สายลมหนาวพัดผ่านกำแพงวังหลวงอันสูงตระหง่าน ดอกเหมยสีแดงเบ่งบานท้าทายความเย็นยะเยือก ราวกับประกาศความงดงามท่ามกลางฤดูเหมันต์ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเกราะสีดำสนิท ยืนอย่างมั่นคงที่ลานกว้าง ดวงตาคมกริบจับจ้องเหล่าทหารที่กำลังทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด
“พวกเจ้าจงตรวจตราให้ทั่ว อย่าให้มีสิ่งใดเล็ดลอด หากเกิดข้อผิดพลาด ข้าจะเอาโทษพวกเจ้าแน่!” เสียงทุ้มต่ำแฝงความเด็ดขาดของ “ถัวกัว” ลูกชายคนเดียวของแม่ทัพใหญ่อันเลื่องชื่อสะท้อนก้อง เหล่าทหารพากันโค้งศีรษะรับคำสั่งด้วยความเคารพ
วันนี้เป็นวันที่เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์รวมตัวกันในงานเฉลิมฉลองปีใหม่ของแผ่นดินต้าหยวน งานใหญ่เช่นนี้ย่อมเต็มไปด้วยความเสี่ยงต่ออันตราย ฮ่องเต้หลิงเจินจึงไว้วางใจให้ถัวกัวรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยทั้งหมด
ในขณะที่ถัวกัวเดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ สวนหลวง เขากลับพบชายหนุ่มในชุดสีขาวเรียบง่าย เดินทอดน่องอยู่ลำพังใต้ต้นเหมยที่กำลังผลิบาน
“เจ้าคือใครกันที่กล้าล่วงล้ำในเขตต้องห้ามโดยไม่แจ้ง?” เสียงเข้มของถัวกัวดังขึ้น
ชายหนุ่มในชุดขาวหันกลับมาช้า ๆ ใบหน้าสง่างามราวหยกของเขาทำให้ถัวกัวต้องชะงัก ใบหน้าเรียบนิ่งของชายคนนั้นกลับมีแววเยือกเย็นที่น่าประหลาดใจ
“ข้าต่างหากที่ควรถามว่า เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาพูดจาเช่นนี้กับข้า” เสียงนุ่มลึกดังขึ้นอย่างสงบ
ถัวกัวขมวดคิ้ว ก่อนจะสังเกตเห็นป้ายหยกที่แขวนอยู่ที่เอวของชายหนุ่ม มันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงฐานะของรัชทายาท
“องค์ชายหลิงเหยียน...” ถัวกัวรีบคุกเข่าลงทันที “ข้าน้อยล่วงเกินโดยมิได้ตั้งใจ ขอองค์ชายโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย”
หลิงเหยียนมองถัวกัวด้วยแววตาเรียบนิ่ง ก่อนจะโบกมืออย่างไม่ถือสา “ลุกขึ้นเถิด เจ้าเพียงทำหน้าที่ของเจ้า ข้าชื่นชมในความละเอียดรอบคอบของเจ้า”
“ขอบพระทัยองค์ชาย” ถัวกัวลุกขึ้นยืน พลางสังเกตเห็นรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าของหลิงเหยียน
หลิงเหยียนก้าวเดินไปยังต้นเหมยที่กำลังผลิบาน เขาเอื้อมมือแตะกลีบดอกเหมยอย่างเบามือ ราวกับกลัวมันจะบอบช้ำ “เจ้ารู้หรือไม่ ดอกเหมยเป็นสัญลักษณ์ของความอดทน แม้ในความหนาวเหน็บ มันยังเบ่งบานได้อย่างงดงาม”
“ข้าน้อยเห็นด้วยพะย่ะค่ะ ดอกเหมยสะท้อนถึงจิตใจที่แข็งแกร่ง” ถัวกัวตอบ
หลิงเหยียนหันมามองเขาอีกครั้ง แววตาขององค์ชายแฝงไปด้วยความลึกซึ้งเกินกว่าจะอ่านออก “แม่ทัพถัว เจ้ารู้หรือไม่ว่าชีวิตในวังหลวงนั้นไม่ง่าย ทุกย่างก้าวล้วนต้องระวัง ไม่ใช่เพียงศัตรูภายนอก แต่รวมถึงคนใกล้ตัว”
ถัวกัวพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจพะย่ะค่ะ และข้าขอสาบานว่าจะปกป้ององค์ชายอย่างสุดความสามารถ”
หลิงเหยียนยิ้มบาง “ข้าจะจดจำคำสาบานของเจ้าไว้”
หลังจากวันนั้น ถัวกัวก็ได้รู้ว่าเขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้คุ้มกันส่วนพระองค์ขององค์ชายหลิงเหยียนอย่างเป็นทางการ การได้รับหน้าที่นี้ทำให้เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ใกล้ชิดกับองค์ชาย
ในวันต่อมา ขณะคุ้มกันหลิงเหยียนที่ตำหนักหนังสือ ถัวกัวสังเกตเห็นว่าองค์ชายกำลังเขียนบางอย่างด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง
“องค์ชาย ข้าน้อยขออภัยที่รบกวน แต่ข้าสงสัยว่าท่านกำลังเขียนสิ่งใด”
หลิงเหยียนเงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มเล็กน้อย “ข้าเพียงเขียนบทกวีเพื่อระบายความในใจ”
“บทกวี?” ถัวกัวถามด้วยความสงสัย “มันต้องเป็นสิ่งที่งดงามแน่ ๆ”
หลิงเหยียนยิ้มมุมปาก “บางครั้ง ความงดงามก็แฝงไปด้วยความทุกข์ใจ เช่นเดียวกับดอกเหมยที่เบ่งบานในความหนาวเหน็บ เจ้าคิดว่าเจ้าจะเข้าใจสิ่งที่ข้ารู้สึกหรือไม่?”
คำถามนี้ทำให้ถัวกัวนิ่งไปชั่วขณะ เขาไม่กล้าตอบตรง ๆ แต่ในใจกลับรู้สึกถึงความเศร้าสร้อยบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในคำพูดขององค์ชาย
“องค์ชาย ข้าน้อยอาจไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านรู้สึกทั้งหมด แต่ข้าขอสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ไม่ว่าในฐานะผู้คุ้มกันหรือผู้ที่ท่านไว้ใจ”
หลิงเหยียนมองเขาเงียบ ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ข้าจะเชื่อในคำสัญญาของเจ้า”
และนี่คือจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ที่ยากจะหลีกเลี่ยง ความรู้สึกที่เกินกว่าหน้าที่เริ่มก่อตัวในหัวใจของทั้งสองโดยไม่ทันรู้ตัว
หลังจากการพบกันครั้งแรก ถัวกัวก็ยังไม่อาจลบภาพขององค์ชายหลิงเหยียนออกจากใจได้ ใบหน้าสงบนิ่งราวน้ำแข็ง แต่ดวงตากลับมีแววอ่อนโยนที่ยากจะมองข้าม ความสงสัยนี้ทำให้ถัวกัวเริ่มสนใจในตัวรัชทายาทมากขึ้น
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ถัวกัวได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นผู้คุ้มกันส่วนพระองค์ขององค์ชายหลิงเหยียนระหว่างการเดินทางไปไหว้พระที่วัดหลวง ขณะที่ขบวนเสด็จมุ่งหน้าไปยังวัด องค์ชายหลิงเหยียนนั่งอยู่บนเกี้ยวทองโดยไม่มีทีท่าว่าจะพูดคุยกับใคร
เมื่อถึงจุดพัก ถัวกัวจึงตัดสินใจเข้าไปทูลถามเพื่อรายงานสถานการณ์ “องค์ชาย ข้าขอทูลรายงานว่าเส้นทางปลอดภัย ไม่มีผู้ใดน่าสงสัย”
หลิงเหยียนเงยหน้าขึ้นจากตำราในมือและพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แม่ทัพถัว เจ้าช่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก เช่นนี้จึงเป็นที่พอพระทัยของเสด็จพ่อ”
คำชมนี้ทำให้ถัวกัวรู้สึกแปลกใจ เพราะปกติแล้วองค์ชายหลิงเหยียนมักไม่แสดงความเห็นต่อใครง่าย ๆ “ข้าขอขอบพระทัยองค์ชาย แต่ข้าเพียงทำตามหน้าที่”
หลิงเหยียนยิ้มบาง ๆ “หากทุกคนในวังหลวงมีความซื่อสัตย์และรับผิดชอบเช่นเจ้า เรื่องวุ่นวายในราชสำนักคงมีน้อยกว่านี้”
คำพูดขององค์ชายทำให้ถัวกัวฉุกคิดถึงสถานการณ์ในวังหลวง ความขัดแย้งระหว่างขุนนางและการแย่งชิงอำนาจล้วนเป็นสิ่งที่ถัวกัวเห็นมาตลอด เขาจึงเข้าใจได้ว่าทำไมองค์ชายหลิงเหยียนถึงแสดงออกอย่างเยือกเย็นต่อทุกสิ่ง
ในขณะที่ถัวกัวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงอันอ่อนโยนขององค์ชายดังขึ้นอีกครั้ง “แม่ทัพถัว เจ้าคิดหรือไม่ว่า ในฐานะคนที่อยู่ใกล้ชิดข้า เจ้าจะต้องเผชิญอันตรายมากมาย”
“ข้าเต็มใจถวายชีวิตเพื่อปกป้ององค์ชาย” ถัวกัวตอบโดยไม่ลังเล
หลิงเหยียนมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง “งั้นหรือ... ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องฝากเจ้าให้ดูแลตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะข้าไม่อยากเสียคนที่ไว้ใจได้เช่นเจ้า”
คำพูดนี้ทำให้หัวใจของถัวกัวเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา แต่เขาก็ต้องรีบสะกดมันไว้ เพื่อไม่ให้ความคิดนี้ล่วงเกินองค์ชาย
การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงนำพาความใกล้ชิดระหว่างถัวกัวและองค์ชายหลิงเหยียน แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะตัดขาดได้ง่าย ๆ...
หลังจากการเดินทางกลับจากวัดหลวง ถัวกัวได้รับคำสั่งให้คอยคุ้มกันองค์ชายหลิงเหยียนเป็นพิเศษ ทำให้เขาต้องใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับองค์ชายมากขึ้น แม้จะเป็นเพียงผู้คุ้มกัน แต่ถัวกัวเริ่มสังเกตว่าองค์ชายไม่ได้เยือกเย็นเช่นที่คนอื่นพูดถึงเสมอไป หากแต่เป็นผู้ที่มีความอ่อนโยนและใส่ใจผู้อื่นในแบบที่ไม่แสดงออก
วันหนึ่ง ขณะที่องค์ชายหลิงเหยียนกำลังฝึกวาดภาพในสวน ถัวกัวยืนประจำตำแหน่งเฝ้ารักษาการณ์อยู่ไม่ไกลนัก หลิงเหยียนเอ่ยเรียกขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว “แม่ทัพถัว เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าชอบวาดภาพเพื่ออะไร?”
คำถามนี้ทำให้ถัวกัวนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบอย่างระมัดระวัง “เพื่อความสงบในจิตใจใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ?”
หลิงเหยียนหัวเราะเบา ๆ “ถูกต้อง แต่ก็ไม่ทั้งหมด ข้าชอบวาดภาพเพราะมันทำให้ข้ารู้สึกเป็นอิสระ... แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะก็ตาม”
ถัวกัวมององค์ชายอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความจริงใจ “องค์ชาย แม้ท่านจะอยู่ในกรอบของราชวงศ์ แต่ท่านยังคงเป็นตัวของตัวเองได้อย่างงดงาม นั่นคือสิ่งที่ข้าชื่นชมในตัวท่าน”
หลิงเหยียนหยุดมือจากการวาดภาพ และเงยหน้ามองถัวกัวด้วยสายตาแปลกใจ “เจ้าพูดเหมือนคนที่รู้จักข้าดี ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน”
“บางครั้ง การได้อยู่ใกล้ชิดใครสักคน ก็ทำให้เราสัมผัสถึงสิ่งที่เขาเป็นได้ แม้ไม่ต้องเอ่ยคำ” ถัวกัวตอบเสียงเรียบ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความจริงใจ
หลิงเหยียนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มบาง “ถัวกัว เจ้าเป็นคนแปลก... ข้ารู้สึกว่าการพูดคุยกับเจ้าทำให้ข้าไม่ต้องสวมหน้ากากเช่นที่ทำกับผู้อื่น”
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์ชาย” ถัวกัวค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างถัวกัวและองค์ชายหลิงเหยียนเริ่มเปลี่ยนไป ทั้งสองเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ถัวกัวกลายเป็นคนที่องค์ชายหลิงเหยียนพึ่งพาทั้งในยามทุกข์และสุข
ทว่า ความใกล้ชิดนี้เริ่มกลายเป็นคำถามในใจของถัวกัว เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่เกินกว่าหน้าที่ เขารู้สึกอยากปกป้ององค์ชาย ไม่ใช่เพราะหน้าที่ แต่เพราะความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวในหัวใจ...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!