความตื่นเต้น ความหวั่นไหว และฝันที่กำลังจะมีรูปร่าง

"ในที่สุดข้าจะได้เห็น โลกของมนุษย์จริง ๆ แล้ว"

เสียงพึมพำของนางเจือปนกับสายลมเย็น กลิ่นอายของโลกเบื้องล่างแตกต่างจากหิมพานต์ราวฟ้ากับห้วงสมุทร กลิ่นควันไฟ กลิ่นดิน น้ำค้างสดใหม่ และเสียงจิ้งหรีดที่สอดแทรกดั่งเสียงกระซิบจากผืนดิน…ทั้งหมดนี้ไม่อาจพบเจอในป่าอันศักดิ์สิทธิ์

ไม่นานนัก ดวงตากลมโตของวิหคจันทร์ก็เบิกกว้าง

กลางหุบเขาเบื้องล่าง มีแสงไฟริบหรี่ของหมู่บ้านเล็ก ๆ โอบล้อมด้วยแนวไม้ใหญ่ที่โน้มกิ่งคล้ายอ้อมแขนของผู้เฝ้ารักษา และลำธารสายยาวที่ไหลคดเคี้ยวประหนึ่งเส้นด้ายโชคชะตาที่พาดผ่านผืนแผ่นดิน

เงาร่างเล็กของนางร่อนลงอย่างเงียบเชียบ ยึดเกาะอยู่บนกิ่งไม้สูง แอบมองโลกมนุษย์ด้วยหัวใจเต้นระรัว

ในหมู่บ้านนั้น วิหคจันทร์มองเด็กชายผู้หนึ่งนั่งสงบนิ่งใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ เขาใช้ถ่านวาดภาพลงบนหินแผ่นแบน มือเปื้อนเขม่าดำ แต่แววตากลับสว่างเหมือนแสงเทียนในห้องมืด ดวงหน้าเรียบเฉยแฝงความลึกซึ้งเกินวัย

 " เขาดู…แตกต่างจากที่พี่ทิพากรเล่า "

เสียงกระซิบของวิหคจันทร์เบาบางกว่าลมหายใจ ทว่าเต็มไปด้วยความสงสัย

เด็กชายมีดวงตาเศร้า เหมือนผู้ที่เคยสัมผัสความสูญเสียแต่ยังไม่ยอมให้ใจตาย แววตาของเขาคือเปลวเทียนที่ยังฝืนส่องแสงแม้พายุจะโหมกระหน่ำ

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากอีกฟากของหมู่บ้าน

" ศานต์ ! เจ้าหนีออกมาอีกแล้วนะ! แม่ตามหาเจ้าให้วุ่น!"

เสียงหญิงสาวดังขึ้น ก่อนร่างของนางจะปรากฏใต้ต้นโพธิ์

หญิงผู้นั้นสวมผ้าคลุมสีจาง ดวงหน้านวลเนียนเปื้อนเหงื่อ หากแววตากลับอ่อนโยน ราวแสงแรกของวันใหม่ที่ส่องผ่านม่านหมอกในยามหนาว ความเหนื่อยล้าบนใบหน้านางยังมิอาจกลบความรักที่เปล่งประกายจากหัวใจ

เด็กชายหันมายิ้มเจื่อน ๆ ถือหินวาดรูปแนบอก

 “ ข้าแค่อยากวาดฝันก่อนเข้านอน...แม่ครับผมฝันถึงกินรีอีกแล้ว ตัวเป็นแสงทอง...บินอยู่เหนือป่าอย่างอิสระ”

หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มเลือนหายชั่วขณะนางจะโอบกอดเขาไว้แน่น

“งั้นคืนนี้แม่จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจนฝันดี...ไม่ต้องกลัวนะ ศานต์”

คำว่า "กินรี" สะกิดบางสิ่งในใจวิหคจันทร์ ราวสายลมที่กระทบสายพิณในห้วงความทรงจำ นางจ้องมองภาพสองแม่ลูกนั้นด้วยความซึ้ง

อ้อมกอดนั้น…ชวนให้นางนึกถึง ทิพากร อย่างจับใจอ้อมกอดอุ่นๆที่เคยกอดนาง

ขณะเดียวกันนั้น เงาดำบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ตรงชายป่าห่างออกไป ดวงตาคู่หนึ่งส่องแสงสีแดงเรืองในความมืด เหมือนเปลวเพลิงซ่อนอยู่ในเงามัจจุราช เงาร่างของมันขยับใกล้เข้ามาทีละก้าว ราวเงาของโชคชะตาที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยง

วิหคจันทร์เบิกตากว้าง หัวใจเต้นโครมคราม มือเล็กกำแน่นด้วยสัญชาตญาณ ก่อนจะผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ทำให้ใบไม้ร่วงหล่นลงไป

ศานต์เงยหน้าขึ้น แววตาพบกับประกายแสงสีทองวูบหนึ่งบนยอดไม้ ก่อนจะหายวับไปราวกับความฝัน

“นั่นมัน…”

“อะไรหรือศานต์?”

“…ไม่มีอะไรครับแม่” เขาตอบเบา ๆ หากแต่หัวใจยังไม่อาจลืมภาพเมื่อครู่ได้เลย

และในขณะเดียวกันนั้น วิหคจันทร์ก็เริ่มเข้าใจว่า…

โลกมนุษย์นี้ มิได้มีเพียงสิ่งงดงามดังแสงดาว แต่ยังเต็มไปด้วยเงามืดที่รอคอยจะแสดงโฉม

และนี่…คือย่างก้าวแรกของเธอ ในโลกที่เปี่ยมด้วยปริศนา หัวใจ และชะตากรรมอันเร้นลับซึ่งยังไม่มีใครล่วงรู้

นางยังเฝ้ามองภาพเด็กชายผู้นั้น—ศานต์—จากยอดไม้สูง ราวจิตใจถูกผูกไว้ด้วยสายใยบางเบาที่ไม่อาจอธิบาย ความอบอุ่นที่แผ่ออกจากแม่ของเขาชื่อ เสาวนี ก็กระซิบถึงความผูกพันลึกซึ้งบางอย่างที่ไม่ใช่เพียงสายเลือด หากแต่คือสายธารแห่งความรักแท้จากหัวใจหนึ่งสู่หัวใจหนึ่ง

หมู่บ้านที่อยู่เบื้องล่างชื่อว่า “อรุณสรา” หมู่บ้านที่แปลว่า “แสงแรกของรุ่งอรุณ” สมชื่อด้วยบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์และผู้คนผู้ยังศรัทธาในความดี ความสงบที่ปกคลุมหมู่บ้านนั้น เปรียบดังผ้าฝ้ายสีจันทร์ที่ห่มหุ้มแผ่นดินไว้ให้ไกลจากเพลิงทุกข์

ทว่าสิ่งใดก็ตามที่สงบย่อมต้องมีสิ่งตรงข้ามรอคอยอยู่ในเงามืด...

ณ ชายป่าด้านทิศเหนือ ที่ซึ่งหมู่ไม้แน่นขนัดจนแสงจันทร์ไม่อาจเล็ดลอดเข้าไปได้ เงาร่างหนึ่งยืนแน่นิ่งอยู่เบื้องหลังม่านไม้เงียบงัน ดวงตาของมันคือเหล็กไฟสองดวงที่ลุกโชนอยู่กลางเถ้าถ่านแห่งความแค้น

“เรณุเวฬา” —หญิงผู้มีนามอ่อนหวานราวละอองลม แต่หัวใจแข็งกร้าวเหมือนหินผา เธอคือร่างเร้นของอดีตผู้เฝ้ารักษาดินแดนโบราณผู้พลัดตกจากเกียรติยศ และเลือกจะอยู่ร่วมกับเงามืดเพื่อเอาคืนโลกที่เคยทอดทิ้ง

"กลิ่นของมัน...กลิ่นของพงศ์เผ่าหิมพานต์" นางกระซิบเบา ลมหายใจของเธอเย็นเยียบจนหยดน้ำค้างในอากาศเกาะตัวเป็นเกล็ด

ในอีกมุมหนึ่งของท้องฟ้า วิหคจันทร์ยังไม่ขยับไปไหน ความรู้สึกบางอย่างในอากาศกำลังทำให้ขนที่ต้นคอของนางลุกชัน ราวกับลมจากแดนวิปโยคกำลังเคลื่อนผ่าน

"หากสิ่งนั้นมาจากเงา...ข้าจำต้องเตือน"

นางผงกศีรษะเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ โบยบินสู่ทิศที่เงานั้นสั่นไหว ใต้ปีกบางเบาที่สะท้อนแสงจันทร์ มีประกายแวววาวคล้ายแสงดาวหลงฟ้า

ศานต์เองก็ยังไม่หลับ เขานอนตะแคงอยู่บนเบาะไม้ไผ่ เสียงแม่หายใจเบา ๆ อยู่ข้างกายคือเสียงเพลงกล่อมใจที่เขารักที่สุด ทว่าในดวงตานั้น ยังมีประกายแห่งคำถามที่ไม่สิ้นสุด

“ตัวเป็นแสงทอง...บินอยู่เหนือป่า…” เขาพึมพำกับตนเอง

กลางดึกนั้น เสียงแผ่วบางของใบไม้ที่ไหวปลิวเข้ามาในห้องน้อย ๆ ผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดแง้ม กลิ่นหอมอ่อนของกลีบดอกจำปีที่ปลิวมาติดปลายจมูก ราวกับโลกภายนอกกำลังส่งสารบางอย่างเข้ามาในฝันของเขา

และในขณะที่เด็กชายหลับตาลงในที่สุด เงาสีทองอ่อนก็บินโค้งผ่านฟ้าอีกครั้ง—สูงพอจะไม่ให้ใครมองเห็น แต่ต่ำพอจะได้ยินเสียงลมหายใจของผู้คน

ในใจของวิหคจันทร์มีเสียงของทิพากรดังอยู่แผ่วเบา

“หากเจ้าจะรู้จักโลกมนุษย์...จงอย่าดูแค่เพียงแสงไฟ จงฟังเสียงเงาด้วยหัวใจให้เป็น”

นางหลับตาลงชั่วขณะ ให้สายน้ำในอกไหลเวียนอยู่เงียบ ๆ

คืนนี้เป็นเพียงบทเริ่มของเรื่องราวที่ยาวไกล—เรื่องราวของการรู้จักโลก รู้จักใจ และการเผชิญหน้ากับสิ่งที่แม้แต่ในหิมพานต์ยังไม่มีผู้ใดกล่าวถึง

และแล้ว...รัตติกาลอันอ่อนโยนก็ดำเนินผ่านไป พร้อมเสียงกระพือปีกที่หายไปกับแสงจันทร์

---

บทที่ 3 การรู้จักกัน

แสงแรกแห่งอรุณรุ่งฉาบไล้ผ่านผืนหมอกบางที่คลี่คลุมหมู่บ้านอรุณสรา เหมือนแปรงวาดของฟ้าสีทองลูบไล้ผืนดินให้ตื่นขึ้นอย่างอ่อนโยน กลีบดอกไม้ยามเช้าเริ่มคลี่บานรับหยาดน้ำค้าง ดั่งรอยยิ้มแรกของวันใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือระวังตัว

เสียงไก่ขันแว่วเบา ๆ ในห้องไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่มุงด้วยใบจาก เด็กชายศานต์ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน เขาบิดขี้เกียจพลางพึมพำ

"แสงทอง...จริงด้วย..." เขายังจำได้ถึงเงาแปลกตาเมื่อคืนที่ทิ้งประกายวูบไหวในใจ คล้ายจะเป็นฝัน...แต่หัวใจก็ยังไม่อาจคลายความรู้สึกนั้นลงได้

ขณะที่เขาค่อย ๆ เดินออกไปล้างหน้าตรงบ่อไม้ไผ่เล็ก ๆ ข้างบ้าน สายลมเย็นเช้าพัดหอบกลีบดอกจำปีปลิวมาชนจมูกเขาพอดี

"อีกแล้ว..." ศานต์พึมพำก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วเอื้อมมือรับกลีบดอกไม้นั้นไว้

และในห้วงขณะเดียวกัน ท่ามกลางแสงตะวันอ่อน วิหคจันทร์ก็กำลังนั่งเหยียดขาบนกิ่งไม้สูงของต้นจำปีหลังเขตหมู่บ้าน ดวงตากลมโตจ้องมองเด็กชายด้วยความใคร่รู้ และอดจะอมยิ้มไม่ได้

“มนุษย์...ขี้เกียจเหมือนกวางขนฟูยามหนาวเลยนะ”

น้ำเสียงแผ่วเบาของนางปะปนกับเสียงลมเช้า แต่หากมีใครอยู่ใกล้กว่านี้ คงได้ยินเสียงหัวเราะกลั้น ๆ คล้ายจะขบขัน...แต่แฝงด้วยความอบอุ่นบางอย่างที่นางเองก็ไม่ทันรู้ตัว

ทันใดนั้นเอง—

"โครม!"

เสียงบางอย่างตกจากกิ่งไม้ วิหคจันทร์ตกลงมากลางพุ่มไม้พอดี ขนนกติดใบไม้ฟูฟ่องเหมือนเมฆปุยนุ่นตกใส่พื้นโลก

“โอ๊ย! ข้าแค่ขยับตัวนิดเดียวเองนะ…”

นางพึมพำพร้อมผุดลุกขึ้นมาปัดใบไม้ออกจากปีก แต่สายตาของศานต์ที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ไม่ไกล ทำให้นางชะงัก

ดวงตาทั้งคู่สบกัน ดั่งเงาสะท้อนในสายน้ำที่นิ่งงัน

"...แสงทอง..." เขาเอ่ยออกมาเบา ๆ ก่อนจะเบิกตากว้าง “เจ้าเป็น...กินรีจริง ๆ เหรอ?!”

“เอ่อ...ไม่ใช่ซะหน่อย!” วิหคจันทร์รีบปฏิเสธ หน้าแดงระเรื่อเหมือนลูกพุดสุกกลางแดด “ข้า...ข้าแค่หลงทางเฉย ๆ!”

ศานต์ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอียงคออย่างนึกสงสัย “…กินรีหลงทาง? นี่มันฟังดูแปลกกว่าฝันข้าอีกนะ”

“แล้วเจ้าฝันว่าอะไรล่ะ?” นางย้อนถามพร้อมลูบปีกเบา ๆ พลางพยายามยืดหลังให้ดูสง่ากว่าเดิม

ศานต์ยิ้มกริ่ม “ก็...มีแสงทองบินผ่านฟ้า แล้วก็ตกลงมาใส่พุ่มไม้เหมือนตอนนี้เป๊ะเลย!”

วิหคจันทร์ทำหน้างอ “เจ้านี่! ปากดีนักนะมนุษย์!”

“ข้าชื่อศานต์ ไม่ใช่มนุษย์” เขาว่าแล้วก็ยักไหล่

“แล้วเจ้าล่ะ? จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร?”

นางเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวช้า ๆ “ข้าชื่อ...วิหคจันทร์” วิหคจันทร์ตอบ

ศานต์ยิ้มกรุ้มกริ่ม “ข้าจะไม่บอกใครก็แล้วกัน...ว่าเจ้ายังบินไม่ได้”

“เจ้าบังอาจนัก!” นางพึมพำเสียงลอดไรฟัน ปีกกางแผ่วเหมือนจะฟาดลงอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงยกมันขึ้นครึ่งทางเพราะบาดเจ็บ แล้วปล่อยลงราวกับลมเหนื่อย

บรรยากาศรอบกายเงียบลงชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมอ่อนที่ไล้ผ่านแนวไม้ไผ่

ศานต์ยื่นมือออกไปดึงเศษฟางเล็ก ๆ ออกจากปลายปีกนางเบา ๆ

“ไม่ต้องกลัวนะ ข้าไม่ให้ใครมาจับเจ้าขังแน่...ต่อให้แม่ข้าจะป้อนข้าวเจ้าทั้งวันจริง ๆ ก็ตามที”

วิหคจันทร์นิ่งไป ดวงตากลมโตของนางทอดมองเด็กชายอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ

“…เจ้าดีกับข้าเกินไปหรือเปล่า?”

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทำยังไงล่ะ?” ศานต์ถามกลับ “เจอคนตกลงมาจากฟ้า ทั้งสวยทั้งมีปีก จะให้ข้าผลักกลับขึ้นไปเลยเหรอ?”

คำพูดนั้นทำให้แก้มนางขึ้นสีแดงระเรื่อราวกลีบดอกซ่อนกลิ่นเมื่อยามสาย นางหลบตา กัดริมฝีปากแน่น แล้วว่าเบา ๆ

“ข้าไม่สวยขนาดนั้น…”

“แล้วใครเป็นคนตัดสิน?” ศานต์ว่า “เจ้าสวยในแบบของเจ้าเอง เหมือนดอกไม้ป่าที่ไม่ได้ปลูกในกระถางทอง...แต่งดงามในที่ของมัน”

ศานต์ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ “แล้วก็วิหคจันทร์…เป็นชื่อที่สวยดีนะ เหมือนพระจันทร์ที่มีปีก”

เมื่อวิหคจันทร์ได้ยินนางเบือนหน้า แต่ปลายหูแดงจัด

ในขณะเดียวกัน ศานต์กำลังพา “วิหคจันทร์” ไปซ่อนที่หลังบ้าน

“เจ้าจะอยู่ที่นี่ได้ไหม? แม่ข้าจะตื่นแล้วนะ อย่าเผลอโผล่มาให้เห็นล่ะ”

“ทำไมล่ะ?” นางถาม “แม่เจ้าใจดีออก…”

“นั่นแหละ! เพราะนางใจดีเกินไป ถ้าเห็นเจ้ามีปีก นางจะจับเจ้าขังไว้ในห้องแล้วป้อน น้ำ ข้าว จนเจ้ากลายเป็นนกเลี้ยงแน่ ๆ!”

“อะไรของเจ้า! ข้าไม่ใช่นก!”

เสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่วิหคจันทร์ทำท่าจะฟาดปีกใส่เขาอย่างไม่จริงจัง

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!