ของตาย โดย ศศิศิลป์
Begin.........
____________________________
"บริษัทยินดีต้อนรับนะครับคุณศรัณ.." เจ้านายคนใหม่ของ ปลื้ม ศรัณ กล่าวกับเขา ก่อนที่จะยกมือยื่นไปข้างหน้าเพื่อจับมือตามธรรมเนียมสากล
"ขอบคุณมากครับ.." ปลื้มบอกออกไปด้วยความดีใจ
เขาหางานมาหลายเดือนแล้ว หลังจากที่ย้ายมาจากอีกจังหวัดเพราะทะเลาะกับพ่อเลี้ยง มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เขารู้มาเสมอว่าพ่อเลี้ยงมองเขาเหมือนภาระคนนึงในครอบครัว
ทำงานเป็นพนักงานขายของในห้างตั้งแต่เรียนจบ แต่ต้องระหกระเหินมาที่นี่ ไม่มีอะไรติดตัวมานอกจากความสู้
จนได้นำวุฒิปริญญามาสมัครงานเป็นแผนกสโตร์ของบริษัทผลิตโฆษณาแห่งหนึ่ง หน้าที่ของเขาคือรับผิดชอบของที่ออกไปแล้วกลับมาเก็บ คอยเช็ค สั่งซื้อสั่งเบิก ดีที่เจ้านายใหม่ใจดีรับทำงาน
"ฮัลโหลแม่ .." รับสายจากมารดาระหว่างที่มานั่งข้างล่างบริษัท ออฟฟิศเป็นตึกรวมที่ไม่ได้มีแค่บริษัทที่เขาจะทำ มันกินพื้นที่แค่ชั้น3และ4เท่านั้น
"เป็นไงบ้างลูก ทำงานเหนื่อยมั้ย.." แม่ถามด้วยเป็นห่วง เธอลำบากใจ แต่เขาลำบากใจมากกว่าเพราะแม่มีน้องคนเล็กกับพ่อเลี้ยง เธอยังอยู่แค่ชั้นประถม เขาไม่อยากรบกวนชีวิตใหม่แม่
ที่สำคัญแม่นึกว่าเขามาอยู่สุขสบายดี แต่เปล่าเลย นิ้วเรียวๆยกขึ้นมาไขว้กันที่ต้องพูดโกหก
"ครับแม่...อ๋อ ไม่เหนื่อยเลย เนี่ยสบายมากก เจ้านายใจดี๊ดี ไว้ถ้ามีเงินเก็บเยอะๆนะจะส่งไปให้แม่ใช้นะ.." ปลื้มโกหกออกไป ส่งไปได้อย่างไร ลำพังเงินเก็บที่ติดตัวมาก็จะไม่เหลือแล้ว ค่าเช่าห้องยังไม่ได้จ่ายเลย
"ไม่ต้องหรอกลูก มีกินมีใช้ก็พอแล้ว.." เธอว่า ก่อนจะคุยอีกสองสามคำแล้วขอวางสายไป
สายตาคมของคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ได้ฟังบทสนทนาทะแม่งๆของว่าที่เด็กใหม่ของบริษัทก็ขำ ฟังแล้วยังไงก็ไม่น่าจะจริง เพิ่งมาสมัครงานวันนี้เจ้านายใจดีเงินเดือนดีที่ไหนกัน
ก้อง พลกร ครีเอทีฟหนุ่มส่ายหน้าไปมา ดูดอีกสองสามทีก็คงจะหมดระหว่างมาผ่อนคลายสมองล่างตึกที่มุมที่จัดไว้สำหรับนักสูบ เสียมารยาทไม่แสดงตัวออกไปแอบฟังคนที่ยกยิ้มแต่ก็เต็มไปด้วยความกังวลเหมือนแบกความรู้สึกและโลกทั้งใบไว้
"ฮัลโหล...คะ ครับ.." จู่ๆเสียงเดิมที่ได้ยินก็เปลี่ยนเป็นเสียงอึกอักท่าทางเลิกลัก
"ขอโทษครับเจ้ ผมขอเวลาหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมได้งานแล้ว แล้วจะรีบหาเงินมาจ่าย.." เสียงนั้นบอกปลายสาย ก้องฟังอย่างสนใจ
"ขอเวลาให้หน่อยนะครับเจ้ ขอเวลาผมหน่อย.. อาทิตย์นึงหรอครับ เอ่อ .. ได้ครับ ได้ๆอาทิตย์นึง.." เสียงตกใจและกังวลกลัวนั้นใครผ่านมาได้ยินก็คงเวทนา
วางสายไปพร้อมกับตัวสั่นๆ คนๆนั้นร้องไห้สักพัก ก็ปัดน้ำตาแล้วหันมองซ้ายขวามาเจอเขาเข้า ก้องรีบเขี่ยแท่งในมือทิ้งก่อนจะเดินกลับเข้าตึกไป
เด็กใหม่ของบริษัทดูจะเงียบๆแต่ก็เข้ากับทุกคนได้ดี เป็นที่ถูกใจของเหล่าพร๊อบเป็นอย่างมาก เพราะคอยช่วยเขาไปเรื่อย บางครั้งก็ได้ออกกองไปด้วยตอนคนไม่พอ
ปลื้มเรียนรู้งานไว และเออออห่อหมกไปหมด ติดจะโดนเอาเปรียบอย่างเห็นได้ชัดแม้แค่ในไม่กี่วัน ดีที่เจ้าของบริษัทอย่างปิง และพาร์ทเนอร์บริษัทอย่างจีนคอยจับตาดูอยู่
"พี่แมวครับ พอจะทราบมั้ยครับว่าแถวนี้มีที่พักถูกๆตรงไหนบ้าง.." ปลื้มถามแม่บ้านออกไป เธอเป็นสาวใหญ่ที่มาจากต่างจังหวัดเช่นกัน
"พี่ไม่ค่อยรู้หรอกน้องเอ้ย ต้องลองถามคนอื่นๆดู ลองไปถามก้องดูมั้ย หรือไม่ก็พวกแทน แหม่มพวกนั้นน่ะ.." เธอว่าก่อนจะกลับไปสนใจงานต่อคือการทำความสะอาดครัวในยามเที่ยง
"ผมไม่ค่อยสนิทด้วยสิ.." ปลื้มงึมงำ ในรายชื่อนั้นพี่แหม่มเป็นฝ่าย AE ติดต่อลูกค้า ส่วนอีกสองคนเป็นครีเอทีฟ ก้องเขาเคยพบวันแรกแต่ก็เคยคุยเพียงผ่านๆ
ตอนนี้กลายเป็นปลื้มมานั่งเหงาอยู่ที่โต๊ะตนเองที่ติดกับห้องเก็บของ โซนนี้ไม่ค่อยมีใครผ่านมา อยู่ติดกับฝ่ายพร๊อบและสมาชิกที่ต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆทั้งนั้น
"ไงปลื้ม มีอะไรจะปรึกษาหรือเปล่า.." จู่ๆก้องก็เดินมาทักทาย ทำเอาปลื้มสะดุ้งตัวโยน
"เอ่อ .." อึกอักเพราะงง คนเดินมาทักไม่ใช่หรือที่ต้องมีเรื่องจะพูดด้วย
"เห็นพี่แมวมาเล่าให้ฟังน่ะ หาที่อยู่ใหม่หรอ..." ก้องถามใบหน้านิ่งๆ ปากไม่ได้ยิ้มแต่หน้าไม่ได้ดูดุใดๆ
"ครับ พอดีอยากได้ที่พักใหม่ราคาสู้ไหว ที่เดิมค่อนข้างจะหนักอยู่และไกลด้วยครับ.." เขาบอกไปตามตรง
"พูดธรรมดาก็ได้ ห่างกันปีสองปีเองมั้ง.." ก้องว่า
"เฮ้ย มาแกล้งอะไรน้องใหม่วะ.." คนที่จำได้ว่าชื่อแทนเข้ามาสมทบอีกคน
"บ้าหรอมึง กูเจอพี่แมว แกเลยบอกว่าพอดีปลื้มหาที่อยู่ใหม่อยู่ เลยให้กูมาช่วยแนะนำ.." เสียงทุ้มอธิบาย
"ยากเลยว่ะปลื้ม แถวนี้ห้องไม่ค่อยว่างเลยแฮะ มีก็แพง นี่ดีมีรถนะ..แต่ขับมาก็ตื่นอย่างเช้าอะ.." แทนบ่น
"ตอนนี้พักแถวไหนอะ.." ก้องถาม เผื่อมีรายละเอียดเพิ่มเขาอาจจะพอช่วยได้
"แถวร้านเนื้อ ** น่ะ.." บอกพิกัดเด่นไป
"เฮ้ยก็ไม่ไกลมากนะ แถวนั้นแถวบ้านไอ้ก้องเลย" แทนว่า
"พอดีเราไม่มีรถอะ มันหลายต่อหน่อย.." ปลื้มว่า เขาดูไม่มีอะไรพร้อมเลย
"เฮ้ยโทษ... เอ่อ งั้นไปทำงานก่อนนะ.." แทนรู้สึกผิด รีบกล่าวขอโทษและเดินตัวลีบออกไป
"เอางี้ ช่วงนี้ก็มาทำงานด้วยกันก็ได้ จะได้ง่ายขี้น.." ก้องว่ายกยิ้มน้อยๆ
"เฮ้ย ไม่เป็นไร ลำบากก้องแย่เลย อีกอย่างเราเพิ่งมาทำได้ไม่กี่วัน..ยังไม่รู้จักกันดีเลย.." ปลื้มว่า จะบ้าหรือไง เขามาทำไม่กี่วันจะไปรบกวนคนอื่นเสียแล้ว
"คิดมากนา นี่ไงจะได้ทำความรู้จักกัน ไหน เอาเบอร์มาหน่อย.." พูดไม่พอหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาเตรียมพร้อมรอ
หลังจากวันนั้นก้องก็รับเขามาทำงานด้วยทุกวันจริงๆ ปลื้มรู้สึกเกรงใจ แต่เพราะเหตุผลจากเจ้าของรถที่ว่าให้ช่วยภาวะโลกร้อนและถือว่านั่งเป็นเพื่อนมาทำงานก็ทำเอาเขาต้องยอมลูกบังคับ ดีเสียอีก เขาลดเงินที่มีน้อยนิดประหยัดการเดินทางไปได้เยอะ
วันนี้วันหยุดก้องตื่นแต่เช้าเพื่อพาพ่อออกไปหาหมอที่โรงพยาบาล ระหว่างทางกลับนั้นเองก็ผ่านคนคุ้นหน้าเดินถือกระเป๋าเช็ดน้ำตาออกมาจากห้องเช่าที่เขามารับทุกวันได้เกือบอาทิตย์
ปริ๊นนนๆๆ
บีบแตรเรียกจนคนเป็นพ่อตกใจ และคนที่เดินร้องไห้อยู่ก็สะดุ้งด้วย
"อะไรก้อง รู้จักหรือ..." นายกุ่ยถามลูกชายคนเดียวของเขา
"ครับ แปปนะพ่อเดี๋ยวผมมา.." บอกก่อนจะเปิดประตูลงไป
"ปลื้ม เป็นอะไร.." ถามเพื่อนร่วมงานที่ตอนนี้สภาพดูไม่ค่อยจะได้
"คือ .. คือเราไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า.. เลยโดนไล่ออกมา.." ไม่รู้จะโกหกทำไม ปลื้มเลยเผยมันออกมาหมด
"เฮ้ย เอาไงดีวะ.. งั้นเอางี้ไปที่บ้านก่อนนะ ไปๆขึ้นรถ.." พึมพำกับตัวเองก่อนจะเชื้อเชิญคนที่งงเป็นไก่ตาแตก
"หืม เอ่อ ก้อง ไม่เป็นไรเราเกรงใจ.." บอกปัด
"เกรงใจอะไรไม่ใช่เวลามั้ยปลื้ม ไปเถอะ ... อย่างน้อยไปนั่งพัก นั่งคิดอะไรสักหน่อยแล้วค่อยหาทาง..." อธิบายให้คนขี้เกรงใจฟัง
"เออใช่สิ แล้วค้างเขาอยู่เท่าไหร่.." ก้องถาม
"ห้ะ? ..." คนโดนถามงงหนักกว่าเดิม
"เอางี้ไปรอบนรถกับพ่อก่อนนะ เดี๋ยวมา.." ทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าไปในออฟฟิศของที่พักด้านล่าง เขาถามหาคนดูแลก่อนจะเคลียร์ค่าใช้จ่ายให้ปลื้มจนหมด มันคือเวลา2เดือนเท่านั้น แอบมองว่าเจ้คนนี้แอบหน้าเลือดไม่สงสารคนแต่เขาก็เข้าใจได้
ออกมาเห็นพ่อยืนคุยอยู่กับปลื้มที่ทำหน้างง
"รู้จักกันแล้วใช่มั้ย ปลื้ม ... เคลียร์เงินให้หมดแล้วนะ ไม่มีอะไรติดค้างกับเขาแล้วนะ" ไขความกระจ่าง
"เฮ้ย ทำไมทำอย่างนั้นละก้อง เราไม่มีคืนก้องตอนนี้นะ.." ปลื้มบอกเสียงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
"เอาเถอะสองหนุ่ม พ่อว่ากลับไปที่บ้านก่อนแล้วเราคุยกัน.." พ่อเขาว่า ซึ่งก้องเห็นด้วย เหมือนว่าปลื้มจะเกรงใจ จึงเดินตามขึ้นรถมาอย่างงๆ ข้าวของติดตัวน้อยนิดจนเขานึกภาพไม่ออกว่าที่ผ่านมาอีกคนใช้ชีวิตยังไง
ตอนนี้ปลื้มนั่งอยู่ในบ้านหลังน้อยในหมู่บ้านของครีเอทีฟหนุ่มของบริษัท ที่ตอนนี้มีคุณพ่อกุ่ยนั่งยิ้มให้เขาอยู่
"ก้องช่วยเราขนาดนี้เราไม่รู้จะตอบแทนยังไงหมดหรอกนะ.. ที่ไปตอนนี้เรายังไม่มีเลย.." ปลื้มบอกออกมา หลังจากอีกคนเอาน้ำเดินมาตั้งให้เขาและพ่อตัวเอง
"ที่มาที่ไปเป็นยังไงเล่าให้พ่อฟังได้มั้ย.." ผู้ใหญ่สุดในวงสนทนาแทนตัวเองอย่างเป็นกันเอง
"ผมมาจากต่างจังหวัดครับ มีปัญหาในครอบครัวกับพ่อเลี้ยง...เอ่อ เล็กๆน้อยๆแต่มันสะสมน่ะครับ.." เล่าเสริมเพราะตอนแรกสองคนทำท่าตกใจ
"ผมมาที่นี่หางานทำก็ไม่มีที่ไหนรับ เมื่อก่อนผมเป็นเซลล์ในห้าง ก็พอจะหาอะไรทำถูๆไถๆไม่พอค่าครองชีพ จนมาได้งานที่เดียวกับก้อง กำลังจะดีก็มาเจอเจ้เจ้าของห้องเช่าไล่เพราะค้างเขานี่แหละครับ" เปิดเผยทุกอย่างออกมารวบรัดเท่าที่จะทำได้
"เฮ้อออ ลำบากมากเลยล่ะสิ" กุ่ยถอนใจสงสาร เด็กหนุ่มก้มหน้างุด
"ยังไงขอบคุณอีกครั้งนะครับพ่อ ขอบคุณนะก้อง ถ้าเราหาที่อยู่ได้ ตั้งตัวได้แล้วจะใช้คืน.." ปลื้มขอบคุณอีกครั้ง
"แล้วรู้แล้วหรือจะไปอยู่ไหน .. เงินติดตัวมีหรือเปล่า.." พ่อของก้องถามอีกรอบแต่คำตอบคือการส่ายหน้าน้อยๆ
"ก็ไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่มันที่นี่แหละ.." ก้องบอก ทำเอาปลื้มตาโตตกใจ ถ้าสิ้นสติได้เขาก็คงทำ
"พ่อโอเคมั้ย ยังไงบ้านเราก็มีห้องว่างอีกห้อง ถ้าจะให้ปลื้มเขาอยู่ไปก่อน.." ก้องว่า
"อืมดีสิ อยู่นี่ไปก่อนนะ ตั้งตัวได้ค่อยว่ากันก็ได้.." กุ่ยบอก ด้วยอุปนิสัยใจดีที่ถ่ายทอดผ่านกัน ปลื้มมองเห็นมันได้ชัดเลย
"แต่...มันมากไป..." ปลื้มบอก สำหรับคนหน้าใหม่อย่างพวกเขา แค่นี้ก็มากพอแล้ว
"มากไปอะไร นี่อย่าลืมนะว่าเป็นหนี้อยู่น่ะ ขืนปล่อยไปอยู่ไกลๆคิดหนีจะทำไง" ก้องพูดพร้อมทำท่าพินิจ
"ไม่นะๆ เราไม่หนี เราจะหามาคืน จะหางานเสริมด้วยจะได้มาใช้ไวๆ... " ปลื้มบอกอย่างรวดเร็วจนอีกสองคนขำพรืด
"ฮ่าๆ ไปแกล้งเพื่อนทำไมไอ้ก้อง.." คนแก่ว่า
"ก็วุ่นวายนักนี่พ่อ แล้วไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่นี่แหละ.. ถือว่าอยู่ไปก่อน ค่าน้ำค่าไปก็ตอบแทนเป็นการดูแลบ้านและพ่อไปก็ได้นะถ้าคิดมาก.." ก้องว่า
"ทำไมถึงช่วยเรา.." คำถามในใจเขาถึงเวลาต้องเปล่งออกไป
"อย่างแรกคือเราสงสาร ไม่ควรมีใครต้องเจอแบบนี้ อีกอย่างคือปลื้มดูไม่มีพิษมีภัย ถึงมีก็ดูสิ.. บ้านสองชั้นง่ายๆ มีแต่สวน อยู่กันสองคนไม่มีอะไรให้ปล้นหรอก.. " ก้องว่าติดตลก
จริงอยู่ที่บ้านหลังนี้กระทัดรัดธรรมดา แต่การดูแลสะอาดสะอ้านมากๆ ไม่อยากจะเชื่อว่ามีแค่ผู้ชายอยู่สองคนเป็นคนหนุ่มทำงานหนักกับคนมีอายุ เขาหันมองรอบๆ
"อีกอย่างถ้าได้ช่วยใครสักคนแล้วได้เรื่องแย่ตอบแทนก็แค่เก็บเป็นบทเรียน ชีวิตมีแค่นี้อย่าไปซีเรียสเนอะ.." ก้องว่า ส่วนพ่อของเขายกยิ้มตบหลังเปาะฟเหมือนชื่นชมลูกชาย
"ขอบคุณนะก้อง ขอบคุณนะครับ.." ยกมือไหว้
"เฺฮ้ยพอแล้วว ขอบคุณรอยรอบแล้วมั้งไปๆ เอาของไปเก็บแล้วไปพักผ่อนเถอะ ดูไม่ได้เลย..." ก้องว่า
ปลื้มใจเต้นแรงรัวกับท่าทางสบายๆและความใจดีของเจ้าของบ้าน แค่ตอนก้องมารับมาส่งความจิตใจดีนั้นก็ว่าแย่แล้ว ไหนจะความเก่ง และสมาร์ทตอนทำงาน มามองแบบนี่ทัศนคติแบบนี่ทำเอาปลื้มตกหลุมรักแบบไม่ต้องคิดอีกแล้ว
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเกิดขึ้นจากตรงนี้ อาจจะมีทั้งความสงสารและความดีตั้งต้น แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นเรื่องราวจะเปลี่ยนไป จากเพื่อนร่วมงานกลายเป็นอื่น และรับสถานะเป็น...ของตายอย่างเต็มใจ
25.07.2020
ของตาย โดย ศศิศิลป์
ตอนที่ 1
______________________________
3 ปีผ่านไป
เช้าวันหยุดของสัปดาห์..
"ก้อง~" เสียงร้องเรียกชื่อจากปลื้มดังกระเส่า พลกรกำลังโถมกายเข้าใส่คนใต้ร่างอย่างเต็มกำลัง จูบไปที่หลังเม้มจนเกิดรอยแดงไปทั่ว
"ปลื้ม กู ปะ ไปนะ..." เสียงทุ้มแหบซ่านบอกถึงความต้องการที่กำลังจะไปสู่จุดสูงสุด
"ฮื่อออ ก้อง อ่ะ ..." เสียงร้องเมื่อจังหวะรักเร็วขึ้นจนไม่สามารถที่จะประคองตัวเองได้จนตัวนอนราบหน้าซุกลงไปบนหมอน
แกนกายได้มือสากช่วยนำพาให้ไปพร้อมกัน
เสียงแห่งความสุขสมประสานกันก้องไปทั่ว ก้องทิ้งตัวลงนอนทับไปบนแผ่นหลัง พรมจูบไปทั่ว
"ดีมั้ย..? " คำถามถูกกระซิบข้างหู
ได้ยินคำแบบนี้เท่าไหร่ก็ไม่เคยจะทำใจให้ชิน
"อืม..." ตอบกลับเขินๆ
ก่อนที่ร่างใหญ่จะถอนตัวออกมานอนข้างๆ
เขาสองคนมีความสัมพันธ์กันหลังจากปลื้มมาอยู่อาศัยอยู่ที่บ้านไม่นาน เพราะความเผลอไผลและรสนิยมทางเพศที่เขารู้กันทั้งคู่
ปล่อยตัวปล่อยใจจนย้ายจากห้องว่างของบ้านมาอยู่ที่ห้องเดียวกันจนได้ เรื่องทั้งหมดเกิดเป็นความเคยชินจนกินระยะเวลามาได้ 3 ปีแล้ว
"ปลื้ม... ถามจริงๆว่ายังคิดกับกูแบบนั้นหรือเปล่า" พลกรถามออกไป ตอนนี้ร่างที่คุ้นเคยเอามือวางบนหน้าอกของเขาอยู่ ส่วนเขาก็ให้แขนท่อนนึงรองหลังศีรษะนั้นไว้
"จะถามเรื่องที่รู้อยู่แล้วทำไม เรารักก้อง รักมาตลอด...เราขอบคุณและยอมรับกับเรื่องที่เราสองคนเป็นอยู่มาเสมอ" ศรัณตอบกลับอย่างไม่ลังเล
เขารักในความห่วงใยที่อีกคนมอบให้ รักที่จะมีก้องอยู่ตรงนี้ แม้ว่า...
"ถึงแม้ว่าสถานะเราจะเป็นแค่ Sex Friend น่ะหรอ" ใช่ สถานะของพวกเขานอกจากเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมบ้าน ศรัณเป็นแค่เพื่อนนอนของพลกร
แม้จะอยู่กินกันฉันคู่รักที่แต่งงานกันแล้ว อยู่ในบ้านและพ่อของก้องรับรู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าศรัณจะเป็นได้มากกว่านั้น
"อืม ก็เราตกลงกันแบบนั้นแต่เริ่มนี่ ไม่ได้ผูกมัด ไม่ได้เป็นเจ้าของกัน เราคอยดูแลก้อง บ้าน และพ่อกุ่ย ตอบแทนที่มาอาศัยที่นี่.." ปลื้มว่า
"อย่าพูดแบบนั้นเลย เราได้ทั้งคู่ ไม่มีใครเสีย มึงเป็นคนดี... เราอยู่กันเป็นเหมือนเพื่อนชีวิตนะ" เพื่อนชีวิต... ไม่ใช่คู่ชีวิต
เขารักก้อง และไม่เคยจะปิดบัง ก้องรู้มันมาตลอด แต่สถานะของเรามันไม่เปลี่ยน เราใช้ชีวิตทำทุกอย่างเหมือนคู่รักกัน กินอยู่อาศัยด้วยกัน ปลื้มดูแลบิดาของก้องอย่างดี บ้านช่องสะอาด ไปทำงานก็ทำกับข้าวเอาไว้...
อยู่ในวันที่เขาย้ายตำแหน่งไปเป็น Co-Producer และปลื้มได้ไปทำ AE แทนจากการปั้นของจีนจนมีรถยนต์เป็นของตัวเอง
แม้เขาจะรักแต่เขาไม่สามารถเห็นแก่ตัวครอบครองคนที่ไม่ได้อยากจะเลื่อนสถานะเขาขึ้นมา เพราะก้องก็ชัดเจนตลอดว่าเราเป็นอะไรกัน
ทำยังไงได้ เพราะเขาได้ทั้งคู่จริงๆไม่มีใครเสีย
"ทำไมถึงพูดขึ้นมา หืมมม ..." ศรัณถามกลับ มือก็เอื้อมไปถูเคราะใต้คางที่เริ่มยาวออกมาของพลกร
"ปลื้ม..." เสียงทุ้มเรียก พร้อมกับแววตาพะว้าพะวงเหมือนอยากจะเอ่ยอะไร
"มีอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้น..." ถามออกไปด้วยใจก็กลัวจะมีเรื่องไม่ดี
"กูกำลังคุยกับคนๆนึงอยู่ว่ะ" ประโยคนั้นจบไปหัวใจก็ชาเหมือน ยิ่งกว่าตอนหมอฉีดก่อนผ่าฟันคุด
"ตั้งแต่เมื่อไหร่..." ถามออกไปเสียงแผ่ว มือเรียวก็ยังลูบไปมาบนแผ่นอกหนา
"เดือนนึงแล้ว กูไม่ได้บอกก่อนเพราะก็อย่างที่รู้ กูไม่มีใครมานานแล้ว แล้วก็อยากจะแน่ใจก่อนจะมาคุยกับมึง..." พลกรอธิบาย เพราะเขาไม่มีใครเลยตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ศรัณมาอยู่ในบ้าน
อาจจะเพราะเติมเต็มกันจนไม่มีสิ่งใดขาด เลยไม่ได้มองหาใคร มีก็พูดคุยแต่ไม่มีใครไปถึงขั้นที่จะจริงจัง ส่วนปลื้มเองไม่ได้มองหาใครเลย เขารักก้อง รักมากและอยู่ตรงนี้ไม่ว่าจะสถานะอะไร
"แสดงว่าคนนี้ต้องคิดมาแล้ว..." เสียงเริ่มสั่นจนพลกรสัมผัสได้
"อืม.." ยอมรับออกมา ด้วยบอกกันแต่ต้นว่าถ้าอีกคนมีใครเขาจะไม่ปิดบังกัน
"เขา... ฮึก น่ารักมั้ย.." ร้องออกมาจนได้ หลังจากพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้
"อืม..." ยอมรับอีกครั้ง แต่ไม่อยากจะบอกอะไรมากกว่านั้นให้อีกคนเสียใจ
"หรอ ดีจังนะ... ดีใจด้วยนะ" บอกออกไปพร้อมกับถอยตัวออกห่าง ไม่ให้สัมผัสกายกัน
"ปลื้ม... แต่เราสองคนก็ยังเหมือนเดิม มึงก็อยู่ที่นี่ เป็นเหมือนเดิม สถานะเดิม... ทุกอย่างเหมือนเดิม" พลกรบอกออกมา เกลี่ยน้ำตาบนแก้มใส
"มันจะเหมือนเดิมได้ยังไงก้อง แล้วเขาละ... เราสองคนเหมือนเดิมไม่ได้ถ้ามีใครอีกคนอยู่ในสถานะนั้น... เราไม่ใช่ชู้.." ศรัณพูดด้วยเสียงสั่น
"มึงไม่ใช่ ปลื้ม..มึงไม่ใช่ มึงเป็นส่วนนึงของชีวิตกูไปแล้วนะ... กูหมายถึงมึงก็ยังอยู่ในห้องนี้ได้ บ้านหลังนี้ พ่อก็ยังจะเป็นพ่ออีกคนของมึง แต่ถ้ากูคบกับเขาแล้ว มันก็ไม่ควรมีเรื่องแบบนี้อีก.." พลกรบอก มองไปยังร่างเขาสองคนที่เปลือยเปล่าอยู่ข้างกัน
เพราะตอนนี้สถานะของเขากับคนใหม่ก็ยังไม่ได้มั่นคง เป็นเพียงแค่การศึกษาเบื้องต้น และเพราะสถานะของเขากับปลื้มคือ Sex Friend มันก็เกิดขึ้นได้จนกว่าอีกคนจะมีสถานะอื่นเข้ามา
"ไม่ดีหรอกก้อง แบบนั้นเราว่ามันไม่ดี... คนใหม่ของก้องเขาจะคิดยังไง" ถามออกไปตรงจุด
"เขารู้ .. เขารับรู้แต่แรกว่ามีมึงในบ้านหลังนี้นะปลื้ม รู้ว่ากูมีเพื่อนดีๆอีกคนในชีวิตที่อยู่ด้วยกัน..." พลกรว่า
"แต่คงไม่รู้ใช่มั้ยว่าเรานอนด้วยกันทุกคืนและเป็นเพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อน..." ศรัณถามจี้ใจดำอีกครั้ง
"อืมเขาไม่รู้..." พลกรไม่เคยโกหก เพราะเขาไม่จำเป็นต้งโกหก ปลื้มรู้ดีว่าสถานะแบบนี้ก็มีข้อดีคืออีกคนไม่ต้องคอยออดอ้อนหรือหาคำพูดอ้อมค้อมเพื่อรักษาใจเขา อย่างที่เขาเจ็บอยู่ตอนนี้
"ใช่ ถ้าเขารู้เขาคงจะไม่โอเคหรอก.." บอกแค่นั้น ก่อนที่จะค่อยๆยกผ้าห่มบนตัวออกลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป
กระจกเงาที่เช็ดจนแห้งสะท้อนให้เห็นภาพที่เห็นในทุกๆวันมาตลอด 27ปี มือเรียวของศรัณลูบไปทั่วแผ่นตัวของตัวเองที่มีรอยแดงเป็นแห่งๆกระจายอยู่
พลกรมีเซ็กส์ที่เผ็ดร้อนแต่ไม่ทานอาหารเผ็ด
พลกรใจร้อนแต่เย็นได้ไวเช่นกันเพียงแค่ให้เวลาเขาหลับตาและครุ่นคิด
พลกรเป็นคนพูดตรงและไม่เคยโกหก
เขาจิตใจดีชอบช่วยเหลือสังคม ทุกวันสำคัญของใครก็ตามในบ้านจะพากันไปบ้านเด็กกำพร้า หรือบ้านพักคนชรา หรือมูลนิธิของคนที่ขาดแคลน
พลกรขาดแม่จากอุบัติเหตุเหมือนที่ศรัณเสียพ่อไป
พลกรเป็นคนชัดเจนเสมอเห็นได้ง่ายๆจากบทสนทนาบนเตียงเมื่อครู่..
น้ำตาค่อยๆไหลอาบหน้าออกมา พยายามร้องไห้เบาที่สุดไม่อยากให้คนด้านนอกได้ยินว่าเขาอ่อนแอ
ขายาวเดินไปเปิดน้ำก่อนจะเอาตัวเข้าไปใต้สายน้ำเย็นๆให้ผสมน้ำตาเปียกปอนไหลลงพื้นไป เพื่อกลบเสียงน่าอายของคนที่สามปีแล้วยังไม่มูฟออนเสียที
รู้ว่าเขาไม่ได้รัก ไม่มีทางจะรักแบบที่ตัวเองหวังก็ยังโง่อยู่กับสถานะแบบนี้
เหมือนพลกรดึงเขาขึ้นมาจากวันร้ายๆ เพื่อมาขังเขาไว้ในความมืดมิดที่เขาเองนั่นแหละไม่ยอมเดินไปหาแสงสว่างเอง
25.07.2020
ของตาย โดย ศศิศิลป์
ตอนที่ 2
______________________________
ศรัณทำกับข้าวง่ายๆ ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะอาหารสำหรับมื้อเที่ยง ข้าวเช้านายกุ่ยจะออกไปทานอะไรที่ขายแถวบ้าน เขาบอกว่าข้าวเช้าไม่จำเป็นต้องทำให้เพราะอยากจะเปลี่ยนไปทุกๆวัน
"พ่อครับ เย็นนี้จะทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย" เสียงแหบน้อยๆถาม เพราะเขาปรณนิบัติเหมือนบุพการีแท้ๆของตัวเอง แม้แต่แม่เขาเองที่ไม่ได้มีโอกาสดูแลก็ยังฝากผ่านทางไกลบ่อยๆว่าให้ดูแลคนที่มีพระคุณ
"ไม่มีหรอก อะไรก็ได้ลูก" กุ่ยตอบคนที่เป็นเหมือนลูกชายอีกคน
"งั้นซื้อข้างนอกมาดีมั้ยครับ จะได้เปลี่ยนรสมือบ้าง ไม่งั้นพ่อเบื่อฝีมือแย่เลย" ออกไอเดียและชวนคุยอย่างอารมณ์ดี
"จะเบื่อได้ไงละ ฝีมือเราอร่อยที่สุดแล้ว แล้วถามอย่างนั้นจะออกไปข้างนอกหรือ" ถามประสาเป็นห่วง
"ครับ พอดีอยากออกไปซื้ออะไรเสียหน่อย จะได้ไปหาอะไรทำวันหยุดด้วย ดูหนัง ซื้อหนังสืออย่างนั้นนะครับ" ไม่ใช่ปกตินิสัย เพราะเขามักจะอยู่ติดบ้านหรือไปใกล้ๆ ถ้าออกไปก็ไปกับพลกร หรือซื้อของใช้
"ฮะๆๆ ดีใจนะได้ยินอย่างนั้น เราน่ะออกไปหไหนบ้างเถอะ ขลุกอยู่กับคนแก่เบื่อตายชัก"
"จะเบื่อได้ไงครับ ปลื้มแค่อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่จะซื้อของมาฝากพ่อนะ" ขืนอยู่แต่บ้านที่ต้องวนเวียนในอะไรที่เดิมๆมีแต่ภาพของอีกคนอยู่ด้วยแถมวันนี้ไม่รู้พลกรออกไปไหนหรือเปล่า
อย่างน้อยให้เขาได้ไปคิดเรื่องที่เพิ่งเจอนี่ก่อนเถอะ
"จะออกไปไหนละปลื้ม" นั่นไง เสียงทุ้มถามลงฝีเท้าหนักๆลงบันไดมา
"ไปเดินเล่นซื้อของน่ะ" หันมองเพียงครู่ ก่อนจะเดินหยิบของบางส่วนในบ้านให้เข้าที่ ไม่ได้รกมากเพราะอยู่กันแค่3คน แต่อยากจะจัดแจงนั่นนี่ให้เป็นระเบียบ
"ไปกับใครหรอ ออกไปด้วยกันมั้ย นี่ก็จะออกไปพอดี" คนถามเดินมาหยิบน้ำดื่มในตู้เย็นไม่ไกล เดินผ่านก็กลิ่นน้ำหอมตีฟุ้ง
"ก็ดีนะลูก ไม่เปลืองน้ำมัน" กุ่ยเสริมอีกคน
"ได้ไงละครับ รถผมเพิ่งผ่อนหมดเชียวน้า ให้ได้ใช้บ้างเถอะครับ" บอกติดตลกไปทำเอาคนแก่หัวเราะร่า ส่วนอีกคนมองอยากได้คำตอบจริงๆ
"ไปเถอะก้อง เดี๋ยวเราไปเจอเพื่อน..." ตอบปัดไป เพื่อนที่ไหนละ.... เพื่อนของเขาก็มีแต่เพื่อนที่ทำงาน นอกนั้นชีวิตก็มีแต่ก้อง
สายตาที่ส่งกลับมาเหมือนจะถามอะไรต่อแต่ก็ไม่...
ศรัณมาเดินที่ห้างเพื่อซื้อของใช้จริงๆ เขาเดินวนเวียนอยู่หลายรอบ ได้ดูอย่างละเอียด ตอนมากับพลกรเขาก็ดูมันอย่างดีแต่อาจจะไม่ขนาดนี้ แค่อยากจะถ่วงเวลาออกมาข้างนอกให้มากที่สุด
"โปรโมชั่นตอนนี้ซื้อ1แถม1นะคะ" พนักงานที่กำลังจัดของชั้นแชมพูบอกเขา
"หรอครับ ทุกกลิ่นหรือเปล่า" ยี่ห้อนี้เขาและก้องใช้มันอยู่
"ทั้งเชลฟ์นี่เลยค่ะ ตรงนั้นก็ด้วยแต่พอดียังไม่ได้ติดป้าย เป็นโปรใหม่เลยค่ะ" เธอตอบด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าเป็นก่อนหน้านี้ก็ต้องหยิบมันขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ไม่แถมก็ต้องซื้อไปเผื่ออีกคน แต่วันนี้มันกลลับดึงสายตาให้เหม่อ
ถ้าวันนึงก้องไปมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แล้วเขาจะไปอยู่ตรงไหนในชีวิต ที่ๆเคยอยู่เขาคงไม่หน้าด้านพอที่จะซ้ำทับกับใคร ต้องหลีกทางให้ตัวจริง...
เฮ้อออ ถอนใจเบาๆ แต่ก็หยิบมันลงตะกร้าคิดอะไรไม่ออก ก็ตอนนี้ยังต้องใช้ชีวิตร่วมกันก็อดจะนึกถึงไม่ได้
เลือกซื้อของเสร็จก็มาเดินดูหนังสือต่อ หยิบหนังสือแนวคำคมและการใช้ชีวิตขึ้นมาอ่าน
'ความรักก็เป็นแบบนี้'
แค่อ่านก็ชาวาบไปทั้งใจ เขากำลังอกหัก อกหักจากคนที่เขาเกินเลยกว่าคำว่าคนรักไปแล้ว มองหน้าปกอยู่ครู่นึงไม่รู้เหม่อไปถึงไหน ก่อนจะพลิกอ่านด้านหลังมันที่มีคำชวนเศร้าเช่นกันแต่ไม่ทันจบ
"ขอโทษนะครับ..." เสียงทุ้มของคนข้างๆ พร้อมกับจะเอื้อมมาหยิบอีกเล่มใกล้กัน
"เอ่อ คะครับ..." ละล่ำละลัก เพราะหลังเขามีคนยืนเยื้องกันอยู่นิดๆอีกคน คงจะขวางทางพอสมควร
"อ้าว ปลื้ม..."
"อ้าว เท่" นึกว่าใคร ที่แท้ก็ตากล้องคนใหม่ของบริษัทที่เพิ่งมาทำไม่กี่เดือน เท่ เท่สมชื่อจริงๆจากสไตล์การแต่งตัววันนี้ที่จัดเต็มกว่าวันทำงาน
"มาคนเดียวหรอ.." อีกฝ่ายถามด้วยรอยยิ้ม
"อืม จะหยิบเล่มนี้หรอ" ชี้ไปทางเล่มที่อยู่ถัดไปและเบี่ยงตัวให้
"ครับ" สุภาพเหมือนเคย เอื้อมไปหยิบอีกเล่มมาเป็นแนวโฟโต้บุ๊คมินิมอลหน่อยๆ
"สมกับเป็นตากล้องเลยนะ.." แซวนิดหน่อย เพราะเลือกได้เหมาะกับหน้าที่การงานจริงๆ
"ฮ่าๆ เล่มนั้นก็ดูเป็นปลื้มเหมือนกันนะ ...ดูมีอะไรในใจ" โดนแซวกลับก็ทำเอาชะงัก
"ขอโทษนะ เราไม่ควรพูดใช่มั้ย" ถามกลับน้ำเสียงรู้สึกผิดแบบนั้น
"ปล่าวหรอก คิดมากนา" ยิ้มกว้างๆตอบไป เพราะไม่อยากให้เท่รู้สึกแย่
"นี่เราก็มาคนเดียว กินข้าวหรือยัง ไปหาอะไรกินมื้อเที่ยงด้วยกันมั้ย" เท่พูดจบเขาก็ยกนาฬิกามาดู อืมจะบ่ายแล้วจริงๆด้วย ยังไม่ทานอะไรเลย
"ไม่เป็นไร รบกวนเท่ปล่าวๆ"
"ไม่เลย ไปนะ ไปนั่งกินเป็นเพื่อนเราหน่อย" อีกคนว่า ทำท่าชักชวนให้ได้
"อืม งั้นไปสิ"
ตอบตกลงก่อนจะเอาหนังสือในมือไปจ่ายเงิน และเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนึง ที่กำลังมีโปรโมชั่นอิ่มง่ายๆด้วยราคาเดียวทุกจาน สั่งกันคนละอย่างอาหารก็มาเสิร์ฟ
"ดีจังมาเจอปลื้มอะ ตั้งแต่มาทำงานนะยังไม่สนิทกับใครในบอเลย" คนเท่สมชื่อบ่นออกมา หลังจากนั่งคุยกันเรื่องบรรยากาศร้านอยู่ก่อนหน้า
"เดี๋ยวก็ชินนา ทุกคนน่ารักนะ เมื่อก่อนกว่าเราจะรู้เรื่องก็นั่งมึนไปหลายเดือนเหมือนกัน" ให้คำแนะนำไป
"หืม แต่เราได้ยินมาว่าแกมาแรกๆก็เป็นเฮ้าส์เมทกับพี่ก้องเลยนี่" สรรพนามให้เกียรตินั้นเพราะก้องอายุมากกว่าพวกเขาปีสองปี แต่เขาเรียกแบบนี้มาแต่ต้นและเหมือนก้องก็พอใจให้เป็นแบบนั้นเพื่อความสนิทสนม
"หืม รู้ได้ไงเนี่ย ไหนว่าไม่ค่อยรู้อะไรไง" แซวไปเล็กน้อย
"เฮ้ยยไม่ใช่งั้นนะ ก็ถามพี่จีนอะ นึกว่าเป็นแฟนกันไง พี่เขาเลยเล่านิดหน่อย" ยอมรับออกมาโต้งๆ ไม่แปลกนักคนมาใหม่ๆพี่จีนจะเทรนเป็นอย่างดี เธอเป็นบอสที่ใจดีกับน้องๆเสมอแนะนำยันทำงานยันเรื่องชีวิต
"เราไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย มันก็ใช่นะ แต่กับคนอื่นไง เราก็ต้องปรับตัวไปเรื่อยๆ ดูสิจากสโตร์มาเป็น AE เลยเนี่ย" บอกพร้อมรอยยิ้มตักอาหารเข้าปากบ้าง
"แกเก่งมากเลยนะ แต่พี่จีนบอกว่าปลื้มมีทักษะอยู่แล้วด้วย ชมให้ฟังเยอะเลยนะ" เท่ว่า สรรพนามที่เรียกแบบนั้นยิ่งทำให้ปลื้มสบายใจจะคุยด้วย
"หรอ ขี้เมาท์หรือเปล่าเราอะ" ปลื้มแอบแซะ
"ไม่เท่าแผนกแกหรอก"
เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ก่อนจะชวนกันคุยเรื่อยเปื่อย
คนทะยอยเข้ามาเยอะเรื่อยๆ เพราะโปรโมชั่นล่อตาล่อใจที่ก็ทำเอาเขากับเพื่อนใหม่มานั่งอยู่นี่เช่นกัน
"เฮ้ย นั่นพี่ก้องนี่.." คนตรงข้ามร้องขึ้น สายตามองไปยังทางเข้า ปลื้มจึงหันไปมองตาม
จริงๆ เป็นก้องเดินเข้ามากับเด็กหนุ่มน่ารักอีกคน น่ารักมากจริงๆ เด็กหนุ่มในชุดดูวัยรุ่น ผมน้ำตาล
ไม่เหมือนเขาเลย ที่ออกจะธรรมดา เป็นคนจืดๆคนนึง ก้องหันมาสบตายกมือทัก ปลื้มจึงพยักหน้ารับรู้ให้ทีนึงก่อนจะหันกลับมา
"ปลื้ม... ปลื้มโอเคปล่าว" เท่เรียกหลังจากเขาคงนิ่งไปครู่ใหญ่
"หืม ปล่าวนี่...คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ"
เท่มองกลับมาที่เขาแต่ก็ไม่พูดอะไร แต่ในแววตานั้นคงรู้ดีอะไรอยู่บ้าง
"ไปไหนต่อหรือเปล่า ไปหาอะไรทำกันมั้ย..."
"อะไรหรอ" ถามออกไปอย่างสนใจอยู่เหมือนกัน
"เช่นถ่ายรูปเล่นอย่างงี้ ตระเวนชิมร้านใหม่ๆแถวนี้หรือไม่ก็อะไรก็ได้ที่อยากทำน่ะ" เป็นการกระชับมิตรไปเสียเลย
"น่าสนุกนะ ถ้ามันไม่กวนแกอะ"
"แกหรอ...ฮะๆ เรียกแบบนี้ไปเลยมั้ย ดูสนิทกันดี"
"ก็เรียกตามเท่นั่นแหละ"
"ฮะๆครับ งั้นตกลงไปนะเพราะเราว่างอยู่แล้ว จะได้เก็บเป็นผลงานด้วยเป็นไง ไปอัพเดทพี่ปิงด้วย" ได้ยินอย่างนั้นศรัณก็พยักหน้าตอบตกลง
กินไปคุยไปจนหมด มีเท่ตรงนี้ทำเอาเขาลืมไปเสียเลยว่ามีอีกคนที่ไม่อยากเจออยู่ในร้าน รู้อีกทีก็กินหมดแล้วมองหา ไม่เห็นว่าพลกรมองมาทางเขา คิดเงินเสร็จก็เก็บเงินก่อนจะออกจากร้านไปทำอะไรที่น่าสนุกกับเพื่อนใหม่ต่อ
26.07.2020
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!