NovelToon NovelToon

(Daybreak) Morning Is Broken #ชั่วโมงหลงรัก

1st morning x 01| dead or alive

01

 นาฬิกาของผมมันหยุดเดิน

ตั้งแต่มีคุณเข้ามาในชีวิตแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

คุณเกลียดตอนเช้าหรือเปล่า? เกลียดตอนที่อากาศหนาวเบาบางของลมกลางคืนค่อยๆจางลง

เกลียดตอนที่แสงอ่อนๆของดวงอาทิตย์ส่องกระทบต้นแขนจากรูผ้าม่านที่ปิดไม่สนิท

เกลียด...

ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอคนที่นอนข้างกันอีกต่อไป

เกลียด...ทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นมาตลอด

แต่กลับไม่สามารถทำความรู้สึกให้ชินได้

“ลม…”

ตัวของผมน่ะ เกลียดมันทั้งหมดเลย

ครืดด ครืดด!

ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงอันแสนว่างเปล่าหลังเดิม

เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอยู่ข้างโคมไฟ

มองสายเรียกเข้าที่โทรปลุกช้ากว่าเสมอ

เหลือบมองบานประตูห้องนอนที่ปิดสนิทพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกดรับสายดังกล่าวลงไป

[ตื่นหรือยังเนี่ยมึง]

“อืม”

มันเป็นคำถามเดิมที่ถูกถามซ้ำในทุกๆเช้า

แล้วผมก็ตอบรับไปอย่างเดิมเหมือนอย่างในทุกๆเช้า

ราวกับทั้งผมและปลายสายต่างรู้กันดีว่าต่อให้ผมจะเผลอตื่นก่อนการโทรปลุกบ่อยเท่าไหร่

ก็จะเป็นมันที่ยังคงเลือกจะโทรปลุกผมในทุกๆวัน

[เจอกันอน. จะแดกอะไรก็ไลน์มา

เนี่ยเดี๋ยวกูต้องโทรปลุกไอ้ภาสอีก]

“ทีหลังโทรปลุกแค่ไอ้ภาสก็ได้”

[เอาเห๊อะ มีกันอยู่สามคน ก็โทรมันให้หมดนี่แหละ]

รู้ดีว่าเช้าของผมนั้นแตกสลายมาเนิ่นนานแล้ว

เป็นเช้าพังๆที่ตื่นขึ้นมาเจอเศษซากอันไม่มีชิ้นดี

ก่อนผมจะประกอบมันขึ้นมาใหม่เพื่อรอให้มันพังทลายอีกครั้งในเช้าต่อมา…

‘ตื่นมาทำห่าไรตั้งแต่เช้า’

เสียงที่เหมือนกันจากคนที่หน้าตาเหมือนกันดังสะท้อนผ่านบานกระจกห้องน้ำ

ผมหยิบยาสีฟันขึ้นมาบีบใส่แปรงอย่างไม่คิดจะใส่ใจ

เปิดก๊อกให้ของเหลวด้านในหลังลงตามแรงโน้มถ่วง วักของเหลวที่ว่าเข้าใบหน้าให้สดชื่นแล้วจึงเริ่มตอบอีกฝ่ายกลับไป

“ไปเรียน ใครจะสายเหมือนมึง”

‘คนหล่อต้องการการพักผ่อนนะฝุ่น’

“มึงก็รู้กูนอนไม่ค่อยหลับ”

‘เห้อ อยากคุยเรื่องอาการมึงต่อ

แต่กูต้องไปนอนแล้ว นี่ตื่นมาขี้เฉยๆ ไว้คุย’

ไม่ทันจะได้เอ่ยคำร่ำลา ภาพที่สะท้อนตรงหน้าก็เหลือเพียงเงาของผมคนเดียว

ผมไม่ได้ใส่ใจถึงการหายไปของอีกฝ่ายนอกจากแปรงสีฟันด้ามสีน้ำเงินที่วางข้างกันอยู่ในแก้วใส

ผมรู้ดีว่าควรจะทิ้งของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาไป อื้ม เคยทำแล้ว...ไม่ใช่ว่าไม่เคย

หากสุดท้ายทุกอย่างก็จบลงด้วยการที่สิ่งของเหล่านั้นถูกย้ายกลับมาอยู่จุดเดิม

ผมใจไม่แข็งพอที่จะทิ้งทุกๆอย่างเกี่ยวกับเขา

ไม่เคยทำได้เลย...

องค์การนักศึกษาในวันนี้ดูครึกครื้นกว่าทุกวัน

แน่นอนว่าสาเหตุย่อมมาจากกิจกรรมประจำปีอย่างงานเปิดค่ายที่วนมาอีกครั้ง องค์การนักศึกษาของมหาลัยผมขึ้นชื่อเรื่องการจัดค่ายเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับมออื่นๆ

ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่อยู่มาก็ยังเข้าร่วมค่ายอาสาของที่นี่ไม่เคยครบซักทีเพราะมันเยอะจริงๆ

“พายุ เหมือนน้องฝ่ายพายุจะมากันเยอะแล้ว

ไปฝ่ายเลยก็ได้”

ผมพยักหน้ารับใบเตยที่ชี้นิ้วไปยังตึกด้านหลังซึ่งเป็นแหล่งประชุมของฝ่ายสถานที่

วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศค่ายปันฝันขององค์การเรา อันที่จริงยังมีค่ายอีกมากมายให้เลือกเข้าร่วม

แต่ผมกับพวกไอ้กฤตและไอ้ภาสก็เลือกที่จะทำค่ายปันฝันต่อเป็นปีที่สองเพราะอยากส่งต่อความสุขให้เด็กๆ

ภาสเป็นหัวหน้าฝ่าย ส่วนผมเป็นรอง

ในขณะที่กฤตถึงแม้จะอยู่คนละฝ่ายอย่างประสานงาน

แต่ด้วยเนื้องานก็ทำให้เจ้าตัวต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับฝ่ายผมบ่อยๆ

ภาสขึ้นพูดแนะนำตัวรวมถึงค่อยๆเล่ารายละเอียดของฝ่ายเมื่อเวลามาถึง

ผมยืนข้างๆ กวาดสายตามองไปรอบๆรอจังหวะให้เพื่อนสนิทส่งไมค์มา

ทว่ามันเป็นตอนนั้นเองที่สายตาของผมสบประสานเข้ากับสายตาของใครบางคนที่นั่งอยู่ด้านหลังสุด

‘ไม่ต้องมองหาก็เจอผมเลยหรอ’

ร่างสูงโปร่งที่ไม่ได้อ้วนขึ้นหรือผอมลงไปจากเดิม

ทรงผมที่ยาวปรกหน้าผากเล็กน้อยคงเพราะไม่มีใครคอยบ่นให้ไปตัด

รวมถึงใบหน้านิ่งเรียบที่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนก็คงเหมารวมไปว่าผู้ชายคนนี้ไม่น่าคบเอาซะเลย

‘ครับ

ยุเห็นลมก่อนคนอื่นเสมอนั่นแหละ’

‘ก็ผมตัวสูง’

‘ไม่เกี่ยวซักหน่อย เพราะยุสนใจลมต่างหาก’

เขาไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย

ไม่สิ...เขาเหมือนเดิมทุกอย่าง ดวงตา ริมฝีปาก สันจมูก

วิธีการยกยิ้มที่ถึงแม้จะเห็นได้ยาก ทว่าก็เป็นเขาคนเดิมเช่นเดียวกับเมื่อสองปีก่อน

“ยุ...พายุ”

ลมหนาว...

ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน

“พายุ...ไอ้ยุ เห้ย!”

สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกภาสตบเบาๆที่ไหล่ ถึงเวลาที่ผมต้องพูดกล่าวอะไรซักอย่างในฐานะรองประธานฝ่ายสถานที่

แต่ผมไม่รู้เลย ผมทำอะไรไม่ถูก ในหัวผมมีเพียงหน้าเขา นัยน์ตาผมจ้องเพียงหน้าเขา

เขาที่เราไม่ได้เฉียดเข้าใกล้กันมาเกือบสามปี

“...ขอบคุณที่มาร่วมฝ่ายสถานที่กับเรา”

เขาที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว

หรือบางที...อาจเพราะระยะเวลาทั้งหมดที่ผ่านมามันช่างประจวบเหมาะให้เราได้คลาดกันบ่อยๆ

ประจวบเหมาะให้ชั่วโมงของเราไม่ตรงกันบ่อยๆ จริงอยู่ที่ผมรู้ว่าเขาเรียนอยู่คณะไหน

และผมก็ใช้ช่วงเวลาสามปีในการแวะเวียนเพื่อไปแอบลอบมองเขาที่นั่นบ้าง แต่ไม่เลย...

ผมไม่เจอลมหนาวเลยซักครั้ง

มันเหมือนกับว่าเขาได้ตายไปจากชีวิตผม

แล้วจู่ๆ...เขาก็กลับมา

“ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้ผมกับทุกคนได้มาเจอกัน ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้ทุกคนตัดสินใจเลือกฝ่ายสถานที่

และไม่ว่าจะเป็นอะไร ผมเชื่อมั่นว่ามันคงเป็นต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่ๆ”

ถึงแม้จะเป็นการกลับมาที่เราต่างอยู่ในสถานะพี่ค่ายเพียงแค่นั้นก็ตาม

หลังปฐมนิเทศ ทางฝ่ายของเรามีกิจกรรมให้คนที่ว่างจากภาระงานสามารถอาสาช่วยฝ่ายอาร์ตตกแต่งชั้นหนังสือสำหรับเอาไปบริจาคโรงเรียน

หากผมกลับไม่ได้สนใจกิจกรรมอะไรแม้แต่น้อย ฝีเท้าของผมก้าวไปหาใครบางคนที่กำลังลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเตรียมเดินออกไป

และดูเหมือนว่าใครบางคนที่ว่าจะรู้ตัว

เขารีบมากๆ แต่นั่นก็ไม่เท่าฝ่ามือของผมที่คว้ำแขนของเขาไว้ได้ทันพอดิบพอดีจนอีกฝ่ายหันมา

ผมมองใบหน้าแสนคิดถึงในระดับที่ใกล้มากๆ มันใกล้ในระดับที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะมีโอกาสได้มองหน้าเขาใกล้ๆอีกครั้ง

“รุ่นพี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

สรรพนามอันแสนห่างเหินทำแววตาผมวูบไหวเล็กน้อย

ผมรู้ดีว่าเขาคงอยากห่างเหินกับผมมากๆ เพราะทันทีที่เราเลิกกันเขาก็เลือกที่จะซิ่วหนีไปคณะอื่นทันที

มันไม่มีสัญญาณเตือนอะไรซักอย่าง และคงเพราะผมรักเขามากเกินไป ในวันนั้นผมจึงไม่ยอมรั้งเขาไว้

“หึ รุ่นพี่งั้นหรอ?”

ด้วยส่วนสูงและแรงที่เท่าๆกันทำให้เขาไม่ต้องขยับอะไรมากก็สะบัดมือผมออกได้สบาย

เขายังเย็นชาไม่เปลี่ยน เป็นลมหนาวที่ปราศจากความอบอุ่น

เป็นลมหนาวที่หนาวเหน็บสมดังชื่อ

“ไอ้ลม มึงรู้จักพี่พายุด้วยหรอวะ”

เด็กผู้ชายที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนของอีกฝ่ายว่าขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปมาด้วยความสงสัย

นั่นสินะ...ลมหนาวซิ่วไปแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าเขาอยู่ปีสาม เป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี

จะแปลกอะไรถ้าเพื่อนรุ่นเดียวกันจะเป็นเพื่อนที่เด็กกว่า

“อืม...แฟนเก่าน่ะ”

คำพูดดังกล่าวทำผมแปลกใจขึ้นมาไม่น้อย

แน่นอนว่าเด็กคนนั้นสตั้นท์ไปเรียบร้อย ผมคิดมาตลอดว่าลมหนาวจะไม่อยากพูดถึงผมในแง่นี้ซะอีก

แต่ไม่เลย ผมยังเป็นแฟนเก่าของเขา อย่างน้อยก็เคยได้เป็น ไม่ได้เป็นอะไรที่ไม่มีตัวตนหรือเลวร้ายกว่านั้น

อื้ม...มันทั้งดีใจแล้วก็เจ็บหัวใจชะมัด

“สรุปรุ่นพี่มีอะไร?”

“ทำไมไม่เรียกยุเหมือนเดิม”

“เพราะเลิกกันแล้ว”

ลมหนาวยังคงตรงเสมอ ตั้งแต่รู้จักกันครั้งแรก กระทั่งคบกัน

รวมไปถึงวันที่เราเลิกกัน ทุกคำพูดของลมหนาวล้วนติดแน่นอยู่ในหัวใจของผมไม่เคยจางลง

ทุกคำพูดที่รวมทั้งคำบอกรัก

แล้วก็...คำบอกลา

“ลม...”

“ไหนวันนั้นบอกว่ามึงจะไม่กลับมายุ่งกับไอ้ยุแล้วไงไอ้ลม

แล้ววันนี้มึงกลับมาทำไม! จะมาทำให้มันเจ็บมากขึ้นกว่าเดิมหรอ”

กฤตที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนตรงดิ่งเข้ามายังจุดที่ผมกับลมหนาวยืนคุยกันอยู่

ข้างๆเป็นไอ้ภาสที่คงถูกลากสอยห้อยตามมาด้วยกัน

“เชี่ยกฤต ไม่เอาน่า เรื่องมันก็นานแล้ว

มึงจะเดือดอะไรขนาดนั้นวะ”

ภาสรีบลูบแขนห้ามปรามเพื่อนรักให้ใจเย็นลงราวกับรู้ดีว่าสถานการณ์ต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

“นานแล้วไง ผลลัพธ์ที่มันทำกับไอ้ยุก็ยังคงอยู่กับไอ้ยุมาจนถึงทุกวันนี้

มันเคยรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองทำเรื่องเหี้ยๆกับเพื่อนเราไว้ขนาดไหน”

“เห้ยพี่! เป็นอะไรมากปะ

เรื่องของคนสองคนก็ให้เขาเคลียร์กันดิ อยู่ๆก็มาด่าเพื่อนผมฉอดๆ

แบบนี้เรียกเสือกแล้ว”

“มึงสิเสือก ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”

“กูก็เด็กกว่ามึงแค่หนึ่งปีล่ะโว้ย”

เด็กชายคนดังกล่าวคงเดือดแทนลมหนาวมากๆถึงพยายามจะพุ่งเข้ามาซัดปากไอ้กฤต

ส่วนทางไอ้กฤตของผมก็ไม่ยอมใครเช่นกัน โชคดีที่ผมและลมหนาวต่างล็อคแขนคนของตัวเองไว้ได้ทัน

“ลม กูว่าเราไม่ต้องทำค่ายห่านี่หรอก เข้ามามึงก็เจอแฟนเก่า

แถมยังเจอรุ่นพี่ประสาทแดก”

“ก็ลาออกไปสิวะ ไม่ต้องมาทำ

ไม่มีมึงสองคนค่ายพวกกูก็ไปต่อได้”

“ไอ้กฤต...”

คราวนี้ผมกับภาสต้องเข้าประกบเพื่อนคนเดียวในกลุ่ม

ส่ายหน้าเบาๆ รวมทั้งลูบหลังและส่งสายตาแทนข้อความว่าอย่ามีเรื่องเลย อีกฝ่ายถึงยอมเย็นลง

“ลม กูพูดจริงนะ มึงจะกลับมาทำไมวะ

มึงรู้ปะว่าไอ้เหี้ยยุเป็นหนักแค่ไหนตอนมึงทิ้งมันไปน่ะ มันป่วย แถมยัง…”

“กฤต”

ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายให้หยุดเล่าเรื่องที่กำลังจะเอ่ย

ผมรู้ดีว่าตนเองเป็นอะไร และผมก็ไม่ได้อยากให้ลมหนาวต้องมารับรู้เรื่องแบบนี้

จริงอยู่ที่ส่วนหนึ่งมันเกิดขึ้นเพราะเขา

แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกส่วนหนึ่งนั้นก็เกิดจากความอ่อนแอของผม

“ทำไมวะยุ? มันต้องรู้ดิว่าที่มันทำกับมึงแม่งทำให้มึงแย่มากๆ”

“ช่างเถอะ กูดีขึ้นแล้ว”

“มึงไม่เคยดีขึ้นพายุ”

“กฤต พอ”

“ยุ มันไม่แฟร์กับมึง”

“กูขอร้อง”

กฤตกำมือแน่นจนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายเดินปึงปังแยกออกไปเอง

ภาสที่ยืนอยู่ด้วยกันพยักหน้าเป็นรหัสลับให้ผมเคลียร์ปัญหาตรงหน้าให้เสร็จ

ก่อนเจ้าตัวจะแยกตามไปติดๆ

ผมเข้าใจดี แล้วก็ไม่โกรธที่ไอ้กฤตเป็นห่วงผม

เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มอหนึ่งยันปีสี่ มันไม่ใช่แค่เพื่อน

แต่เป็นเหมือนกับครอบครับ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยถ้ากฤตจะเป็นห่วงผมมากๆ

“กูรอด้านนอกแล้วกัน”

เด็กผู้ชายตัวเล็กตบไหล่ลมหนาวปุๆแล้วจึงแยกออกไปบ้างอย่างรู้งานบ้าง

ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงผมกับเจ้าของตำแหน่งแฟนเก่าที่แค่เจอกันครั้งแรกในรอบสามปีผมก็ดันทำเรื่องให้เขาเสียแล้ว

“ผมจะลาออก”

ไม่ผิดจากที่คาดไว้นัก ลมหนาวไม่ชอบความวุ่นวาย

ผมก็เหมือนกัน แต่เพราะการเลิกกับเขาทำให้ผมต้องหาอะไรวุ่นวายทำตลอดเพื่อลดความฟุ้งซ่าน

ผมจึงต้องฝืนทำอะไรหลายอย่างที่ไม่ใช่ตัวเอง

แต่ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อให้ลืมเขา

“ลมไม่ต้องรู้สึกผิด เรื่องมันจบไปแล้ว”

สาบานเลยว่าคำพูดของผมสวนทางกับความรู้สึกทั้งหมด

มันไม่เคยจบ ผมไม่เคยจบกับลมหนาวได้ซักครั้ง ถึงแม้อีกฝ่ายจะจบกับผมไปแสนนานแล้ว

“แล้วรุ่นพี่ล่ะ จะลืมผมได้หรือเปล่า?”

“ยุไม่เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกัน”

ผมเกลียดคำว่ารุ่นพี่นั่น เจ็บกับคำว่ารุ่นพี่นั่น

มันทั้งห่างเหินแล้วก็เย็นชา ไหนจะสีหน้านิ่งเรียบรวมถึงน้ำเสียงการพูดห้วนๆราวกับไม่เคยรู้สึกต่อกันแบบนั้น

เขาเหมือนเดิมแค่ภายนอก

ทว่าภายในไม่ใช่แม้แต่นิดเดียว

เป็นลมหนาวที่ไม่ใช่ลมหนาวของผมแม้แต่นิดเดียว

“เพราะงั้นลมอยู่ต่อไปเถอะ

อย่าทำให้ยุรู้สึกว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลมไม่ได้ทำค่ายเลย”

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะถามเขามาตลอด เป็นสิ่งที่ผมสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้

เป็นสิ่งที่ผมอยากจะเอ่ยถามตั้งแต่วันที่เขาเลือกเดินจากผมไป เป็นสิ่งที่อยากจะเอ่ยถามให้แน่ใจว่าที่ผ่านมา...

“ลมเคยรู้สึกอะไรกับยุบ้างหรือเปล่า”

ใต้ความสัมพันธ์ของเรา ผมไม่ได้รู้สึกไปเองฝ่ายเดียวใช่หรือเปล่า

“...ไหนว่าไม่มีเรื่องส่วนตัวไงครับ?”

“ก็แค่อยากรู้ ยุติดกับความรู้สึกนี้มาสามปีแล้ว”

มันเป็นความรู้สึกทั้งอาวรณ์แล้วก็อ้อนวอน

อ้อนวอนให้เขาตอบคำถามผม อ้อนวอนให้เขาบอกในสิ่งที่ผมอยากได้ยิน

อ้อนวอนให้เขาพูดว่าที่ผ่านมา ถึงเรื่องของเราจะจบไปแล้ว แต่อย่างน้อยเราก็เคยรักกัน

แต่อย่างน้อย ทั้งหมดที่ทำด้วยกันก็เพราะเรารักกัน

“ไม่เลย”

แต่สุดท้ายก็เป็นผมนั่นแหละ

ที่ยังคงจมปรักอยู่กับวันนั้น

“ผมไม่เคยรักคุณเลย...พายุ”

เป็นผมอีกนั่นแหละ ที่ไม่ยอมพาตัวเองออกมาจากความทรงจำในวันนั้น

 

 

 

 

 

tbc.

1st morning x 02| dead or alive

“มึงว่ามันจะเรียกฝนได้จริงๆหรอวะ”

ผมบ่นกระปอดกระแปดกับวาฬหลังเราปลอมตัวเข้ามายืนอยู่ในงานเปิดหมวกที่จัดโดยกองประกวดดาวเดือน

วันนี้เป็นวันศุกร์แห่งชาติที่นักศึกษาต่างเลิกเรียนพอดี

ทุกคนจึงมีเวลาแวะมาดูดนตรีสดของเหล่าคนหน้าตาดี

แต่ขอโทษทีนะที่ทุกคนคงต้องเสียใจเพราะบนเวทีนั่นไม่มีกู

“เสียดายตังหรือไง”

“เสียตังไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้!”

เห็นระดับงานแล้วตามันร้อน! พอเป็นกองประกวดจัดงาน องค์การนักศึกษาแม่งก็ดันให้งบมากมายมหาศาลอย่างกับจะเอาไปจัดเลือกตั้ง

ลองเป็นชมรมยิงธนูของกูดิ จัดได้อย่างมากก็หน้าถนนคนเดิน

ไม่มีโอกาสเหมาลานกิจกรรมทำอะไรแบบนี้ร้อก

“แล้วหนุ่มฝนตกจะมาอยู่ใช่มั้ย

กูเห็นทวิตเขาดูยุ่งๆช่วงนี้”

“มาแน่นอน กูกลายเป็นลูกค้าวีไอพีไปแล้ว

จ่ายเร็ว จ่ายไว จ่ายไม่อั้น”

ตอบด้วยน้ำเสียงแข็งขัน เพราะเมื่อหลายวันก่อนผมทักไปดีลกับไอ้หมอนั่นเสร็จสรรพว่าให้มาเรียกฝนช่วงสี่โมงถึงหกโมงเย็น

เอาขั้นแรงสุดเลย น้ำท่วมได้ยิ่งดี เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับป๋า ขอแค่ให้ไอ้ห่าภาสหมดโอกาสโชว์ความหล่อก็พอ

“ดูเป็นคนขี้อิจฉาเนาะ”

“ขอร้องเลยวาฬ

คนที่หล่อจนสาวต้องเหลียวหลังอย่างกูอะนะที่ขี้อิจ...”

“ใส่แว่นดำทำไมวะยุ แมสด้วย มึงไม่สบายอ่อ”

ไม่ทันจะได้เถียงกับวาฬจบ เพื่อนสาวคนสวยก็เดินมาทักจากด้านหลังตัดบทสนทนา

“กูเป็นรองเดือนมหาลัยนะเผื่อมึงลืม

เดี๋ยวคนมาขอถ่ายรูปกูจะกลายเป็นจุดสนใจ แล้วพอกูเป็นจุดสนใจตรงที่กูยืนอยู่ก็จะมีคนจับตามอง

ถึงตอนนั้นไอ้ภาสคงรู้แน่ๆว่ากูมาแก้แค้นมัน”

“เป็นตุเป็นตะเลยจ้าพายุเต่าคะนอง

อะไรทำให้มึงโตมาเป็นคนแบบนี้คะ”

“มึงไม่เข้าใจหรอกว่าการเกิดมาเบ้าหน้าฟ้าประทานมันลำบากแค่ไหน”

“อยากเอาตีนลูบเบ้าหน้าฟ้าประทานของมึงจัง”

“พี่คะ หนูขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ย”

“เห็นมั้ย ความหล่อเป็นบาปแท้ๆ”

ผมถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

ก่อนจะหันหน้าไปทางน้องผู้หญิงสองคนที่เดินเหนียมๆเข้ามาทักทาย

แมสบนหน้าถูกถอดออกพร้อมอมยิ้มถามไปว่า...

“ได้ครับ แต่แปปเดียวนะพี่ต้องรีบไป”

“อ๋อ หนูหมายถึงถ่ายกับพี่เอิ๊ตน่ะค่ะ

พอดีหนูเป็นเอฟซีพี่เอิ๊ต”

เพล้ง!

ชาแปล้บเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาด คุณเธอเดินผ่านกูไปอย่างไม่ใยดี

ทิ้งให้ความกระดากอายร่วงกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ไอ้วาฬที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ต้องตบไหล่ปุๆให้กำลังใจ

“ขอโทษนะคะ พอดีความสวยเป็นบาปอะค่ะ”

สัด!

แยกเขี้ยวใส่เจ้าของผมหน้าม้าที่กำลังสะบัดมือเป็นพัดเพื่อไล่ความฮอตของตนเองออกไป

เออเอิ๊ต...มึงสวย สวยที่สุดในกลุ่มแล้วครับ ทั้งชายทั้งหญิงล้วนตกเป็นเป้าหมายมึงหมดเลยครับ

“แล้วไอ้ลีโอไปไหน”

“รับงานวาดรูปจ้า”

“อะไรนะ

มันเป็นคนบอกว่าจะมาดูความฉิบหายของไอ้เวนภาสด้วยกันแท้ๆ”

“เงินกับเพื่อน เป็นกูก็เลือกเงิน”

“ใจหมาจริงๆ”

“หมายถึงไอ้ภาส?”

“มึงเนี่ยแหละ”

ฟาย ชงมาให้เขาด่าตัวเองแท้ๆ

“แล้วไอ้พูห์?” วาฬถามบ้าง

“ให้ทาย”

“นอน”

ผมกับเพื่อนรักตอบเป็นเสียงเดียวกัน

ก่อนจะหันไปตามทิศที่เอิ๊ตชี้นิ้วเพื่อพบกับมนุษย์หมีพูห์กำลังนอนตายคาไม้หินอ่อนหนึ่งอัตรา

อืม...กูควรตกใจเวลาที่มึงตื่นมากกว่าสินะ

“แล้วมึงรู้ไหมว่าหนุ่มฝนตกคือคนไหน” ไอ้เอิ๊ตว่าพลางชโงกหน้าดูรอบๆ

“ไม่รู้ มันว่ามันเป็น Anonymous”

“แสดงว่าน่าจะอยู่ในงานแล้ว เพราะอีกสิบนาทีจะสี่โมงเย็น

เราควรตามหาปะ”

“อย่าเลย เขาไม่อยากเปิดเผยตัวก็อย่าไปตามหาเขา

ปล่อยเขาทำงานให้เราก็พอ”

“เป็นผัวกูมั้ยวาฬ พร้อมมาก ณ จุดนี้ แสนดี

อ่อนโยน ไม่เหมือนอีหน้าหมาพายุกับลีโอ”

“รู้สึกว่าคนที่เกลียดกูจะไม่ได้มีแค่ไอ้ภาสแล้วเนาะ”

ยกนิ้วกลางใส่คนที่ด่ากูไม่หยุดตั้งแต่เข้ามาในงาน

ว่าจะเถียงกับไอ้เอิ๊ตต่ออีกซักสองสามประโยค ทว่าพอมองขึ้นไปบนฟ้า อารมณ์หัวร้อนเมื่อครู่ก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อสภาพอากาศด้านบนมืดครึ้มมาแต่ไกล

อีกหน่อยบริเวณที่ผมยืนอยู่ก็คงเปียกชุ่มไปด้วยฝน ความสุขในอกตีกันจนล้นเอ่อ

ว้ายยย ไอ้ภาส งานกร่อยแน่มึง

“เชี่ย หนุ่มฝนตกทำงานแล้ว”

เอิ๊ตอุทานออกมาเมื่อหยดน้ำจากบนฟ้าเริ่มหยดแหมะลงบนศีรษะของพวกเรา

สายลมแรงพัดปลิวว่อน

ผู้คนในงานเริ่มยืนอยู่ไม่ติดกับที่เมื่อเมฆดำกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ โห

มองขึ้นไปกูนึกว่าเฮอรินเคนจะเข้าประเทศไทย แต่ไม่เป็นไร นายทำดีมากพ่อหนุ่มฝนตก

จบงานนี้ป๋าจะตบรางวัลเพิ่มให้อย่างงาม

“เราไปหลบในอาคารรอเถอะ”

“ได้เสมอวาฬเพื่อนรัก”

ตอบรับอย่างสบายอารมณ์

พร้อมกอดคอวาฬเพื่อนรักกับเอิ๊ตเพื่อนรักให้เข้าไปยังอาคารพละศึกษาด้านในด้วยกัน

เวลานี้คนที่พกร่มติดมือมาเริ่มกางหวังจะดูดนตรีสดกลางสายฝน แต่ขอร้องเลยคุณ

ฝนไม่ตกแค่นี้แน่นอนคร้าบ กูจ้างหมดไปเป็นหมื่นคร้าบ ตกยันหว่าง

ชาติหน้าเกิดเป็นหมาก็ยังตกอยู่!

“โอ๊ย!”

เป็นตอนนั้นเองที่ผมเผลอเดินชนเข้ากับใครบางคนเพราะมัวแต่มีความสุขที่สามารถแก้แค้นไอ้ภาสได้สำเร็จ

อีกฝ่ายเป็นผู้ชายตัวขาวจนเกือบซีด

ในมือถือร่มใสที่บังเอิญหลุดออกจากมือเพราะโดนคนซุ่มซ่ามอย่างกูกระแทกเข้าให้อย่างจัง

บนกระเป๋ามีตุ๊กตาไล่ฝนน่ารักน่าชังห้อยอยู่ และที่แปลกก็คือ...

กูสังเกตเขามากมายขนาดนั้นทำไมก่อน

“ขอโทษๆ เป็นไรหรือเปล่า”

“ไม่ครับ ขอบ...คุณ…”

คำพูดของอีกฝ่ายหยุดชะงักเมื่อเงยหน้ามองผม

ชะงักเหมือนติดสตั้นอะ แย่ว่ะ...เขาคงช็อคจริงๆ เพราะตั้งแต่เกิดมา คนหน้าตาดีอย่างผมก็มักถูกคนมองด้วยอาการตกตะลึงแบบนั้นเสมอ

คือบางทีก็แอบคิดว่าตนเองใช้ชีวิตลำบาก ไม่รู้จะทำยังไงให้มันหล่อน้อยลงกว่านี้

เฮ้อ...

“ยุ เดี๋ยวกูไปเรียกไอ้พูห์ก่อนนะ

เดี๋ยวแม่งจะเปียกฝนเอา”

“โอเค เจอกันในตึ...”

กำลังจะหันไปตอบเอิ๊ตเพื่อนรัก แต่โลกของผมก็ต้องหยุดหมุนฉับพลันเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพบว่าไม่มีอีกแล้วเมฆครึ้ม

ไม่มีอีกแล้วหยดฝนพรำ ลมแรงๆห่าอะไรก็ไม่มี หยดน้ำเปียกๆที่พรมลงบนหน้ากูเมื่อตะกี้ก็แห้งเหือดไปเป็นที่เรียบร้อย

“เหี้ย! ทำไมเป็นแบบนี้วะ”

“กูไม่รู้” วาฬส่ายหน้าหงึกงักด้วยความงุนงงไม่ต่างกัน

ผมละแขนที่กำลังกอดคอเพื่อนสนิททั้งสองออก

ยกกวาดขึ้นไปบนฟ้ายึกๆเหมือนคนบ้าหวังว่าจะได้สัมผัสกับสายฝนอีกครั้ง แต่ไม่มี

ไม่มีสายฝน ไม่มีเมฆครึ้ม ไม่มีเฮอริเคน

ไม่มีเหี้ยอะไรทั้งนั้น!

“เอิ๊ต! มึงปักตะไคร้ใช่มั้ย”

“ตะไคร้เตี่ยมึงสิ

กูยืนอยู่ข้างมึงตลอดจะให้เอาเวลาไหนไปปักหา”

เสียงครึกครื้นกลับมาดังสนั่นอีกรอบเมื่ออดีตเดือนมหาลัยอย่างไอ้ภาสก้าวขึ้นเวที

ผู้คนในงานที่กระจายตัวเบาบางเปลี่ยนมาหุบร่มแล้วกลับเข้ามายืนออกันอยู่หน้าลานกิจกรรมตามเดิม

‘สวัสดีครับ ผม ภาส ภาสกร ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมช่วยโลกกันในวันนี้’

มือของผมยิ่งกำแน่นเมื่อเสียงของคู่อริตลอดกาลดังผ่านไมค์ด้วยความสดใส

มืออีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมา ตอนนี้ทั้งตัวผมสั่นมาก! มันสั่นมากๆจังหวะนี้

“มึงกล้าดียังไง!”

“ไอ้ยุ...ใจเย็น”

“กล้าดียังไงมาหลอกคนที่หล่อที่สุดในมหาลัยอย่างกู...ไอ้หนุ่มฝนตก!!”

tbc.

2nd morning x 01| Slyer or Serial Killer

02

กว่าจะรู้ตัว

ก็เจ็บปวดไปหมดเพราะคุณ

‘ดูดนตรีอื่นบ้างก็ได้นะ’

‘แสดงว่าดูผมมาตลอดงั้นสิ?’

‘ก็เหมือนที่คุณมายืนตรงนี้ตั้งแต่หกโมงเย็น’

‘พายุ’

‘ครับ?’

‘ผมชื่อพายุ’

‘อ้อ’

‘แล้วที่ผมมองก็คือคุณ ไม่ใช่กีตาร์เลยซักนิด’

เพล้ง!

ชามกระเบื้องสีขาวที่บรรจุมื้ออาหารซึ่งน่าจะเป็นมื้อเช้าถูกปัดออกจากโต๊ะทานข้าวจนแตก

แสงแดดที่ส่องกระทบดวงตาทำผมหงุดหงิดจนต้องกวาดทุกอย่างกระจัดกระจาย ภาชนะระเกะระกะรายเรียงอยู่บนพื้น

แต่นั่นก็ไม่เท่าความรู้สึกของผมที่แตกละเอียด

“ผมไม่กิน!!”

มันไม่เหลือชิ้นดี

ไม่เหลือแม้แต่รูปร่าง

“คนไข้คะ”

“ลมหนาว ลมหนาวอยู่ไหน! ผมจะหาลม”

“มาช่วยทางนี้หน่อย เอาไม่ไหวแล้วค่ะ”

“ปล่อยผม ผมจะไปหาลม ไม่! ปล่อย!!”

ชายฉกรรจ์สองสามคนที่สวมชุดบุรุษพยาบาลตรงเข้ามายึดแขนผมไว้

แนบมันไปกับเตียง ถ้าเป็นผมในสภาพที่เต็มร้อยคงจะสะบัดปัดป้องแล้วเอาตัวรอดได้

แต่ตอนนี้ ตรงท้ายทอยรวมถึงแผ่นหลังยังปวดระบมเนื่องจากถูกทำร้าย ให้ตายเถอะแม่ง

แขนของผมถูกมัดขึงกับราวเตียง ผมไม่อาจขัดขืน ขาของผมถูกจับตรึงจนไม่อาจขยับ

สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ก่อนเข็มแหลมเล็กจะค่อยๆแตะลงบนท่อนแขน แทงทะลุชั้นผิวหนัง ปล่อยให้ของเหลวด้านในไหลผ่านเข้ามา

ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือบานประตูที่เปิดค้างไว้

ผมร้องไห้ หัวใจเต้นแรง

แล้วก็หลับไปทั้งอย่างนั้น...

“ไอ้ยุ...พายุ”

เสียงเรียกพร้อมแรงตบเบาๆที่ค้างแก้มทำเปลือกตาของผมค่อยๆยกขึ้น

ผมมองภาพเรือนลางที่กำลังก้มหน้าเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ออก และก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกแตกสลาย

“ลม...ลมหนาว”

เป็นเขาใช่มั้ย ลมหนาวของผมใช่มั้ย

เขาจะมาบอกใช่มั้ยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ความฝัน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่ความจริง

ไม่สิ...มันไม่เคยเข้าใกล้ความจริง

“ลมหนาวอะไร กูเอง”

แต่แล้วความหวังของผมก็ร่วงหล่นลงจากก้อนเมฆ กระแทกกับพื้นดินจนไม่เหลือแม้แต่แรงจะลุก

ภาพของคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่ลมหนาว เป็นเพื่อนชายคนสนิทต่างหาก

“ภาส”

“เออ ไหวมั้ยเนี่ย

เชี่ย! มึงร้องไห้ทำไม”

ภาพของเขาไม่อาจลบหายไปจากหัวผมได้เลย

ดวงตาที่เบิกค้าง ริมฝีปากที่กระอักไปด้วยลิ่มเลือด เราสบตากัน แม้จะพร่าเบลอจากละอองฝน

เสียงร้องไห้ถูกใช้แทนคำพูดทั้งหมดเพื่อบอกกับภาส

มันคงจะเป็นการบรรยายความรู้สึกของผมในตอนนี้ได้ดีที่สุด

“กูเชื่อแล้วว่าหนักจริง”

ภาสลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ

ลูบแขนผมที่ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ซักหยด อีกฝ่ายไม่คิดจะห้ามปราม

อาจเพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าความรู้สึกอยู่เหนือการควบคุม ผมร้องไห้ ยกแขนปิดใบหน้าอันแสนอ่อนแอ

ทำอยู่อย่างนั้นร่วมชั่วโมง ร้องจนสุดท้ายน้ำตาก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น

ไม่ใช่ว่าผมเจ็บน้อยลงหรอก

แต่มันเจ็บจนร้องไม่ออกแล้วต่างหาก

“ไหน ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น

ทำไมมึงกับไอ้กฤตถึงสภาพเป็นหมาแบบนี้ ไปฟัดกับใครมา”

ภาสเอ่ยถามในที่สุดเมื่อผมสงบลง

พยามจะยันตัวลุกขึ้นนั่งจนเพื่อนชายต้องเข้ามาช่วยประคอง

ใบหน้าของผมคงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา สภาพผมในตอนนี้คงย่ำแย่ไม่ต่างจากแคคตัสเน่าๆ

“ไอ้กฤต...ไม่ได้เล่า?”

ผมประหลาดใจเล็กน้อย

ภาสบอกว่าอีกฝ่ายไปเยี่ยมกฤตมาก่อนผม คิดว่าทางนั้นจะเล่าเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนไปเรียบร้อย

แต่ไม่ใช่เลย กฤตไม่ปริปาก และถ้าให้ผมเดา...

“มันบอกมึงควรจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่า”

นั่นสินะ เพราะคนที่เจ็บปวดที่สุดคือผม

“พวกกู...ถูกจี้เอาเงิน”

“ห๊ะ จี้เอาเงิน?”

ผมเลือกที่จะปกปิดความจริง

ทั้งๆที่รู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง แต่ผมไม่อยากให้ใครกล่าวหาลมหนาวในทางแย่ๆ

ไม่อยากให้ใครพูดถึงลมหนาวในทางร้ายๆ ไม่อยากให้ใครก่นด่าลมหนาว จะว่าผมปกป้องฆาตกรก็ได้

แต่ในเมื่อ...เขาไม่อยู่กับผมแล้ว

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอให้เป็นผมคนเดียวที่แบกรับเรื่องของเขาไว้เถอะ

“ถึงว่า แม่งเล่นพวกมึงอย่างแรง

ดีนะที่ไม่มีใครเป็นอะไร ตอนเปิดประตูไปเจอไอ้กฤตกูตกใจฉิบหาย”

“อืม...กฤตไม่เป็นไรก็ดี”

เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้มันต้องพลอยเจ็บตัวไปด้วย

“แล้วไอ้ลมหนาว มึงพูดถึงมันทำไม

อย่าบอกนะว่าอยู่ด้วยกัน”

“ลม...ลมโดนไปด้วย”

เสียงผมสั่นสะอื้นเมื่อต้องพูดถึงเรื่องของใครบางคน

ถ้าผมรู้อนาคต รู้ว่าเขาจะจากไป วันนั้นผมจะไม่ยอมปล่อยมือจากเขา จะกอดรั้งเขาไว้

ต่อให้ต้องทำเขาไม่มีความสุขผมก็จะทำ...

“ไอ้ยุ มึงหยุดร้องก่อน”

“...กูสงสารลม ฮึก ทำไมต้องเป็นแบบนี้”

ต่อให้ต้องกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวผมก็จะทำ...

“เป็นอะไร? ไอ้ลมมันเป็นอะไร”

“มึงถามกูแบบนี้เพื่ออะไรภาส มึงไม่รู้หรือไงวะ!”

“เห้ย จะขึ้นเสียงทำไมเนี่ย

พูดเหมือนไอ้ลมตายห่าซะอย่างนั้น”

ผมใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกระชากคอเสื้อเพื่อนสนิทจนอีกฝ่ายเซเล็กน้อย

ดวงตาผมวาวโรจน์จนไม่อาจควบคุมโทสะ ต่อให้เลิกกัน ต่อให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

ต่อให้พรากจากกัน ผมก็ไม่เคยสบอารมณ์ทุกครั้งเวลามีคนพูดถึงลมหนาวของผมแบบนี้

“ลมโดนยิง! ลมไม่อยู่กับกูแล้วภาส ฮึก ลมไม่อยู่กับกูแล้วมึงได้ยินมั้ย!!”

“โดนยิง?”

“…..”

“เดี๋ยว มึงตั้งสติก่อนพายุ”

ภาสค่อยๆแกะมือผมออกจากคอเสื้อพร้อมกับเปลี่ยนมาลูบเบาๆตรงต้นแขน

ผมเหมือนล่องลอยออกไปนอกอวกาศเมื่อคิดถึงเรื่องของลมหนาว มันเคว้งคว้าง

แล้วก็วูบโหวง ยิ่งความจริงที่ว่าลมหนาวไม่อยู่กับผมแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าโลกของผมคงไม่เป็นอย่างเดิม

“จะเป็นแบบนั้นไปได้ไง กูยังเห็นมันลงรถเดินเข้ามามอเมื่อเช้าอยู่เลย”

เดินเข้ามาในมอ?

“...ว่ายังไงนะ?”

“เออ สวนกับกูที่กำลังจะมาเยี่ยมพวกมึงที่โรงพยาบาลเลยเนี่ย

เอาหัวเป็นประกัน หน้าหล่อๆแบบนั้นมีคนเดียวในโลก”

ไม่จริง ไม่มีทาง ผมเห็นลมตายต่อหน้าต่อตา

หรือถ้าจะบอกว่าไม่ตายยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ลมโดนยิงเข้าที่จุดสำคัญตั้งหลายนัด

ยิ่งนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นหัวใจผมก็ปวดหนึบไปหมด แล้วไอ้ภาสดันมาบอกว่าลมไม่เป็นอะไรเลย…

“ภาส กูไม่เล่น”

“กูจะโกหกมึงทำไมไอ้สัด

มึงไปดูให้เห็นกับตาเลยมั้ยล่ะ พรุ่งนี้ก็มีนัดประชุมฝ่ายหนิ”

“กูจะไปหาลม”

“ไม่ใช่วันนี้ไอ้ยุ”

“กูต้องไปหาลม กูจะไปดูให้แน่ใจว่าลมยังอยู่”

“หมอยังไม่ให้มึงออกวันนี้ไอ้เหี้ย หยุดเดี๋ยวนี้”

“ภาส มึงอย่าเสือก”

“กูจะยิ่งเสือก แล้วก็จะโทรบอกแม่มึงกับอาดีนเรื่องที่เกิดขึ้น”

ผมกำมือแน่น

กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินคำขู่ของเพื่อนสนิท แม่เป็นคนเดียวที่ผมไม่อยากให้รับรู้เรื่องการเจ็บตัวที่สุด

ไม่ใช่ว่าผมเกลียดแม่ แต่ผมไม่อยากให้แม่เป็นห่วงผมมากเกินไปต่างหาก

เพราะครั้งล่าสุดที่แม่ส่งบอดี้การ์ดมาตามประกบเกือบเดือนก็ทำผมไม่เป็นอันทำอะไร

แถมยังรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวมากๆ

“ยังไม่ได้โทรบอกจริงๆใช่มั้ย”

“กูจะโทรบอกเดี๋ยวนี้ถ้ามึงยังจะดันทุรังไปหาไอ้ลม”

“แม่งเอ๊ย!”

ผมล้มตัวลงนอน ทุบฝ่ามือลงข้างเตียงอย่างหัวเสีย

หัวใจผมมันกระวนกระวายไปหมด ทั้งห่วงลมหนาว แล้วก็ไม่อยากให้แม่กับอาดีนต้องมาเครียดเรื่องของผม

สาบานเลยว่าถ้าผมรู้เรื่องนี้ก่อนที่ไอ้ภาสจะบอก

ร่างของผมคงไม่อยู่ในโรงพยาบาลแน่ๆ

“กูจะโกรธไปจนวันตายถ้ามึงโกหกกู”

“พอเป็นเรื่องแฟนเก่านี่ไม่ได้เลยนะ”

“ภาส”

“เออไอ้สัด กูไม่ได้โกหก มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก

ยกเว้นมันจะหนีหน้ามึงอีกรอบนั่นแหละ”

“เย็นนี้...กูจะไปหาลม”

“มึงควรนอนพักไปอีกสองสามวันด้วยซ้ำพายุ”

“กูจะไปหาลม”

“กูให้พรุ่งนี้”

“จะไปหาลม จะไปเย็นนี้”

“ไปเย็นนี้กูโทรหาแม่มึงกับอาดีน”

“มึงจำไว้นะภาส”

สุดท้ายผมก็ถูกทิ้งไว้บนเตียงผู้ป่วยด้วยใจกระวนกระวาย

ผมหยิบโทรศัพท์ที่หน้าจอแตกนิดหน่อยขึ้นมาต่อสายหาลมหนาว และมันก็เป็นเหมือนอย่างเดิมทุกครั้ง...เขาปิดเบอร์ไปแล้ว

และเรื่องที่ตลกกว่าก็คือ

ผมมักโทรหาเบอร์นี้บ่อยครั้ง

ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะไม่มีคนรับ

ภาสบ่นผมเรื่องที่ทำพฤติกรรมไม่ดีกับพี่พยาบาล

ผมรู้สึกผิดเมื่อคิดได้ทีหลัง แต่อารมณ์ในตอนนั้นมันดิ่งเกินแบกรับไหว

คุณเคยรักใครมากๆแล้วตื่นมาเพื่อพบว่าเขาไม่อยู่อีกแล้วมั้ย? ยอมรับว่าตอนภาสบอกข่าวดีผมยังรู้สึกไม่ค่อยเชื่อ

จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น  ไม่มีทาง...

ผมจะต้องได้เห็นลมหนาวปลอดภัยด้วยตาของตนเอง

‘ฝุ่น เชี่ย ใส่ชุดคนป่วย มึงเข้าโรงบาลหรอ!?’

ผมมองเงาสะท้อนของตนเองที่กำลังปั้นหน้าตื่นตระหนกตกใจบนบานกระจกที่ถูกผ้าม่านปิดไว้ครึ่งหนึ่ง

มันเป็นเวลาสี่ทุ่มที่พี่พยาบาลเดินเข้ามาดับไฟเพื่อส่งผมเข้านอนพร้อมจ่ายยาแก้ปวด

แต่ผมนอนไม่หลับ ข่มตายังไงสมองก็พลันนึกถึงแต่เรื่องของใครบางคน

‘สตอร์มมึงเลิกเสียงดังได้ไหม

กูนึกว่าผีทุกครั้ง’

‘กูก็เสียงดังกับเฉพาะแค่พวกมึงแหละ

ตัวจริงกูเท่ๆคูลๆ’

‘รำคาญ น่ารำคาญไปหมด’

“กูนอนเฉยๆ”ผมว่าเมื่อเห็นอีกคนทำท่าหัวร้อนหน่อยๆ

‘กูไม่ได้ว่ามึงไอ้ฝุ่น’

‘อะไรวะ เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าน่ารำคาญไปหมด’

‘เปลี่ยนเป็นมึงคนเดียวแล้วกัน’

‘เห้อ’

‘แล้วว่าแต่เป็นอะไรวะฝุ่น ทำไมเข้าโรงบาล’

“เรื่องมันยาว ไว้ค่อยเล่า ขอนอนก่อน”

‘เมื่อกี้ยังไม่เห็นทำท่าจะนอน ฝุ่น เห้ย

ไอ้ฝุ่น ไต้ฝุ่น!’

ผมตื่นขึ้นมาตอนเจ็ดโมงเช้า

แน่นอนว่าเมื่อคืนที่พูดจาตัดบทก็เพราะไม่อยากเล่าเรื่องลมหนาวล้วนๆ ยิ่งนึกถึงภาพในคืนนั้นก็ยิ่งวิ่งเข้ามาในหัว

ความรู้สึกของผมในตอนนี้ยังรับอะไรทำนองนั้นไม่ไหวเท่าไหร่

คุณหมอเข้ามาดูอาการพร้อมบอกว่าถ้าอยากกลับก็กลับได้

แต่ให้มาเช็คร่างกายทันทีถ้ารู้สึกปวดตรงไหนเป็นพิเศษ

เคลียร์ค่าใช้จ่ายเสร็จผมก็แวะไปรับกฤตที่ห้องข้างๆ

มันบอกว่าถ้าผมกลับมันก็กลับด้วยเพราะค่าห้องโรงพยาบาลเอกชนแบบนี้ขืนอยู่นานก็คงจ่ายไม่ไหว

“ยุ มึง...เห็นเหมือนกูใช่มั้ย”

“ลมยังไม่ตาย ไอ้ภาสบอกแบบนั้น”

ผมว่าขึ้นในตอนที่เลี้ยวรถเข้าจอดยังตึกเรียนรวม

ตลอดทางเหมือนกฤตกับผมยังคงติดอยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นไม่หาย

เพียงแค่ไม่มีใครยอมเอ่ยปากบอกความคิดในหัวออกมาก่อน ทีแรกกฤตชวนกลับไปพักผ่อนที่ห้อง

แต่ผมดันทุรังจะมาเจอใครบางคนให้ได้

“จะเป็นไปได้ยังวะ

ถึงกูจะเห็นแว้บๆเพราะสลบไปก่อน แต่โดนยิงตั้งขนาดนั้น

ถ้าไม่ตายอย่างน้อยก็คงต้องนอนโรงบาลเป็นปี”

“กูถึงต้องมาพิสูจน์ให้เห็นกับตา”

“มึงคงไม่ได้ยังอาวรณ์มันอยู่ใช่มั้ย?”

ผมไม่ใช่คนโกหก

ยิ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อลมหนาวยิ่งยากจะโกหก

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่ตนเองจะออกความรู้สึกนี้ได้ ผมคิดว่าตลอดระยะเวลาสามปีมันคงทำให้ผมลืมเขาไปได้บ้าง

แต่ไม่ใช่เลย เพราะแค่เพียงวินาทีที่เราเจอกันอีกครั้ง

 “ยุ”

ผมก็ตกหลุมรักเขาซ้ำๆ

“กูห้ามอะไรไม่ได้เลยกฤต”

“มึงต้องห้ามได้ จำความรู้สึกที่มันทำกับมึงได้มั้ย

จำวันที่มันทิ้งมึงไปอย่างไม่ใยดีได้มั้ย ไหนจะอาการป่วยของมึงอีก

มันเคยรับรู้อะไรบ้างหรือเปล่า คนรักกันเขาทำแบบนี้ให้กันหรอวะ โคตรเลว”

ถ้าทุกอย่างที่กฤตพูดมามันทำง่ายเหมือนปิดสวิตช์ไฟก็คงดี

ถ้ามีปุ่มกดให้ลืมความเจ็บปวดที่ลมหนาวทำไว้ผมก็จะรีบกดปิดมันเสียเดี๋ยวนี้

แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เลย…

“กูจะพยายาม”

ปุ่มนั้นต้องเป็นลมหนาวคนเดียวนั่นแหละที่ปิดได้

เรามาถึงอาคารเรียนรวมก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง

นั่นเท่ากับว่านักศึกษาหลายคนยังคงอยู่ในช่วงเดินทาง ผมรอเวลาให้ถึงตอนบ่ายที่จะต้องเข้าองค์การนักศึกษาเพื่อนัดประชุมฝ่ายสถานที่ของค่ายปันฝันไม่ไหว

ผมอยากเห็นหน้าเขา อยากรู้ว่าเขายังปลอดภัยดี

หรือถ้าให้ออกไปคณะศิลปกรรมตอนนี้ได้ผมก็จะทำ

อย่างน้อยก็เพื่อให้หัวใจของผมเลิกเจ็บปวดเพราะคอยเอาแต่รับรู้ว่าได้สูญเสียเขาไป

“กฤต กูขอไปคณะสินกำ”

สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว ผมอยากเจอลมหนาว

“ยุ กูรู้นะว่ามึงคิดอะไร”

“กูขอร้อง

กูต้องรู้ให้ได้จริงๆว่าเขาไม่เป็นอะไรแบบที่ไอ้ภาสพูด”

“ยุ เห้ยไอ้ยุ!”

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ผมก็รีบวิ่งลงจากบันไดสโลปของห้องตรงไปยังประตู

ทว่าขาของผมกลับต้องหยุดชะงักเมื่อภาพของคนที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือคนคนเดียวกันกับคนที่ผมกำลังจะตามหา

“ลม”

เขาอยู่ตรงนี้...

อยู่ตรงนี้แล้วจริงๆ

 “อ๊ะ!”

ร่างสูงโปร่งถูกผมดึงเข้ามารัดไว้เต็มอ้อมกอด

คนถูกกอดหลุดอุทานออกมาเล็กน้อยด้วยความตกใจ มันอาจจะดูเก้ๆกังๆเพราะตัวเราเท่ากัน

แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ ผมรับรู้เพียงแค่ว่าคำพูดของภาสได้รับการพิสูจน์

ลมหนาวอยู่กับผมแล้ว

“ลม...ลมจริงๆด้วย! ลมไม่เป็นอะไร”

ผมทาบมือไปตามกรอบหน้าของอีกฝ่าย หยดน้ำสีใสเริ่มเอ่อคลอ

หัวใจผมเต้นลิงโลดจนเผลอดึงเขาเข้ามากอดอีกรอบ ดวงตาอย่างนี้ จมูกอย่างนี้

ทรงผมอย่างนี้ สัมผัสอบอุ่นอย่างนี้ เป็นเขาจริงๆ เป็นลมหนาวของผมจริงๆ

ลมหนาวของผมกลับมาแล้ว

“ขอโทษนะครับ!”

แขนของผมที่โอบรัดถูกแกะออกอย่างไม่ใยดีจากเจ้าของฝ่ามืออันแสนคิดถึง

นั่นทำให้ผมรับรู้ว่าตนเองกำลังล้ำเส้น

นั่นสินะ...สถานภาพของเราในตอนนี้ไม่ใช่คนรักกันอีกต่อไป

เราเป็นเพียงคนที่‘เคย’รัก

“คือ...ลมไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย

ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย”

พอนึกขึ้นได้ก็พยายามจับไปตามเนื้อตัวของเขา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั่นคือฝ่ามือที่ถูกปัดออกจากลำตัวของคนตรงหน้า

ผมล้ำเส้นเขาเป็นครั้งที่สอง

“ยุ มึงเลิกห่วงคนแบบนี้เสียที โคตรเสียเวลาเลย

ดูมันดิ แคร์มึงที่ไหน”

กฤตที่เฝ้าดูเหตุการณ์จนไม่ไหว เดินเข้ามาดึงไหล่ผมให้เอนโอนไปทางเจ้าตัว

“แล้วไอ้ลม ไหนบอกว่าเลิกยุ่งกับเพื่อนกูแล้วไง

แล้วนี่อะไร มึงมาที่นี่ทำไม”

“ผมมาเรียน วิชา000”

“เหอะ”

“โอ้ย ถ้าพวกผมรู้ว่าลงเรียนแล้วต้องมาเจอคนอย่างพวกพี่

พวกผมก็คงไม่ลงหรอก เสียอารมณ์ฉิบหาย”

เด็กชายตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างลมหนาวว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเอามากๆ

เจ้าตัวก็คงจะเฝ้าดูเหตุการณ์จนทนไม่ไหวเช่นเดียวกัน

“ถอนไปดิ ค่ายก็ด้วย

ไสหัวออกไปจากชีวิตเพื่อนกูให้หมด”

“เป็นใครมาสั่งคนอื่นวะ”

“แล้วมึงจะทำไมไอ้เตี้ย?”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาของผม กฤตมีปัญหาอยู่คนเดียว”

“มึงว่าไงนะ”

กฤตคิ้วกระตุกพร้อมกับหันไปมองเมื่อสิ้นคำพูดของลมหนาว

เป็นผมที่จับไหล่เพื่อนชายไว้ไม่ให้พุ่งตัวเข้าใส่ใครบางคน เหมือนไอ้กฤตจะเริ่มฟิวส์ขาดเพราะคำพูดของคนที่แสนจะเย็นชา

“พอมาคิดดูทำไมผมต้องออก

ทั้งเรื่องเรียนแล้วก็เรื่องค่าย ผมไม่ได้มีปัญหากับใคร ผมเรียนได้ ทำกิจกรรมได้

แต่คนที่มีปัญหามีแค่พวกกฤต เพราะฉะนั้นคนที่ควรออกไปก็คือพวกกฤตมากกว่า”

ลมหนาวไม่ใช่คนพูดเยอะผมรู้ดีที่สุด

แถมตลอดเวลาที่คบกันผมเห็นเขาโกรธแทบนับครั้งได้เว้นเสียแต่ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ

กระทั่งวันนี้ ลมหนาวคงจะไม่พอใจมากๆที่กฤตหาเรื่องไม่หยุด

“ปากเก่งขึ้นนี่ งั้นมึงก็ช่วยแคร์คนอื่นด้วยนะ

โดยเฉพาะไอ้ยุ ช่วยเห็นหัวมันด้วย มันห่วงมึงแทบตาย

แต่นี่คือการตอบแทนความห่วงใยจากมึงงั้นหรอ”

“ผมว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องของกฤตอยู่ดี”

ผัวะ!

หมัดหนักซัดเข้าที่ข้างแก้มของคนตรงหน้าแทบจะในวินาทีเดียวกัน

กฤตหอบหายใจราวกับพยายามอดกลั้นความโกรธ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยเชื้อเพลิงขุ่นหมอง

แถมยังจะปรี่เข้าไปซ้ำคนที่ล้มลงกับพื้น แต่ผมรีบล็อคแขนทั้งสองข้างของมันไว้ทัน

ของเหลวสีแดงไหลซิบออกจากปากลมหนาวจนหัวใจผมวูบโหวง

“ไอ้กฤต มึงทำเกินไปแล้วนะ!”

“นี่มันยังน้อยไปยุ น้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่มันเคยทำกับมึง”

“แต่กฤต มึงไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายเขา”

“แล้วมันมีสิทธิ์มาทำกับมึงหรอวะ

อย่าให้กูพูดนะว่านอกจากเรื่องของมึงมันทำอะไรบ้าง”

“พอแล้วหรือยัง?”

คนที่ถูกต่อยค่อยๆยันตัวขึ้น เช็ดมุมปากที่เลอะหยดเลือดออกด้วยนิ้วโป้ง

ใบหน้านิ่งเรียบฉายแววไม่สนใจโลก

นั่นยิ่งทำให้คนอารมณ์ร้อนอย่างกฤตเดือดดาลมากขึ้นเท่าทวีคูณ

“ไม่พอ!” เสียงตอบรับดังกร้าวพร้อมกับปลายนิ้วที่ยกขึ้นชี้คู่สนทนาด้วยมวลโทสะ “จำไว้นะลมหนาว กูจะเปิดโปงมึง จะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าธาตุแท้ของมึงเป็นใคร

ทุกคนต้องได้รู้แน่ มึงคอยดูไอ้สารเลว!!”

 

 

 

 

tbc.

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!