เสียงหวูดของเครื่องบินขับไล่ F-22 ดังก้องเหนือป่าทึบที่ปกคลุมไปด้วยหมอกเวทมนตร์ กองกำลังสหรัฐที่นำโดยกองทัพภาคพื้นดิน และหน่วยพิเศษ Delta Force ได้เข้ามาสำรวจดินแดนที่ไม่ปรากฏบนแผนที่โลก ด้วยการใช้ “ประตูมิติ” ที่ถูกค้นพบกลางทะเลทรายในเขต 51
เมื่อมาถึงโลกนี้ พวกเขาได้พบกับเมืองที่เหมือนหลุดออกมาจากยุคกลาง ปราสาทตั้งตระหง่านเหนือเนินเขา ผู้คนสวมเกราะเหล็กและใช้ดาบเหมือนในหนังสือประวัติศาสตร์ ทว่า ท่ามกลางวิถีชีวิตโบราณ กลับมีบางสิ่งที่กองทัพไม่คาดฝัน—มังกรตัวมหึมาที่พ่นไฟออกมา ดินแดนที่ปกครองด้วยราชินีเอลฟ์ผู้ใช้เวทมนตร์อันทรงพลัง และกลุ่มนักผจญภัยที่ออกสำรวจดันเจี้ยนเพื่อหาอัญมณีลึกลับ
การพบเจอระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยกับเวทมนตร์โบราณกลายเป็นหัวใจของเรื่องราว เมื่อจรวดต่อต้านรถถัง Javelin ถูกยิงใส่ยักษ์หินที่สูงเท่าตึกสิบชั้น เสียงปืนกลและระเบิดสะท้อนผ่านป่าที่มีต้นไม้พูดได้ การเผชิญหน้าระหว่างกองกำลังทหารและเหล่าสัตว์อสูรทำให้สมดุลของโลกอิเซไกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่อาจคาดเดา
คำถามสำคัญ
• กองทัพจะเป็นผู้ปกป้องหรือผู้ทำลาย?
ชาวบ้านในโลกนี้ต่างหวาดกลัวอาวุธที่รุนแรงเกินจินตนาการ พวกเขามองว่าทหารเป็นทั้งผู้ปลดปล่อยจากภัยอสูรและปีศาจ แต่ก็เป็นผู้ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิม
• การเมืองและสงครามระหว่างมิติ
จักรวรรดิในโลกอิเซไกที่มองเห็นศักยภาพของกองทัพจากโลกมนุษย์เริ่มวางแผนจับมือ—หรือทรยศ ขณะที่สหรัฐเริ่มตั้งคำถามว่าการแทรกแซงในโลกใหม่นี้จะนำมาซึ่งผลประโยชน์หรือหายนะ
• เวทมนตร์ปะทะวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ของกองทัพพยายามถอดรหัสพลังงานลึกลับของเวทมนตร์เพื่อใช้ในสงคราม ขณะที่เหล่าจอมเวทในโลกอิเซไกมองว่านี่คือการล่วงล้ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เวลาผ่านไปรัซเซียได้ส่งหน่วยสอดแนม หรือรบพิเศษเข้าไปในประตูมิติ แต่หน่วยนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย หลายเดือนต่อมา มีคนในหน่วยรอดออกมาได้คนนึง เค้าดูกลายเป็นคนวิกลจริตหวาดกลัวทุกอย่าง และที่สำคัญเค้าสามารถใช้เวทมนต์ได้นิดหน่อย รัฐบาลสหรัฐได้เข้าจับกุมตัวและสัมภาษณ์เค้า
บันทึกการสัมภาษณ์
สถานที่: ฐานลับของรัฐบาลสหรัฐ (ชั้นใต้ดิน 12)
ผู้ถูกสัมภาษณ์: ร้อยโท ดมิทรี อิวานอฟ (อดีตหน่วย Spetsnaz)
ผู้สัมภาษณ์: ดร. เอเลน่า มอร์แกน (นักจิตวิทยา) และ พ.อ. ริชาร์ด เคนเนดี้ (ผู้บัญชาการโครงการประตูมิติ)
[เริ่มบันทึกเสียง เวลา 22:03 น.]
ดร. มอร์แกน: ร้อยโทอิวานอฟ คุณบอกว่าคุณเป็นคนเดียวที่รอดกลับมาจากโลกอีกมิติหนึ่งได้ ขอให้คุณเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ดมิทรี: (เสียงแหบแห้งและตื่นกลัว) พวกคุณ…ไม่ควร…ไม่ควรเข้าไปในนั้น มันไม่ใช่โลก แต่มันเป็น…นรก
พ.อ. เคนเนดี้: ใจเย็นๆ ร้อยโท เราต้องการข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์ คุณเจออะไรในโลกนั้น?
ดมิทรี: (เริ่มตัวสั่น) พวกเรา…เข้าไปกัน 12 คน มีอาวุธครบมือ เราฝึกมาทุกสถานการณ์…แต่ที่นั่น ไม่มีอะไรเหมือนโลกนี้…
ดร. มอร์แกน: โปรดอธิบายเพิ่มเติม
ดมิทรี: ตอนแรก ทุกอย่างดูสงบ มีแค่ป่า และเมืองเล็กๆ…แต่เมื่อค่ำคืนมา…พวกมันก็ปรากฏตัว (เสียงสะอื้น) สิ่งที่อยู่ในเงามืด…มันไม่ใช่สัตว์…พวกมันไม่มีรูปร่างแน่นอน แต่มัน เห็นเรา มันรู้ว่าเราอยู่ตรงไหน
พ.อ. เคนเนดี้: คุณหมายถึงอะไร? สิ่งมีชีวิตอะไร?
ดมิทรี: (เสียงสั่น) พวกมันเป็น…เหมือนหมอก แต่หมอกที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง…มันกระซิบในหัวเรา…กระซิบชื่อของเราทั้ง 12 คน (เสียงแผ่วเบา) ผมยังได้ยินมันอยู่เลย…ตอนนี้ก็ยังได้ยิน…
ดร. มอร์แกน: (มองหน้าพ.อ. เคนเนดี้) กระซิบอะไร?
ดมิทรี: มันบอกว่า… เราจะไม่กลับไป…เราจะเป็นส่วนหนึ่งของมันตลอดกาล คนแรกถูกลากไปในความมืด ไม่มีเสียงปืน ไม่มีเสียงกรีดร้อง…มีแค่เสียงหัวเราะเบาๆ จากที่ไหนสักแห่ง…
พ.อ. เคนเนดี้: แล้วคุณรอดมาได้ยังไง?
ดมิทรี: ผมไม่รู้! (เริ่มตะโกน) ผมไม่รู้ว่ามันปล่อยผมไปทำไม! แต่ผม…ผมไม่ได้กลับมาคนเดิม… (ยกมือขึ้นที่เต็มไปด้วยแสงสีม่วงเรืองแสง) ดูนี่สิ! พวกมันให้ผมสิ่งนี้…มันสาปผม…ผมไม่ได้เป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว!
ดร. มอร์แกน: (น้ำเสียงตื่นตัว) คุณบอกว่า “พวกมันให้สิ่งนี้” คุณหมายถึงอะไร?
ดมิทรี: (กระซิบ) มันพูดว่า… ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้า…เพื่อให้เจ้าพาโลกของเจ้ามาสู่พวกเรา
พ.อ. เคนเนดี้: (เสียงเข้ม) คุณกำลังบอกว่าพวกมันต้องการมาที่นี่?
ดมิทรี: (หัวเราะอย่างวิกลจริต) มันไม่ต้องการมา…เพราะมัน อยู่ที่นี่แล้ว! คุณได้ยินมั้ย? คุณไม่เห็นมันเหรอ? มันอยู่ตรงนั้น! ในเงามืด! (ชี้ไปที่มุมห้องที่ว่างเปล่า)
ดร. มอร์แกน: (พยายามปลอบใจ) ใจเย็น ร้อยโท ไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น…
ดมิทรี: (ตะโกนลั่น) ไม่! คุณไม่เข้าใจ! มันตามผมกลับมา! มันอยู่ในหัวพวกเราทุกคน! คุณ…พวกคุณทุกคน…จะไม่รอด… (หยุดพูดกะทันหัน เหมือนบางสิ่งทำให้เขาเงียบ)
พ.อ. เคนเนดี้: (เรียกเจ้าหน้าที่) เอาตัวเขาออกไป! เดี๋ยวนี้!
ดมิทรี: (ขณะถูกลากออก) คุณควรเผาประตูนั้นทิ้ง! ปิดมันซะ! ก่อนที่มันจะเอาทุกอย่างไปจากคุณ! (เสียงหายไปพร้อมประตูที่ปิดลง)
[จบบันทึกเสียง เวลา 22:29 น.]
บันทึกเพิ่มเติมจากดร. มอร์แกน
“หลังการสัมภาษณ์ ร้อยโทดมิทรีเริ่มพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ก่อนที่จะหมดสติและถูกนำตัวไปยังห้องกักกัน เราตรวจสอบพลังงานแปลกประหลาดที่เกิดจากตัวเขา และพบว่ามันคล้ายคลึงกับการแผ่รังสีบางอย่างที่มาจากประตูมิติ
ข้อสรุปของฉันคือ สิ่งที่อยู่ในโลกนั้นไม่ได้เป็นเพียงภัยคุกคาม แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาจเข้ามาในมิติของเราได้ทุกเมื่อ และสิ่งที่ร้อยโทดมิทรีบอกว่า ‘มันอยู่ในเงามืด’ อาจเป็นความจริงที่เรายังมองไม่เห็น”ไม่กี่วันหลังจากนั้น ร้อยโทร ดมิทรี ได้เสียชีวิตลงอย่างประหลาด บุคลากรทางทหารและทางอื่นๆ เริ่มได้ยินเสียงกระสิบประหลาด ดังคำพูดที่ว่า“พวกมันอยู่ที่นี้” ของ ดมิทรี คำพูดนี้ได้แทรกเข้ามายังความคิดของเหล่าบุคลากร
สภาพการเสียชีวิตของร้อยโทดมิทรี อิวานอฟ
สามวันหลังการสัมภาษณ์ ร้อยโทดมิทรีถูกพบเสียชีวิตในห้องกักกันพิเศษที่มีการควบคุมอย่างแน่นหนา สภาพศพของเขาทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องตกตะลึงและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
• ร่างกาย: ผิวหนังของเขาซีดขาวเหมือนกระดาษแห้ง แต่กลับมีรอยไหม้เป็นลวดลายเรืองแสงสีม่วงทั่วทั้งร่าง ลวดลายดังกล่าวเหมือนกับอักขระโบราณที่ไม่สามารถระบุได้
• ดวงตา: เบิกโพลง แต่ว่างเปล่า ไม่มีลูกตาเหลืออยู่ มีเพียงความมืดมิดในเบ้าตา
• บริเวณโดยรอบ: ผนังห้องเต็มไปด้วยรอยขีดเขียนประหลาดราวกับถูกเผาด้วยมือเปล่า สัญลักษณ์เหล่านี้ส่องแสงแผ่วเบาแม้ไม่มีแสงไฟ
• การตาย: ผลชันสูตรไม่พบสาเหตุการเสียชีวิตชัดเจน ไม่มีร่องรอยของการบาดเจ็บภายใน หรือพิษในระบบร่างกาย แต่หัวใจของเขาหยุดเต้นอย่างไม่มีเหตุผล และสมองของเขาเหมือนถูกทำลายจากภายใน
ในคืนเดียวกัน เจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมกล้องวงจรปิดรายงานว่า ก่อนร้อยโทดมิทรีจะเสียชีวิต กล้องจับภาพเงามืดในห้องได้ เงานั้นไม่ใช่ร่างมนุษย์ แต่มีรูปร่างเหมือนกลุ่มหมอกที่เคลื่อนไหวได้เอง และมันดูเหมือนจะ “โน้มตัว” เข้าไปหาเขา ก่อนภาพจะดับลงอย่างไร้สาเหตุเสียงกระซิบประหลาด
ไม่กี่วันถัดมา เจ้าหน้าที่ในฐานหลายคนเริ่มรายงานว่าได้ยินเสียงกระซิบในความมืด เสียงนั้นเป็นภาษาแปลกประหลาดที่ไม่มีใครเข้าใจ บางคนอ้างว่ามันเหมือนกำลังเรียกชื่อของพวกเขา เสียงกระซิบดังมาจากมุมห้อง เงามืด หรือแม้กระทั่งในหัวของพวกเขาเองเสียงกระซิบบางครั้งชัดเจนขึ้นและกล่าวคำว่า
“พวกมันอยู่ที่นี่แล้ว… ไม่มีใครรอด”กองทัพตัดสินใจปิดกั้นฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด การเคลื่อนย้ายบุคลากรที่มีอาการประหลาดถูกระงับ และมีการตั้งหน่วยจิตวิทยาและแพทย์เฉพาะทางเข้ามาสำรวจบุคลากรที่ได้ยินเสียงกระซิบหรือมีอาการหวาดระแวง ถูกกักตัวในพื้นที่ปลอดภัยพร้อมการตรวจสอบพลังงานเวทมนตร์และจิตวิทยา การตรวจพบพลังงานเรืองแสงสีม่วงคล้ายกับที่พบในร้อยโทดมิทรีเริ่มแพร่กระจายในกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบกระทรวงกลาโหมเรียกประชุมด่วน โดยแบ่งแผนเป็นสองแนวทาง
1 แผนทำลายล้าง: ส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษพร้อมระเบิดขนาดใหญ่เข้าไปในประตูมิติ หวังปิดประตูด้วย
2 แผนวิจัย: ทีมวิทยาศาสตร์พยายามหาวิธี “ถอดรหัส” เวทมนตร์ที่ติดมากับผู้ได้รับผลกระทบเพื่อทำความเข้าใจและหาทางต่อต้าน
ข่าวลือเกี่ยวกับเสียงกระซิบและการตายของดมิทรีถูกปิดกั้นอย่างเข้มงวด รัฐบาลสร้างเรื่องอธิบายว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นผลจากอาการประสาทหลอนที่เกิดจากสารเคมีที่รั่วไหล
เหตุการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ในคืนที่ 7 หลังการตายของร้อยโทดมิทรี ฐานที่ตั้งของประตูมิติรายงานเหตุขัดข้องทางไฟฟ้าทั้งระบบ ไฟทั้งหมดดับลงเป็นเวลา 15 นาที หลังจากไฟฟ้ากลับมา กล้องวงจรปิดเผยให้เห็น “บางสิ่ง” เดินผ่านทางเดินของฐาน
• ร่างนั้นดูคล้ายมนุษย์ แต่สูงผิดปกติและผอมแห้ง ดวงตาเป็นสีขาวเรืองแสง และทุกครั้งที่มันปรากฏ กล้องวงจรปิดจะมีเสียงกระซิบแผ่วๆ ดังขึ้น
• เจ้าหน้าที่หลายคนที่พบเห็นร่างดังกล่าวหมดสติไปทันที หรือไม่ก็เสียสติ
ข้อความสุดท้ายจากผู้รอดชีวิตในฐาน:
“พวกมันไม่ได้ต้องการแค่โลกของเรา…แต่ต้องการพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของมัน…”
การล่มสลาย หรือ การต่อสู้?
โลกของเรากำลังเผชิญกับสิ่งที่ไม่สามารถต่อกรได้ด้วยกระสุนและระเบิด พวกมันไม่ได้โจมตีด้วยพลังงาน แต่ด้วยจิตใจและความกลัวของมนุษย์เอง
คำถามคือ กองทัพและมนุษยชาติจะสามารถเอาชนะ “สิ่งที่มองไม่เห็น” นี้ได้หรือไม่? หรือจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เราพยายามสำรวจแต่ไม่ควรเข้าไปตั้งแต่แรก? โปรดติดตามต่อ————>
บทนำ: การบุกของกองทัพโบราณผ่านประตูมิติ
ไม่กี่สัปดาห์หลังเหตุการณ์ในฐาน Area 51 ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตปริศนาของร้อยโทดมิทรี ประตูมิติเริ่มแผ่พลังงานที่รุนแรงผิดปกติ ก่อนที่จะปรากฏการเคลื่อนไหวบางอย่างในอีกด้านหนึ่ง ไม่นาน หน่วยสอดแนมแจ้งว่าพบการเคลื่อนไหวจากโลกฝั่งนู้น\~
จากกล้องโดรนที่ส่งเข้าไปตรวจสอบ พบว่ากองทัพโบราณขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนพลมุ่งหน้ามายังประตูมิติ พวกเขาสวมชุดเกราะโลหะขัดเงา แต่กลับดูเหมือนมีบางอย่างเหนือธรรมชาติเข้ามาเสริมพลัง กองทัพนี้ประกอบด้วยนักรบมนุษย์ อัศวินผู้ถือคฑาเวท และมังกรไวเวิร์น (Wyvern) หลายสิบตัวบินเหนือหัวพวกเขา เสียงคำรามของไวเวิร์นดังก้องไปทั่วทั้งประตูกองทัพโบราณเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาผ่านทะเลทรายโดยไม่สนใจความร้อนหรือสภาพอากาศรุนแรง
• ไวเวิร์น:
ไวเวิร์นถูกใช้เป็นหน่วยลาดตระเวนทางอากาศ คอยระวังการโจมตีจากระยะไกล บางตัวพ่นเปลวไฟเพื่อทำลายอุปกรณ์สอดแนมของมนุษย์ เช่น โดรนและยานบินไร้คนขับ
• นักเวท:
นักเวทในกองทัพโบราณใช้พลังเวทมนตร์สร้างม่านป้องกันพลังงานรอบกองกำลังหลัก ทำให้ขีปนาวุธระยะไกลไม่สามารถโจมตีพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อมาถึงเมืองที่ใกล้ที่สุด (อาจเป็นลาสเวกัสหรือเมืองเล็กในเนวาดา) พวกเขาเริ่มตั้งฐานที่มั่น ใช้ไวเวิร์นและอัศวินทำลายสิ่งปลูกสร้างเพื่อแสดงอำนาจ เมืองกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเปลวเพลิง
รัฐบาลสหรัฐตื่นตระหนกกับความเร็วและความรุนแรงของการบุกครั้งนี้ กองทัพเริ่มส่งเครื่องบินรบ เช่น F-22 และ F-35 พร้อมโดรนติดอาวุธเพื่อโจมตีทางอากาศ แต่กลับพบว่า เวทมนตร์ป้องกัน ของนักเวทโบราณสามารถสะท้อนจรวดและกระสุนส่วนใหญ่ได้กองกำลังนาวิกโยธินและหน่วยรบพิเศษถูกส่งเข้าไป แต่กลับพบว่าทหารราบของกองทัพโบราณมีความรวดเร็วและความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดสูงเกินกว่าที่คาด ทหารอเมริกันต้องถอยกลับพร้อมการสูญเสียจำนวนมากเพนตากอนตัดสินใจนำอาวุธพลังงานใหม่ เช่น ปืนเลเซอร์ และอุปกรณ์ EMP (Electromagnetic Pulse) มาใช้เพื่อพยายามทำลายม่านพลังเวทมนตร์ และใช้หุ่นยนต์ติดอาวุธเพื่อป้องกันความสูญเสียของกำลังพลนักวิทยาศาสตร์ในโครงการ Area 51 เริ่มศึกษาพลังงานจากประตูมิติ และพบว่ามีความคล้ายคลึงกับสนามพลังงานบางอย่างในฟิสิกส์ควอนตัม นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า หากสามารถปิดประตูมิติได้ พลังของกองทัพโบราณอาจลดลงอย่างมาก
สถานการณ์การปะทะระหว่างไวเวิร์นและเครื่องบินรบ F-22
ฉากเปิด: การเผชิญหน้ากลางฟ้า
ท้องฟ้าทะเลทรายเนวาดาเต็มไปด้วยเสียงคำรามของไวเวิร์นและเสียงกังวานของเครื่องยนต์ F-22 Raptor ที่กำลังพุ่งทะยาน ไวเวิร์นกลุ่มหนึ่งประมาณสิบตัวกำลังบินในรูปแบบขบวน โดยมีนักเวทที่ขี่บนหลังคอยร่ายมนตร์ป้องกันและเสริมพลังให้พวกมัน
จากระยะไกล เครื่องบินรบ F-22 สองลำบินเข้ามาในระดับความสูงกว่า 50,000 ฟุต นักบินทั้งสองได้รับคำสั่งให้ทำลายไวเวิร์นเหล่านี้ก่อนที่พวกมันจะมุ่งหน้าไปยังเมืองใกล้เคียงF-22 ใช้เรดาร์ AN/APG-77 และเซ็นเซอร์อินฟราเรดตรวจจับไวเวิร์น นักบินระบุว่าเป้าหมายมีการป้องกันเวทมนตร์ที่ทำให้เรดาร์จับพิกัดไม่คงที่ แต่พวกมันยังคงสามารถติดตามผ่านเซ็นเซอร์ความร้อน เนื่องจากร่างกายของไวเวิร์นปล่อยความร้อนมหาศาล
F-22 ลำหนึ่งล็อกเป้าหมายไวเวิร์นตัวนำขบวน และปล่อยขีปนาวุธ AIM-120 AMRAAM ระยะกลาง ขีปนาวุธพุ่งด้วยความเร็วสูง แต่ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย นักเวทบนหลังไวเวิร์นร่ายคาถาสร้างม่านพลังขึ้น ขีปนาวุธถูกสะท้อนออกและระเบิดกลางอากาศ
• นักบินตะโกนผ่านวิทยุ:
“ม่านพลังของพวกมันเหนียวกว่าที่คิด! เปลี่ยนเป็นยุทธวิธีระยะใกล้!”
ไวเวิร์นที่เหลือเริ่มเข้ามาประชิดตัว F-22 หนึ่งในนั้นใช้กรงเล็บขนาดใหญ่พุ่งเข้าข่วนปีกของเครื่องบินรบ ความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลต่อระบบควบคุมการบินบางส่วน นักบินพยายามทรงตัวเครื่องบินและส่งสัญญาณขอการสนับสนุน
นักเวทบนหลังไวเวิร์นเริ่มร่ายมนตร์โจมตีโดยตรง ลูกพลังงานสีดำพุ่งเข้าหา F-22 นักบินตอบโต้ด้วยการปล่อย เป้าหลอกความร้อน (Flares) ทำให้ลูกพลังงานพุ่งไปชนเป้าหลอกแทน
ไวเวิร์นที่เหลืออยู่เพียงตัวสุดท้ายได้บินหนีไป เป็นเวลาเดียวกันกับที่ กำลังเสริมทางอากาศได้มาถึงพอดีF-22 2ลำ
ผลการปะทะครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าเราเป็นผู้ชนะ ทางด้านการรบกันทางอากาศ กลับกัน ทางบกเราเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง
ไวเวิร์นที่พ่ายแพ้แม้จะไม่สามารถเทียบเท่าเทคโนโลยีได้ แต่พลังอำนาจของพวกมันยังคงสร้างความหวาดกลัว นักบินคนหนึ่งกล่าวว่า:
“นี่ไม่ใช่ศัตรูธรรมดา มันเหมือนปีศาจในตำนานที่มีชีวิตจริง เราอาจชนะวันนี้ แต่พวกมันจะกลับมาอีกแน่…”
สถานการณ์: แนวตั้งรับของกองทัพสหรัฐและกองกำลัง UN
ฉากหลัง: ฐานปฏิบัติการชั่วคราวของกองทัพสหรัฐและกองกำลัง UN ใกล้เขตเมืองที่ไวเวิร์นและกองทัพโบราณกำลังบุกเข้ามา พื้นที่แนวหน้าเต็มไปด้วยเสียงปืนกลหนัก การระเบิดจากจรวด และเสียงคำรามของไวเวิร์นกลางอากาศ
:
:
:
ฉากหลัง:
แนวหน้าของสนามรบกำลังเผชิญการโจมตีอย่างหนักจากกองกำลังศัตรูจากโลกต่างมิติ ทหารจากกองทัพสหรัฐและกองกำลัง UN ต้องร่วมมือกันในสถานการณ์ที่กดดัน เฮลิคอปเตอร์ Apache และ A-10 Thunderbolt กำลังถูกส่งเข้ามาเพื่อสนับสนุนการป้องกันในสนามรบ เสียงระเบิด เสียงคำรามของไวเวิร์น และเสียงปืนดังระงมไปทั่ว
บทสนทนาในศูนย์บัญชาการ
พันเอกรีด (Colonel Reed) - ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐ:
“นี่มันนรกของจริง เราต้องต้านไว้! ไอ้พวกนักเวทของมันยังสร้างกำแพงไฟได้อีกไหม?”
เจ้าหน้าที่ UN (Lieutenant Kim) - กองกำลัง UN:
“มันยังร่ายเวทมนตร์ใส่แนวหน้าเราอยู่ครับ กำลังพลของเราสองกองร้อยเสียหายหนัก ถ้าพวกคุณไม่ส่งสนับสนุนทางอากาศมาเดี๋ยวนี้ เราจะไม่รอด!”
พันเอกรีด:
“ใจเย็นๆ หน่อย คิม! เครื่อง A-10 กับ Apache กำลังเข้าสนามรบแล้ว ให้พวกเขาเคลียร์แนวพื้นดินก่อน อย่าเพิ่งปล่อยให้คนของนายแตกตื่น!”
ร้อยโทคิม:
“แตกตื่นเหรอ!? พวกมันเป็นทหารนะ แต่ใครมันจะไม่กลัวบ้างล่ะ เมื่อเห็นไอ้ตัวประหลาดบินโฉบหัวพร้อมพ่นไฟ!”
พันเอกรีด:
“พวกเราก็เจอเหมือนกัน คิม! ทำใจซะ ไม่มีใครได้พักตอนนี้!”การสื่อสารระหว่างนักบิน A-10 และเฮลิคอปเตอร์ Apache
Captain Davis (นักบิน A-10 Hammer 1-4):
“Hammer 1-4 ถึง Reaper 3-1 (เฮลิคอปเตอร์ Apache) ได้ยินไหม? ตอนนี้เราเข้ามาใกล้เป้าหมายแล้ว ขอรายละเอียดสถานการณ์”
Major Taylor (นักบิน Apache Reaper 3-1):
“ได้ยิน Hammer 1-4 พวกมันเยอะมาก—ไวเวิร์นบินอยู่เต็มฟ้า มีประมาณ 10-12 ตัว แถมภาคพื้นยังมีพวกถือโล่เกราะเวทมนตร์ปิดทางเราอยู่ กำลังจะเปิดช่องให้—เตรียมปืนใหญ่ของคุณให้พร้อม”
Captain Davis:
“Roger! เดี๋ยวผมจะจัดการไอ้พวกโล่ภาคพื้นให้เอง เตรียมบังช่องให้เรา”
Major Taylor:
“พวกไวเวิร์นกำลังพุ่งเข้าใส่ Apache ของฉัน! ไอ้บ้าเอ๊ย! ยิงมันสิวะ ยิง!”
เสียงปืนกล M230 Chain Gun จาก Apache ดังสนั่น กระสุนเจาะเกราะพุ่งใส่ไวเวิร์นตัวหนึ่งที่โฉบลงมา กรงเล็บมันเฉียดใบพัดเฮลิคอปเตอร์ แต่กระสุนเจาะร่างมันจนร่วงลงสู่พื้น
Major Taylor:
“ตัวหนึ่งลงแล้ว! ไอ้พวกนี้มันเร็วมาก! Hammer 1-4 คุณต้องช่วยแล้ว!”
Captain Davis:
“ได้เลย Reaper 3-1 ยิงปูพรมได้เลย!”
เครื่อง A-10 เริ่มลดความสูง เสียงปืน GAU-8 Avenger ดังรัว กระสุน 30 มม. ปล่อยเป็นเส้นยาว เจาะทะลุกำลังพลภาคพื้นของศัตรู เสียงระเบิดของขีปนาวุธ Hydra จาก Apache ติดตามมา
Captain Davis:
“แม่งเอ๊ย! ศัตรูภาคพื้นดินแตกแล้ว แต่ยังมีไอ้ตัวประหลาดพ่นไฟสองตัวใกล้แนวของเรา! Reaper 3-1 คุณรับมือไหวไหม?”
Major Taylor:
“ไม่ไหวหรอก มันโคตรเร็ว เดี๋ยวฉันจะดึงมันออกมา คุณจัดการทีเถอะ!”
การสื่อสารในแนวหน้าสนามรบ
ทหารภาคพื้นดิน (Sgt. Miller - ทหารสหรัฐ):
“ผู้พัน! พวกมันกำลังทะลวงแนวตะวันออก พวกโล่เวทมนตร์ยังไม่หยุดเดินหน้า! ไอ้ A-10 จะยิงพวกนี้ได้เร็วแค่ไหน?”
พันเอกรีด:
“พวกเขาทำเต็มที่แล้ว มิลเลอร์ อย่าปล่อยให้แนวแตก! ถ้ามันเข้ามาถึงฐานนี้ พวกเราก็จบ!”
Sgt. Miller:
“พูดง่ายนี่ครับผู้พัน พวกผมโดนพ่นไฟใส่แทบจะไหม้เป็นเถ้าอยู่แล้ว!”
พันเอกรีด:
“ฟังนะ มิลเลอร์—ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น นายต้องต้านไว้! A-10 จะช่วยเราจัดการเอง เข้าใจไหม!?”
Sgt. Miller:
“รับทราบครับผู้พัน แต่บอกไอ้ A-10 ของคุณให้เร็วหน่อย ถ้าช้ากว่านี้พวกผมอาจจะไม่เหลือ!”
ระหว่างการโจมตีของ A-10
Captain Davis:
“Hammer 1-4 ยิงเป้าหมายแล้ว! จัดการโล่เวทมนตร์สำเร็จ! โอ้ ให้ตายสิ! ไวเวิร์นตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่เรา!”
เจ้าหน้าที่ควบคุมการบิน (ในศูนย์บัญชาการ):
“Hammer 1-4 ระวัง! ไวเวิร์นกำลังโฉบขึ้นมาจากด้านซ้ายของคุณ!”
Captain Davis:
“ผมเห็นแล้ว! ขอเวลาหน่อย—” (เสียงปืน GAU-8 ดังสนั่น) “จัดการมันได้แล้ว! แต่ผมต้องการการสนับสนุนจาก Reaper 3-1 ด่วน!”
Major Taylor:
“ได้ยินแล้ว Hammer 1-4 ฉันกำลังมุ่งหน้าไปจัดการตัวที่เหลือ คุณลุยต่อเลย!”
พันเอกรีด:
“สถานการณ์แนวหน้าเป็นยังไงบ้าง!?”
เจ้าหน้าที่ควบคุมการบิน:
“เครื่อง A-10 ทำลายเป้าหมายภาคพื้นดินไปแล้ว แต่ยังมีไวเวิร์นอีกหลายตัว! พวกมันดูเหมือนจะถอยออกไปตั้งหลักใหม่”
พันเอกรีด:
“เราชนะรอบนี้ แต่พวกมันจะกลับมาอีกแน่ จัดการเคลียร์แนวหน้า แล้วเตรียมกำลังพลให้พร้อมสำหรับการโจมตีครั้งต่อไป!”
ร้อยโทคิม:
“พวกเรารอดมาได้ก็เพราะพวก A-10 และ Apache ถ้าพวกคุณไม่มีเครื่องพวกนี้ พวกเราคงโดนยำเละแล้ว!”
พันเอกรีด:
“ฟังนะ คิม—นี่ไม่ใช่เวลามานั่งโทษใคร ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันทั้งคนและเครื่อง พวกเราจะไม่เหลือทั้งฐานและชีวิต เข้าใจไหม?”
ร้อยโทคิม:
“…ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
สถานการณ์: กองทัพโบราณหารือเรื่องการถอนทัพ
ฉากหลัง:
หลังการปะทะที่ดุเดือดและสูญเสียกำลังพลจำนวนมาก กองทัพโบราณตั้งฐานชั่วคราวอยู่ห่างจากสนามรบประมาณ 10 ไมล์ในพื้นที่โล่งซึ่งมีการตั้งค่ายพักแรม ไวเวิร์นบางตัวที่รอดชีวิตกำลังบาดเจ็บ นักเวทระดับสูงรวมตัวกันในกระโจมใหญ่เพื่อวางแผนกับผู้นำทัพ
บทสนทนาในกระโจม
แม่ทัพราเกล (Ra’khael) – ผู้นำกองทัพโบราณ:
“พวกมันไม่เหมือนกับเผ่าพันธุ์ใดที่เราเคยเผชิญมาก่อน—ทั้งเหล็กบินได้ที่ปล่อยสายฟ้าลงมาจากฟ้า ทั้งอาวุธที่ยิงทะลุเกราะเวทมนตร์ของเราอย่างง่ายดาย…นี่มันอะไรกันแน่?”
นักเวทสูงสุด ไมร์วาน (Myrwan):
“อาวุธของพวกมันทรงพลังเกินกว่าที่เวทมนตร์ป้องกันของเราจะรับมือได้ ข้าสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ไม่ใช่เวทมนตร์…มันเป็นพลังที่เราไม่เข้าใจ แต่มันร้ายกาจยิ่งนัก”
แม่ทัพราเกล:
“แล้วเจ้าจะให้เราทำอะไร? จะให้พวกเรายืนรอความตายที่นี่หรือ!? ข้าสูญเสียพลทหารและอัศวินไปมากกว่าครึ่ง กองไวเวิร์นของเราก็เหลือไม่ถึงสิบตัว พวกมันไม่อาจต่อกรกับเหล็กบินได้อีกต่อไป!”
หัวหน้าอัศวิน กราเมียร์ (Gramir):
“ถอยทัพเถิด ท่านแม่ทัพ พวกเรามีศักดิ์ศรีของนักรบ แต่เราจะไม่มีวันต่อสู้ในสงครามที่ไม่มีโอกาสชนะ พวกมันรู้วิธีต่อกรกับเรา และข้าสงสัยว่า…พวกมันอาจไม่ใช่มนุษย์”
แม่ทัพราเกล (ยืนขึ้นพลางทุบโต๊ะ):
“ไม่ใช่มนุษย์งั้นหรือ!? ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะกลัวอะไรจากมันอีกเล่า!? เราเคยพิชิตอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกของเรา เราจะยอมให้มันขับไล่เรากลับไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ!?”
ไมร์วาน:
“แม่ทัพ ท่านต้องยอมรับความจริง พวกเราต้องถอนทัพในตอนนี้ เพื่อปกป้องสิ่งที่เหลืออยู่ การโจมตีครั้งนี้…ข้าไม่เห็นทางที่เราจะเอาชนะได้”
แม่ทัพราเกล (มองนักเวทสูงสุดด้วยแววตากดดัน):
“เจ้าแน่ใจหรือ ไมร์วาน? ถ้าเราถอนทัพ เราจะสูญเสียทั้งความน่าเกรงขามและศรัทธาจากกองกำลังของเราไปตลอดกาล!”
กราเมียร์:
“ศรัทธาหรือความน่าเกรงขามจะไม่มีความหมาย หากเราสูญเสียทุกคนในสนามรบ ท่านแม่ทัพ ข้าขอร้อง…เราต้องถอยกลับไปเพื่อเตรียมการให้ดีกว่านี้”
นักเวทหญิง ลิธีอา (Lythia) – ผู้ช่วยของไมร์วาน:
“เราต้องถอยทัพเพื่อค้นหาจุดอ่อนของพวกมัน ท่านแม่ทัพ หากเรากลับไปที่โลกของเรา เราอาจค้นพบเวทมนตร์หรืออาวุธที่สามารถทำลายพลังของพวกมันได้ แต่ตอนนี้—เรามีแต่จะเสียมากขึ้นหากฝืนรบต่อไป”
แม่ทัพราเกล (ถอนหายใจหนัก):
“…เจ้าคิดว่าเรายังมีโอกาสชนะในสงครามนี้หรือ?”
ไมร์วาน:
“ข้าคิดว่าเรามี…แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ ท่านแม่ทัพ ข้าขอร้องให้ท่านเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับกองกำลังของเรา”
แม่ทัพราเกล (เงียบครู่หนึ่งก่อนพูดด้วยเสียงต่ำ):
“ได้ ข้าจะฟังพวกเจ้า สั่งการถอนทัพ แต่จำไว้นะไมร์วาน กราเมียร์ ถ้าพวกเรากลับไป เราต้องหาวิธีตอบโต้…ข้าจะไม่ยอมแพ้ต่อพวกมันง่ายๆ!”
ไมร์วาน (พยักหน้า):
“ขอบคุณ ท่านแม่ทัพ ข้าจะเริ่มหาทางทำให้เวทมนตร์ของเราต้านทานพลังของพวกมันได้”
กราเมียร์:
“เราจะกลับไป แต่พวกมันต้องไม่ลืมว่าเราเป็นใคร”
เสียงกลองสงครามเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสัญญาณของการถอนทัพ กองทัพโบราณเริ่มล่าถอยออกจากแนวรบ เหล่าทหารที่บาดเจ็บและเหนื่อยล้าถูกพากลับไปยังประตูมิติ โดยเหล่านักเวทคอยป้องกันไม่ให้ถูกโจมตีระหว่างการถอย
ในขณะที่พวกเขาเดินกลับไปยังประตูมิติ ความเงียบปกคลุมกระโจมของแม่ทัพราเกล มีเพียงแสงไฟจากเทียนและสายตาของทุกคนที่เต็มไปด้วยความพยาบาทและคำมั่นว่า พวกเขาจะกลับมาใหม่ พร้อมกับอาวุธที่สามารถบดขยี้ศัตรูจากอีกโลกได้…
วันสำคัญ: วันที่ 15 มิถุนายน 2027
ชื่อองค์กรใหม่: Global Counter Isekai Coalition (GCIC)
ฉากหลัง:
วันที่ 15 มิถุนายน 2027 กลายเป็นวันที่จะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์โลก เมื่อกองทัพสหประชาชาติ (UN) ร่วมมือกับทหารอาสาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงครามครั้งใหญ่ที่ต้องยกทัพไปยังโลกต่างมิติหรือ “Isekai” ที่ทุกคนเคยรู้จักจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่เกิดการรุกรานโดยกองทัพโบราณ พวกมันมาจากโลกอื่น พร้อมกับการโจมตีที่ไม่เคยคาดคิด ในช่วงเวลานั้น โลกต้องสูญเสียประชาชนไปนับล้านคน สงครามนี้จะเป็นการแก้แค้นครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลต่างๆ ได้ให้การสนับสนุนเต็มที่ทั้งเรื่องของอาวุธพิฆาตและเรือบรรทุกเครื่องบินเพื่อเตรียมการโจมตีผ่านประตูมิติที่เชื่อมโยงไปยังโลกต่างมิติที่เป็นแหล่งกำเนิดภัยพิบัติครั้งนี้
ข่าวการประกาศจำนวนผู้เสียชีวิต:
ผู้ประกาศข่าว:
“วันนี้ เราได้รับข้อมูลที่ช็อคโลก เมื่อรัฐบาลสหประชาชาติได้ประกาศรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การโจมตีครั้งที่แล้วโดยกองทัพจากโลกต่างมิติ พบว่ามีประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตอย่างน่าสลดใจกว่า 10 ล้านคนในทั่วโลก รวมถึงทหารจากหลายชาติที่ต้องสูญเสียชีวิตในสงครามที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในยุคนี้ ขณะที่หน่วยรบพิเศษหลายหน่วยถูกส่งไปสำรวจและปฏิบัติภารกิจในประตูมิติ บางหน่วยสูญหายไปจนถึงวันนี้
รัฐบาลจากหลายประเทศกำลังประสานงานกันเพื่อจัดตั้งกองกำลังใหม่ขึ้น ภายใต้ชื่อ Global Counter Isekai Coalition (GCIC) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อทวงคืนดินแดนและปกป้องประชาชนจากภัยที่ยังคงคุกคามอย่างไม่สิ้นสุด โครงการนี้จะใช้ทั้งเทคโนโลยีทางทหารระดับสูงจากทั่วโลก รวมถึงการส่งเรือบรรทุกเครื่องบินและเครื่องบินรบจากกองทัพต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งใหญ่”
การจัดตั้ง GCIC และการเตรียมตัว
หลังจากการประกาศทางการจากสหประชาชาติ กองทัพทั่วโลกได้ร่วมมือกันจัดตั้งองค์กรใหม่ภายใต้ชื่อ Global Counter Isekai Coalition (GCIC) โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการทำลายแหล่งที่มาของกองทัพโบราณจากโลกต่างมิติ และทำการแก้แค้นให้กับประชาชนที่สูญเสียชีวิตจากการโจมตี
การสนับสนุนจากรัฐบาลต่างๆ รวมไปถึงการจัดหาทรัพยากรทางทหารที่จำเป็นเช่น อาวุธพิฆาตระดับสูง และ เรือบรรทุกเครื่องบิน เพื่อเตรียมการเจาะผ่านประตูมิติไปยังโลกของศัตรูในครั้งนี้ กลายเป็นส่วนสำคัญของแผนการ โดยเฉพาะเรือบรรทุกเครื่องบินที่สามารถส่งเครื่องบินรบทันทีที่มาถึงโลกต่างมิติ ทั้ง F-22 Raptors, F-35 Lightning II และ B-2 Stealth Bombers จะถูกนำไปใช้ในการโจมตีครั้งนี้
การเตรียมความพร้อมของทหารอาสา
ทหารอาสาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเริ่มทยอยเข้าร่วมการฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่การสู้รบในโลกต่างมิติ ทหารทุกคนต้องผ่านการฝึกหนักทั้งการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย และการปรับตัวให้เข้ากับการทำงานร่วมกับพันธมิตรจากหลากหลายประเทศ โดยการฝึกฝนในแคมป์ฝึกทหารอันเข้มงวดเพื่อสร้างความพร้อมในการต่อสู้ทั้งในโลกปัจจุบันและโลกต่างมิติ
การฝึกฝนประกอบไปด้วยการจำลองสถานการณ์การโจมตีจากศัตรูในโลกที่แปลกและอันตราย ทหารอาสาจะต้องฝ่าฟันสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ทั้งศัตรูที่มีพลังเวทมนตร์และสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนจะอยู่เหนือกว่าความสามารถของมนุษย์ทั่วไป
ความหวังและการแก้แค้น
นายกรัฐมนตรีจากประเทศหนึ่ง:
“วันนี้เราไม่แค่ลุกขึ้นสู้เพื่อความยุติธรรม แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่ยอมให้ใครมาทำลายโลกของเราได้ พวกเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาคืนจากการสูญเสียครั้งนี้”
ผู้นำทหารจากสหประชาชาติ:
“การโจมตีครั้งนี้จะไม่เหมือนที่เคยเกิดขึ้น เราจะไปถึงที่นั่น เราจะปกป้องผู้บริสุทธิ์และทวงความยุติธรรมให้กับทุกชีวิตที่เสียไป เราจะทำให้มันรู้ว่าเราไม่ยอมแพ้!”
วันที่ 15 มิถุนายน 2027 จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่และการเดินทางสู่สงครามครั้งใหม่ ที่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ในโลกของเรา แต่เป็นการต่อสู้ในโลกต่างมิติที่เต็มไปด้วยอันตรายและความไม่แน่นอน
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!