NovelToon NovelToon

Alternate Liberation : The Conqueror Of Chaos

บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา ตอนที่ 1 - 3

บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา

ตอนที่ 1: วันธรรมดาของอาคิระ

กลางดึกของคืนที่ดูเหมือนเงียบสงบ แสงจันทร์ยามดึกสาดส่องลอดผ่านผ้าม่านสีขาวเนื้อบาง ทิ้งเงาจาง ๆ ไว้บนผนัง เสียงพัดลมหมุนดังคลอเบา ๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันนิ่งเงียบของห้องนอนที่เต็มไปด้วยแสงสลัวจากโคมไฟเล็ก ๆ ข้างเตียง เผยให้เห็นห้องนอนขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยข้าวของที่สะท้อนตัวตนของเด็กหนุ่มวัยเรียน อาคิระ วัฒนกุล หนังสือการ์ตูนวางกองบนโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน หุ่นฟิกเกอร์ของตัวละครในเกมโปรดตั้งเรียงรายบนชั้นวาง ข้างเตียงมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่จอภาพยังเปิดค้างจากคืนที่ผ่านมา เสียงลมหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มเปลี่ยนจากมั่นคงเป็นสั่นไหว

แม้เปลือกตาของเขาจะปิดสนิท แต่สมองกลับทำงานหนัก ภาพความคิดเกี่ยวกับโปรเจกต์เกมที่ต้องส่งและการบ้านวิชาดนตรีวนเวียนอยู่ในหัวราวกับคลื่นกระแสไฟฟ้า ทว่าไม่นาน ความเหนื่อยล้าก็เริ่มกดทับ อาคิระค่อย ๆ ดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา

ในความเงียบสงัดนั้น ทุกอย่างพลันเปลี่ยนไป ไม่มีความอบอุ่นของเตียง ไม่มีเสียงพัดลม ไม่มีแสงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่างมาอีกต่อไป มีเพียงความมืดมิดที่ค่อย ๆ กลืนกินทุกสิ่งรอบตัว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน…

ความมืดรายล้อมรอบตัวอาคิระ ราวกับว่าเขากำลังลอยอยู่ในอวกาศอันเวิ้งว้าง ไม่มีแสง ไม่มีเสียง มีเพียงความว่างเปล่าที่ชวนให้อึดอัด ทันใดนั้น พื้นใต้เท้าของเขาก็สว่างวาบขึ้น เผยให้เห็น วงกลมประหลาด ที่เปล่งแสงเรืองรองราวกับแผนที่โลกแต่ไม่ใช่

ในวงกลมนั้นปรากฏเส้นสายสลับซับซ้อนเหมือนเส้นทางจักรวาล มันค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นดวงจันทร์เล็ก ๆ 12 ดวงที่ลอยอยู่รอบวงกลม แต่ละดวงเปล่งแสงที่แตกต่างกันออกไป บางดวงเป็นสีฟ้าสดราวกับมหาสมุทรกำลังเคลื่อนไหว บางดวงแดงฉานเหมือนเปลวเพลิงจากภูเขาไฟ บางดวงเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ที่เปล่งประกายไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่อีกดวงหนึ่งดำมืดสนิท ไร้แสง ไร้ชีวิต

สายตาของอาคิระหยุดลงที่ดวงจันทร์ดวงหนึ่งที่มีสีเขียวและน้ำเงินราวกับโลกใบเล็ก มันดูคล้ายกับโลกอย่างมาก มันดูลึกลับแต่น่าคุ้นเคยอย่างประหลาด เขาจ้องมองมันด้วยความสงสัยและตั้งใจ ทันใดนั้น เสียงกระซิบที่เย็นยะเยือกแต่กลับอบอุ่นและโหยหาราวกับญาติที่ไม่ได้พบกันมานานก็ดังขึ้นจากทุกทิศทาง แต่เป็นเสียงที่คุ้นเคยราวกับได้ยินมาก่อนหลายต่อหลายครั้ง

“อาคิน… มาเถิด… สมดุลได้พังทลายลงแล้ว… อาร์เคเดียต้องการเจ้า”

เสียงนั้นก้องกังวานในหัว ราวกับเรียกให้เขาก้าวเข้าไปใกล้ดวงจันทร์เหล่านั้น ทันใดนั้น ก็ปรากฏปลาคราฟสีดำและสีขาวสองตัวเวียนว่ายรอบเขา แล้วพูดว่า “จงสร้างสมดุลให้กลับมาอีกครั้งเถิด ทายาทแห่งอาร์เคเดีย...”

จากนั้น ฟองอากาศกลายเป็นขนนกเรืองแสงที่ลอยพร้อมลมหนาวรอบตัวเขา วงกลมที่ลอยอยู่รอบตัวก็สว่างจ้าขึ้น เสียงกระจกร้าวดังขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็แตกออก พร้อมภาพปรากฏการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งเข้ามาในสายตา

เขาเห็น สิงโตตัวใหญ่ในชุดซามูไร ที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ มันแผดเสียงคำรามราวกับจะเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ อีกด้านหนึ่งคือ ร่างของคนที่มีหัวงูหกหัว แต่ละหัวส่งเสียงขู่คำรามเหมือนสัตว์ป่าในเงามืด เงาดำจำนวนมากปรากฏขึ้นรอบตัวเขา พวกมันดูเหมือนจะเป็นตัวตนบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ หัวใจของเขาหวาดหวั่นกับบรรยากาศแสนน่ากลัวของตัวตนปริศนา

จู่ ๆ พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนพร้อมพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรุนแรง ร่างของอาคิระถูกแรงกระแทกจนลอยกระเด็นไปในความมืดมิด เขาพยายามลุกขึ้น แต่ร่างกายเหมือนถูกพันธนาการด้วยความกลัว

ทันใดนั้น มือหนึ่งที่กำยำปรากฏขึ้นตรงหน้า มือที่มีสนับมือสุดดุดันที่เปล่งประกายด้วยเปลวไฟร้อนแรง ยื่นมาให้เขา

“ลุกขึ้นมาเถอะเพื่อน เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”

อาคิระเงยหน้ามองเจ้าของมือ แต่ภาพนั้นพร่ามัวจนเขามองเห็นเพียงเปลวไฟที่ลุกโชนเหนือไหล่ของอีกฝ่าย ขณะเดียวกัน เขาเริ่มสังเกตเห็นร่างของคนอื่น ๆ ที่ยืนเคียงข้างเขา พวกเขาแต่ละคนเปล่งประกายด้วยพลังที่แตกต่างกัน ทั้งเปลวไฟที่ใจกลางเป็นน้ำแข็ง ทั้งสายฟ้าเล็กๆที่กำลังร่ำร้องราวกับต้องการจะพุ่งออกไป

ร่างหนึ่งเดินเข้ามาพยุงเขา มือเล็ก ๆ ที่อบอุ่นจับที่แขนของเขา พร้อมเสียงหวานใสดังขึ้น

“ไม่เป็นไรนะคะ พี่อาคิระ เราจะเคียงข้างพี่เสมอ”

อาคิระพยายามมองหน้าเธอชัด ๆ เขาเห็นแค่เงาที่เธอใส่ที่คาดผมเป็นหูแมวเท่านั้น แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ เสียงของเธอก็แปรเปลี่ยนคำพูดกลายเป็นเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นแทนเพื่อให้เขาหลุดจากภวังค์ของห้วงแห่งความฝัน

อาคิระสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนเพิ่งผ่านการต่อสู้ เขามองไปรอบ ๆ ห้องที่มืดสลัวด้วยแสงไฟจากจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดค้างอยู่ โต๊ะทำการบ้านยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยหนังสือและสมุดที่วางระเกะระกะ

เขาพิงหัวกับกำแพง ถอนหายใจยาว “ฝันบ้าบออะไรเนี่ย…อย่างกับพวกผู้กล้าในการ์ตูนที่เคยดูแหน่ะ...แต่มันจะเหมือนจริงเกินไปป่ะและนั่นอะไร ปลาคราฟ? ขนนก? บ้าบอแท้” เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ในหัวพยายามปะติดปะต่อภาพที่เลือนราง

“คงเพราะเมื่อคืนคิดโปรเจกต์เกมมากเกินไปแน่ ๆ… แล้วคนที่เรียกพี่นั่นอะไรอีก? ฮ่า ๆ นี่เราคงอิจฉาที่คนอื่นมีน้องอีกแล้วสินะ” เขาหัวเราะเบา ๆ พลางคิดเล่น ๆ “ถ้ามีน้องจริง ๆ ขอแบบมีหูกระต่ายหรือหูแมวแบบในฝันด้วยก็ดีนะ ฮ่า ๆ”

ความคิดเพ้อฝันของเขายังไม่ทันจบ เสียงแม่ก็ดังขึ้นจากชั้นล่าง

“อาคิน! ตื่นหรือยังลูก เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ!”

“ครับแม่!”อาคิระตอบกลับเสียงดังพอให้ได้ยิน เขาหันไปมองนาฬิกา ตกใจเมื่อเห็นเวลา เขาถอนหายใจพลางยืดแขนขาที่เหมือนกำลังจะถูกพันธนาการด้วยความขี้เกียจของตัวเอง จากนั้นรีบลุกขึ้นเก็บข้าวของอย่างลวก ๆ ก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็ก ๆ ที่ติดกับห้องนอน ความเย็นของน้ำช่วยปลุกให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า เขาเดินกลับมาแต่งตัวอย่างง่าย ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือกับหูฟังที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง“เฮ้อ… แค่ฝันบ้า ๆ ใช่ไหม? ไม่มีอะไรหรอกน่า…”

แต่ในใจลึก ๆ เขารู้ว่าฝันนั้นต่างจากฝันธรรมดา และบางสิ่งบางอย่างในนั้นอาจกำลังเชื่อมโยงกับชีวิตของเขาโดยที่เขายังไม่รู้ตัว…

บรรยากาศในครัวหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นต้มยำกุ้งร้อน ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้เรียบง่าย ข้าง ๆ มีจานเล็กที่ใส่ไข่เจียว และแก้วน้ำฝรั่งคั้นสดที่แม่ของเขาบรรจงเทไว้ให้ ไอรีน หรือ อาภาวรรณ วัฒนกุล ผู้เป็นแม่ยืนอยู่ข้างเคาน์เตอร์ครัว เธอกำลังล้างจานที่ใช้ทำอาหารเช้าอย่างขยันขันแข็ง

“วันนี้ทำไมลงมาช้าจังล่ะลูก” แม่ถามโดยไม่หันกลับมามอง ขณะที่มือยังล้างจาน

“ก็แค่เมื่อคืนนอนดึกนิดหน่อยน่ะแม่” อาคิระตอบพลางนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เขาหยิบช้อนขึ้นมาชิมต้มยำกุ้งคำแรกแล้วพยักหน้าเบา ๆ

“อร่อยเหมือนเดิมเลย ขอบคุณนะครับแม่”

ไอรีนหันมายิ้ม “รีบกินเถอะลูก เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”

ขณะที่อาคิระกำลังกิน พ่อบุญธรรมของเขา ริน หรือ ปริญ วัฒนกุล เดินเข้ามาในครัวพร้อมเอกสารปึกหนึ่งในมือ เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็คที่เขาสวมใส่สะท้อนบุคลิกสุขุมและมั่นคง

“อาคิน วันนี้มีอะไรสำคัญไหม?” พ่อถามขณะนั่งลงที่โต๊ะ

“ไม่มีอะไรมากครับพ่อ แค่ไปโรงเรียน ทำโปรเจกต์เกมกับพวกเมย์ แล้วก็ซ้อมเกมตอนเย็น”

ปริญพยักหน้าเบา ๆ พร้อมยิ้มมุมปาก “ดีแล้ว แต่จำไว้นะลูก อย่าเอาเวลาไปเล่นจนลืมการบ้าน”

“ครับพ่อ” อาคิระตอบพลางเกาหัว รู้ดีว่าพ่อมักเตือนเรื่องนี้เสมอ

หลังจากอาหารเช้าเสร็จสิ้น อาคิระหยิบกระเป๋าเป้ เตรียมตัวออกจากบ้าน สวมรองเท้าผ้าใบตรงหน้าประตูและใส่หูฟังเปิดเพลงโปรดพลางนึกถึงการบ้านวิชาดนตรีที่ต้องเล่นกันกับกลุ่มเพื่อน

“ดูแลตัวเองด้วยนะลูก” ไอรีนพูดพร้อมมองตามลูกชาย

“ครับแม่ พ่อด้วยนะครับ”

ปริญยิ้มบาง ๆ “ตั้งใจเรียนนะ”

อาคิระเดินออกจากบ้านพร้อมกระเป๋าเป้พาดบ่า สายลมยามเช้าพัดผ่านใบหน้าของเขา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ริมทางผสมกับความสดชื่นของอากาศเช้า สองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่เรียงรายทอดเงาบนพื้นถนน เสียงนกร้องเบา ๆ คลออยู่ไกล ๆ

เขาเสียบหูฟัง ฟังเพลงโปรดพลางเร่งฝีเท้า เส้นทางที่เดินทุกวันยังคงเหมือนเดิม ถนนลาดยางเรียบง่ายที่มุ่งตรงไปยังโรงเรียน แต่ในใจกลับรู้สึกแตกต่างเล็กน้อย

“ฝันแปลก ๆ นั่นมันอะไรนะ…เสียงกระจกพวกนั้นอีก พักนี้ได้ยินบ่อยเกินไปแล้วนะ” ความคิดหนึ่งแทรกเข้ามาในหัว เขาส่ายหน้าเบา ๆ พยายามปัดมันออกไป

“ไม่หรอก คงเป็นเพราะต้องคิดโปรเจกต์เกมกับการบ้านแน่ ๆ”

แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามปัดความคิดนั้นออกไปมากแค่ไหน ความรู้สึกบางอย่างยังคงติดค้างอยู่ในใจ… ราวกับว่าเส้นทางธรรมดาที่เขาเดินอยู่นี้ จะนำไปสู่บางสิ่งที่ไม่ธรรมดา

อาคิระเงยหน้ามองท้องฟ้า แสงแดดยามเช้าทอประกายบนฟ้าสีคราม เมฆบาง ๆ ลอยเอื่อยไปตามลม เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนก้าวต่อไปบนเส้นทางที่ดูจะเงียบสงบ

…โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล

———————————

บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา

ตอนที่ 2: มิตรภาพใต้ร่มไม้ใหญ่

แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านกระจกหน้าต่างของอาคารเรียน โรงเรียนนานาชาติที่อาคิระศึกษาอยู่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา อาคารทันสมัยถูกออกแบบให้กลมกลืนกับพื้นที่สีเขียวโดยรอบ ทำให้บรรยากาศสดใสและเป็นกันเอง นักเรียนหลากหลายเชื้อชาติต่างสานสัมพันธ์กันผ่านกิจกรรมและบทเรียนที่แฝงไปด้วยความคิดสร้างสรรค์

อาคิระเดินเข้าห้องเรียนพร้อมกระเป๋าเป้ที่พาดบ่า หูฟังข้างหนึ่งยังเสียบอยู่ในหู เพลงโปรดจากลิสต์ของเขาคลอเบา ๆ ขณะที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เมย์ หรือ ณิชาพัชร์ วงศ์ปรีชา เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กของเขาเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเรียนพร้อมโบกมือให้

“อาคิน! มาแล้วเหรอ?” เมย์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่เขาคุ้นเคย

“สายอีกแล้วนะ กีกี้” จิน หรือ ชลธิชา สุขสมบัติ เพื่อนผู้ร่าเริงแซวทันที ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ก็ไม่ได้สายขนาดนั้นสักหน่อย” อาคิระตอบพลางหัวเราะเบา ๆ

“อากี้!” วิน หรือ ธนวินท์ สุขเจริญ ทักขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ “ฉันเกือบจะโทรไปลากนายมาจากบ้านแล้วนะ!”

“นายไม่ต้องห่วงขนาดนั้นก็ได้” อาคิระตอบพร้อมยิ้มกว้าง เขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเมื่ออยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ

“หวังว่านายจะไม่ลืมแผนที่พวกเราซ้อมเมื่อวานนะ” นนท์ หรือ อนนท์ วิริยะศักดิ์ ผู้จริงจังประจำกลุ่มเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจขณะก้มหน้าจดอะไรบางอย่างในสมุด

“ไม่น่าลืมหรอก” อาคิระตอบพลางยักไหล่ ก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะของเขา ซึ่งอยู่ข้างเมย์

เสียงพูดคุยของเพื่อน ๆ เต็มไปด้วยความสนุกสนานและบรรยากาศที่แสนผ่อนคลาย จินขยับเข้าไปนั่งใกล้เมย์ พร้อมแซวนนท์ที่ยังคงจดแผนอย่างตั้งอกตั้งใจ

“นนท์ นายจริงจังเกินไปหรือเปล่า?” จินถามพร้อมหัวเราะ

“ถ้าจะทำ ต้องทำให้ดีที่สุด” นนท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ก็จริงนะ” วินเสริม “แต่ถ้าเราได้รางวัลใหญ่ด้วย มันจะเจ๋งสุด ๆ ไปเลย!”

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุย เสียงกระซิบแผ่วเบาก็ดังขึ้นในหัวของอาคิระ มันฟังดูเหมือนเสียงเรียกชื่อเขา “อาคิน…”

เขาขมวดคิ้ว หันไปมองเมย์ด้วยความสงสัย “เมย์ เธอเรียกฉันเหรอ?”

“ไม่ได้เรียกนะ” เมย์ตอบพลางยิ้ม “มีอะไรหรอ?”

“เปล่า… ไม่มีอะไร” อาคิระตอบ แต่ความสงสัยยังคงติดอยู่ในใจ

เสียงกริ่งบอกเวลาพักกลางวันดังขึ้น นักเรียนคนอื่นพากันมุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร แต่กลุ่มของอาคิระเลือกเดินไปยังสนามกีฬาที่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ซึ่งเป็นจุดนัดพบประจำของพวกเขา

เมย์หยิบกล่องข้าวที่เตรียมมาเองออกมาเปิด เผยให้เห็นข้าวปั้นสอดไส้ที่จัดไว้อย่างสวยงาม

“วันนี้ฉันทำข้าวปั้นมาด้วย ลองสิ อาคิน นายด้วย” เมย์พูดพลางยื่นข้าวปั้นให้เพื่อน ๆ

อาคิระกัดคำแรกก่อนจะพยักหน้า “อื้ม อร่อยมากเลย ฝีมือไม่เคยตกจริง ๆ นะ”

“อร่อยจนเหมือนซื้อจากร้านดังเลย!” วินเสริมพร้อมหยิบอีกชิ้นเข้าปาก

“ขอบคุณนะ” เมย์พูดพร้อมรอยยิ้มเขิน ๆ แต่สีหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความดีใจ

ขณะที่พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับมื้อเที่ยง เสียงกระซิบแผ่วเบานั้นดังขึ้นอีกครั้งในหัวของอาคิระ “อาคิน… มานี่สิ…”

เขาสะดุ้งเงียบ ๆ ก่อนหันไปมองรอบตัว แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เมย์ถามด้วยความเป็นห่วง

“เปล่าหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย” อาคิระตอบ พยายามทำตัวให้ปกติ

หลังจากมื้อเที่ยงจบลง ทุกคนเริ่มพูดคุยถึงแผนการซ้อมเกมในตอนเย็น นนท์หยิบสมุดจดของเขาออกมาอธิบายกลยุทธ์ใหม่ เมย์และจินช่วยเติมไอเดีย ขณะที่วินฟังอย่างตั้งใจ

“ฉันว่าเราเริ่มด้วยการบุกป่าฝั่งตรงข้ามก่อนดีไหม?” เมย์เสนอ

“ถ้าทำแบบนั้นต้องดูจังหวะดี ๆ อย่าให้เสียเปรียบกลางเกม” อาคิระเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แผนนี้ดูใช้ได้เลย” วินพูดพลางพยักหน้า “แต่ถ้าฝั่งตรงข้ามบุกสวนกลับจะทำไงดี?”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น คงต้องถอยมาตั้งรับก่อน” นนท์ตอบพร้อมวาดเส้นบนแผนที่

จินหยิบกล้องโพลารอยด์ขึ้นมาถ่ายรูปกลุ่ม “มา ๆ ถ่ายไว้เผื่อวันไหนเราไม่ได้มารวมตัวกันแบบนี้อีก”

อาคิระมองภาพถ่ายในมือ รู้สึกถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นของพวกเขา

“พวกเรานี่เจ๋งที่สุดจริง ๆ” วินพูดพลางยิ้ม

“แน่นอน!” อาคิระตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง

แม้เสียงหัวเราะจะเติมเต็มช่วงเวลานั้น แต่เสียงกระซิบที่ดังก้องอยู่ในหัวของอาคิระก็ยังคงคอยรบกวนเขา มันเป็นเสียงที่เขารู้สึกว่ากำลังเรียกเขาไปสู่อะไรบางอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ในตอนนี้…

—————————————

บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา

ตอนที่ 3: วันหยุดแห่งมิตรภาพ

เช้าวันเสาร์ แสงแดดอ่อน ๆ สาดลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ริมถนนในซอยเงียบสงบ บ้านของนนท์ตั้งอยู่ในย่านที่เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น ทำให้บรรยากาศดูสงบและเย็นสบาย อาคิระเดินมาถึงหน้าบ้านช้าไปเล็กน้อย เหงื่อซึมเล็กน้อยจากการเดินทางในแสงแดดอุ่น ๆ จินที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งหน้าบ้านรีบลุกขึ้นกวักมือเรียกทันที

“กีกี้! ทำไมมาสายแบบนี้ล่ะ พวกเรารอจนเหงาแล้วนะ!” จินพูดพลางย่นคิ้ว แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเธอก็ยังคงอยู่

“ก็ไม่ได้สายขนาดนั้นสักหน่อย” อาคิระตอบพร้อมเกาหัวแก้เก้อ “รถมันติดนิดหน่อยน่ะ”

“ก็มาให้มันเช้ากว่านี้สิ” จินยังคงแหย่ไม่หยุด

“เข้ามาข้างในเถอะ นนท์กำลังตั้งค่าคอมพิวเตอร์อยู่” เมย์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ห้องนั่งเล่นของนนท์เป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยข้าวของเกี่ยวกับเกมและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทุกคนล้อมกันอยู่รอบจอคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ วินนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาพร้อมแก้วน้ำอัดลมในมือ ส่วนนนท์จดจ่ออยู่กับการเปิดโปรแกรมออกแบบเกม

“มาพอดีเลย อากี้!” นนท์หันมาทักเมื่อเห็นเขา “เรากำลังจะเริ่มวางแผนฉากใหม่กัน”

“ดีเลย!” อาคิระตอบก่อนจะวางกระเป๋าแล้วนั่งลงข้าง ๆ

ทุกคนเริ่มต้นพูดคุยถึงไอเดียใหม่ อาคิระที่รับหน้าที่คิดเนื้อเรื่องเริ่มอธิบาย “ลองคิดดูนะ ถ้าเริ่มเกมด้วยฉากที่ผู้เล่นต้องทำภารกิจในป่า เจอมอนสเตอร์ง่าย ๆ แล้วค่อยเข้าสู่เมืองใหญ่ จะสมเหตุสมผลแล้วก็ดึงดูดคนเล่นได้ดี”

“เจ๋งเลย! แล้วในป่าควรมีไอเท็มลับด้วยนะ ให้ผู้เล่นต้องขยันสำรวจ” จินพูดพลางตบเข่า

“แบบนั้นน่าสนใจมาก” เมย์เสริม “อาจจะใส่กับดักหรือปริศนาเล็ก ๆ เข้าไป ให้ผู้เล่นได้ลองใช้ไหวพริบด้วย”

วินที่นั่งเงียบอยู่พักใหญ่พูดขึ้น “เพิ่มศัตรูที่ฉลาดขึ้นอีกหน่อยก็น่าจะดีนะ แบบที่ผู้เล่นต้องวางแผนสู้ ไม่ใช่แค่พุ่งเข้าไปฟันอย่างเดียว”

“เจ๋งเลยวิน!” นนท์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะรีบพิมพ์สิ่งที่วินเสนอเข้าไปในโปรแกรม

ระหว่างที่พวกเขากำลังคิดเนื้อเรื่องอยู่นั้น อาคิระกลับได้ยินเสียงแปลก ๆ มันเหมือนเสียงกระจกแตกร้าว เสียงนั้นเบาและแว่วในหัว เขาชะงักเล็กน้อย หันไปมองรอบตัว

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เมย์ถามเมื่อสังเกตเห็นท่าทีแปลก ๆ

“เปล่าหรอก” อาคิระตอบ พร้อมพยายามเก็บความสงสัยไว้ในใจ

เวลาเคลื่อนผ่านไปจนถึงเที่ยง นนท์ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนจะพูดขึ้น “แวะไปเที่ยวสวนสนุกกันไหม? อยู่ไม่ไกลจากนี่เอง เดี๋ยวฉันขับรถพาไป”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างตื่นเต้น พวกเขาเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดก่อนออกเดินทาง

สวนสนุกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสและเสียงหัวเราะของผู้คนกำลังคึกคัก จินเป็นคนแรกที่วิ่งนำไปยังมุมขายตั๋ว “รีบมาเร็ว ๆ!”

“เราจะเริ่มเล่นอะไรกันดี?” วินถามพลางมองแผนผังสวนสนุกในมือ

“รถไฟเหาะก่อนเลย!” จินตะโกนอย่างกระตือรือร้น

ทุกคนหัวเราะกับความตื่นเต้นของเธอ ก่อนจะพากันไปต่อแถว เมย์กับอาคิระได้นั่งคู่กัน เมย์จับแขนอาคิระไว้แน่นเมื่อรถไฟเริ่มไต่ขึ้นไปบนรางสูง

“กลัวเหรอ?” อาคิระแซวพร้อมรอยยิ้ม

“เปล่าสักหน่อย…อาคิน” เมย์ตอบเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่สีหน้าของเธอก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นปนกลัว

เมื่อรถไฟเหาะพุ่งลงอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องของทุกคนดังลั่น แต่เมื่อเครื่องเล่นหยุด เมย์กลับหัวเราะออกมาพร้อมพูด “มันสนุกกว่าที่คิดแฮะ!”

พวกเขาเดินเล่นต่อในสวนสนุก เล่นเครื่องเล่นอีกหลายอย่าง เช่น บ้านผีสิงและชิงช้าสวรรค์ ระหว่างนั้นเสียงกระจกแตกร้าวดังขึ้นอีกในหัวของอาคิระ เขาชะงักและมองรอบตัว แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” เมย์ถามอีกครั้ง

อาคิระลังเลก่อนตอบ “ก็แค่… เหมือนจะได้ยินเสียงแปลก ๆ น่ะ”

“เสียงแปลก ๆ?” จินหันมามองด้วยสายตาสงสัย “หรือว่านายกำลังจะถูกต่างโลกเรียกตัวไปเป็นผู้กล้า?”

“ไม่ใช่สักหน่อย!” อาคิระตอบพลางหัวเราะ แต่ลึก ๆ แล้วคำพูดของจินก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้

“เอาน่า ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราพร้อมจะอยู่ข้างนายเสมอ” วินพูดพร้อมยิ้มให้ “ฉันจะปกป้องนายเอง ไม่ต้องห่วง”

“ใช่! พวกเราทุกคนจะอยู่ด้วยกัน ไม่ว่านายจะไปเจออะไร” เมย์เสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ก็มีความเขินเล็กน้อยในแววตา

เสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ยังคงก้องอยู่ในบรรยากาศ ขณะที่พระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า แม้อาคิระจะยังคงรู้สึกแปลก ๆ กับเสียงกระจกแตกร้าวในหัว แต่เขาก็ไม่อยากให้มันมาบดบังช่วงเวลาที่มีค่ากับเพื่อน ๆ เขาไม่รู้เลยว่าในอีกไม่นาน เสียงเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล…

บทที่ 1 จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา ตอนที่ 4

บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา

ตอนที่ 4: การฝึกฝนจากพ่อและแม่

แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านแนวต้นไม้ใหญ่กลางป่าละเมาะ เสียงนกร้องแว่วมากับสายลม กลิ่นดินชื้นและใบไม้แห้งลอยมาแตะจมูก ครอบครัววัฒนกุลใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ในกิจกรรมที่พวกเขารัก นั่นคือการตั้งแคมป์ในป่าที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกล รถกระบะคันเล็กของปริญจอดนิ่งอยู่ริมทางเดินเข้าป่า ขณะที่อาคิระและไอรีนช่วยกันขนสัมภาระลงมา

“ลูกอาคิน หยิบเต็นท์นั่นมาด้วยนะ” ไอรีนบอกพลางชี้ไปที่กระเป๋าสีเขียวเข้ม

“ครับแม่” อาคิระตอบพลางยกกระเป๋าเต็นท์ขึ้นบ่า แม้จะหนักแต่เขาก็ทำอย่างคล่องแคล่ว

ปริญเดินนำหน้าด้วยท่าทีสุขุม สายตาเขากวาดมองหาเหมาะสำหรับการตั้งแคมป์ หลังจากเดินลึกเข้าไปในป่าได้ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงลานโล่งเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่

“ตรงนี้แหละ เหมาะที่สุดแล้ว” ปริญเอ่ยพร้อมวางกระเป๋าสัมภาระลง

ทั้งสามคนช่วยกันกางเต็นท์ ขนฟืนสำหรับก่อไฟ และจัดพื้นที่สำหรับทำอาหาร อาคิระที่กำลังขมวดคิ้วพยายามประกอบเต็นท์อย่างเก้ ๆ กัง ๆ ต้องพึ่งคำแนะนำของพ่อ

“ค่อย ๆ จับเสาให้มั่น แล้วดึงเชือกให้ตึงแบบนี้” ปริญพูดพลางแสดงวิธีให้ดู

“มันยุ่งยากกว่าที่คิดนะ” อาคิระบ่น แต่เขาก็ทำจนสำเร็จ

“ชีวิตจริงยากกว่านี้เยอะลูก” ปริญตอบพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากเตรียมที่พักเสร็จ พวกเขาก็เริ่มกิจกรรมที่คุ้นเคย ไอรีนสอนลูกชายเกี่ยวกับพืชในป่า ขณะที่ปริญจัดการเตรียมฟืนและลับมีดล่าสัตว์ ทุกคนดูสนุกสนานกับธรรมชาติรอบตัว แต่ในใจของอาคิระกลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ

เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ปริญชวนลูกชายไปฝึกการต่อสู้ในลานเล็ก ๆ ข้างแคมป์ไฟ อาคิระรับดาบไม้สองเล่มที่พ่อยื่นให้ และตั้งท่าประจันหน้ากับพ่อ

“ลูกยังจำที่พ่อเคยสอนตอนเด็ก ๆ ได้ไหม?”

“พอจำได้ครับ แต่ไม่ได้ฝึกมานานแล้ว”

ทั้งสองเริ่มต้นด้วยการฝึกท่าพื้นฐาน เสียงดาบไม้กระทบกันดังสะท้อนอยู่ในป่า ปริญมีท่าทีสุขุมและควบคุมจังหวะอย่างแม่นยำ ขณะที่อาคิระยังคงเสียจังหวะอยู่บ่อยครั้ง

“จำไว้นะลูก การต่อสู้ไม่ใช่เรื่องของการเอาชนะ แต่คือการเอาตัวรอด บางครั้ง การถอยคือทางเลือกที่ดีที่สุด” พ่อพูดพลางบุกเข้าโจมตี

อาคิระพยายามตั้งรับอย่างเต็มที่ เขาใช้เทคนิคดาบคู่ที่เขาคิดค้นขึ้นในตอนฝึกกับซายากะ โฮชิคาวะ อาจารย์สอนดาบที่เป็นเพื่อนสนิทของแม่ แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่พ่อก็พยักหน้าอย่างพอใจ

“วิชาดาบนี่…ดูน่าสนใจขึ้นนะ” ปริญพูดพลางลดดาบลง “อาจารย์ซายากะช่วยปรับให้ใช่ไหม?”

“ครับ เธอบอกว่ามันดูมีโครงสร้างดี แล้วก็ช่วยขัดเกลาให้ใช้ได้จริง” อาคิระตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

ไอรีนที่กำลังเตรียมอาหารเดินเข้ามาสมทบ พร้อมถือดาบไม้ในมือ “ลูกอาคิน ลองสู้กับแม่ดูสิ”

“กับแม่เหรอครับ?” อาคิระถามพลางยิ้มเจื่อน

“อย่าดูถูกแม่นะ” ไอรีนพูดพร้อมตั้งท่าพร้อมรบ

การซ้อมครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทายยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ไอรีนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและแม่นยำ สลับกับการโจมตีจากปริญที่แข็งแกร่งดุดัน ทำให้อาคิระต้องตั้งรับอย่างสุดกำลัง แม้เขาจะใช้เทคนิคดาบคู่ที่คิดค้นขึ้นเอง แต่ก็ยังไม่อาจเทียบกับการประสานงานที่ลงตัวของพ่อและแม่ได้

หลังจากการฝึกอันหนักหน่วงจบลง อาคิระทรุดตัวลงนั่งข้างกองไฟ หอบหายใจแรง แต่ในแววตากลับเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เขามองพ่อและแม่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสัยที่เขาเก็บไว้มาเนิ่นนาน

“พ่อครับ…แม่ครับ” อาคิระเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงลังเล “ผมสงสัยมาตลอด… ทำไมตอนนั้นถึงยอมให้ผมไปเรียนดาบล่ะครับ ทั้งๆ ที่มันน่าจะเป็นแค่ความจูนิเบียวในวัยเด็กของผมแท้ๆ”

ไอรีนยิ้มออกมาเล็กน้อยขณะจัดผมที่เปียกเหงื่อให้เข้าที่ “เพราะแม่รู้จักกับโฮชิคาวะซังพอดีน่ะสิ เธอเป็นคนที่แม่ไว้ใจได้ แล้วก็คิดว่า…จะลองให้ลูกไปเรียนกับเธอดู รู้ไหม ตอนนั้นลับหลังลูก เธอชมลูกใหญ่เลยนะ”

อาคิระเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ชมผมเหรอครับ? ทั้งๆ ที่เซนเซเข้มงวดกับผมมากจนผมแทบจะร้องไห้ทุกครั้งที่ฝึก โดยเฉพาะวิชาดาบดาวที่ผมคิดสนุกๆ ขึ้นมา เธอกลับสอนมันอย่างจริงจังจนผมเองยังแปลกใจ แต่ของคนอื่นกลับถูกต่อว่าซะจนหมดกำลังใจ…”

“ก็อาจจะเป็นเพราะเธอเห็นแววบางอย่างในตัวลูกก็ได้นะ” ไอรีนพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ดวงตาเป็นประกายแห่งความภูมิใจ “แม่ว่าบางที…เธอคงรู้ว่าลูกมีความตั้งใจจริง และเธอก็อยากให้มันผลิบานออกมา”

อาคิระยิ้มบางๆ แม้จะดีใจ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อ “แต่แม่ครับ… ทำไมเราถึงยังฝึกดาบกันอยู่ล่ะครับ? ในเมื่อโลกนี้สู้กันด้วยปืน รถถัง หรือนิวเคลียร์กันไปหมดแล้ว การฝึกดาบมันดูเหมือนไม่จำเป็นเลย…”

ปริญที่เงียบฟังอยู่นาน หยิบกิ่งไม้เล็กๆ ขึ้นมาเขี่ยกองไฟก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสุขุม “สิ่งที่เราสอนไม่ใช่เพื่อให้ลูกไปประหัตประหารใครหรอก อาคิระ… แต่มันคือวิชาที่ปกป้องตัวลูกเอง”

“ปกป้องตัวเอง…” อาคิระพึมพำอย่างสงสัย

ปริญมองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยนแต่แฝงความจริงจังและหยิบกิ่งไม้เล็กๆที่ติดไฟนั้นขึ้นมา “ลองคิดดูสิ ถ้าลูกฝึกปืน แต่วันหนึ่งปืนขัดข้อง หรือกระสุนหมด ลูกจะทำยังไง? กลับกัน ถ้าลูกไม่มีดาบ ลูกก็อาจจะมีท่อนไม้ หรืออย่างเลวร้ายที่สุด ลูกก็ยังมีแขนของตัวเองเป็นอาวุธ สิ่งที่เราสอนคือการให้ลูกยืนหยัดได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าลูกจะมีอะไรอยู่ในมือหรือไม่ก็ตาม”

คำพูดของปริญทำให้อาคิระนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ผมไม่เคยมองแบบนั้นมาก่อนเลยครับ… แต่ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับพ่อ”

ไอรีนยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายของลูกชาย เธอยื่นผ้าขนหนูส่งให้อาคิระ “การฝึกดาบไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่มันเป็นการขัดเกลาจิตใจด้วยนะลูก แม่เชื่อว่า…วันหนึ่งลูกจะเข้าใจมากกว่านี้”

อาคิระรับผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อ เขามองพ่อและแม่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นที่ยากจะบรรยาย ก่อนจะพูดติดตลก “แต่คราวหน้าขอซ้อมเบากว่านี้หน่อยนะครับ ไม่งั้นผมคงได้ลงไปนอนแผ่กับพื้นจริงๆ แน่”

เสียงหัวเราะของไอรีนและปริญดังขึ้นเบาๆ ใต้แสงดาว การพูดคุยครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสนทนา แต่เป็นการเติมเต็มความเข้าใจและสายใยระหว่างครอบครัวที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น…

ตกค่ำ เขาตัดสินใจเล่าให้พ่อกับแม่ฟังถึงอีกความกังวลที่กวนใจเขาหนักมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลังมานี้

“พ่อครับ แม่ครับ ผมอยากเล่าอะไรบางอย่าง… ช่วงนี้ผมได้ยินเสียงแปลก ๆ เหมือนเสียงกระจกร้าว หรือไม่ก็เสียงใครกระซิบเรียกชื่อผม มันเกิดขึ้นบ่อยจนผมเริ่มคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

ไอรีนที่กำลังเติมชาในแก้วของปริญชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าของเธอซีดลงเล็กน้อย แต่พยายามปกปิดไว้

“อาจจะเป็นแค่จินตนาการของลูกเองก็ได้นะ” ปริญพูดพลางยิ้มบาง ๆ

“แต่เสียงมันชัดเจนมากนะครับ เหมือนมันกำลังพยายามบอกอะไรผม…” อาคิระพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อาคิน” ไอรีนวางมือบนไหล่ลูกชาย สายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่แฝงความกังวลบางอย่าง “ไม่ต้องคิดมากไปหรอกลูก ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน”

คำตอบนั้นทำให้อาคิระรู้สึกค้างคาใจ แม้เขาจะไม่ได้ถามต่อ แต่ความสงสัยก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

หลังจากนั้น พ่อแม่เปรยถึงสิ่งที่พวกเขาฝึกสอน “จำไว้นะลูก สิ่งที่เราสอนวันนี้ อาจจะมีความหมายในอนาคต” ปริญพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่หนักแน่น

อาคิระพยักหน้าช้า ๆ เขามองแสงไฟจากกองไฟที่ลุกโชนอยู่ตรงหน้า ความอบอุ่นจากครอบครัวทำให้เขารู้สึกปลอดภัย แต่ความลับที่พ่อแม่ดูเหมือนจะปิดบังไว้ กลับทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาเจออาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่านี้

เมื่อแสงจันทร์เริ่มทอประกายเหนือยอดไม้ อาคิระนอนลงในเต็นท์ ดวงตาที่กำลังจะปิดลงยังคงนึกถึงเสียงกระจกร้าวที่ดังสะท้อนอยู่ในหัว ความเงียบงันของป่ายามค่ำคืนไม่ได้ทำให้เขาสงบลง แต่มันกลับเติมเต็มความรู้สึกว่า อะไรบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลง… และมันอาจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่พ่อแม่บอกไว้

บทที่ 1 จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา ตอนที่ 5 - 6

บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา

ตอนที่ 5: เงาแห่งความฝัน

แสงจันทร์ลอดผ่านผ้าผืนบางของเต็นท์ อาบภายในด้วยแสงสีเงินจาง ๆ อาคิระนอนอยู่บนแผ่นรองนอน จิตใจว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าจากกิจกรรมกลางแจ้ง แต่ความคิดที่วิ่งวนทำให้เขาหลับไม่สนิท

ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ห้วงฝัน ฝันที่เริ่มต้นด้วยภาพเงาสะท้อนในกระจกใส เงานั้นไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นภาพของชายหนุ่มอีกคนที่ดูคล้ายคลึงกับเขา แต่กลับแตกต่างในทุกแง่มุม ทันใดนั้น กระจกแตกเป็นเสี่ยง ๆ เสียงแตกดังก้องกังวาน เศษกระจกที่คมกริบลอยกระจัดกระจายออกไป

ทันทีที่กระจกแตก ร่างของอาคิระเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความว่างเปล่า เขาร่วงหล่นลงไปในหลุมลึกมืดดำที่ไร้จุดสิ้นสุด ลมเย็นพัดผ่านหน้าเขา พร้อมเสียงสะท้อนของคำพูดที่เขาจับใจความไม่ได้ แต่มันกลับฟังดูคุ้นเคยและน่ากลัวในคราวเดียว

ท่ามกลางความมืด ร่างชายคนหนึ่งปรากฏขึ้น ชายคนนั้นยืนหยัดอยู่กลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและร่องรอยการทำลายล้าง เสื้อผ้าของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด ใบหน้าที่บึ้งตึงสะท้อนถึงความเจ็บปวดและความโกรธแค้น

เบื้องหลังของชายคนนั้น มีสัญลักษณ์ที่ดูแปลกตา มันเป็นปลาสองตัวที่หมุนวนรอบกัน ตัวหนึ่งสีดำ อีกตัวสีขาว ถ้ารวมกันจะได้สัญลักษณ์คล้ายเซน เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ด้านหลังยิ่งขับให้ภาพนั้นดูลึกลับและน่าขนลุก

“ข้าทำทุกสิ่งเพื่อโลกใบนี้…เพื่อคนที่ข้าเคยรัก แต่ทำไมพวกมันถึงตอบแทนข้าเช่นนี้” เสียงของชายคนนั้นดังก้องไปทั่วหลุมลึก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคับแค้นและสิ้นหวัง

“ข้าจะกลับมา…เพื่อทวงความยุติธรรมให้เอเลนาร์ และทุกคนที่ข้าสูญเสียไป แม้ว่ามือของข้าจะต้องเปื้อนเลือดมากกว่านี้” ชายคนนั้นพูดพร้อมสายตาที่มุ่งมั่น

ก่อนที่ภาพจะจางหาย ชายคนนั้นหันมามองตรงมายังอาคิระ ดวงตาที่เหมือนเปลวไฟลุกโชนเต็มไปด้วยความเศร้าและหวัง “แด่ผู้ที่จะเปิดโปงความจริง…ข้าหวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นเจ้า ลูกของข้า”

คำว่า ลูกของข้า ดังก้องในหัวของอาคิระ เขาสะดุ้งตื่นขึ้น ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นชื้น แม้ในเต็นท์จะเงียบสงบ แต่หัวใจของเขากลับเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง

วันจันทร์ ซึ่งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ครอบครัววัฒนกุลกลับมาถึงบ้านในช่วงสาย หลังจากจัดเก็บสัมภาระและพักผ่อน ทุกคนก็มานั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารกลางวัน

บนโต๊ะเต็มไปด้วยเมนูเรียบง่าย ผัดกะเพราไก่ไข่ดาว แกงจืดเต้าหู้หมูสับ และยำวุ้นเส้นที่แม่ของเขาทำอย่างตั้งใจ บรรยากาศดูสงบ แต่ในใจของอาคิระกลับเต็มไปด้วยคำถาม

“แม่ครับ…” อาคิระพูดขึ้นในระหว่างมื้ออาหาร

“มีอะไรเหรอลูก?” ไอรีนหันมามองด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อคืนผมฝันแปลก ๆ …” เขาเริ่มเล่าเรื่องกระจกที่แตก หลุมลึกมืดดำ และชายปริศนาที่พูดคำว่า ลูกของข้า ออกมา

ขณะที่เล่า เขาสังเกตเห็นว่าแม่หยุดมือจากการตักแกงจืด เธอนิ่งไปเล็กน้อย สีหน้าดูซีดลง แต่ยังพยายามคงความสงบ

“บางทีอาจเป็นแค่ความฝันธรรมดาก็ได้นะลูก” ปริญพูดแทรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“แต่ฝันนี้มันชัดเจนมาก เหมือนจริงจนผมคิดว่ามันอาจจะมีความหมายอะไรบางอย่าง” อาคิระพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“จิตใต้สำนึกของลูกอาจเล่นตลกก็ได้นะ” ไอรีนพูดพลางยิ้มบาง ๆ “อย่าคิดมากไปเลยลูก”

อาคิระพยักหน้ารับ แม้คำพูดของพ่อแม่จะดูน่าเชื่อถือ แต่เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่พวกเขาไม่พูดออกมา แววตาของแม่แฝงความกังวล และพ่อก็หลบสายตาเมื่อพูดจบ

หลังอาหารกลางวัน อาคิระนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องนั่งเล่น ภาพในฝันยังคงวนเวียนในหัว เขาตัดสินใจถามพ่อเรื่องที่ค้างคาใจ

“พ่อครับ…พ่อแท้ ๆ ของผมอยู่ที่ไหนเหรอ?”

ปริญที่กำลังอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นมองลูกชาย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

“เขาอยู่ในที่ไกลแสนไกล… ตอนนี้เรายังติดต่อไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ เรากำลังพยายามหาทางติดต่อเขาอยู่” ปริญตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ

“หมายความว่ายังไงครับ?” อาคิระถามต่อ

“ไว้ถึงเวลาที่เหมาะสม ลูกจะเข้าใจทุกอย่างเอง” พ่อตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ทิ้งให้เขาจมอยู่กับความสงสัย

คืนนั้น อาคิระหยิบสมุดโน้ตออกมา เขียนรายละเอียดของความฝันอย่างละเอียด ความคิดที่วนเวียนในหัวของเขาคือคำพูดที่ชายปริศนาพูดในฝัน

“ลูกของข้า… เขาคือพ่อของเราใช่ไหม?” อาคิระพึมพำกับตัวเอง

เขาเก็บสมุดไว้ใต้หมอน ก่อนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แม้ดวงตาจะหลับลง แต่หัวใจของเขารู้ดีว่าความจริงบางอย่างกำลังรอคอยเขาอยู่ในเงามืดของอนาคต…

—————————————

บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา

ตอนที่ 6: ความจริงที่เริ่มเปิดเผย

เสียงนกร้องคลอมากับลมเย็นที่พัดผ่านระเบียงหลังบ้านในเช้าวันเสาร์ อาคิระนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ยาวใต้ชายคา สมุดโน้ตดนตรีและกระดาษเปล่าสำหรับจดไอเดียเพลงวางอยู่ตรงหน้า เขากำลังครุ่นคิดหาทำนองสำหรับการบ้านวิชาดนตรีที่ต้องส่งในสัปดาห์หน้า งานที่ได้รับคือการแต่งเพลงสั้น ๆ พร้อมโน้ตและเนื้อร้อง แต่สมองของเขากลับว่างเปล่า ไม่สามารถรวบรวมความคิดให้เป็นรูปเป็นร่างได้

เขาเคาะปากกากับขอบโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะพลางฮัมทำนองในใจ แต่ความคิดของเขาก็พลันหลุดลอยไปเมื่อได้ยินเสียงกระซิบเบา ๆ ลอยมากับสายลม

“อาคิน…”

เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงลมพัดผ่าน แต่กลับชัดเจนพอที่เขาจะสะดุ้งเงยหน้ามองรอบตัว ไม่มีใครอยู่แถวนั้นนอกจากตัวเขาเองและสายลมที่พัดใบไม้ไหวเบา ๆ

“คิดไปเองเหรอ?” เขาพึมพำ ก่อนกลับมามองกระดาษตรงหน้าอีกครั้ง

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หลังบ้าน พ่อของเขา ปริญ เดินมาพร้อมกับแม่ ไอรีน ทั้งสองถือถ้วยกาแฟและสมุดบันทึกเล่มเก่าในมือ สีหน้าของพวกเขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ไอรีนหันไปกระซิบกับปริญเบา ๆ แต่แม้จะเบาแค่ไหน อาคิระก็ยังจับคำว่า “เซเลส” และ “อาร์เคเดีย” ได้อย่างเลือนราง

“พ่อครับ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?” อาคิระถามพลางเงยหน้าขึ้นมอง

ทั้งสองคนหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนปริญจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไม่มีอะไรหรอกลูก แค่คุยกันเรื่องงานนิดหน่อย”

“อืม…” อาคิระพึมพำในลำคอ แม้จะรู้สึกสงสัย แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ซักไซ้ต่อ

ไม่นานนัก ไอรีนเดินเข้ามาใกล้ พร้อมถือกล่องไม้ใบเล็กที่ดูเก่าแก่ลวดลายสลักประณีต เธอวางมันลงตรงหน้าอาคิระ แล้วนั่งลงข้าง ๆ

“ลูกอาคิน แม่มีบางอย่างอยากให้ลูก” ไอรีนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

อาคิระจ้องมองกล่องไม้ใบเล็กด้วยความประหลาดใจ เมื่อไอรีนเปิดฝาออก เผยให้เห็นสร้อยคอเรียบง่ายที่มีอัญมณีสีฟ้าตรงกลาง มันเปล่งแสงอ่อน ๆ ราวกับมีชีวิต

“สร้อยนี่คืออะไรครับ?” อาคิระถาม สายตาจับจ้องที่มันราวกับถูกสะกด

“มันเป็นสิ่งสำคัญที่แม่เก็บไว้ให้ลูก” ไอรีนตอบ สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความกังวล “แม่อยากให้ลูกเก็บมันไว้ใกล้ตัวเสมอ”

อาคิระรับสร้อยมาถือไว้ แสงสีฟ้าจากอัญมณีทำให้เขารู้สึกเหมือนหัวใจเต้นตามจังหวะของมัน

“ทำไมถึงสำคัญขนาดนั้นครับ?”

ปริญเดินมานั่งอีกฝั่งของโต๊ะ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม “บางครั้งเราอาจไม่รู้ว่าบางสิ่งมีความหมายแค่ไหน จนกว่าจะถึงเวลา แต่พ่ออยากให้ลูกเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พ่อกับแม่ทำทั้งหมด ก็เพื่อให้ลูกพร้อมสำหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” อาคิระถาม แต่พ่อกลับมองเขาด้วยสายตาแน่วแน่ โดยไม่ตอบอะไรเพิ่มเติม

อาคิระหันไปมองแม่ ไอรีนเพียงพยักหน้า “เก็บมันไว้ให้ดีนะลูก มันจะช่วยลูกได้เมื่อถึงเวลา”

ความคาใจยังคงวนเวียนในหัวของเขา แต่เขาพยักหน้าเบา ๆ และเก็บสร้อยไว้ในกระเป๋าเสื้อ ไอรีนยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนก่อนเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับปริญ

เมื่อตกเย็น อาคิระนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง เขาหยิบสร้อยออกมามองอีกครั้ง คราวนี้อัญมณีสีฟ้าเปล่งแสงจาง ๆ และเขาเริ่มเห็นภาพลาง ๆ ในหัว ภาพของวิหารเก่าแก่ท่ามกลางหิมะ บรรยากาศหนาวเย็นจนเขารู้สึกถึงความเย็นจับขั้วหัวใจ ลวดลายของดวงดาวปรากฏขึ้นในจินตนาการ แต่ทุกอย่างมัวหม่นจนเขาไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

“นี่มันอะไรกันแน่…” เขาพึมพำ ก่อนจะสะบัดหัวเพื่อปลดตัวเองออกจากภวังค์

อาคิระวางสร้อยไว้บนโต๊ะแล้วถอนหายใจหนัก ๆ เขารู้สึกได้ว่าชีวิตธรรมดาของเขาอาจกำลังจะเปลี่ยนไปในแบบที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน…

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!