ชิโระยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของป่าไม้ กลิ่นหอมของดอกไม้ราตรีลอยคลุ้งในอากาศ ขับเน้นความเงียบงันรอบกาย ดวงตาสีแดงเรืองแสงของเธอจับจ้องไปยังความมืดราวกับสามารถมองเห็นทุกสิ่ง แม้ในเงารัตติกาล เส้นผมยาวพลิ้วไหวตามสายลม แสงจันทร์สาดกระทบประกายไฮไลท์สีมิ้นท์ ทำให้เธอดูราวกับภาพมายาที่กำลังเคลื่อนไหว
เธอไม่พูดอะไร แต่ลมหายใจหนักแน่นที่เปล่งออกมานั้นบ่งบอกว่าเธอกำลังครุ่นคิด
“โลกนี้ไม่เคยบอกเราว่าใครคือผู้คุ้มครองที่แท้จริง บางสิ่ง… ต้องกระทำโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน”
เสียงของชิโระดังก้องกังวานในความเงียบรอบตัว
โซระ ผู้ยืนอยู่ข้างเธอ ค่อยๆ หันมามองด้วยสายตานิ่งสงบ ดวงตาของเขาเปล่งประกายสีแดงเรืองแสงเช่นกัน ความเยือกเย็นในท่วงท่าของเขาทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูเหมือนหยุดนิ่ง
“การปกป้อง… ไม่จำเป็นต้องอวดอ้าง สิ่งสำคัญคือการรักษาความสงบ”
เสียงทุ้มของเขาเปล่งออกมาด้วยความหนักแน่นและมั่นคง
เด็กๆ ที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากทั้งสอง เงยหน้ามองด้วยแววตาสงสัย ก่อนที่เด็กคนหนึ่งจะยกมือขึ้น
“ทำไมต้องมีทั้งแสงและความมืดครับ?” เสียงใสซื่อของเด็กวัยหกขวบเอื้อนเอ่ย
ชิโระยิ้มบางๆ แม้ว่าอยู่ในความมืด แต่ประกายอ่อนโยนในดวงตาของเธอยังคงมองเห็นได้
“เพราะแสงทำให้เรารู้จักความมืด และความมืด… ก็ทำให้เราเข้าใจคุณค่าของแสง”
เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยความลึกซึ้ง
เด็กอีกคนเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ
“แล้วทำไมต้องมีคนดูแลทั้งแสงและความมืด?”
โซระยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ฉาบฉวย เขาพยักหน้าและกล่าวด้วยเสียงสงบ
“เพราะความสมดุลของโลก ต้องอาศัยทั้งสองสิ่ง”
เด็กคนที่สาม ซึ่งอายุมากกว่าเล็กน้อย มองดูพวกเขาด้วยสายตาครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
“แล้วเราจะช่วยโลกนี้ได้อย่างไร?”
ชิโระจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้า เธอเดินเข้าไปใกล้ นั่งลงข้างๆ พวกเขา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่หนักแน่น
“เพียงแค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง… โดยไม่ต้องการการยอมรับจากใคร”
โซระเงยหน้ามองท้องฟ้า ซึ่งเริ่มถูกปกคลุมด้วยม่านรัตติกาล
“บางครั้ง… การปกป้องไม่จำเป็นต้องให้ใครล่วงรู้”
เสียงของเขาเรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความหมาย
ชิโระหันไปสบตาเขา ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วกล่าวเสริม
“บางครั้ง… เราแค่ต้องทำหน้าที่ของตนเอง โดยไม่ต้องการคำขอบคุณ”
สายลมเย็นพัดผ่าน ใบไม้ไหวระริก แสงสุดท้ายของวันเลือนหายไป ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นม่วงเข้ม ก่อนจะค่อยๆ กลืนไปในความมืด
เด็กๆ ยังคงเงียบ นั่งครุ่นคิดถึงคำพูดของทั้งสองราวกับกำลังค้นหาคำตอบในใจ
ท่ามกลางความเงียบสงัด ชิโระเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“บางครั้ง… เราไม่จำเป็นต้องให้ใครเห็นเรา เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อให้ใครรับรู้”
โซระมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่เริ่มเลือนราง เสียงของเขาเบาราวกับกระซิบ แต่กลับก้องกังวานในจิตใจของทุกคน
“บางครั้ง… การซ่อนตัวก็มีเหตุผลของมัน”
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่ว ทั้งสองยังคงยืนเคียงข้างกันอย่างมั่นคง ขณะที่เด็กๆ จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึง
ค่ำคืนนี้ยาวนาน และโลกก็ยังคงดำเนินต่อไป แม้ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงยืนหยัด… เพื่อปกป้องสิ่งที่ควรค่าแก่การปกป้อง
ค่ำคืนอันเงียบสงัดโอบล้อมพวกเขาไว้
ชิโระยืนแน่วแน่ ดวงตาสีแดงเรืองแสงของเธอส่องประกายดั่งอัญมณีท่ามกลางความมืด เสียงลมหายใจของเด็กๆ ยังแว่วมาเบาๆ พวกเขายังนั่งอยู่ตรงนั้น ซึมซับทุกถ้อยคำราวกับกำลังพยายามเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะกล่าวออกมาเป็นคำพูด
โซระยกมือขึ้นแตะด้ามดาบที่สะพายอยู่ข้างหลัง สัมผัสเย็นเฉียบของโลหะทำให้เขารู้สึกมั่นคงยิ่งขึ้น เสียงใบไม้เสียดสีกับสายลมดังแผ่วเบา ราวกับป่ากำลังเฝ้าฟังการสนทนาของพวกเขา
“เมื่อถึงเวลา… เจ้าจะเข้าใจเอง”
เสียงของเขาเบาและเรียบง่าย แต่กลับก้องกังวานในใจของเด็กๆ ทุกคน ดวงตาเล็กๆ ที่มองขึ้นมายังพวกเขาเต็มไปด้วยคำถาม แต่ไม่มีใครพูดออกมา
ชิโระหันไปมองโซระ สายตาของทั้งสองสบกันเพียงครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะพยักหน้าเบาๆ ราวกับเข้าใจโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ
“เราไปกันเถอะ”
เธอกล่าว ก่อนจะก้าวถอยหลังไปเพียงไม่กี่ก้าว ร่างของเธอค่อยๆ จางหายไปในเงามืดราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา
โซระมองเด็กๆ อีกครั้ง ดวงตาของเขาสบกับเด็กคนสุดท้ายที่ยังจ้องเขม็งมาทางเขา เด็กคนนั้นอายุราวสิบปี ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและความสงสัย
“ข้าจะได้เจอท่านอีกไหม?”
เสียงของเด็กน้อยสั่นเครือเล็กน้อยแต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง โซระมองเขาเงียบๆ ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มบางเบา
“เมื่อถึงเวลา… เจ้าจะรู้ว่าเราไม่เคยจากไปไหน”
แล้วร่างของเขาก็จางหายไปในสายลม ทิ้งไว้เพียงเงาเลือนรางและค่ำคืนที่ยังคงดำเนินต่อไป
เด็กๆ ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มองไปยังความว่างเปล่าที่ทั้งสองเคยยืนอยู่ สายลมเย็นพัดผ่าน ทำให้ใบไม้แห้งปลิวล่องลอยราวกับกำลังส่งคำสัญญาที่ไม่อาจได้ยินไปยังที่ใดที่หนึ่ง
และในความเงียบนั้น… เด็กคนหนึ่งยกมือขึ้นแตะที่อกของตนเอง หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าปกติ
เขายิ้มบางๆ
“พวกเขายังอยู่… เสมอ”
เด็กชายกำมือแน่น รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่ยังเต้นแรงจากบทสนทนาเมื่อครู่ คำพูดของโซระยังดังก้องอยู่ในความคิด “เราไม่เคยจากไปไหน”
สายลมเย็นพัดผ่านใบไม้แห้งให้ปลิวลอยขึ้นไปในอากาศ ราวกับโลกกำลังตอบรับความเงียบสงบของค่ำคืนนี้ เด็กๆ ที่เหลือค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด บางคนยังเงียบงัน บางคนเหลียวมองรอบตัวเผื่อจะพบร่องรอยของผู้มาเยือนในยามราตรี
“เรากลับกันเถอะ” เสียงของเด็กคนหนึ่งดังขึ้น ทำลายความเงียบที่ปกคลุม พวกเขาพยักหน้าให้กัน ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากบริเวณนั้น
แต่ในขณะที่พวกเขาหันหลังกลับ เด็กชายที่เป็นคนสุดท้ายหยุดฝีเท้า ดวงตาของเขายังจับจ้องไปที่เงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่ที่โซระเคยยืนอยู่ ราวกับกำลังคาดหวังว่าจะได้เห็นเงาร่างนั้นอีกครั้ง
“ข้าจะรอ…”
เขากระซิบเบาๆ ให้กับค่ำคืน ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามเพื่อนๆ ไป
——
ณ ป่าลึกซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป
ชิโระยืนพิงต้นไม้ใหญ่ ดวงตาสีแดงเข้มของเธอจับจ้องไปยังดวงจันทร์ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า ความคิดของเธอล่องลอยไปยังดวงตาคู่นั้น… ดวงตาของเด็กชายที่มองพวกเขาด้วยความมุ่งมั่นและคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ
“เขาจะเป็นคนที่ใช่หรือเปล่า?”
เสียงทุ้มของโซระดังขึ้นจากด้านข้าง ชิโระไม่ตอบ เธอเพียงแค่หลับตาลง ปล่อยให้สายลมพัดผ่านร่างของเธอไป
“เวลาจะเป็นตัวตัดสิน”
เธอเอ่ยเบาๆ ก่อนจะหายตัวไปในเงามืด ทิ้งให้โซระยืนอยู่เพียงลำพัง เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
“เวลาสินะ…”
เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงลงมายังร่างของเขา เงาของโซระทอดยาวไปตามพื้นดิน แล้วค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับสายลมยามค่ำคืน
—–
ในโลกที่ความจริงและเงามืดยังคงทับซ้อนกัน
บางสิ่งกำลังจะเปลี่ยนไป…
ค่ำคืนดำเนินต่อไปอย่างเงียบงัน
เสียงสายลมแผ่วเบาพัดผ่านป่าทึบ ท่ามกลางความมืดที่ปกคลุม มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องผ่านกิ่งไม้ลงมาเป็นระยะ ราวกับกำลังจับจ้องมองเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เด็กชายก้าวเดินไปตามเส้นทางที่ทอดยาวกลับบ้าน แต่ในใจของเขายังคงเต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับโซระและชิโระ พวกเขาเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงปรากฏตัวในค่ำคืนนี้? และคำพูดสุดท้ายที่โซระเอ่ยออกมา…หมายความว่าอย่างไร?
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ สัมผัสเย็นยะเยือกก็ไหลผ่านผิวกาย ราวกับมีใครบางคนเฝ้ามองจากที่ไกลๆ
เด็กชายหยุดเดิน หันขวับกลับไปมองเบื้องหลัง
เงามืดใต้ต้นไม้ไหวไหว แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะยกมือขึ้นแตะหน้าอกที่หัวใจยังเต้นแรง ไม่ใช่เพราะความกลัว…แต่เพราะความรู้สึกบางอย่างที่บอกเขาว่า เรื่องนี้ยังไม่จบแค่นี้
ไม่ว่าความลับที่ซ่อนอยู่คืออะไร
เขาจะต้องหาคำตอบให้ได้
——
เบื้องหลังม่านรัตติกาล
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือกิ่งไม้สูง สายตาของเธอมองลงมายังเด็กชายที่เดินห่างออกไป
“เขาจะค้นหาความจริงจนถึงที่สุด”
เสียงของหญิงสาวดังขึ้น ขณะที่เธอยืนอยู่ในเงามืด ชุดสีดำสนิทพลิ้วไหวไปตามสายลม เส้นผมสีเงินส่องประกายจางๆ ใต้แสงจันทร์
“และเมื่อวันนั้นมาถึง…พวกเราจะรอเขาอยู่ตรงนี้”
เธอหันหลังกลับ ก้าวเดินเข้าไปในเงามืด
และค่ำคืนยังคงดำเนินต่อไป…
สายหมอกแห่งอดีต
ค่ำคืนยังคงเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้ให้ไหวเอน เส้นทางข้างหน้าดูเลือนรางยิ่งขึ้นราวกับจมอยู่ในม่านหมอกที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา
เด็กชายชะงักฝีเท้า สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขารู้สึกถึงความผิดปกติ อากาศรอบตัวเย็นลงผิดธรรมชาติ ราวกับฤดูหนาวได้มาเยือนทั้งที่ไม่ควรจะเป็น
“ใครอยู่ตรงนั้น…”
เสียงของเขาแผ่วเบา ทว่าก้องกังวานในความเงียบ วินาทีนั้นเอง หมอกสีเทาที่ปกคลุมเบื้องหน้าก็ค่อยๆ แหวกออกเผยให้เห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำ ผมยาวสีเงินปลิวไสวตามสายลม ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยหน้ากากครึ่งซีก เหลือเพียงดวงตาสีอำพันที่สะท้อนแสงจันทร์
“เจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่หรือ?”
เสียงของอีกฝ่ายราบเรียบ ทว่ากลับแฝงไปด้วยอำนาจบางอย่างที่กดทับจนเด็กชายรู้สึกหนักอึ้ง
“ข้าแค่อยากรู้ความจริง…”
เด็กชายเอ่ยตอบทั้งที่หัวใจเต้นแรง เขารู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่อาจละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้
ชายปริศนายิ้มบางๆ ก่อนก้าวเข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าเงียบเชียบราวกับไร้ตัวตน
“ถ้าเจ้าต้องการความจริงจริงๆ ก็จงตามข้ามา”
เขายื่นมือออกไป ม่านหมอกที่รายล้อมเริ่มหมุนวนราวกับพายุที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง
เด็กชายมองมือที่ยื่นมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับชายตรงหน้า
เขาจะเลือกเดินต่อไป หรือถอยกลับกันแน่?
ในขณะที่ชิโระและโซระกำลังจะเดินกลับไปยังที่พัก เสียงร้องของเด็กคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พวกเขาหันไปตามสัญชาตญาณ และสิ่งที่เห็นทำให้หัวใจของพวกเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ
ชายปริศนาในชุดคลุมสีเงินยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา แขนของเขายื่นออกไปจับตัวเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังดิ้นรนสุดแรงเกิด เด็กคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเด็กคนหนึ่งในกลุ่มที่พวกเขาดูแลอยู่
“ปล่อยเขาซะ” ชิโระพูดเสียงเรียบ แต่ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแรงกดดัน
ชายปริศนายิ้มเย็น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้รู้สึกเสียวสันหลัง “มนุษย์ช่างอ่อนแอ เด็กพวกนี้ไม่มีทางรอดหรอก สู้ปล่อยให้พวกเขากลายเป็นเครื่องสังเวยเพื่อความสมดุลของโลกนี้จะดีกว่า”
จากนั้นชายคนนั้นก็ออกแรงบีบที่แขนของเด็กชาย จนเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังไปทั่วบริเวณ
ชิโระกัดฟันแน่น มือของเธอสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความโกรธ เธอกำลังจะพุ่งเข้าไป แต่กลับรู้สึกถึงมือของโซระที่แตะลงบนไหล่ของเธอ
“อย่าใจร้อน” โซระพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา “เขาต้องการให้เราทำแบบนั้น”
ชิโระสูดหายใจลึก พยายามควบคุมอารมณ์ เธอรู้ดีว่าการพุ่งเข้าไปโดยไม่คิดอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง
“แล้วเราจะทำยังไง?” เธอถาม
โซระปล่อยมือจากไหล่ของเธอ ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายตาของเทพปริศนา “ถ้านายต้องการสมดุลจริงๆ ก็คงไม่ใช้วิธีนี้สินะ”
ชายปริศนายกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะสนใจคำพูดของโซระ “แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทำยังไง?”
โซระยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ “ก็แค่ลองสู้กับฉันดู… ถ้าชนะ นายอยากเอาเด็กไปไหนก็เอาไป แต่ถ้าแพ้ นายต้องปล่อยเด็กทั้งหมด”
ชิโระเบิกตากว้าง “โซระ!”
แต่เขาเพียงแค่หันมายิ้มบางๆ ให้เธอ ก่อนจะก้าวไปยืนเผชิญหน้ากับชายปริศนา
“ตกลงไหม?” โซระเอ่ยถาม
ชายปริศนายิ้มมุมปาก ก่อนจะปล่อยเด็กชายที่บาดเจ็บลงกับพื้น “น่าสนใจ… ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน แรงกดดันมหาศาลปกคลุมไปทั่วบริเวณ
สงครามระหว่างเทพและมนุษย์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว…
เสียงลมพัดผ่านอย่างเย็นเยียบ ท่ามกลางความเงียบงันของค่ำคืน เสียงสะอื้นแผ่วเบาดังขึ้นจากเด็กชายที่ถูกตรึงอยู่ในอ้อมแขนของชายปริศนาในผ้าคลุมสีเงิน เด็กน้อยดิ้นรน แต่แรงของเทพนั้นเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาเกินไป
“ปล่อยเขา” เสียงของโซระนิ่งสงบแต่หนักแน่น สายตาของเขาจับจ้องไปที่ชายตรงหน้าอย่างไม่ลดละ
เทพปริศนาหัวเราะเบาๆ “มนุษย์เช่นเจ้าคิดจะขวางข้าอย่างนั้นหรือ?” เขากระชับแขนที่โอบเด็กชายแน่นขึ้น เด็กน้อยสะดุ้งร้องออกมา ใบหน้าที่เคยเปื้อนรอยยิ้มกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ชิโระกำหมัดแน่น สร้อยคอของเธอเปล่งประกายสีมิ้นท์จางๆ “ข้าจะไม่ให้เจ้าพรากเด็กไปจากพวกเรา!”
เทพปริศนายิ้มมุมปาก แววตาของเขาฉายแววเย้ยหยัน “มนุษย์โง่เขลา เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกเจ้าจะสามารถขวางข้าได้?”
ทันใดนั้น พื้นดินสั่นสะเทือน ลมพายุโหมกระหน่ำ กิ่งไม้ไหวระริก แรงกดดันมหาศาลพุ่งเข้าใส่ราวกับพลังของทวยเทพกำลังถาโถม ชิโระกัดฟันแน่น ร่างของเธอสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดัน แต่โซระยังคงยืนนิ่ง ดวงตาสีเข้มของเขาจ้องมองไปยังเทพเบื้องหน้าโดยไม่หวั่นไหว
“ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้ง” โซระก้าวไปข้างหน้า ดวงตาของเขาฉายแววเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยอำนาจ “ปล่อยเด็กซะ”
เทพปริศนาชะงักไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างในตัวชายหนุ่มตรงหน้า แม้เขาจะเป็นเพียงมนุษย์ แต่แรงกดดันจากตัวเขากลับทำให้เทพเองต้องหวั่นเกรง
“หึ เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ” เทพเอ่ยขึ้นก่อนจะกระตุกยิ้ม “แต่ข้าจะไม่ยอมปล่อยของที่ข้าเลือกแล้วง่ายๆ”
สิ้นคำพูด เทพสะบัดมือ ปล่อยพลังออกมาเป็นคลื่นสีเงินเข้าปะทะกับโซระอย่างรุนแรง แต่เพียงพริบตาเดียว โซระก็หายไปจากสายตาของเทพ ก่อนที่ร่างของเขาจะปรากฏขึ้นอีกครั้งด้านหลังเทพปริศนา
“ช้าไป” โซระกล่าวเสียงเย็นชา
เขาคว้าแขนที่โอบรัดเด็กชายอยู่แล้วออกแรงกระชาก เด็กน้อยหลุดจากอ้อมแขนของเทพ ทันทีที่เป็นอิสระ เด็กชายก็รีบวิ่งไปหลบหลังชิโระ เทพหันขวับ ดวงตาของเขาฉายแววโกรธเกรี้ยว
“กล้าดียังไง!” เทพตะโกนลั่น
โซระไม่ตอบ เขาเพียงแค่ยืนมองด้วยสายตานิ่งสงบเหมือนเดิม ราวกับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลของเทพเลยแม้แต่น้อย
ชิโระรีบใช้พลังของสร้อยคอสร้างบาเรียขึ้นมาปกป้องเด็กชาย เธอหันไปมองโซระอย่างเป็นกังวล “ระวังด้วยนะ!”
เทพปริศนาแสยะยิ้มก่อนจะพุ่งเข้าหาโซระด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ มือของเขาก่อตัวเป็นพลังสีเงินเตรียมจะโจมตี
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง โซระขยับตัว หายวับไปจากตำแหน่งเดิมก่อนจะปรากฏตัวขึ้นด้านข้างของเทพ มือของเขายกขึ้นก่อนจะฟาดเข้าไปที่ต้นคอของเทพอย่างรุนแรง
“อึก!” เทพสะดุ้งเฮือก ร่างของเขาเซไปด้านข้าง แววตาตื่นตะลึง
“ข้าบอกแล้ว” โซระกล่าวเสียงเรียบ “อย่ายุ่งกับเด็กๆ ของเรา”
เทพกัดฟันแน่น เขาถอยห่างออกไปเล็กน้อย กุมต้นคอของตัวเองด้วยความตกใจ
“ข้าจะไม่ลืมเรื่องนี้” เทพพูดเสียงต่ำก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆ เลือนหายไปกับสายลม
บรรยากาศรอบๆ กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ลมพัดเอื่อยๆ คล้ายกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
เด็กชายวิ่งเข้าไปกอดชิโระแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา “พี่ชิโระ… ข้ากลัวมาก…”
ชิโระลูบศีรษะเด็กชายเบาๆ “ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”
โซระเดินเข้ามายืนข้างๆ พวกเขา มองไปยังจุดที่เทพปริศนาหายไป
“พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว…” เขาพูดเสียงเบา
ชิโระพยักหน้า “เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
“จากนี้ไป จะไม่ใช่แค่การปกป้องเด็กๆ อีกแล้ว” โซระกล่าว “แต่พวกเราต้องต่อสู้… เพื่อปกป้องทุกคน”
สายลมพัดผ่านอีกครั้ง ท้องฟ้าที่เคยสงบดูลึกลับขึ้นกว่าเดิม ราวกับกำลังเตรียมพร้อมสำหรับพายุลูกใหม่ที่กำลังจะมา…
หลังจากที่เทพปริศนาหายไป ความเงียบงันก็เข้าปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง
เด็กชายที่ถูกช่วยไว้ยังคงตัวสั่นในอ้อมแขนของชิโระ ใบหน้าของเขาซีดเผือดจากทั้งความกลัวและบาดแผลที่ได้รับจากแรงบีบของเทพปริศนา รอยแดงปรากฏขึ้นบนแขนเล็กๆ ของเขา รวมถึงรอยช้ำจางๆ ที่ลำคอ
“เจ็บมากไหม?” ชิโระถามเสียงอ่อนโยน
เด็กชายส่ายหน้าเบาๆ แม้ว่าแววตาของเขาจะเต็มไปด้วยน้ำตา แต่เขาก็พยายามเข้มแข็ง
โซระย่อตัวลงข้างๆ “ชิโระ จัดการรักษาให้เถอะ”
ชิโระพยักหน้า เธอสูดหายใจลึกก่อนจะยื่นมือไปแตะที่บาดแผลของเด็กชาย แสงสีมิ้นท์จางๆ เปล่งออกมาจากฝ่ามือของเธอ อ่อนโยนและอบอุ่น พลังของเธอค่อยๆ ไหลเวียนเข้าสู่ร่างของเด็กชาย
เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่ความเจ็บปวดจะค่อยๆ มลายหายไป ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา รอยช้ำที่แขนและลำคอค่อยๆ จางลงจนหายไปสนิท
“วิเศษไปเลย…” เด็กชายพึมพำ เขาสัมผัสแขนของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชิโระด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าเก่งขึ้นมากเลยนะ” โซระเอ่ยชม
ชิโระถอนหายใจยิ้มๆ “แต่มันยังไม่พอหรอก ถ้าหากเราต้องปกป้องเด็กๆ ทุกคน”
เธอลุกขึ้นก่อนจะมองไปยังรอบๆ บริเวณ ป่าที่เคยเงียบสงบตอนนี้ดูอึมครึมมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่เทพปริศนาเข้ามาก้าวก่าย พวกเขาไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าจะปลอดภัยอีกนานแค่ไหน
“ที่นี่มันไม่ปลอดภัยอีกแล้ว” เธอกล่าวเสียงหนักแน่น
“แล้วเจ้าคิดจะทำอะไร?” โซระถาม
ชิโระเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะหยิบสร้อยคอของตัวเองขึ้นมา พลังของเธอสั่นไหวเป็นระลอก ขณะที่เธอค่อยๆ หลับตาลง
“ข้าจะสร้างสถานที่ที่ปลอดภัยให้กับพวกเรา”
แสงสีมิ้นท์ค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นจากสร้อยคอ ก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ วงแหวนเวทมนตร์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้นใต้ฝ่าเท้าของเธอ สัญลักษณ์โบราณที่ไม่มีใครรู้ความหมายเปล่งประกายขึ้นทีละตัว
“นี่มัน…” โซระขมวดคิ้ว เขารับรู้ได้ถึงพลังที่แตกต่างจากเดิมของชิโระ
ลมพัดกระโชกขึ้นอีกครั้ง แรงขึ้น แสงสีมิ้นท์พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่พื้นดินจะสั่นไหว
จากกลางพื้นที่โล่ง ต้นไม้ใหญ่ที่เคยปกคลุมถูกแทนที่ด้วยเสาแกะสลักสีขาว สูงตระหง่าน หลังคาโค้งมนที่ประดับด้วยสัญลักษณ์เวทมนตร์ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเป็นโครงสร้างที่ดูศักดิ์สิทธิ์และอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
ภายในโครงสร้างนั้น มีแสงเรืองรองที่อ่อนโยน เสียงสายน้ำไหลเบาๆ สร้างบรรยากาศสงบสุข
“ข้าสร้างที่นี่ขึ้นมา… เพื่อให้เด็กๆ มีที่ปลอดภัย” ชิโระกล่าวขณะมองผลงานของตนเอง “วิหารแห่งการปกป้อง”
เด็กชายที่ยืนอยู่ข้างหลังมองด้วยความตื่นตะลึง “พวกเราจะอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอ?”
“ใช่” ชิโระพยักหน้า “ตราบใดที่ข้ายังอยู่ วิหารนี้จะไม่มีวันล่มสลาย”
โซระมองไปรอบๆ เขาสัมผัสได้ถึงพลังคุ้มครองจากสถานที่นี้ มันไม่ใช่แค่โครงสร้างธรรมดา แต่เต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์ที่เข้มข้น
“ข้าคิดว่ามันจะช่วยให้เด็กๆ ปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง” โซระกล่าว “แต่เจ้าก็ต้องดูแลตัวเองด้วย เข้าใจไหม?”
ชิโระหัวเราะเบาๆ “ข้ารู้แล้วน่า”
เธอหันไปทางเด็กๆ ที่เริ่มเดินเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“จากนี้ไป ที่นี่จะเป็นบ้านของพวกเรา”
แสงสีมิ้นท์จางๆ ยังคงเปล่งประกายอยู่รอบตัวเธอ และภายในใจของชิโระเอง เธอรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่จะตามมา…
เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อความเจ็บปวดเริ่มจางหายไป ทว่าในสายตาของเขากลับมีแววสับสน—เพราะเขาไม่ได้แค่หายจากอาการบาดเจ็บ แต่รู้สึกเหมือนร่างกายเขาเบาขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
โซระที่ยืนเฝ้ามองอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นแต่แฝงไปด้วยความห่วงใย “ความเจ็บปวดของเจ้าไม่ได้หายไป… มันเพียงแค่ถูกส่งต่อไปยังผู้รักษา”
เด็กชายเบิกตากว้าง ก่อนจะหันไปมองชิโระที่ยังคงประคองมืออยู่เหนือร่างของเขา สีหน้าของเธอไม่ได้แสดงออกถึงความเจ็บปวด ทว่าหากมองลึกลงไปในแววตา จะเห็นได้ว่ามีบางสิ่งที่ถูกถ่ายทอดมาสู่เธอ—ภาระของบาดแผลและความทรมานที่เขาควรจะรู้สึก ถูกถ่ายโอนไปสู่เธอแทน
ชิโระไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่ยิ้มบางๆ มือที่สัมผัสร่างเด็กชายค่อยๆ ถอนออกอย่างอ่อนโยน บาดแผลของเด็กชายหายสนิท ทิ้งไว้เพียงรอยจางๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
แต่เธอรู้ดีว่า หากการรักษาเพียงครั้งเดียวสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเด็กเหล่านี้ได้ แล้วพลังของเธอจะสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้หรือไม่?
เธอค่อยๆ ลุกขึ้น มองไปรอบตัว บริเวณนี้เคยเป็นเพียงผืนป่ารกร้าง บัดนี้ เธอหลับตาลง ปล่อยให้พลังของเธอไหลเวียนไปทั่วพื้นที่
พื้นดินเริ่มสั่นไหว แสงสีมิ้นท์เปล่งประกายออกมาจากฝ่ามือของเธอ ก่อนที่พลังนั้นจะแผ่ขยายออกไป โซระเฝ้ามองโดยไม่พูดอะไร แต่สายตาของเขากลับลึกซึ้งราวกับเข้าใจสิ่งที่เธอกำลังทำ
ไม่นานนัก เสียงของสายลมก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป มันไม่ใช่เสียงลมที่พัดผ่านป่าธรรมดาอีกต่อไป แต่กลับมีท่วงทำนองที่แฝงไปด้วยความสงบ อบอุ่นราวกับเสียงขับขานของบทเพลงโบราณ
และในที่สุด สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ก็เริ่มปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
วิหารแห่งการปกป้อง
มันถูกสร้างขึ้นจากพลังของชิโระเอง เป็นสถานที่ที่แผ่กระจายความอบอุ่นไปทั่วบริเวณ—เป็นแหล่งที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยสำหรับทุกผู้คนที่ก้าวเข้ามา
ทว่า วิหารแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่มีไว้เพื่อพักพิง แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของชิโระเอง พลังครึ่งหนึ่งของเธอถูกส่งผ่านไปยังวิหารแห่งนี้ ทำให้มันสามารถเยียวยาผู้ที่เข้ามาพักพิงได้โดยไม่ต้องใช้พลังของเธอโดยตรง
และนั่นหมายความว่า… ทุกครั้งที่เธออยู่ในวิหาร เธอจะรู้สึกถึงความอบอุ่นราวกับถูกโอบกอดอยู่เสมอ ร่างกายของเธอจะได้รับการเยียวยาอย่างช้าๆ เสียงลมที่พัดผ่านราวเสียงเพลงที่ทำให้จิตใจสงบ ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ยินเสียงนั้น ก็จะรู้สึกเหมือนถูกปลอบโยนจากความเจ็บปวดที่พวกเขาแบกรับ
ทว่า… สิ่งที่ไม่มีใครรู้ก็คือ—
การสร้างวิหารนี้ คือการผูกมัดพลังของชิโระเข้ากับมัน หากวันหนึ่งวิหารนี้ถูกทำลาย พลังครึ่งหนึ่งของเธอก็จะสูญสิ้นไปตลอดกาล
โซระมองดูวิหารที่เพิ่งสร้างเสร็จ ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ “เธอไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนมากขนาดนี้”
ชิโระหันมามองเขา ก่อนจะยิ้มบางๆ “ถ้าการแลกเปลี่ยนนี้ทำให้ทุกคนปลอดภัย… มันก็คุ้มค่า”
โซระถอนหายใจเบาๆ มองเธอด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบา “แต่ฉันไม่อยากให้เธอหายไป”
ชิโระไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น มองดูวิหารที่เธอสร้างขึ้น พร้อมกับรู้สึกถึงพลังที่ค่อยๆ ไหลเวียนเข้าไปสู่ตัวมัน
นี่คือจุดเริ่มต้นของการปกป้องที่แท้จริง ทว่ามันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสูญเสียในอนาคตด้วยเช่นกัน…
ชิโระยืนอยู่กลางวิหารที่มองเห็นความว่างเปล่าที่แบ่งระหว่างสวรรค์และนรก ดวงตาสีแดงของเธอสะท้อนแสงจากเส้นแบ่งของสองโลก ขณะที่สายลมอันหนาวเหน็บพัดผ่านร่างของเธอไป
โซระยืนอยู่ข้างๆ มองดูชิโระด้วยแววตาที่เงียบสงบ แต่ภายในเต็มไปด้วยคำถามที่ไร้คำตอบ พวกเขาทั้งสองต่างรู้ดีว่าการมีชีวิตนิรันดรไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาขอ แต่มันเป็นสิ่งที่พวกเขาถูกกำหนดให้ต้องมี
“พร…” ชิโระพูดเบาๆ “เป็นสิ่งที่มอบให้กับผู้ที่ควรได้รับ”
เธอยกมือขึ้น สัมผัสสร้อยคอที่เปล่งแสงสีมิ้นท์ มันเป็นเครื่องเตือนใจถึงพลังที่พวกเขาได้รับมา และราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับมัน
“แต่เราไม่ได้ขอพรนี้” โซระตอบเสียงทุ้ม “มันถูกมอบให้เรา… โดยที่ไม่มีทางเลือก”
ชิโระหลับตาลงครู่หนึ่ง ปล่อยให้เสียงของอดีตสะท้อนอยู่ในหัว—เสียงของเทพที่ประกาศภารกิจของพวกเขา เสียงของคนที่พวกเขาสูญเสียไปเพราะการต่อสู้เพื่อสมดุลของโลก
“ถ้าเป็นพร มันควรจะนำความสุขมาให้” ชิโระเปิดเปลือกตาขึ้น “แต่สิ่งที่เรามี… คือความเจ็บปวด การจากลา และภาระที่ไม่มีวันสิ้นสุด”
โซระถอนหายใจ ยกมือขึ้นมอง มันคือมือที่สามารถสร้างและทำลายโลกได้ในพริบตา แต่มือคู่นี้กลับไม่สามารถปกป้องคนที่พวกเขารักได้ตลอดไป
“บางที… มันอาจเป็นทั้งพรและคำสาป” โซระกล่าว “มันให้พลังกับเรา ให้เวลาที่ไม่มีวันหมดสิ้น… แต่ในขณะเดียวกัน มันก็พรากทุกอย่างไปจากเรา ทำให้เราต้องเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีจุดสิ้นสุด”
ชิโระเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองโซระ
และตอนนั้นโซระมองไปที่ชิโระ ซึ่งตอนนี้ผมสีดำของเธอเปล่งประกายไฮไลท์สีมิ้นและสีขาวจาง ๆ ที่ปลายสุด แต่เมื่อเธอใช้พลัง เส้นผมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับถูกชะล้างด้วยแสง ก่อนที่ปลายเส้นผมจะเรืองรองด้วยสีมิ้นจาง ๆ
“ชีวิตนิรันดร… มันเป็นพรหรือคำสาปกันแน่?” โซระเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสี
ชิโระเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสเส้นผมตัวเอง เธอรู้ดีว่าพลังที่เธอได้รับมานั้นมากเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะรับไหว และราคาของมันก็คือคำสาปที่ไม่มีวันปลดเปลื้อง
“มันไม่ใช่ทั้งพรและคำสาป” ชิโระพูดขึ้น น้ำเสียงของเธอราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น “มันคือภาระที่เราต้องแบกรับ”
เธอเหลือบตามองโซระแวบหนึ่ง ดวงตาสีแดงเรืองรองสะท้อนกับแสงอาทิตย์อัสดง “เจ้ารู้ไหม โซระ… เวลาผ่านไปมากแค่ไหน เราก็ยังอยู่ที่เดิม ยังเห็นทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยที่เราเองไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามมัน”
โซระพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาเองก็รู้ถึงความหนักอึ้งของชีวิตที่ไม่มีวันจบสิ้น
“แต่นั่นแหละ… ถ้าพวกเราไม่อยู่ โลกนี้อาจสูญเสียความสมดุลไปก็ได้” โซระพูดเสียงเบา “แม้พวกเราจะต้องทนเห็นทุกอย่างค่อย ๆ เปลี่ยนไป แต่เราก็ยังอยู่ตรงนี้ คอยปกป้องมัน”
ชิโระยิ้มบาง ๆ “งั้นก็หมายความว่าเราไม่มีสิทธิ์จะถามว่ามันเป็นพรหรือคำสาปสินะ” เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเงียบลง “เพราะไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เราก็ต้องก้าวต่อไป”
โซระยิ้มจาง ๆ มองไปยังเส้นขอบฟ้า “ใช่… และเราจะไม่ปล่อยให้คำสาปนี้เป็นสิ่งที่ฉุดรั้งเรา แต่จะใช้มันเพื่อทำให้สิ่งที่เรารักคงอยู่ต่อไป”
ชิโระหลับตาลงครู่หนึ่ง ปล่อยให้ลมพัดผ่านราวกับกำลังปล่อยให้ความคิดของเธอหลอมรวมไปกับมัน เส้นผมสีขาวที่ปลายมิ้นของเธอปลิวไปตามสายลม ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่เงียบสงบ
บางที… คำตอบของพวกเขาอาจไม่ได้อยู่ที่ว่า “ชีวิตนิรันดร” เป็นพรหรือคำสาป แต่อยู่ที่ว่าพวกเขาจะใช้มันไปเพื่ออะไร
“แล้วเจ้าล่ะ…” ชิโระเอ่ยขึ้น พลางมองโซระด้วยสายตานิ่งสงบ “ถ้าให้เลือกระหว่างปลดปล่อยตัวเองจากคำสาปนี้ กับใช้มันเพื่อปกป้องโลกใบนี้ เจ้าจะเลือกอะไร?”
โซระเงียบไป ดวงตาของเขาสะท้อนแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า คำถามของชิโระไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่เคยคิดถึง มันเป็นสิ่งที่คอยหลอกหลอนเขามาตลอดตั้งแต่รู้ความจริงเกี่ยวกับพลังของพวกเขา
“ข้าไม่รู้หรอกว่าถ้าปลดปล่อยตัวเองจากคำสาปนี้ไปแล้ว ทุกอย่างจะเป็นยังไง…” โซระพูดช้า ๆ “แต่ข้ารู้ว่าถ้าไม่มีพวกเรา… โลกนี้คงไม่เหมือนเดิม”
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า หัวเราะเบา ๆ ให้กับความคิดของตัวเอง “และข้าก็ไม่อยากเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่เพื่อเฝ้าดูมันพังทลาย”
ชิโระมองเขาเงียบ ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
ลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ร่างของทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก พวกเขารู้ดีว่าทางเลือกของตนคืออะไร และถึงแม้เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยว พวกเขาก็จะยังคงก้าวเดินไปด้วยกัน
เพราะสุดท้ายแล้ว… ไม่สำคัญว่ามันเป็นพรหรือคำสาป
สิ่งสำคัญกว่าคือ พวกเขาจะใช้มันไปเพื่ออะไรต่างหาก
เสียงสายลมพัดผ่าน ทำให้ใบไม้ไหวเอนเบา ๆ ใต้ท้องฟ้ายามราตรีที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่าง ชิโระเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
“ถึงเวลาต้องไปแล้ว”
โซระพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยคำใด มือของเขากำแน่นอยู่ข้างตัว แม้จะทำใจไว้แล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกหนักอึ้งกำลังกดทับลงมาที่อก
“ชิโระ…” โซระเอ่ยเรียกเบา ๆ “เจ้าเคยเสียใจบ้างไหม ที่เกิดมาพร้อมกับชะตากรรมแบบนี้?”
ชิโระชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับมายิ้มบาง ๆ
“เคยสิ” เขาตอบตามตรง “แต่ข้ารู้ว่ามันไม่มีความหมายที่จะจมอยู่กับความเสียใจ”
โซระมองใบหน้าของอีกฝ่ายเงียบ ๆ ภายใต้แสงจันทร์ เส้นผมดำสนิทของชิโระพลิ้วไหวตามแรงลม ปลายผมที่มีไฮไลท์สีมิ้นและสีขาวดูราวกับกำลังเรืองแสงเบา ๆ
“ถ้าทุกอย่างจบลง เจ้าจะทำอะไรต่อ?”
ชิโระนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“ข้าไม่รู้หรอก” เขาตอบ “บางที… อาจจะเดินทางไปเรื่อย ๆ ดูว่าโลกใบนี้มีอะไรให้ข้าได้เห็นอีกบ้าง”
“แล้วถ้าไม่มีอะไรเหลือให้เห็นแล้วล่ะ?”
ชิโระเงียบไป ก่อนจะคลี่ยิ้มจาง ๆ
“ก็แค่เดินต่อไป”
คำตอบของเขาทำให้โซระถอนหายใจเงียบ ๆ เขารู้ว่าชิโระกำลังพยายามทำให้มันฟังดูง่าย แต่ในความเป็นจริง… การมีชีวิตเป็นนิรันดร์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
—ไม่ใช่พร… แต่เป็นคำสาป
และบางที… สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คืออยู่เคียงข้างชิโระ ตราบเท่าที่เขายังสามารถทำได้
เสียงระฆังศาลเจ้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของค่ำคืน ทั้งสองสบตากัน ก่อนจะพยักหน้าให้กันเบา ๆ แล้วก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน
เพราะเส้นทางของพวกเขา… ยังคงต้องดำเนินต่อไป
เสียงสายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ปลายผมสีดำของชิโระสะบัดเบา ๆ พร้อมกับประกายไฮไลท์สีมิ้นที่ต้องแสงจันทร์ ดูราวกับมีแสงเรืองรองอ่อน ๆ โซระยืนข้าง ๆ มือของเขากุมมือของเธอไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป
“เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหม?” โซระถามเสียงแผ่ว
ชิโระหันมามองเขา ดวงตาคู่นั้นฉายแววแน่วแน่ “อืม ข้าไม่กลัว”
โซระหลุบตาลง เขารู้ว่าทางข้างหน้ามีเพียงความมืดมิด แต่ขณะเดียวกัน—มือของชิโระยังคงอุ่น มือคู่นี้จับเขาไว้แน่นไม่ปล่อย
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ” ชิโระเอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ
โซระเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกระชับมือเธอแน่นขึ้น “ข้าก็เหมือนกัน”
ทั้งสองยืนเคียงข้างกันใต้แสงจันทร์ สายลมพัดผ่านราวกับกระซิบเรื่องราวที่ยังคงดำเนินต่อไป…
ค่ำคืนดำเนินไปอย่างเงียบสงบ แต่ภายในใจของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยพายุอารมณ์ที่ไม่อาจสงบลงได้
ชิโระเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงจันทร์เต็มดวงทอแสงเย็นตา แต่เธอรู้ดีว่ามันเป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะมาเยือน สิ่งที่พวกเขากำลังจะเผชิญไม่ใช่เรื่องง่าย…
“เจ้ากลัวหรือเปล่า?” โซระถามขึ้นอีกครั้ง แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม
ชิโระส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองเขาด้วยแววตาแน่วแน่ “หากข้ากลัว ข้าคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”
โซระจ้องมองเธอครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “นั่นสินะ…เจ้านี่มันดื้อจริง ๆ”
“ข้าก็เป็นแบบนี้มาตลอด เจ้าน่าจะชินได้แล้วนะ” ชิโระพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ลึก ๆ แล้วเธอก็รู้ว่าเขาห่วงเธอมากแค่ไหน
โซระไม่ได้ตอบอะไรอีก เขาเพียงแค่ดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น ราวกับอยากจะยืนยันว่าชิโระยังอยู่ตรงนี้กับเขา
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” โซระกระซิบ
ชิโระพยักหน้า มือของเธอจับชายเสื้อของเขาแน่น ไม่มีคำพูดใด ๆ ต่อจากนั้น มีเพียงสายลมที่พัดผ่าน และหัวใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน…
เสียงลมพัดผ่านยอดไม้ เสียงใบไม้กระทบกันแผ่วเบา คล้ายเสียงกระซิบของเหล่าวิญญาณที่เฝ้าจับตามองพวกเขาอยู่
ชิโระซบหน้าลงกับแผ่นอกของโซระ หัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะมั่นคง ให้ความรู้สึกอบอุ่นท่ามกลางค่ำคืนอันเหน็บหนาว
“พรุ่งนี้…จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วใช่ไหม?” ชิโระเอ่ยเสียงเบา ราวกับไม่อยากยอมรับความจริง
โซระลูบศีรษะของเธอแผ่วเบา “อาจจะไม่เหมือนเดิม…แต่ตราบใดที่เรายังอยู่ด้วยกัน ข้าสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือเจ้าไป”
ชิโระเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาสีเข้มของโซระสะท้อนภาพของเธออยู่ในนั้น
“ข้าจะเชื่อใจเจ้า…เพราะข้าเองก็ไม่มีวันปล่อยมือเจ้าไปเช่นกัน”
รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งสอง ก่อนที่โซระจะก้มลงจุมพิตหน้าผากของชิโระอย่างอ่อนโยน
ท่ามกลางความมืดมิดของราตรี แสงจันทร์ส่องลงมาเบื้องล่าง ราวกับเป็นพยานให้กับคำสัญญาของพวกเขา…
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!