“ฉันไม่คิดว่านายจะกล้าทำหรอก ภูวริศ” เสียงหัวเราะของกรวิทย์ เพื่อนสนิทที่นั่งไขว้ห้างบนโซฟาหนังสีดำในห้องรับรองหรูของคลับดังกลางเมืองดังขึ้น พร้อมกับควันซิการ์จาง ๆ ที่ลอยขึ้นสู่เพดาน
ภูวริศ หรือ ริศ ชายหนุ่มวัย 28 ปี รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ขมวดคิ้วมองเพื่อนด้วยความระแวง เขาไม่ชอบนักหรอกเวลาที่กรวิทย์ยิ้มแบบนี้ เพราะมันหมายความว่าความวุ่นวายบางอย่างกำลังจะมาถึง
“พูดมาเลย ว่านายจะเล่นอะไรอีก?” ภูวริศเอนหลังพิงพนักโซฟา แขนข้างหนึ่งพาดกับพนักแบบสบาย ๆ แต่ในใจเขาไม่ได้สบายตามท่าทางนั้นเลย
กรวิทย์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบแก้ววิสกี้ขึ้นมาจิบ “ไม่ใช่อะไรใหญ่โตหรอกริศ แค่อยากลองความสามารถของนายดูเท่านั้นเอง”
“ความสามารถอะไร?”
“นายต้องจีบผู้หญิงคนหนึ่งให้ติด ภายใน 30 วัน” กรวิทย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่คำพูดนั้นทำให้ภูวริศหรี่ตา มองด้วยความไม่ไว้วางใจ
“แล้วถ้าฉันทำได้ล่ะ?”
กรวิทย์ยิ้มมุมปาก ยกซิการ์ขึ้นแตะริมฝีปากแล้วสูบเบา ๆ “ง่าย ๆ เลย ฉันจะแบ่งหุ้น 10% ในบริษัทที่นายอยากร่วมลงทุนให้”
ดวงตาของภูวริศเป็นประกายวาบ เขาต้องการหุ้นนั้นเพื่อขยายธุรกิจของตัวเองมานานแล้ว แต่การลงทุนในบริษัทของกรวิทย์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเพื่อนสนิทคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความรอบคอบและเข้าถึงยาก
“แล้วผู้หญิงที่ว่านั่นคือใคร?”
“กานต์สินี” กรวิทย์ตอบทันที พร้อมกับโยนภาพถ่ายใบเล็ก ๆ ไปบนโต๊ะตรงหน้า
ภูวริศหยิบภาพขึ้นมาดู ภาพนั้นเป็นหญิงสาวในชุดเดรสเรียบ ๆ สีพาสเทล ใบหน้าหวานที่ประดับด้วยรอยยิ้มละมุน เธอดูเรียบร้อยจนเหมือนหลุดออกมาจากหนังสือศีลธรรมเสียด้วยซ้ำ
“เธอคือหลานสาวของหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทของฉัน ผู้หญิงที่ไม่เคยเปิดใจให้ใคร”
“แล้วนายอยากให้ฉันจีบเธอไปทำไม?”
“ก็แค่อยากดูว่าความเจ้าชู้ของนายจะเอาชนะเธอได้ไหม” กรวิทย์หัวเราะ “ถ้าทำไม่ได้ นายต้องเลิกตามตื๊อเรื่องหุ้นนี้อีก”
ภูวริศนิ่งคิดสักพัก ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะยกยิ้มบาง ๆ “ตกลง ฉันจะเล่นเกมนี้กับนาย”
เช้าวันถัดมา ภูวริศเดินทางไปที่ร้านกาแฟที่กรวิทย์บอกว่า กานต์สินีชอบมานั่งอ่านหนังสือทุกเช้า ร้านนี้ตกแต่งสไตล์มินิมอล อบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟหอม ๆ
และเขาก็พบเป้าหมายทันที
หญิงสาวในชุดเดรสสีขาวลายดอกไม้เล็ก ๆ นั่งอยู่ที่มุมโต๊ะข้างหน้าต่าง มีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า เธอดูสงบและเรียบง่ายเหมือนภาพถ่ายไม่มีผิด
ภูวริศเดินตรงไปหาเธอ พลางใช้รอยยิ้มประจำตัวที่มักได้ผลกับผู้หญิงทุกคน
“ขอโทษนะครับ เก้าอี้ตัวนี้ว่างไหม?”
กานต์สินีเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตากลมโตแสนใส ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “ว่างค่ะ เชิญนั่งได้”
ภูวริศยิ้มกว้างขึ้น “ขอบคุณครับ” เขานั่งลงตรงข้ามเธอ วางแก้วกาแฟของตัวเองบนโต๊ะ แล้วเอ่ยอย่างสุภาพ “ผมชื่อภูวริศนะครับ คุณล่ะครับ?”
กานต์สินีเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเบา “กานต์สินีค่ะ”
“ชื่อเพราะจัง คุณมาที่นี่บ่อยหรือเปล่าครับ?”
“ค่ะ...” เธอตอบสั้น ๆ ก่อนจะก้มหน้ากลับไปอ่านหนังสือ
ภูวริศรู้สึกเหมือนชนกำแพงหนา เขาคิดว่าการเข้าหาผู้หญิงเรียบร้อยแบบนี้อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
“หนังสือที่คุณอ่านน่าสนใจมากเลย คุณชอบแนวนี้เหรอครับ?”
กานต์สินีเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย “คุณต้องการอะไรจากฉันคะ?”
คำถามตรงไปตรงมานั้นทำให้ภูวริศชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมก็แค่อยากรู้จักคุณให้มากขึ้นน่ะครับ”
กานต์สินียิ้มบาง ๆ แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับซ่อนความระมัดระวังไว้ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่สนใจที่จะทำความรู้จักใครตอนนี้”
ภูวริศหัวเราะเบา ๆ ในใจ นี่คงเป็นบททดสอบแรกสินะ
“งั้นผมคงต้องลองใหม่ในวันพรุ่งนี้” เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ดวงตาคมมองเธออย่างมีความหมาย ก่อนจะเดินจากไป
"เกมเริ่มต้นแล้ว... และเขาจะไม่มีวันแพ้"
ภูวริศเดินเข้าร้านหนังสือขนาดใหญ่ใจกลางห้างสรรพสินค้าอย่างมั่นใจ ดวงตาคมกวาดมองหาหญิงสาวที่เขาตั้งใจมาพบ วันนี้เขาใส่ชุดสบาย ๆ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนส์ที่พอดีตัว แต่ยังดูดีมีเสน่ห์เหมือนเคย
ในที่สุดเขาก็เจอเธอ กานต์สินีอยู่ที่โซนหนังสือวรรณกรรม ใบหน้าหวานของเธอกำลังคร่ำเคร่งกับการเลือกหนังสือเล่มหนึ่ง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเล็กน้อยเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
"สวัสดีครับ เราเจอกันอีกแล้ว" ภูวริศกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
กานต์สินีเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตากลมโตฉายแววแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นเย็นชาเหมือนเดิม "บังเอิญจังนะคะ" เธอตอบเสียงเรียบ
"หรือบางทีนี่อาจจะเป็นพรหมลิขิต" ภูวริศหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยืนใกล้ ๆ เธอ "คุณกำลังเลือกหนังสืออะไรอยู่เหรอครับ? เผื่อผมจะแนะนำได้"
กานต์สินีเหลือบตามองเขา ก่อนตอบสั้น ๆ "ฉันเลือกได้แล้วค่ะ ไม่ต้องการคำแนะนำ"
ภูวริศหัวเราะในลำคอ เธอยังคงรักษาระยะห่างอย่างชัดเจน และเขาก็ชอบความท้าทายแบบนี้เสียด้วย
"คุณชอบอ่านวรรณกรรมเหรอครับ?"
"ใช่ค่ะ" เธอตอบสั้น ๆ อีกครั้ง ก่อนจะหยิบหนังสือที่เลือกเสร็จแล้วออกเดินไปยังเคาน์เตอร์ชำระเงิน
ภูวริศเดินตามเธอไปอย่างไม่ลดละ "แล้วคุณเคยอ่าน *The Great Gatsby* ไหมครับ? เป็นหนังสือเล่มโปรดของผมเลยนะ"
"เคยค่ะ"
"แล้วคุณคิดว่ามันเป็นยังไงบ้าง?"
กานต์สินีหยุดเดินกะทันหัน หันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา "คุณจะตามฉันไปถึงไหนคะ?"
ภูวริศชะงัก แต่ก็ยังยิ้ม "ผมไม่ได้ตามคุณ ผมแค่...บังเอิญมาเจอคุณอีกครั้ง และอยากคุยด้วยน่ะครับ"
"ฉันไม่คิดว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณภูวริศ" เสียงของเธอนิ่งแต่แฝงด้วยความเฉียบคม
ภูวริศยิ้มเจื่อนเมื่อถูกเรียกชื่อเต็ม "อ่า คุณรู้จักชื่อผมเหรอครับ?"
"ใช่ค่ะ เพราะคุณแนะนำตัวไปเมื่อวาน ฉันจำคนง่าย" กานต์สินีตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหันกลับไปเดินต่อ
ภูวริศยังไม่ยอมแพ้ เขารีบเดินตามเธออีกครั้ง "โอเค ถ้าคุณจำผมได้ ก็ดีเลย เพราะผมกำลังคิดว่าจะชวนคุณไปทานกาแฟสักแก้วหลังจากนี้"
กานต์สินีหยุดเดินอีกครั้ง คราวนี้เธอถอนหายใจ "คุณภูวริศคะ ฉันขอถามตรง ๆ ได้ไหม?"
"ได้สิครับ"
"คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่คะ?"
ภูวริศนิ่งไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าคำถามนี้กำลังมาพร้อมกับดวงตาที่จ้องตรงมาราวกับจะมองทะลุความคิดของเขา
"ผมแค่อยากรู้จักคุณมากขึ้นน่ะครับ"
"ฉันว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมากไปกว่านี้หรอกค่ะ" เธอตอบก่อนจะหันไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ทิ้งเขายืนอยู่คนเดียว
ภูวริศมองตามร่างบางที่เดินออกจากร้านหนังสือไปด้วยความรู้สึกกึ่งท้าทาย กึ่งหงุดหงิด
"เธอไม่ง่ายจริง ๆ อย่างที่กรวิทย์ว่าไว้" เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปหยิบ *The Great Gatsby* มาที่เคาน์เตอร์ แล้วคิดในใจว่าเขาจะไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่
"ความท้าทายนี้ เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น"
หลังจากการพบกันครั้งแรกในร้านหนังสือ ภูวริศกลับไปนั่งคิดทบทวนอยู่หลายชั่วโมง คำพูดและท่าทีเย็นชาของกานต์สินีไม่ได้ทำให้เขาล้มเลิก แต่กลับเพิ่มความท้าทายขึ้นอีกหลายเท่า
"ถ้าเธอชอบอะไรสงบ ๆ ฉันก็ต้องหาโอกาสให้เราสงบด้วยกันสินะ" ภูพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเริ่มวางแผนบางอย่าง
วันถัดมา ภูวริศตั้งใจไปมหาวิทยาลัยในช่วงเช้าอย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก เขารู้จากการสอบถามเพื่อนบางคนว่ากานต์สินีมักไปนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ที่ลานใต้ต้นไม้ใกล้ห้องสมุด เป็นพื้นที่ที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน
เมื่อเขาเดินไปถึงก็เห็นเธอนั่งอยู่จริง ๆ ใบหน้าหวานก้มลงจ้องหนังสือเล่มหนาในมือ ข้าง ๆ มีแก้วกาแฟวางอยู่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะทำเป็นเดินผ่านไป
“โอ๊ะ!” ภูวริศแกล้งทำหนังสือที่ถือมาหล่นเสียงดังอยู่ใกล้โต๊ะของเธอ
กานต์สินีเงยหน้าขึ้นมามอง เธอมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาอีกครั้ง
“คุณอีกแล้ว?” เธอเอ่ยเสียงเรียบ
“อ้าว คุณกานต์สินี!” เขาทำท่าประหลาดใจเกินจริง “ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่นะครับ บังเอิญจัง”
“ฉันมาที่นี่ทุกวัน” เธอตอบพลางหรี่ตามองเหมือนพยายามจับพิรุธ
“อย่างนั้นเองเหรอครับ ดีจังเลย ผมก็ชอบบรรยากาศเงียบ ๆ แบบนี้เหมือนกัน” ภูพูดพลางหยิบหนังสือขึ้นมาจากพื้น
“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?”
“อ๋อ ผมแค่แวะมาอ่านหนังสือเหมือนกันครับ” เขาโกหกหน้าตาย ทั้งที่จริง ๆ เขาไม่เคยอ่านหนังสือเล่น ๆ แบบนี้มาก่อน
เธอไม่ได้ตอบอะไรต่อ เพียงแค่กลับไปสนใจหนังสือในมือเหมือนไม่ต้องการสนทนาอีก
สองวันต่อมา ภูวริศได้ข่าวจากเพื่อนอีกคนว่ากานต์สินีมีวิชาที่ต้องทำงานกลุ่มที่ห้องสมุด เขารีบไปดักรอแถวบันไดทางขึ้น และเมื่อเห็นเธอกำลังถือแฟ้มงานใหญ่พะรุงพะรัง เขาก็รีบเข้าไปช่วยทันที
“แฟ้มใหญ่ขนาดนี้ หนักแน่เลย ให้ผมช่วยนะครับ”
กานต์สินีชะงักไปก่อนจะมองเขาด้วยสายตาสงสัย “คุณมาตรงนี้ทำไมอีก?”
“ผมมาทำงานครับ” เขาตอบยิ้ม ๆ พลางยื่นมือไปช่วยถือแฟ้ม โดยไม่รอให้เธออนุญาต
“จริงเหรอคะ?” เธอถามเสียงแข็ง แต่ก็ไม่ได้ดึงแฟ้มคืน
“แน่นอนครับ มันก็ดีไม่ใช่เหรอ? บังเอิญได้ช่วยคนรู้จักแบบนี้”
เธอถอนหายใจเบา ๆ และเดินนำไปยังห้องสมุดโดยไม่พูดอะไรอีก
เมื่อถึงโต๊ะที่กลุ่มของเธอทำงานอยู่ ภูวางแฟ้มลงให้เรียบร้อย พร้อมกับพูดติดตลกว่า “ดูเหมือนผมจะทำคะแนนได้ดีนะ”
กานต์สินีมองเขาเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าเบา ๆ และหันไปทำงานต่อ
หลังจากนั้นไม่นาน ภูวริศบังเอิญเจอกานต์สินีที่คาเฟ่ในมหาวิทยาลัย เธอกำลังต่อแถวซื้อขนมปัง เขารีบเดินเข้าแถวต่อท้าย และเมื่อเธอได้ขนมมา เขาก็แกล้งพูดขึ้นทันที
“คุณกานต์สินี ผมไม่ได้ตั้งใจตามคุณมานะครับ แต่ดูเหมือนเราจะเจอกันบ่อยขึ้นทุกวันเลย”
เธอหันมามองเขาอย่างระแวดระวัง “คุณตามฉันมาหรือเปล่าคะ?”
“เปล่าสักหน่อยครับ ผมมากินขนมปังร้านนี้บ่อยมาก คุณลองดูได้เลย” เขายกถุงขนมปังในมือขึ้นเป็นหลักฐาน
กานต์สินียังคงทำหน้าไม่เชื่อเต็มร้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะใกล้หน้าต่าง
“ถ้าอย่างนั้น ผมนั่งด้วยได้ไหมครับ?”
“โต๊ะว่างเยอะแยะ คุณไม่เห็นเหรอคะ?”
“ผมเห็นครับ แต่ผมคิดว่า เราเจอกันขนาดนี้ นั่งคุยกันสักหน่อยก็ดีไม่ใช่เหรอ?”
เธอจ้องเขาอยู่นานเหมือนพยายามอ่านใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ห้ามอะไร
ภูวริศถือว่านี่เป็นโอกาสสำคัญ เขานั่งลงตรงข้ามพร้อมรอยยิ้ม แล้วเริ่มถามคำถามเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเธอ
แม้คำตอบของกานต์สินีจะยังคงสั้นและเย็นชา แต่ภูวริศก็รู้สึกว่าเธอเริ่มลดกำแพงลงเล็กน้อย เขาคิดในใจว่า
"เกมนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และเขาจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะชนะใจเธอให้ได้"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!