Return of the Cursed Devil : บทนำ
หนังสือเล่มที่3และจุดเริ่มต้น
ณ สรวงสวรรค์
เขตแดนอันมนุษย์มิอาจย่างกราย อันเป็นที่ซึ่งเหล่าทวยเทพทั้งหลาย ต่างอาศัยกันอยู่ อย่างผาสุกสมบูรณ์พร้อมไปด้วยสรรพสิ่ง
เป็นแขตแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่สื่อถึงความยิ่งใหญ่และความเจริญยิ่งอย่างน่าเกรงขาม
เหล่าตัวตนที่อยู่ที่นี่ได้นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงสถานะให้มากความ เหล่าผู้คนน้อยใหญ่ต่างก็รู้กันดีถึงพลังอำนาจ และบารมีอันล้นเหลือของพวกเขาเหล่านั้น
จนมิอาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้ สิ่งเหล่านี้จึงนับว่าเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาอย่างเนิ่นนาน ของเหล่ามนุษย์ผู้ต่อยต่ำบนผืนแผ่นดินของโลกใบนี้เลยทีเดียว
ว่าตัวตนเหล่านี้นั้นคือ"เทพ"
ด้วยความน่าเหลือเชื่อในอำนาจและพลังของตัวตนที่เรียกว่าเทพนี้ จึงทำให้เหล่ามนุษย์ยุคก่อนอดีตกาลก่อนอภิมหาสงครามครั้งนั้น ต่างเชื่อกันว่าเรื่ิองราวเกี่ยวกับเทพบนสรวงสวรรค์นั้น ไม่มีอยู่จริง มันเป็นแค่นิทานหรือเรื่องราวที่ถูกร้อยเรียงขึ้นมา ยังไงยังงั้น
แต่จริงๆแล้วมันหาใช่อย่างนั้นไม่ สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง และเหล่าเทพหลายตนต่างอาศัยอยู่กับมนุษย์เลยก็มี
จนปัจจุบันแทบจะทุกที่ จึงเกิดเผ่าพันธุ์หนึ่งขึ้นนั้นก็คือ เหล่าตัวตนครึ่งเทพ หรือมนุษย์ครึ่งเทพ
ซึ่งพวกเขาเหล่านี้นั้นก็คือผู้ที่สืบเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับสิ่งมีชีวิตอย่างเทพ จึงทำให้พวกเขามีความสามารถทางกายภาพที่สูงส่งเยี่ยงเทพตามสายเลือดของตน
ถึงจะบอกว่าแทบจะทุกที่แต่การจะหาตัวตนเหล่านั้นให้เจอมันก็ยากแสนยาก ที่จะได้เจอตัวเป็นๆสักครั้งนึง
กลับมาเรื่องเดิมกันดีกว่า
อย่างที่รู้กันดีว่า"ตำนาน" นั้นคืออะไร
มันคือเรื่องเล่าจากอดีตกาลใช่หรือไม่?
แล้วตำนานที่มนุษย์เล่าขานนั้นเป็นเช่นไร
ตัวตนน้อยใหญ่ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต้อยต่ำ ต่างต้องรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะมันก็แค่เรื่องพื้นๆที่จะต้องรู้กันทั่วไปกันแทบทั้งนั้น
และเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาจากบรรพชนรุ่นก่อนนั้นก็มีมาอย่างช้านาน อาจจะตั้งแต่ยุคตนกำเนิดของโลกาและจักรวาลเลยก็ว่าได้
ตำนานเหล่านี้นั้น บ้างก็ลี้ลับ บ้างก็โศกเศร้า บ้างก็อัศจรรย์ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่มนุษย์ต่างอนุมานขึ้น จากสิ่งที่คิด สิ่งที่เห็น หรือสิ่งเป็นอยู่
เมื่อรู้กันดีอยู่แล้วว่าตำนานบนผืนแผ่นดินของโลกนั้น ที่มวลมนุษย์ต่างเล่าขานกันมานั้นเป็นเยี่ยงไร
แล้วตำนานที่สูงส่งยิ่งกว่านั้นอย่าง
"ตำนานบนสรวงสวรรค์"
จะเป็นเช่นไรกัน!?
บรรยายมาถึงขนาดนี้แล้วจะให้มาหยุดเอากลางทันแล้วดำเนินเรื่องเลย ก็เห็นทีว่าจะไม่ได้ งั้นก็ขอเล่าต่อเลยแล้วกัน
เหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างเล่าขานกันมาอย่างเนิ่นนาน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์จนพิศวงทั้งลึกลับ และน่าหวาดหวั่น สั่นคลอนทั่วทั้งอานาจักรแห่งสรวงสวรรค์ แม้นแต่ยมโลกหรือโลกมนุษย์ก็ไม่วายเว้น
เมื่ิอในวันที่แสนจะรื่นรมย์สงบสุขวันหนึ่ง
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มเหล่าเมฆาสีหม่นหมองอันสื่อถึงลางร้ายเข้าปกครุมท้องนภาจนมืดทึบ ครานั้นเหล่าแสงสว่างจากดวงตะวันก็มิอาจสาดส่องลงมาได้
ขณะที่บรรยากาศเริ่มหมองหม่น บนท้องนภาอันมืดครึ้มนั้นก็ได้ปรากฏ ดวงแสงสีทองอร่ามดวงเล็กๆดวงหนึ่ง กำลังทอแสงสว่างไสวออกมาราวกับรุ่งอรุณยามเช้าอันดวงตะวันได้สาดส่องลงมายังผืนปฐพี
พร้อมกับอำนาจและกลิ่นอายของสิ่งที่เป็นโบราณกาลอันศักดิ์สิทธิ์เหนือยิ่งกว่าสรวงสวรรค์เป็นไหนๆ
จนถึงขั้นที่เหล่าทวยเทพตั้งชื่ออันมีเกียรติให้เจ้าสิ่งนี้ว่า "ดวงแสงเปิดสวรรค์สร้างภพ"
เมื่อแสงสว่างเริ่มคงที่ รอบๆดวงแสงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
เหล่ามวลพลังของทุกสรรพสิ่ง เริ่มทยอยมนุนวนและหลั่งไหลเข้าไปในดวงแสงดวงนั้นเป็นเส้นสาย ราวกับว่าเป็นหลุมดำอันศักดิ์สิทธิ์ที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่งอย่างบ้าคลั่งก็มิปาน ทั้ง เวทย์มนตร์ พลังชีวิต พลังธาตุ พลังวิญญาณ พลังเซียน
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนถูกดูดกลืนเข้าไปในดวงแสงดวงนั้นอย่างบ้าคลั่ง เกิดเป็นคลื่นพลังอันหนาแน่นตลบอบอวลไปด้วยพลังที่ราวกับจะทำลายได้แม้กระทั่งสรวงสวรรค์
เหล่าพลังทั้งหลายเริ่มปั่นป่วนม้วนตลบอย่างวุ่นวาย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
จู่ๆทันใดนั้น ดวงแสงอันศักดิ์สิทธิ์ก็หยุบตัวลงอย่างฉับพลัน แล้วขยายตัวและกระจายออกไปอย่างรุนแรง ด้วยพลังอันมหาศาลจนเกิน
กว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
เกิดการระเบิดขึ้นอย่างหนักหน่วงราวกับการระเบิดของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง หาใช่จะเป็นอย่างอื่นไม่
ก่อเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมซัดหอบเอาพลังอันมหาศาลออกไปเป็นวงกว้าง กระจายไปทั่วทั้งท้องนภาของสรวงสวรรค์อย่างบ้าคลั่งโดยมีดวงแสงศักดิ์สิทธ์เป็นศูนย์กลาง
ด้วยผลกระทบอันเป็นการสั่นคลอนสรวงสวรรค์ก่อเกิดเสียงกู่ร้องของท้องฟ้าดังสนั่น ผืนปฐพีเริ่มสั่นคลอน ผืนแผ่นดินเริ่มแยกห่าง พายุคลั่งเริ่มก่อตัวขึ้นไปทั่วทุกสารทิศของสรวงสวรรค์ โหมกระหน่ำซาดซัดผืนป่า ต้นไม้ใบหญ้าปริวว่อนไปทั่วทั้งท้องนภา
เสียงหวีดหวิวของสายลมดังโหยหวนราวกับดวงวิญญาณนับแสนนับล้านที่คุ้มครั่งส่งเสียงกรีดร้องอย่างทรมาน
ปรากฏการภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆเริ่มเกิดขึ้นทันทีหลังจากดวงแสงทำการระเบิดพลัง
กลายเป็นหายนะครั้งมโหฬารที่ได้เกิดขึ้นในตอนนี้
หมู่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่เว้นแม้แต่ทวยเทพ ต่างเกิดความกลหลวุ่นวายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เหล่าทวยเทพทั้งหลายที่ถูกลูกหลงเมื่อพลังเหล่านี้ทะล่วงผ่านร่าง ตัวตนที่แข็งแกร่งก็ถึงกับทรุดตัวลง บางถึงกับกระอักเลือด บางตัวตนที่อ่อนแอ่ถึงกับสิ้นชีพ ไม่ต้องรวมถึงสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ่กว่านั้น เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ต่างล้มตายกันเป็นเบือ ก่อเกิดเป็นภาพอันน่าสยดสยองอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เหล่าม่านพลังคุ้มครองอันแข็งแกร่งที่ต้านท้านได้แม้กระทั่งแรงระเบิดของดาวเคราะห์ ต่างสูญสลายหายไปราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่ในสถานที่แห่งนี้
เมื่อเช่นนั้นบ้านเมืองโบราณสถานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็พังพินาศลงอย่างไม่มีชิ้นดี เศษซากของมหาวิหารต่างลอยละลิ่วไปตามแรงของพายุคุ้มคลั่งกระจัดกระจายอย่างระเนระนาดอยู่บนท้องฟ้า
เมื่อเหตุการเช่นนี้เกิดขึ้นมีหรือที่เหล่าตัวตนหรือทวยเทพชั้นสูงจะนิ่งเฉย
เทพเจ้าหลายต่อหลายองค์ถึงแม้จะอกสั่นขวัญผวาไปด้วยความกลัว ต่างก็พยายามที่จะหยุดคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์นี้สุดชีวิตเพื่อปกป้องตัวตนที่อ่อนแอ่กว่าแต่ก็หาเป็นผลไม่
คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้นเหล่าทวยเทพนับแสนนับล้านองค์จะทุ้มเทกันสุดกำลังเข้าต่อต้านกับมันด้วยพลังทั้งหมดที่มี
ณ ตำหนักของจอมราชันย์เทพเจ้า
ตัวตนผู้อยู่จุดสูงสุดของสรวงสวรรค์
ชายชราหนวดเครายาว สวมชดุอาภรณ์สูงศักดิ์สีขาวเหลื้อมทอง นั่งอยู่บนบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เคลือบด้วยแร่อัญมณีอันเรอค่าดูน่าเกรงขาม
บัดนี้ตัวตนผู้อยู่เหนือสรวงสวรรค์ที่ทั้งเย็นชาราวน้ำแข็งที่แช่แข็งได้แม้กระทั่งโลก มีความเคร่งครึมเป็นที่สุดไม่สทกสะท้านกับอำนาจพลังกอัดใดเลย
ตอนนี้กำลังสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว เหงื่อเริ่มผุดพรายออกมาทั่วทั้งกาย หัวใจเริ่มสั่นระรัวอย่างรุนแรงราวกับจะหลุดออกจากร่างเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนี้
คลืน!!โครม!!
เสียงแผ่นดินไหวดังสนั่นไปทั่วทั้งตำหนักเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนที่เนืองแน่นไปด้วยพลังของสิ่งโบราณกาล
ถึงแม้น ณ ที่แห่งนี้นั้นจะมีพลังมากมายเพียงใดของจอมราชันย์เทพเจ้า ก็ไม่วายที่จะโดนลูกหลงของพลังนี้
ทันทีทันใดที่ชายชรารับรู้ถึงพลังนี้ พลันใบหน้าซีดเซียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ชายชราผู้สูงศักดิ์ขบคิดอยู่พักใหญ่เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังนี้ พร้อมมองดูหายนะที่เกิดขึ้นกับสรวงสวรรค์อย่างลนลานด้วยพระเนตรแห่งพระเจ้าแล้วกล่าวออกมาอย่างหวาดผวาว่า
"ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น.. นี่คือพลังระดับนั้น... มันคือพลังระดับนั้นอย่างแน่นอน"
โลกมนุษย์ ยมโลก และขอบเขตบริเวณสรวงสวรรค์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบแทบทั้งสิ้น
ทุกที่ต่างรับรู้ซึ่งการมาถึงของมัน
เมื่อคลื่นกระเพื่อมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเริ่มจางหาย ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับว่าจะหยุดนิ่ง เหล่าตัวตนน้อยใหญ่ผู้สูงศักดิ์หรือผู้ต่ำต้อย ต่างแหงนหน้าจ้องมองท้องฟ้าอย่างหวาดผวา
เหล่าทวยเทพที่จ้องมองอยู่ใกล้กับดวงแสงศักดิ์สิทธ์ต่างคิดว่ามันคงจบแล้วแต่ไม่มันยังไม่จบ
เมื่อจู่ๆเหล่าเมฆาที่มืดมัวต่างแหวกออกเป็นวงกว้าง พร้อมกับการปรากฏของของสิ่งหนึ่งที่อยู่กึ่งกลางของท้องฟ้าอันแสงสว่างสาดส่องลงมาราวกับตัวเอกที่ยืนอยู่ใจกลางเวที พร้อมแสงไฟจากสปอร์ตไลท์ที่ส่องลงมา
เหล่าเมฆาต่างหลบหลีก ราวกับว่าของสิ่งนี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ค้ำจุลได้แม้กระทั่งจักรวาลเลยก็ว่าได้
มันแผ่อำนาจพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือยิ่งกว่าดวงแสงเปิดสวรรค์สร้างภพเมื่อตะกี้นี้เสียอีก แต่ก็ไร้ซึ่งเจตนารมณ์ที่คิดจะทำลายล้าง
เหล่าทวยเทพที่เห็นพลันตาเบิงกว้างมองสิ่งสิ่งนี้ด้วยความตกตลึงงงงัน
บางตนที่ยืนอยู่ถึงกับทรุดตัวลงเมื่อเห็นสิ่งๆนี้
"นี่หน่ะหรือร่างที่แท้จริงของสิ่งที่สั่นคลอดสรวงสวรรค์"
"ไม่จริงน่าสิ่งนี่มัน.."
"ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองจริงๆ"
"ข้าก็ด้วย"
เหล่าทวยเทพต่างเสียงดังเอะอะโวยวายกันอย่างทั่วหน้าด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก คำกล่าวต่างๆถูกลั่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แทบไม่มีผู้ใดเลยที่เอ่ยชื่อของสิ่งนั้นออกมา
สายตาของทุกตัวตนจ้องมองไปที่สิ่งๆนั้นด้วยดวงตาที่ไม่แม้แต่จะกระพริบ
จนท้ายที่สุดแล้วก็มีเทพชั้นสูงผู้หนึ่งที่เอ่ยชื่อของมันขึ้น
" มันคือหนังสือ... หนังสือจากท่านผู้นั้น"
ทุกผู้ทุกนามต่างเกิดความรู้สึงที่ซับซ้อนขึ้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบลง
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สรวงสวรรค์ได้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ครั้งถูกสร้าง
เหล่าทวยเทพต่างล้มตายกันเป็นเบือ ซากศพนับล้านชีวิตถูกลูกหลงของพลังแทบทั้งสิ้น
หลังจากที่หนังสือเล่มนั้นตกลงสู่ผืนดิน
ลักษณะของหนังสือเล่มนี้นั้นดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมากทั้งปกเหลื่อมทอง ที่แกะสละอย่างสวยงามไว้ล้อมบริเวณปก และทอแสงอ่อนๆสีทองออกจากรอยแกะสลัก จนทำให้มันดูน่ายกย่องเทิดทูลขึ้นไปอีก
โดยมีกึ่งกลางของปกหน้าเป็นรูปทรงกลมปริศนาที่มีนัยยะบางอย่างปรากฏอยู่แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ
ท่านจอมราชันย์แห่งเทพเจ้าก็ได้นำมันไปเก็บไว้อย่างดีที่สุด ภายในหอสมุดแห่งนักปราชญ์ แยกห่างจากหนังสืออื่นๆทั้งมวล
ตั้งไว้ตรงใจกลางหอสมุด โดยมีชั้นหนังสือตั้งล้อมไว้สี่ทิศเป็นกงกลม และมีสี่เส้นทางเปิดที่ปล่อยโล่งไว้ เพื่อให้ผู้สันจรได้เข้าชม
มันตั้งอยู่อย่างมีเกียรติบนผลึกสีสดใส ที่ยกสูงขึ้นและห้อมล้อมเอาไว้ด้วยผลึกอันเลอค่า ราวกับราชาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างภาคภูมิ
โดยที่ท่านจอมราชันย์เทพเจ้า ได้สั่งห้ามมิให้ใครผู้ใดได้อ่านมันแม้นแต่ผู้เดียว
เนื่องด้วยภายในหนังสือได้มีกฏๆนึง ที่ว่าเมื่อใครผู้ใดที่อ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจบ กาลเพลาต่อมาจะมีการกำเนิดของหนังสือเล่มใหม่เกิดขึ้น
และหนังสือเล่มต่อมานั้นจะตกเป็นสมบัติของผู้ที่อ่านเล่มเก่าจบ
ด้วยเหตุนี้ท่านจอมราชันย์เทพเจ้าจึงได้สร้างกฎขึ้นมาว่า "เมื่อใครผู้ใดอ่าน คนผู้นั้นจะถูกลงทัณฑ์จากข้าผู้นี้"
ถึงแม้นท่านจอมราชันย์เทพเจ้าจะกล่าวไปถึงขนานนั้นแต่ก็ไม่วายเว้น ยังมีบุคคลที่อ่่านมันอยู่ดี
บุคคลผู้นั้นที่ได้แอบอ่านหนังสือเล่มนี้ เขาพบว่าจนแทบจะทั้งชีวิตของแล้ว แต่เขาก็ยังอ่่านมันไม่จบสักที
ใช้เวลาหลายร้อยปีในการอุทิศตนในการอ่านให้จบ
ถึงหนังสือเล่มนี้จะดูเหมือนเป็นหนังสือปกหนาที่มีไม่ถึงพันหน้า แต่เมื่อได้อ่านก็กลับพบว่ามันมีมากมายกว่านั้นอย่างไม่รู้จบ
และเมื่อใดที่อ่านจนสุดหนังสือแล้วจะพบว่ามันได้กลับมาเริ่มใหม่ที่หน้าแรกแต่มันต่อเนื่องจากหน้าสุดท้ายของเมื่อตะกี้ที่อ่าน
จนวันหนึ่งชายผู้นั้นที่ได้อุทิศตนกับการอ่านมานับร้อยๆปีก็เปิดมาถึงหน้าสุดท้ายที่ไม่มีการเริ่มใหม่อีกแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเขาทำไปได้ยังไงกันที่อ่านเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้มานับร้อยปีได้
ภายในหนังสือเล่มนี้ได้บันทึกเรื่องราวของบุคคลผู้หนึ่งเอาไว้ ซึ่งจากการคาดการณ์ของผู้อ่าน
เขาได้คิดว่าเรื่องที่ถูกบันทึกไว้นี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว
ซึ่งมีึความเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีต้นเรื่องมาจากตัวของผู้แต่งเอง
เมื่อคำสุดท้ายถูกอ่าน
เหตุการณ์ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ได้เกิดแค่แรงสั่นสะเทือนเท่านั้น
มันไม่ได้เกิดเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่โตแบบครั้งก่อน ครั้งนี้นั้นมันเบาบางมากขนาดที่ผู้ที่รู้เหตุการณ์มีแค่สองตัวตนเท่านั้น
นั่นก็คือท่านจอมราชันย์เทพเจ้าและตัวของผู้อ่านเอง
เมื่อท่านจอมราชันย์เทพเจ้ารู้ถึงการมีอยู่ของเล่มที่สองก็ถึงกับต้องกุมขมับ และเรียกบุคคลผู้เป็นเหตุนั่นคือผู้อ่านมาลงทัณฑ์
แต่ท่านจอมราชันย์เทพเจ้านั้นไม่ได้ใจร้ายใจมารขนาดนั้น เขานั้นมีเมตตาเป็นอย่างมาก
แค่เพียงทำการยึดหนังสือเล่มต่อมาของผู้อ่านเท่านั้น เพื่อเก็บไว้ในหอสมุดแห่งนักปราชญ์ต่อ
ซึ่งในขณะนั้นผู้อ่านก็ถึงกับสั่นสะท้านในจิตใจ เมื่อท่านจอมราชันย์เทพเจ้าเรียกเขาเข้าพบ
แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ท่านผู้อ่านเองก็รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก
และเมื่อหนังสือเล่มที่สองโผล่ขึ้น ท่านผู้อ่านก็ได้รับสมญานามใหม่จากจอมราชันย์เทพเจ้าว่า"นักอ่านเทพปราชญ์"
เมื่อเล่มสองได้ถือกำเนิด เล่มสามเล่มสี่ก็ผุดขึ้นมาตามกาลที่มีผู้อ่านอ่านจบ
และได้ถือกำเนิดนักอ่่านเทพปราญผุดขึ้นตามมานับสิบคนเมื่อหนังสือแต่ละเล่มถูกอ่านจบ
นานนับหลายกาลต่อมา
มีเด็กน้อยผู้หนึ่งกำลังอ่านเรื่องราวของเล่มที่สามบทที่ศูนย์อย่างสนุกสนาน
ใช้แล้วล่ะปัจจุบันนั้นมีบทที่หนึ่ง..ที่สอง..ที่สาม..ที่สี่ตามมา เพื่อแยกเนื้อหาจากเล่มเดียวให้ออกมาหลายเล่ม
ซึ่งหนังสือแต่ละเล่มนั้นถ้าเยอะๆหน่อยก็อาจจะมีมากกว่าพันบทเลยก็มี
ซึ่งปัจจุบันหอสมุดแห่งนักปราชญ์นั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เผลอๆอาจแค่ตัวอาคารก็กินเนื้อที่ไปเป็นไมล์เลยก็ว่าได้
และเหล่าหนังสือที่โผล่ออกมาจากดวงแสงนั้นได้ถูกแต่งตั้งชื่อขึ้นว่า"สารบัญตำนานบุคคล"
และเหตุที่ต้องตั้งชื่ออย่างนี้นั้นเพราะหนังสือแทบทุกเล่มนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลทั้งสิ้น
ซึ่งหนังสือเล่มหลักที่โผล่ออกมาจากดวงแสงนั้นได้ถูกจัดว่างไว้ ตรงใจกลางของห้องต่างๆ ที่จะมีการจัดตั้งแบบเดียวกับเล่มแรก
โดยมีชั้นหนังสือที่ตั้งไว้ห้อมล้อมหนังสือเล่มหลักสี่ทิศ
โดยหนังสือแต่ละเล่มที่ว่างอยู่ตรงชั้นว่างทั้งสี่ทิศนั้น จะเป็นบทต่างๆของหนังสือเล่มหลักทั้งสิ้นว่างไว้ตรงชั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
"ข้าว่าเล่มสาม น่าจะสนุกที่สุดแล้วล่ะถ้าเทียบกับเล่มอื่นๆ" เสียงอันเยาว์วัยดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นเพียงเสียงอันไร้เดียงษาของเด็กน้อยที่อยู่บริเวณแถบที่นั่งอ่านหนังสือที่เป็นโซฟาอย่างดี พร้อมกับโต๊ะแบบเรียบง่าย
"เงียบหน่อยเจ้าหนู เจ้ากำลังลบกวนผู้อ่านท่านอื่นอยู่นะ" สาวสวยผู้เป็นบรรณาลักษณ์ห้องสมุดรูปร่างดูสะโอดสะองดึงดูดสายตาผู้คน
ติเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน พร้อมกับสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาที่เด็กน้อยอย่างไม่คิดอะไรมาก
"ข้าขอประทานอภัย"
เด็กน้อยกล่าวอย่างสำนึกผิด พร้อมลุกขึ้นโค้งคำนับต่อทุกคนบริเวณนั้นอย่างน่าเอ็นดู
ผู้คนบริเวณนั้นก็ไม่ได้ถือสาอะไรเพราะเห็นเขาเป็นแค่เด็ก และหันกลับไปอ่านหนังสือของตนต่อ บ้างก็แอบขบขันอยู่ในใจ บ้างก็ถึงกับส่ายศีรษะ กับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยผู้นี้
"ไม่เป็นไรแล้วล่ะเจ้าหนู คราหน้าอย่าทำอีกล่ะ" บรรณารักษ์สาวกล่าวกะเด็กน้อยอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
"ครับ" หลังจากกล่าวจบเด็กน้อยก็กลับไปอ่านหนังสือต่อ..
จบปฐมบทสารบัญตำนานบุคคล
ต่อจากนี้จะเป็นการเล่าเรื่องของเล่มที่สามในสารบัญตำนานบุคคล
ในชื่อเรื่อง"เทพอสูรต้องคำสาป"
Return of the Cursed Devil : ตอนที่ 0 แค้นและการชำระ
เขตแดนแห่งวิญญาณ โซเซสฟราเวียร์
ณ สถานที่อันมืดมน ที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ พร้อมทั้งผืนป่าสีดำทมิฬและเทือกเขาสูงชั้นหลายลูก ที่กำลังส่งกลิ่นอายด้านลบที่รุนแรงยิ่งออกมาอยู่ตลอดเวลา ราวกับวิญญาณนับล้านที่หิวกระหายพร้อมที่จะเขมือบทุกสิ่งในทันตา
ผู้ใดที่เข้าใกล้จะสึกเหมือนกับว่าพลังของตนกำลังบั่นทอนลดลงเรื่อยๆ ถ้าบุคคลผู้นั้นค่อนข้างอ่อนแอก็จะมีอาการหายใจติดขัด พร้อมทั้งหัวใจที่เริ่มสั่นระรัวไปด้วยความกลัวจนถึงขีดสุด ราวกับว่ากลิ่นอายรอบๆนี้จะฆ่าตนให้ตายยังไงยังงั้น
บวกกับสถานการณ์อันตึงเคลียดของสงครามจึงทำให้ทุกสิ่งอย่างดูหมองหม่นสุดขีด ทั้งกลุ่มหมอกควันสีหม่นหมอง ที่คละคลุ้งอยู่เต็มทั่วทั้งน่านฟ้า
เสียงตูมต้ามของระเบิดที่ดังออกมาแทบจะตลอดเวลา กลิ่นคาวเลือดอันน่าสะอิดสะเอียนที่ลอยฟุ้งกระจายไปตามลม จนผู้คนที่ได้กลิ่นแทบจะอ้วกในทันทีทันใด
ลำแสงพลังต่างๆนานาที่พุ่งผ่านกันไปมาในหลายๆทิศทาง และลูกธนูที่พุ่งออกจากคันจนเต็มทั่วทั้งอากาศ ก่อเกิดเป็นความวุ่นวายอันไม่จบไม่สิ้นทั่วทั้งน่านฟ้า
เสียงเพล้งของดาบที่ดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ
สมรภูมิรบในขณะนี้เต็มไปด้วย หลุมยักษ์บนพื้นดินอันกว้างขวางหลายหลุม อันเกิดจากตัวตนระดับสูงของแต่ระเผ่าพันธุ์ที่ห่ำหั่นกัน
และเหล่ากองทัพนับแสนนับล้านของเผ่าพันธุ์ต่างๆที่กำลังปะทะกันอย่างดุเดือดและบ้าคลั่ง ทั้งบนภาคพื้นและฟากฟ้า
ซากศพของตัวตนนับหมื่นที่นอนตายอย่างไม่น่าดู ระเนระนาดไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินพร้อมกับกลิ่นคาวและแอ่งเลือดที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบ
ภายในท่ามกลางสงครามอันดุเดือดเลือดพล่านนั้น
อ้าาาา~!!
เสียงกรีดร้องโหยหวนของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังคลุ้มคลั่งอย่างควบคุมไม่ได้ ดังสนั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสมรภูมิ จนแทบจะไม่มีตัวตนใดเลยที่ไม่ได้ยินเสียงนี้
เสื้อคลุมสีมืดมนพัดกระพือขึ้นตามไอคลืนพลังที่โหมกระหน่ำซัดสาดพลังออกมาจากเด็กหนุ่มพร้อมพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาอย่างบ้าคลั่ง คล้ายกับจะเป็นเสาทมิฬที่คำจุนฟ้า
ไอคลืนพลังทมิฬที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งวิญญาณที่รุนแรงยิ่งกว่าเทือกเขาพงไพรแห่งเขตแดนซากสงครามยิ่งนั้น กำลังขยายตัวออกไปเลื่อยๆโดยมีเด็กหนุ่มเป็นศูนย์กลาง
พลังนี้ทำให้ทุกตัวตนในบริเวณโดยรอบนับสิบไมล์ต่างสั่นสะท้านเมื่อได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของพลังนี้ ถึงแม้จะไม่รู้ก็ตามว่าพลังนี้เป็นพลังอะไรกันแน่ มันทั้งลึกลับ ทั้งหดหู่ ทั้งเศร้าหมอง แต่ก็เปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธแค้น
เด็กหนุ่มที่กำลังกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานพร้อมกับน้ำที่ไหลรินออกจากเบ้าอย่างช้าๆนั้น บัดนี้กำลังเกิดการแปลเปลี่ยนอย่างน่าประหลาดขึ้น
เมื่อจากเลือนผมสีขาวดุจหิมะก็กำลังแปลเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬที่พลิวไหวอย่างหดหู่
จากนัยน์ตาสีม่วงอันมืดมนบัดนี้ก็บังเกิดเป็นวังวนสีหม่นหมองอันมืดทึบดำสนิทไร้ซึ่งแสงเล็ดรอด ให้ความรู้สึกถึงความเวิ้งว้างอันไม่รู้จบของจักรวาล
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนักเสียงร้องครวญครางเริ่มเงียบลงพร้อมไอคลืนทมิฬที่เริ่มหยุดการขยายตัว
ร่างที่ไร้สติกำลังลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซพร้อมกับพลังที่อยู่ในจุดศูนย์ แต่กลับปล่อยจิตสังหารที่สะท้านฟ้าสะท้านดินออกมา จนตัวตนใกล้ๆโดยรอบต่างหายใจไม่ทั่วท้อง พร้อมกับหัวใจที่สั่นระรัวด้วยความหวาดผวา
เว้นแต่ชายหนุ่มผู้หนึ่งผู้ซึ่งมีเลือนผมปิดปังดวงตา ทรงผมดูกระซัดกระเซิงยาวไปถึงกลางหลัง พร้อมกับสวมชุดคลุมสีเทา
และที่สำคัญคือชายผู้นี้มีปีกเทวทูตสีทมิฬถึงแปดปีก!! ซึ่งมันแทบจะอยู่ในจุดสูงสุดของเหล่าเทวทูตเลยหล่ะ
เขาจ้องมองลงมาจากบนอากาศเหนือศีรษะของเด็กหนุ่มไม่มากนัก ด้วยทรงผมที่ปิดบังดวงตาเผยให้เห็นแต่ ปากที่กำลังหัวเราะคิกๆอยู่ เขาพยายามที่จะกลั่นขำแต่ก็กลั่นไว้ไม่อยู่ จนเผลอหลุดขำออกมาอยู่ดี
"คิก.คิก.คิก.. เจ้าคิดจะทำอะไรงั้นหรือ? ถึงได้ลุกขึ้นมาพร้อมปล่อยจิตสังหารใส่ข้าผู้นี้ ทั้งๆที่เจ้ามีพลังเพียงแค่ศูนย์เท่านั้น คิก.คิก.คิก.. มันน่าขำสิ้นดีเลยหล่ะเจ้าว่าไหม?"
เสียงพูดของชายผู้นี้ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ แม้จะไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่ก็มีเสียงที่ดังเข้าสู่สมองอย่างฉับพลัน แสดงถึงอำนาจของพลังที่เปล่งออกมาจากวาจา
เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจต่อคำพูดของชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ภายในหัวคิดแต่แค่..
"ต้องแก้แค้น..... ต้องแก้แค้นเท่านั้น.... ต้องแก้แค้น...ต้องแก้แค้น..ต้องแก้แค้น.ต้องแก้แค้นต้องแก้แค้นต้องแก้แค้นต้องแก้แค้น~~" ดังอยู่อย่างนี้ในหัวแบบไม่จบไม่รู้สิ้น
เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นพร้อมจ้องมองชายผู้นั้นด้วยนัยน์ตาที่มืดมนดุจจักรวาลที่เวิ่งว้างอันไร้แสง ให้ความรู้สึกกดขี่ถึงขีดสุด
ในขณะเดียวกันชายผู้นั้นก็หยุดขำพร้อมสดุ้งอย่างฉับพลันเมื่อเห็นซึ่งนัยน์ตาดวงนั้น ที่ทั้งมืดมน ทั้งเล้นลับ และไม่อาจคาดเดาได้
'อะไรกันข้าผู้นี้เกิดกลัวขึ้นมางั้นหรือ ไม่ใช่สิมันชักจะเริ่มแปลกๆแล้วหล่ะ!!' ชายหนุ่มคิดขึ้นอย่างหวาดกลัว พร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง
นัยน์ตาสีเหลืองทองสว่างโร่ขึ้นพร้อมจ้องเขม็งลงไปที่ภายในร่างของเด็กหนุ่ม
ทันใดนั้นสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับตัวของเด็กหนุ่มผู้นั้น เมื่อตัวเลขพลังที่อยู่ตรงจุดศูนย์ ดันพุ่งพรวดขึ้นอย่างหวบหาบ
จุดศูนย์สู่สิบ..สู่ร้อย..สองร้อย..สามร้อย..สี่ร้อบ...สู่พัน..สู่หมื่น.และสู่แสนในที่สุด ดูเหมือนมันจะไม่จบเพียงแค่นี้
ไอความมืดที่หนาแน่นได้แผ่พุ่งออกจากร่างของเด็กหนุ่มอีกครั้งมันทั้งเกรี้ยวกราดและดุร้าย รุนแรงยิ่งกว่าครั้งแรก ราวกับไอความมืดนี้จะสยบได้แม้แต่เทพ จนก่อให้เกิดการบิดเบี้ยวของมิติอย่างเลือนลาง
"ทำใมกัน.. ทำใมกัน.. ทั้งๆที่เธอไม่ได้ผิด.. ทั้งๆที่เป็นคนดีถึงขนาดนั้น.. ทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแท้ๆ แต่มันกลับ.. แต่มันกลับแย่ลงเรื่อยๆ ทำใมกัน..ทำใมกัน.ทำใมกัน~" เด็กหนุ่มก้มหน้าลงพึมพัมกับตัวเองอย่างเคียดแค้น
พร้อมมือทั้งสองข้างที่กำหมัดแน่น เลือดไหลรินออกจากมือข้างขวาอย่างไม่หยุดยั้งเรื่อยๆ
ทันใดนั้น
" ศาสตร์เลือด"
เมื่อเสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้น ตัวตนทั้งหลายที่กำลังหั่มหั่นกันอยู่นั้น ถึงกับผงะเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ถึงเสียงนี้จะฟังดูคล้ายกับจะเบาแต่มันกลับดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ทะล่วงแก้วหูเข้าสู่สมอง
เมื่อสิ้นเสียงของเด็กหนุ่มเหล่าแอ่งเลือดทั่วทุกสารทิศรอบๆบริเวณนั้นเริ่มสั่นไหว และเคลื่อนที่เป็นเส้นสายกันอย่างรวดเร็ว
พร้อมพุ่งเขามารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเลือดสุดพิศวงใต้ฝ่ามือข้างขวาที่ถูกแบออก
กลุ่มก้อนเลือดที่ใหญ่โตขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง มันเริ่มหมุนวนม้วนตลบไปมาอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับทะเลคลั่งที่อยู่ในลูกแก้วทรงกลม
จากนั้นมันเริ่มยืดตัวออกเป็นเส้นสายและรวมกันอีกครั้งปรากฏเป็นรูปทรงคล้ายดาบที่ยาวประมาณเมตรกว่าๆ
มันแผ่กลิ่นอายแห่งความตายที่เอ่อล้นออกมาอย่างรุนแรง แสดงถึงความอันตรายที่ไม่ควรเข้าใกล้
พูดเหมือนจะนานแต่เหตุการณ์นี้กลับเกิดขึ้นภายในไม่กี่อึดใจ
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ชายหนุ่มเริ่มมีสีหน้าที่ซีดเซียวราวกับเห็นผี
'แย่แล้ว!! นี่ข้าดันมาปลุกมังกรเข้าให้แล้วหรือ!? เหมือนว่าพลังของเจ้านี่จะขึ้นสูงถึงระดับเทพมารแล้ว อีกไม่นานพลังของมันจะเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับเดียวกับข้าแน่'
"ไม่ได้การหล่ะ"
ชายหนุ่มปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีออกมาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ คลื่นพลังจากเขาขยายอำนาจกระเพื่อมออกไปเป็นวงกว้าง
พร้อมกับดาบศักดิ์สิทธ์ที่ตัวดาบนั้นมีแสงสว่างอันโชติช่วงได้ปกคลุมไว้ปานแสงแห่งพระเจ้าที่ทำลายล้างเหล่าปีศาจร้าย บัดนี้มันได้ถูกคว้าไว้ด้วยมือข้างหนึ่งของชายหนุ่มแล้ว
เมื่อระลอกคลื่นพลังของเขาได้ขยายตัวออกไป ผู้คนในรัศมีสิบไมล์ ต่างสั่นสะท้านกับพลังอำนาจนี้ และไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าพลังนี้นั้นคือพลังอำนาจของ"ทวยเทพขั้นสูง"
ซึ่งตัวตนเหล่านี้นั้นสามารถทำลายเมืองทั้งเมืองให้พินาศได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
แต่ไม่ทันไรที่เทพขั้นสูงผู้นั้นได้ขยายพลังออกไป เด็กหนุ่มผู้นั้นก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา
เพล้ง!!
ดาบเลือดฟาดฟันลงมาจากเบื้องบนดังสนั่น พร้อมเลือดที่ซาดกระเซ็นออกจากตัวดาบ
ด้วยพลังโจมตีของเด็กหนุ่มนั้นยังถือว่าด้อยนักเมื่อเทียบกับชายหนุ่มเทพขั้นสูงผู้นี้
เขารับการโจมตีของเด็กหนุ่มได้อย่างสบายๆพร้อมทั้งสบัดดาบโจมตีอย่างรวดเร็วไปที่เด็กหนุ่ม
ตูม!!
ด้วยแรงสบัดดาบอันมหาศาลจึงทำให้เด็กหนุ่มที่มีพลังอ่อนด้อยนั้น ถูกทำให้กระเด็นลงสู่พื้นเบื้องล่าง
เกิดเป็นหลุมลึกกว้างหลายร้อยเมตร พร้อมทั้งกลุ่มควันที่คละคลุ้งฟุ้งกระจายออกมา
อ้าาาา~
เสียงโหยหวนอันเศร้าโศกพร้อมทั้งน้ำตาของเด็กหนุ่มได้ดังขึ้นอย่างคลุ้มคลั่งไม่ได้สติอีกครั้ง พร้อมพุ่งขึ้นจากหลุมในทันทีทันใด หมายที่จะเอาชีวิตชายหนุ่มเทพขั้นสูงผู้นั้น
มันเป็นไม่ได้ที่มนุษย์อย่างเขาจะสังหารเทพ ยิ่งเป็นทวยเทพขั้นสูงแล้วนั้นยิ่งไปกันใหญ่ แต่ด้วยการที่เขานั้นต้องสูญเสียคนสำคัญไป จึงทำให้เขานั้นถูกความเคียดแค้นกลืนกิน จนมิอาจหวนกลับ จิตใจพังทลายลง
ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลและอาบไปด้วยเลือด อันเกิดขึ้นจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว กำลังปลดปล่อยจิตสังหารที่แรงกล้าออกมาพร้อมกับการฟาดฟันดาบออกไปด้วยแรงที่แทบจะไม่มี
ย๊าาาาา!!
เสียงแห่งความโศกเศร้าได้ดังขึ้นอีกครั้ง
พร้อมคลื่นดาบสีเลือดปนดำที่พุ่งขึ้นไปหมายที่จะปลิดชีพชายหนุ่มผู้เป็นเทพขั้นสูง
ในขณะเดียวกัน
"คิก.คิก.คิก.ดูเข้าสิ เจ้ามนุษย์ที่แสนจะอ่อนแอคิดจะสังหารเทพคิก.คิก.คิก"
"ฝันไปเถอะ!!"
เขาแผดเสียงที่ก้องกังวานออกมาพร้อมแววตาที่ดุร้าย จนทำให้เหล่าตัวตนที่อยู่ในรัศมีของเสียงนี้ถึงกับเลือดกระชูดออกจากหู ส่วนตัวตนที่อ่อนแอนั้นถึงกับดับดิ้นเลยทีเดียว
ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าอย่างมหาศาล จึงทำให้การโจมตีโต้กลับนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
ด้วยพลังอันมหาศาลที่ฟันแทยงออกไป ปรากฏเป็นคลื่นดาบศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามได้พุ่งออกไปด้วยความเร็วดุจแสง
ทะลวงผ่านคลื่นพลังของเด็กหนุ่มไปอย่างง่ายดาย จนคลื่นพลังเหล่านั้นมอดดับไปอย่่างไร้ร่องรอย
มันทยานพุ่งลงไปด้วยความเร็วอันเป็นขีดสุด จนผ่านร่างของเด็กหนุ่มอย่างฉับพลัน
ตูมมม!!
เสียงการทำลายล้างดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ พร้อมกับการปรากฏของหลุมขนาดมหึมาขึ้น
พลังเหล่านั้นได้ทำลายผืนปฐพีเบื้องล่างจนพังพินาศ จนไม่เหลือสิ่งมีชีวิตให้เห็น หรือเศษซากก็ไม่เหลือ
พูดเหมือนจะนานแต่เหตุการเหล่านี้กลับเกิดขึ้นภายในพริบตา
บนอากาศ
ช่วงวินาทีที่คลื่นดาบได้ตัดผ่านร่างของเขาไปนั้น
น้ำพุเลือดได้พุ่งกระชูดขึ้นจากรอยขว้างเป็นทางยาว อึดใจต่อมาร่างนั้นก็ขาดเป็นสองส่วน และล่วงหล่นลงมาสู่พื้น
"เฮ้อ~.. ช่างน่าเบื่อเสียจริง"
ชายหนุ่มเทพขั้นสูงสบถออกมาด้วยความไม่พอใจ
'ข้าคิดว่าเจ้ามนุษย์นั่นจะแข็งแกร่งกว่านี้ส่ะอีก แต่เจ้ามันกลับ... เฮ้อ~ หรือข้าดูผิดไปจริงๆงั้นหรือ?.. งั้นข้าคงต้องฆ่าต่อไปเรื่อยๆสินะ ถึงจะเจอคนที่คู่ควรแก่การต่อสู่กับข้า.คิก.คิก.คิก'
เขามองดูซากศพของเด็กหนุ่มพร้อมคิดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ภายในหัวของเด็กหนุ่มในตอนนี้ก็ยังหมกหมุ่นอยู่กับแต่เรื่องการแก้แค้นอย่างไม่จบไม่สิ้น แม้นชีวิตจะหาไม่ก็อยากที่จะแก้แค้นให้จงได้
"แค้นนัก.แค้นนัก.แค้นนัก.แค้นนัก.แค้นนัก แค้นนักแค้นนักแค้นนักแค้นนักแค้นนักแค้นนักแค้นนักแค้นนักแค้นนักแค้นนักแค้นนัก~"
ในขณะนั้นนั่นเอง
ภายในสถานที่อันมืดสนิทได้มีเสียงๆนึงพูดออกมา
"เจ้าอยากแก้แค้นงั้นหรือ"
"ถ้าเป็นอย่างนั้นสนใจทำพันธสัญญากับข้าหรือไม่"
"เพื่อแลกกับพลังและอำนาจอันล้นเหลือของข้า"
"ถ้าเจ้าคิดจะทำพันธสัญญากับข้าล่ะก็ พึ่งตอบตกลง และเลือกสิ่งที่เจ้าจะนำมาแลกกับข้าเสีย"
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นอย่างกึกก้องอยู่ในหัว เสียงนี้ฟังดูเรียบๆแต่กลับแฝงไปด้วยความเล้นลับและความน่ากลัวอย่างแปลกประหลาด ราวกับเสียงของยมทูตที่กำลังชี้ชะตาชีวิตให้ก็มิปาน
"ตกลง.. ข้าขอแลกอายุขัยทั้งหมดที่มี เพื่อแค้นนี้ข้าเสียได้ทุกอย่าง"เขากล่าวอย่างเคียดแค้น
เด็กหนุ่มนั้นไม่จำเป็นต้องคิด เขานั้นไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เพื่อที่การจบสิ้นซึ่งแค้นนี้ เขานั้นย่อมเสียได้ทุกอย่างแม้นชีวิตก็ตาม
"พันธสัญญาเสร็จสิ้น"
หลังจากสิ้นสุดเสียงของหญิงสาว
บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขั้น
เมื่อร่างกายที่ขาดเป็นสองท่อนนั้น ได้เริ่มประติดประต่อกลายเป็นร่างเดิมอีกครั้ง ด้วยอำนาจของสิ่งแปลกประหลาดสีแดงดำอันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวิญญาณและความตาย
เหล่าอวัยวะภายในกลับคืนสู่สภาพเดิม พร้อมเหล่าเลือดที่กำลังเคลื่อนที่อย่างเป็นเส้นสายเข้าสู่ร่่างกาย
เมื่อร่างกายกลับคืนสู่สภาพดังเดิม กลิ่นอายบนร่างกายก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
จากกลิ่นอายที่เนืองแน่นไปด้วยความเคียดแค้น บัดนี้ได้ผันเปลี่ยนไปเป็นกลิ่นอายที่อบอวลไปด้วยความน่าหวาดกลัวสุดขีดแทน
"กลิ่นนี้มัน... "
ชายหนุ่มผู้เป็นเทพขั้นสูงเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันแปลกประหลาดนี้ ก็ถึงกับขนลุกซู่ขึ้น พร้อมกับเสียงของหัวใจที่เต้นระรัวและแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างหวาดผวา
"ไม่ผิดแน่..มันคือกลิ่นของพันธสัญญา"
"แล้วตัวตนใดกันที่มีกลิ่นอายแบบนี้ได้ ต่อให้ผู้ทำพันธสัญญาจะแลกทั้งชีวิตก็ตามเถอะ ก็มิอาจจะทำให้กลิ่นอายแบบนี้ออกมาได้แน่"
"อย่างที่ข้าคิดไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ข้าได้ปลุกมังกรเข้าให้แล้ว! ไม่ใช่สิ!! นี่มันคือ...!! "
แต่ไม่ทันที่เทพขั้นสูงผู้นี้จะพูดจบ
ทันใดนั้นเสียงๆนึงก็ดังขึ้นจากพื้นเบื้องล้าง
" สาปอสูร'กลืนกิน' "
เสียงนี้ดังเข้าสู่สมองของชายหนุ่มเทพขั้นสูงผู้นั้นอย่างฉับพลัน มันดังกึกก้องอยู่ในหัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อได้ยินดังกล่าวแล้วนั้นมันราวกับว่าหัวใจของเขาตอนนี้มันอยู่ที่ตาตุ่มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมหน้าที่ขาวซีดราวกับกระดาษ
หลังจากสิ้นสุดเสียงนั้นได้ไม่นานเกินรอ
ห้วงมิติเริ่มบิดเบี้ยว ปรากฏวงวนในรอบทิศทาง สภาพอากาศเริ่มสั่นคลอนท้องนภา
ท้องฟ้าสีครามกำลังคลุ้มคลั่ง ก่อเกิดเสียงร้องคำรามอย่างโหยหวน แสงสายฟ้าแปลบปลาบเริ่มก่อตัว เกิดเป็นภัยพิบัติที่กลืนกินทั้งน่านฟ้า
เสียงโหยหวนของสิ่งมีชีวิตอันน่าสยดสยองดังสนั่นขึ้นจากห้วงมิติที่กำลังบิดเบี้ยว
ทันใดนั้นบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างขนลุกขนพองก็ปรากฏ
ดวงตาที่หิวโหยนับร้อยนับพันคู่ กำลังจ้องมองออกมาจากห้วงมิติที่ดำมืด อันโชยกลิ่นคาวเลือดที่น่าสะอิดสะเอียนออกมา
เสี้ยววินาทีนั้นนั่นเอง
อ้ากกกกกกกก!!
เหล่าปากของสิ่งมีชีวิตจากห้วงมิติอันดำมืดนับไม่ถ้วน ที่ชโลมไปด้วยเลือด กลด และของเหลวที่ดำ
กำลังแย่งกันกัดกินและฉีกกระชากร่างของเทพขั้นสูงผู้นั้น จากทุกๆส่วนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา ร่างกาย และศีรษะ
ทุกๆส่วนของร่างกายต่างถูกกลืนกินด้วยอำนาจแห่งสาปอสูรอย่างไม่เหลือแม้แต่เศษซากให้จดจำ แม้นจะกล่าวจะว่ายอมแพ้แต่ก็ไม่ทันไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มได้นำเหล่าสัตว์อสูรต้องสาปออกจากมิติอันดำมืดนั้น
เหล่ากองทัพของตัวอสูรแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน ได้เคลื่อนทัพทำลายล้างไปทั่วทั้งดินแดนแห่งนี้รามไปถึงสรวงสวรรค์
ทุกๆที่ที่เคลื่อนผ่านต่างก็ไม่หลงเหลือเศษซากของสิ่งมีชีวิตแม้แต่ตัวเดียว ไม่เหลือแม้แต่ผืนป่า ไม่เหลือแม้แต่พลังงานแห่งชีวิต ทุกที่เรียบเตียนไม่เหลือสิ่งใดเลย
ก่อเกิดเป็นโศกนาฏกรรมอันมโหฬารแห่งยุคของโลก....
Return of the Cursed Devil ตอนที่1 โชคชะตาแสนอาภัพ
โชคชะตาอันโหดร้ายของเด็กน้อย ผู้ที่ถูกทั้งพ่อและแม่ขายตัวเองให้กับแก๊งมาเฟีย
เพื่อแลกกับเงินไม่กี่หมื่น
ผู้ที่ปกติก็อยู่ไม่เป็นสุขอยู่แล้วจากการโดนกลั่นแกล้งจากนักเลงข้างถนน และแทบจะทุกครั้งที่ถูกกลั่นแกล้งก็มักจะมีเลือดตกยางออกอยู่เสมอ ไม่ก็มีรอยฟกช้ำเป็นประจำ
มันทั้งเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ทุกๆวันของเขานั้นไม่ได้ไปโรงเรียนและไม่ได้เรียนหนังสือ
มั่วแต่จะต้องมาหาเงินเลี้ยงพวกพ่อแม่ขี้ยา ที่วันๆไม่ได้ทำอะไร เอาแต่เสพยากับดื่มเหล้า
ทุกๆวันของเขานั้นจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อเอาเงินไปให้พ่อแม่ที่ถ้าลูกไม่หาเงินมาให้ก็ถึงกับจะต้องลงไม้ลงมือทุบตีอย่างรุนแรงจนร่างกายมีรอยฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว
บางครั้งก็ถูกกดเงินค่าแรงหรือไม่ไม่ได้เงินเลยก็มี เมื่อเป็นอย่างนั้นเขาจึงต้องอาศัยช่วงกลางคืนมาแอบวิ่งราว ไม่ก็โขมยมาจากที่ต่างๆ
พวกเขานั้นไม่เคยสนใจใยดีอะไรลูกของตัวเองเลย แม้จะบาดเจ็บหรือล้มป่วยก็ไม่ทุกข์ร้อนใดๆขอแค่หาเงินมาให้ก็พอ
จนมาวันหนึ่งวันที่แก่งมาเฟียมาขอซื้อลูกของพวกเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขานั้นรีบตอบทันควันว่าขาย โดยไม่คิดหรือรู้สึกอะไรเลย ต่อหน้าต่อตาของลูกชายของเขา
"พ่อครับแม่ครับ จะขายผมไปจริงๆงั้นเหรอ!!" เด็กน้อยกล่าวอย่างน้ำตาคลอพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่อยากจากที่นี่ไป ถึงแม้อยากจะจากไปแค่ไหนก็ตาม
"อย่าขายผมไปเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะหาเงินมาให้เยอะกว่านี้ ผมจะตั้งใจทำงานกว่านี้ ผมจะทำทุกอย่างให้ดีมากกว่านี้ ขอร้องหล่ะ! อย่าขายผมขายเลยนะครับ!!" เขาโอดครวญอ้อนวอนต่อผู้เป็นบิดาและมารดาของตนอย่างสิ้นหวังอยู่นาน
แต่สิ่งที่พวกเขาตอบ มันกลับทำให้เด็กน้อยเจ็บปวดใจยิ่งกว่าเดิม
"ใสหัวไปให้พ้นซะ!! ไอ้เด็กเวรนี่!! จากนี้ไปเอ๊งจะได้ไปจากพวกข้าสักที นับแต่นี้ไปพวกข้าจะได้หมดเวรหมดกรรมไม่ต้องมาเลี้ยงดูเอ๊งอีก!! " ชายวัยกลางคนตะคอกใส่เด็กน้อยอย่างรุนแรงด้วยความรู้สึกที่เกรียดชัง
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ข้างๆก็ไม่ได้แยแสเด็กคนนี้ที่กำลังอ้อนวอนเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ
แม้นเขาจะบอกว่าเลี้ยงดูแต่จริงๆแล้วเขากลับทุบตีทารุณต่างๆ ข้าวปลาอาหารก็เทลงกับพื้นปล่อยให้กินเยี่ยงหมาจรจัด
ไม่ส่งเสียให้เรียน ไม่ดูแลตอนป่วย ปล่อยให้อยู่รับใช้เยี่ยงทาสในบ้านโทรมๆหลังหนึ่งเท่านั้น
"นี่ผมเป็นตัวอะไรในสายตาของพวกท่านกันแน่!!?" เด็กน้อยตะคอกด้วยน้ำตาที่ไหลรินอย่างเสียขวัญ พร้อมกับกลุ่มคนชุดดำที่พาตัวเขาไป
เขาพยายามดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อที่จะหนีไปให้พ้นจากแก๊งมาเฟียและพ่อแม่ที่สุดแสนจะอมหิตของเขา
จนท้ายที่สุดแล้วเขาก็หนีรอด มาแอบซ่อนตัวอยู่ในท้อระบายน้ำแห่งหนึ่งได้สำเร็จ
ส่วนพ่อแม่ของเขาหลังจากที่ขายลูกตัวเองไปแล้ว ก็ไม่เคยหวนรำลึกถึงลูกชายของตนเลย ไม่แม้นจะเป็นห่วงเป็นใย ราวกับว่าไม่มีสายสัมพันธ์หรือเยื่อใยอันดีต่อกันเลย อยู่อย่างสุขสบายกับเงินเล็กๆน้อยๆโดยการขายลูกตัวเอง
ส่วนพวกแก๊งมาเฟียที่เร่งกำลังตามหาเขาอยู่นานมากแล้วนั้น แต่ก็กลับไม่พบร่องรอยอะไรเลย ก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา
พวกเขานั้นเป็นแก๊งมาเฟียใต้ดินที่มีชื่อเสียงด้านลบอยู่พอสมควรมีหรือจะยอมให้เสียเงินไปกับครอบครัวไร้ค่าครอบครัวนึง
แก๊งมาเฟียที่ไม่ได้ของตามที่ตกลงเลยส่งคนกลับไปฆ่าสองสามีภรรยาคู่นั้นแทนเพื่อคืนหนี้สิ้นและค่าเสียเวลาของพวกเขากลับมา...
ภายในบ้านโทรมๆหลังหนึ่ง
ศพของคู่สามีภรรยาที่เละเทะไม่เป็นท่า ทั้งเครื่องในที่กระจัดกระจายไม่เป็นทิศเป็นทาง ทั้งใบหน้าที่เหวอะหวะไม่เป็นรูปเป็นร่าง และทั้งเลือดที่สาดกระเด็นกระดอนไปทั่วทั้งบ้าน
ซากศพนี้แลดูแล้วไม่น่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์อย่างแน่นอนที่ทำมัน ราวกับว่ามีสัตว์อสูรร้ายมาทำการซีกกระชากร่างเสียซะมากกว่า...
ใต้เมือง
เด็กน้อยอาศัยนอนในห้องเก็บขยะเก่าๆภายในท้อระบายน้ำ โดยการหาของกินจากถังขยะรอบๆเมือง ไม่ก็ตระเวณปล้นไปทั่วเพื่อประทังชีวิต มันทั้งยากลำบาก และแสนที่จะทรหด แต่เขาก็ทนกับมันตลอดมา เพื่อมีชีวิตอยู่...
เหตุการณ์เหล่านี้วนเวียนเรื่อยมาตลอดหลายปีจนเขาอายุได้15ปี
ณ ทวีปมาเชียร์น ชายแดนของเมืองแห่งความหลากหลาย อัลเทียโน่ สถานที่อันขึ้นชื่อเรื่องอสูร สัตว์ประหลาด ปีศาจร้าย และภูติผี
แถบชายแดนแทบทั้งหมดของเขตเหนือล้วนเป็นที่ตั้งของเหล่าแก๊งใต้ดิน ไม่ก็เป็นที่หลบหนีของเหล่าอาชญากรผู้ก่อการร้าย
มิหนำซ้ำยังมีตลาดมืดที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลกอีกด้วย
ไร้ซึ่งกฎหมาย ไร้ซึ่งความยุติธรรม ที่นี่ใช้กฎแห่งธรรมชาติปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้ที่มีอำนาจคือความถูกต้อง
ภายในตัวเมือง ได้มีเหตุการที่ชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้น..
"หนีเร็วพวกเรา!! พวกอสูรมันโผล่มาอีกแล้ว"
ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นเสียงดัง เพื่อเรียกเหล่าพวกพ้องของตนให้หนีจากเหล่าอสูรนับไม่ถ้วน
ที่โผล่ออกมาจากทั่วทุกสารทิศ ใต้ดิน ท้องฟ้า ถนน ตึก ทุกๆที่เต็มไปด้วยเหล่าอสูรหน้าตาแปรกประหลาด
บางก็มีดวงตานับไม่ถ้วนตามร่างกาย บางก็ไร้ดวงตา บางก็มีแขนขานับไม้ถ้วนตามร่างกาย บางก็ไม่มี อวัยวะสะเปะสะปะ กระดูกจัดวางไม่เป็นทิศเป็นทาง
แทบทั้งสิ้นต่างมีองค์ประกอบตามร่างกายที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ก็เกินเลยจนล้นพ้น ทำให้พวกมันดูอัปลักษณ์เป็นอย่างมาก
ไม่นานนักหลังจากเหล่าอสูรปรากฏตัว เหล่าผู้แสวงหาในโชคลาภ ไม่ก็เหล่านักสู้นักล่าหรือแม้กระทั่งเหล่าผู้ต้องการหาอสูรผู้ผูกพันธสัญญากับตนก็ต่างพากันมาที่นี้
การผูกพันธสัญญากับอสูรนั้นก็คือการแลกเปลี่ยนระหว่างกายเนื้อกับอสูรเพื่ิอแลกกับพลังที่จะได้รับ
พลังนั้นขึ้นอยู่กับอสูรว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ และยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่แลกเปลี่ยนด้วย
ยิ่งสิ่งแลกเปลี่ยนมีผลต่อความเป็นตายมากเท่าไรยิ่งได้รับสิ่งแลกเปลี่ยนที่มากขึ้นเท่านั้น
แล้วถ้ายอมแลกชีวิตกับพลังล่ะจะเป็นอย่างไร!?
คำถามนี้ยังคงมีอยู่เรื่อยมาทั้งๆที่มีคนเคยทำมันแล้วนับไม่ถ้วนก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครเลยที่สามารถรอดกลับมาจากความตายเพื่อจะเล่าเรื่องนี้ได้..
นี่แหละคือความพิศวงของพันธสัญญา..
ตรงปากท้อระบายน้ำกลางเมือง
"ไอ้พวกอสูรเวรในครั้งนี้แม่งเยอะกว่าครั้งก่อนเสียอีก"
เด็กหนุ่มโผล่ขึ้นมาจากปากท้อระบายน้ำกลางเมือง เพื่อที่จะออกมาสังเกตุสิ่งที่เกิดขึ้นด้านบน
เขาผู้นี้มีชื่อว่าคิริน เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไร้ที่อยู่อาศัยไร้ซึ่งสังกัดหรือแก่ง อยู่อย่างโดดเดี่ยว...
หลังจากที่ได้สอดส่องดูรอบๆอยู่สักพัก เขาก็พบว่าภายในเมืองเกิดการจราจลขึ้น พร้อมทั้งอสูรที่เดินไปเดินมาอยู่ทั่วทั้งเมือง...
"ข้าหวังว่าข้างล่างนี้คงจะไม่มีพวกอสูรเวรตะไรเหมือนข้างบนหรอกนะ ไม่งั้น.." เขาพูดออกมาด้วยท่าทีที่สบายๆราวกับว่าเรื่องพวกนี้เป็นเหตุการณ์ปกติของเขา
เมื่อลงมาถึงเบื้องล่างเขาก็พบกับอสูรตัวหนึ่งมันมีลักษณะคล้ายงูแต่ไม่มีดวงตา ลำตัวเป็นสีขาวยาวหลายสิบเมตร
" เฮ้อ~สิ่งที่ข้าหวังมันไม่เป็นจริงซะแล้วสิ"
'ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าบางทีเจ้านี่อาจจะเหมาะกับการทำพันธสัญญากับข้าก็ได้'
"เฮ้! ไอ้งูหน้าโง่ แกมาได้พอดิบพอดีเลยนะ อยากลองทำพันธสัญญากับข้าไหมล่ะ!?? "
พูดยังไม่ทันขาดคำเขาก็เจอกับอสูรเขาส่ะแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างไร แต่กลับดูถูกใจเจ้าอสูรตัวนี้ซะมากกว่า
"ถึงข้าจะไม่อยากให้แกมาอยู่ที่นี่ก็ตามเถอะ แต่จะทำไงได้ล่ะว่างั้นไห..."
ยังไม่ทันได้พูดจบเจ้าอสูรตัวนั้นก็อ้าปากขนาดใหญ่ของมันออก พร้อมเขมือบร่างทั้งร่างของเด็กหนุ่มลงไปภายในคำเดียวอย่างง่ายดาย โดยไม่แม้นจะสนใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่จู่ๆก็มีบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อมีมีดปริศนาพุ่งออกมาจากลำตัวของอสูรตัวนั้น มันตัดผ่านร่างของอสูรไปมาอย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน
ต่อมาเหล่าเศษชิ้นส่วนเนื้อของอสูรงูไร้ตาก็กระจุยกระจายออกมาพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ...
"จะต้องมีพวกจากองค์นั่นมาตรวจอีกแน่ถ้ามีศพของไอ้พวกนี้ นี่แหละเหตุผลที่ข้าไม่อยากจะพบเจอเจ้าพวกอสูรแถวนี้เลย ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะเจอพวกภูติผีดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนั้น แถมยังได้ดวงวิญญาณอีก"
คิรินเดินออกมาจากกองซากศพของอสูรด้วยร่างที่ชโลมไปด้วยเลือด พร้อมบ่นพึมพัมออกมาอย่างยกใหญ่ และในมือที่กำดวงวิญญาณสีฟ้าเอาไว้ เหตุการณ์เหล่านี้คือสิ่งปกติที่เด็กหนุ่มจะต้องเผชิญเป็นประจำทุกวัน..
" เฮ้อ~ ข้าก็อยากจะทำพันธสัญญาบ้างจัง มันจะเป็นยังไงกันน๊า~เมื่อทำพันธสัญญาแล้วเนี่ย เห็นพวกนักล่าเขาก็ทำกันแทบทุกคนเลย น่าอิจฉาชะมัดยาด!"
เขาถอนลมหายใจออกมาเฮือกนึงด้วยความรู้สึกที่เหนื่อยหน่ายอย่างบอกไม่ถูก
ในขณะนั้นนั่นเอง
วูป! ฟิ้วว~
เสียงของบางสิ่งบางอย่างที่ทะลวงผ่านกำแพงออกมา พร้อมเสียงหวีดวิวของลมที่ดังขึ้นเบาๆ
"ข้านั้นได้ยินไม่ผิดสินะ พันธสัญญาใช่ไหม!? ถ้าเจ้าถามข้าล่ะก็ ข้านั้นไม่มีให้เจ้าหรอก แต่ข้านั้นมีของบางอย่างที่น่าสนใจอยากจะมาแลกกับเจ้าหน่ะ"
วิญญาณผีพ่อค้าพร้อมกับสัมภาระที่เป็นกระเป๋าขนาดใหญ่ลอยตามมา โผล่ออกมาจากกำแพง
'วิญญาณผีสินะ'
คิรินแสยะยิ้มอยู่ในใจเมื่อพบกับสิ่งที่เขาต้องการ
"ว่ามา"
คิรินเอ่ยอย่างเย็นชาโดยไม่ทักทาย เขานั้นไม่ได้สนใจในสิ่งที่วิญญาณพ่อค้าต้องการจะแลก แต่เขากลับเกิดความสนใจในสิ่งอื่นมากกว่า...
" ข้านั้นมีอาวุธภูติหายากมาให้ เพื่อแลกกับดวงวิญญาณดวงนั้น" เขาใช้คำพูดที่น่าดึงดูดเพื่อให้เด็กหนุ่มเกิดความสนใจ
แต่
" ไม่อะข้าไม่สนใจอาวุธพวกนั้น และข้าก็หิวแล้วด้วยตอนนี้"
หลังจากพูดจบเด็กหนุ่มก็เขมือนดวงวิญญาณเข้าปากโชว์ไปในทันทีพร้อมกลืนลงท้องอย่างรวดเร็ว
รู้ไว้ก่อนนะว่ามนุษย์นั้นไม่สามารถกลืนกินดวงวิญญาณได้ เพราะถ้าเกิดกลืนกินลงไปแล้วจะเกิดผลสะท้อนของพลังที่กระจายออกมาจากดวงวิญญาณ จนทำให้ร่างกายโป่งพองพร้อมกับบางส่วนที่บิดเบี้ยวอย่างไม่เป็นรูปเป็นร่างจากนั้นก็ระเบิดออกและตายลง...
หลังจากที่เขากลืนดวงวิญญาณนั้นลงไปร่างกายของเขาก็เกิดแสงสีฟ้าอ่อนห่อหุ้มร่างเอาไว้ช่วงขณะ จากนั้นก็จางลงและสลายหายไป
" ห๊า~ นี่เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ มนุษย์ที่ไหนกันเข้ากลืนดวงวิญญาณลงไปหน้าตาเฉยขนาดนั้น"
วิญญาณพ่อค้าถึงกับอ้าปากค้างพร้อมเข้าไปเขย่าร่างของเด็กหนุ่มและโวยวายออกมายกใหญ่
"ก็มีที่นี่ไง"
เขาตอบทันทีทันใดอย่างไม่คิดมาก...
'ข้ายังหิวอยู่เลย เจ้าดวงวิญญาณงูนั่นยังไม่ทำให้ข้าอิ่มได้จริงๆด้วย ข้าคงต้อง..'
ในขณะที่วิญญาณพ่อค้ากำลังบ่นเด็กหนุ่มอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็เลียริมฝีปากด้วยความหิวโหยพร้อมง้างมีดสั้นที่อยู่ในมือ
"เอ่ะ!! นี่เจ้ากำลังจะทำอะไรของเจ้านะ มันคงไม่ใช่ว่าเจ้าเห็นข้าเป็นอาหารหนอกระมั้ง.. "
เมื่อเห็นดังนั้นพ่อค้าก็ถึงกับผงะก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวพร้อมความกลัวที่แสดงชัดเจนทางสีหน้า
"โทษทีนะ ตอนนี้ข้าหิวมากแล้ว ข้าคงต้องฆ่าเจ้าแล้วหล่ะ เพื่อสนองความอยากของข้าในตอนนี้ ขอบคุณสำหรับอาหาร"
พูดจบคิรินก็ตั้งท่าและกวัดแกว้งมีดอย่างรวดเร็ว ตัดเฉือนวิญญาณพ่อค้าจนขาดสบั้นออกจากกัน พร้อมเลือดสดๆที่สาดกระเด็นกระดอนไปในทิศทางต่างๆ
"ม้ายยย!!!
เสียงโหยหวนดังอยู่สักพัก ไม่นานนักร่างวิญญาณพร้อมเลือดก็สลายหายไปกับความว่างเปล่า พร้อมกับการปรากฏของดวงวิญญาณสีฟ้าขึ้นในมือของเด็กหนุ่มอีกครั้งและกระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากอากาศสู่พื้น
เขาเขมือบดวงวิญญาณเข้าปากพร้อมกลืนลงท้องในทันทีอย่างรวดเร็วโดยไม่รอท่า
จากนั้นแสงสีฟ้าอ่อนก็ห่อหุ้มร่างของเขาอีกครั้งและจางหายไปเช่นเดิม
และดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เขากลืนดวงวิญญาณเขาไป เขาจะไม่รู้สึกถึงแสงที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาเลยสักครั้ง
แล้วเจ้าแสงนี่มันคืออะไรกันแน่!?
และทำใมมันถึงห่อหุ้มร่างของเขาด้วย?...
"แหวะ!! ดวงวิญญาณเนี่ยไม่ค่อยอร่อยเลยแฮะ พวกเศษอาหารข้างถนนยังอร่อยกว่านี้อีก"
คิรินบ่นพึมพัมแล้วเดินจากไปพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ที่ลากมาด้วย โดยที่ทิ้งกองซากอสูรไว้เบื้องหลัง
แต่จู่ๆก็มีบางอย่างเกิดขึ้น
ตึกๆ!! ตึกๆ!!
เสียงของหัวใจที่สั่นแรงผิดปกติพร้อมอาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
'โอ๊ยยย!! แม่งโครตเจ็บเลย!! นี่มันอะไรกัน'
เขากุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด พร้อมร่างกายที่เริ่มโซซัดโซเซอย่างควบคุมไม่อยู่และล้มลงในที่สุด
ตึก!!
ดวงตาเริ่มพร่ามัวภาพเบื้องหน้าเริ่มไม่ชัดเจนพร้อมสติที่เลือนลาง และล้มลงนอนกองลงกับพื้น
'ไม่ไหวแล้ว... '
ความคิดเริ่มวูบดับสติไร้ซึ่งการตอบสนอง หลับลงกับพื้นโดยไม่ทราบสาเหตุ...
มันเกิดอะไรขึ้น!!?
เป็นเพราะดวงวิญญาณนั่นหรือป่าว?
หรือว่ามีพวกอสูรลอบทำร้าย?
ตอนที่2 ผูกพัทธสัญญา
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!