กิจกรรมรับน้องเป็นกิจกรรมที่ปี 1 ทุกคนต้องเคยเจอ ในแต่ละคณะหรือสาขากิจกรรมก็จะแตกต่างกันออกไป ‘ไทม์’ เด็กปี 1 สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ก็ต้องเจอเหตุการณ์รับน้อง บอกตามตรงว่าเขาไม่ได้อยากเข้าเลยสักนิดแต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนหรือรุ่นพี่เลยจำเป็นต้องจำใจ
“อยากกลับบ้านจังโว้ย”
บูม เพื่อนใหม่ของไทม์เอ่ยพร้อมกับเอนหลังพิงเสาทิ้งความเหนื่อยล้าจากการทำกิจกรรมรับน้อง ไทม์ที่เห็นเพื่อนเหนื่อยยื่นขวดน้ำให้เขา
“เอาน่า เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วทนอีกหน่อยสิ”
พูดพลางเอื้อมมือไปบีบพุงอ้วนๆ ของคนข้างๆ เล่น พวกเขานั่งพักระหว่างที่รอทำกิจกรรมรับน้องต่อ
เอาจริงๆ ไทม์ก็ไม่ได้อยากทำกิจกรรมพวกนี้หรอกมันทั้งเหนื่อยทั้งเลิกเย็นแถมยังต้องคอยห้อยป้ายนี่ตลอดอีกด้วย รำคาญจะตาย
“ปีหนึ่งรวม!!” เสียงเรียกรวมของรุ่นพี่ให้ปีหนึ่งทุกคนที่นั่งกันอยู่ลุกพรวดออกจากที่นั่งไปยืนเข้าแถวเรียงหนึ่งก่อนรุ่นพี่จะให้นั่งลงกับพื้นปูน
“พี่จะแจ้งเรื่องกิจกรรมนะคะเรื่องแรกกิจกรรมล่าลายเซ็นน้องๆ ทุกคนจะต้องมีสมุดสำหรับล่าลายเซ็นสองเล่ม เล่มแรกเล่มสีฟ้าสำหรับของรุ่นพี่ เล่มที่สองเล่มสีเหลืองสำหรับเพื่อนในสาขา พี่จะให้เวลาสองอาทิตย์นะคะโดยลายเซ็นของเพื่อนจะต้องครบตามจำนวนรายชื่อในสาขา ส่วนของรุ่นพี่จะต้องมีลายเซ็นของรุ่นพี่อย่างน้อยร้อยสามสิบลายเซ็นต์นะคะ…”
รุ่นพี่ยังคงอธิบายกิจกรรมต่อจนเสร็จและในที่สุดก็ถึงเวลาปล่อยเสียที หลังจากไทม์อำลาและแยกย้ายกับบูมเขาก็ตรงไปอาคารร้อยปี
อาคารร้อยปีเป็นอาคารที่เรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดในมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ เมื่อก่อนมันถูกใช้เป็นตึกเรียนแต่ปัจจุบันนี้มันถูกบูรณะให้เป็นอาคารสำนักงานวิชาการและห้องสมุดแล้ว
ไทม์เดินเข้าตึกขึ้นไปยังชั้นสามที่เป็นชั้นห้องสมุด ทำการแตะบัตรนักศึกษาgเพื่อเข้าไปด้านใน ทันที่เข้ามาขั้นแรกก็กวาดสายตาผ่านเลนส์แว่นมองไปยังรอบๆ ห้องดูเหมือนว่าวันนี้คนจะใช้บริการไม่เยอะ แต่ก็ดีแล้วแหละมันดูสงบดีแล้วอีกอย่างเขาก็ไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะๆ ด้วย
สองขาเดินตรงไปยังล็อคที่ 11 ล็อคสำหรับหนังสือนวนิยายสืบสวนสอบสวนเดินไปตามทางเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดที่กลางล็อค ใช้สายตากวาดมองหาหนังสือที่ต้องการในที่สุดก็เจอมัน ทำการเอื้อมมือจนสุดหมายจะหยิบหนังสือที่อยู่ด้านบนแต่ไม่ว่าจะเอื้อมยังไงก็เอื้อมไม่ถึง
“สูงแฮะ”
แม้จะพยายามเอื้อมมืออีกครั้งคราวนี้เขย่งเท้าด้วยและในที่สุดเขาก็หยิบมันได้สำเร็จ แต่ก็ได้ดีใจได้เพียงเสี้ยววิเพราะหนังสือที่อยู่ติดกับหนังสือที่ดึงมามันดันร่วงให้หัว และด้วยความตกใจบวกกับความซุ่มซ่ามดันเผลอขยับตัวไปกระแทกกับชั้นหนังสือทำให้หนังสือที่อยู่ด้านบนร่วงลงมาใส่นับไม่ถ้วนจนล้มกับพื้น
“โอย~เจ็บ”
เจ้าตัวมองเพดานสูงพร้อมเบ้หน้าด้วยความเจ็บจากเหล่าหนังสือที่หล่นมาใส่ ให้ตายเถอะนี่มันวันซวยอะไรวะเนี่ย
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ”
ใบหน้าของใครบางคนยื่นเข้ามาในกรอบสายตาให้เห็นผู้หญิงผมบลอนด์ทองกับใบหน้าที่ออกแนวเซ็กซี่เหมือนสาวลูกครึ่งกำลังยืนมองจากบนหัวด้วยสีหน้าที่งงสุดๆ
“คุณคะ”
“ครับๆ!!”
เสียงสวยเรียกดึงสติให้ไทม์กุลีกุจอลุกพรวดจากกองหนังสือที่หล่นทับแต่ด้วยความรีบเกินไปเลยทำให้ตอนยืนเซเกือบจะล้มไม่เป็นท่าแต่โชคดีที่ได้ผู้หญิงผมบลอนด์ช่วยดึงเอาไว้ทำให้เขากลับมายืนตรงได้ดังเดิม
“ขอบคุณครับ”
ไทม์ก้มขอบคุณพร้อมกับยืนเต็มความสูงทำให้ได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ อีกครั้ง ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงอ่อนรับกับใบหน้าที่คมคายออกไปทางลูกครึ่งมองดูแล้วเธอสวยราวกับพวกดาราฮอลลีวูดเลยก็ว่าได้
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
เธอแสดงสีหน้าสงสัยพร้อมกับปั้นคิ้วขมวดเล็กน้อย ดันเผลอไปจ้องเขาเสียได้ “เอ่อ…ป่าวครับ คือ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” ไทม์ก้มขอบคุณเธออีกครั้ง
“เหมือนเธอจะมีแผลที่หัวนะ”
“เอ๊ะ?” ยกมือแตะๆ ที่หน้าผากแต่ก็ไม่เห็นจะมี คนตรงหน้าส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะวิสาสะเอื้อมมือมาแตะที่หน้าผากเบาๆ
“ตรงนี้ต่างหาก” นิ้วเรียวสวยแตะลงที่แผลบนหน้าผากเบาๆ
“อ่อ ขอบคุณครับ”
“เจ็บรึป่าว” เธอเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นห่วงพร้อมกับจิ้มๆ แผลเบาๆ เพื่อเช็คแผลบนหน้าของคนซุ่มซ่าม
“ไม่เจ็บครับ คงจะโดนตอนหนังสือหล่นใส่” ได้แต่ยิ้มแห้งกลับไป เอาจริงมันก็เจ็บแหละแต่ตอนนี้รู้สึกอายมากกว่า ดันมาซุ่มซ่ามต่อหน้าคนอื่นซะได้โคตรจะซวยเลย!
“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ” รุ่นพี่บรรณารักษ์วิ่งหน้าตาตื่นมาทางพวกเขา
“อ่อ พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ ต้องขอโทษด้วย”
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยนะครับ” รุ่นพี่บรรณารักษ์เหมือนจะเดินเข้าทางที่พวกเขายืนอยู่แต่จู่ๆ รุ่นพี่คนสวยก็พูดดักเอาไว้
“นายกลับไปดูแลด้านหน้าเถอะ เดี๋ยวทางนี้พวกเขาจัดการเอง”
“แต่..”
“ไปเถอะ”
รุ่นพี่สาวคนสวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทำให้รุ่นพี่บรรณารักษ์คนนั้นยอมแพ้และก็เดินจากไปอย่างช่วยไม่ได้
ไทม์หันกลับมาจัดการกับกองหนังสือบนพื้นค่อยๆ หยิบมันเข้าชั้นดังเดิมโดยมีรุ่นพี่สาวสวยผมบลอนด์คอยช่วย พวกเขาใช้เวลาอยู่สักพักใหญ่ในการเก็บหนังสือทั้งหมดเข้าชั้นจนในที่สุดก็เหลือเล่มสุดท้าย
ขณะที่กำลังก้มตัวลงหยิบเป็นเวลาเดียวกันที่รุ่นสาวตรงหน้าก็เอื้อมมือมาหยิบด้วยเหมือนกันทำให้เขาต้องชะงักออกพร้อมกับก้มหัวขอโทษอีกคนอย่างไม่ตั้งใจ
“ขะ-ขอโทษครับ”
“ขอโทษเรื่องอะไรคะ” เธอทำหน้าสงสัยพลางสอดหนังสือเล่มสุดท้ายในมือเข้าชั้น
“ก็เรื่องที่ผมซุ่มซ่ามจนทำให้คุณลำบากน่ะครับ” ไทม์พูดพลางเกากางเกงตัวเองด้วยความเขิน
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เอง” เธอยกยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตร
“ยังไงก็ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” ไทม์ก้มหัวขอบคุณเธออีกครั้งไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่แต่ก็ขอบคุณไปก่อน
“ขอบคุณบ่อยเกินไปแล้วนะเนี่ย”
“เอ๊ะ?อ่อ พอดีผมติดนิสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วน่ะครับ”
“อ๋อ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมของตัวนะครับ” ไทม์ก้มหัวลาเธออีกครั้งก่อนจะรีบหมุนตัวเดินออกมาแต่ก็ยังไม่ทันที่จะก้าวเธอก็เรียกรั้งไว้ “เดี๋ยวก่อน”
“ครับ?” เธอก้มหยิบอะไรบางอย่างที่พื้นก่อนจะยื่นมาให้ “ให้ผมหรอครับ” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นการถามแต่เหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป
“กระเป๋าตังค์ตก” พอบอกว่าเป็นกระเป๋าตังค์ตกไทม์ก็รีบค้นกางเกงของตัวเองทันที
เออใช่ กระเป๋าตังค์มันไม่อยู่ที่ตัวนี่ว่า “อ่อ ของผมเอง ขอบคุณครับ” เขายื่นมือไปรับพร้อมกับยิ้มแห้งก่อนพูดขอบคุณครั้งที่ร้อย
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เธอพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่ไทม์จะรีบหมุนตัวเดินออกจากตังค์นั้นทันที
โอ๊ย ซุ่มซ่ามไม่พอแล้วยังจะทำตัวเด๋อด๋าอีกแล้วแบบนี้เธอจะมองเขาเป็นคนยังไงวะเนี่ย
ไทม์เดินมายังอาคารตึกข้างๆ อาคารสำนักงานวิชาการก่อนจะหย่อนตัวลงที่เก้าอี้ไม้ใต้ตึกและจะเอาหนังสือที่ยืมมาออกมาวางแต่ก็ดันเกิดมือไม้อ่อนจนเกือบทำหนังสือร่วง
“ฟู่ว~ เกือบไปแล้ว”
ถ้าหนังสือร่วงขึ้นมาจริงๆ นี่ยุ่งเลย
จัดการเปิดหนังสือไล่หาข้อมูลที่อาจารย์สั่งงานวันนี้ ขณะนั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนไกลๆ ผมสีบลอนด์สะดุดตายาวกลางหลัง ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นพี่สาวคนสวยเมื่อกี้นะ
สายตาจดจ้องมองเธอ ขนาดมองจากข้างหลังจากไกลๆ ยังออร่าจับเลย ว่าแต่เธอชื่ออะไรนะ
“ทำไรอ่ะ!!!”
“เฮือก!!”
เสียงตะโกนทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ รีบหันไปหาต้นเสียงจนพบว่าคือติมนั่นเอง
ติมเป็นเพื่อนสนิทอีกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกัน แต่เขาไม่ค่อยจะมาเข้ารับน้องสักเท่าไหร่เพราะหมอนี่เตรียมตัวจะเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหาลัยน่ะสิ
“ยังไม่ไปคัดตัวหรอ”
“ยัง รอพี่เขาเรียก” อีกคนพูดพร้อมกับนั่งลงฝั่งเดียวกัน “เมื่อกี้ส่องสาวหรอ”
“บ้า ไม่ได้ส่อง” รีบหันกลับไปสนใจหนังสือตรงหน้าเพื่อกลบเกลื่อน “หรอ ไหนบอกจะทำเรื่องคดีเฮช เฮช โฮมไม่ใช่หรอ แต่ไอ้หน้าที่มึงเปิดอยู่มันเป็นของเอ็ดกีนนะ”
เอ๊ะ?มองหน้าหนังสือพบว่ามันเป็นคนละเรื่องที่จะหาข้อมูลจริงๆ ชิบล่ะ
“เห~~ นี่ล่กขนาดเปิดเรื่องผิดเลยหรอเนี่ย ไหนว่าไม่ได้ส่องไงเพื่อน”
หนอยแน่เจ้าติม มันจะรู้มากเกินไปแล้วนะ
“ละ-แล้วไงล่ะ คนเรามันก็ต้องมีส่องๆ บ้างแหละน่า” พยายามพูดกลบเกลื่อน ติมน่ะเป็นคนฉลาดแล้วก็เจ้าเล่ห์มากบวกกับว่าเขาป็นคนโกหกใครไม่เป็นด้วยเลยไม่แปลกที่เรื่องแค่นี้ที่ติมจะดูออก
“แต่พี่สาวคนนั้นก็สวยจริงนะ ดูสิพวกตัวผู้แถวนี้มองตาเป็นมันเลย”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็โดนด่าหรอก” ไม่พูดเปล่าพลางยกมือตีแขนคนข้างๆ ไปทีนึง ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าเดี๋ยวจะเป็นเรื่องเอาได้
“กลัวไรเล่า ไม่มีใครเขาทำไรหรอก นี่ในมหาลัยนะมีเรื่องขึ้นมาได้โดนทัณฑ์บนหรอก”
พูดเสร็จเจ้าตัวก็หันไปเล่นเกมส์ในมือถือต่อ แต่ขณะที่กำลังจะหันสายตากลับไปทำงานก็ต้องชะงักอีกรอบเมื่อเห็นว่าพี่สาวคนสวยคนนั้นกำลังยืนคุยกับรุ่นพี่ผู้ชายคนนึงดูสูงหุ่นมีกล้ามเนื้อดูกลายๆ น่าจะเป็นคนที่ฮอตน่าดู
“ไอบูมไปไหนอ่ะ” ติมที่กำลังจดจ่อกับมือถือเอ่ยถามผม
“เห็นว่าไปทำธุระมั้ง เดี๋ยวก็คงมาแหละตอนบ่ายสองต้องเข้ารับน้องอีกนี่”
“นี่แก นั่นใช่ผู้หญิงคนนั้นป่ะ”
“คนไหนอ่ะ”
“ก็คนที่แฟนเก่าแกไปจีบไง”
เสียงสนทนาของคนใกล้เคียงดังจนทำให้เขาต้องหยุดฟังก่อนจะมองตามที่ผู้หญิงหนึ่งในนั้นชี้แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่รู้สักทีว่าคนที่พวกเธอคือใครกัน
ว่าแต่นินทากันโต้งๆ แบบนี้เลยหรอเนี่ย
“อ๋ออีนั่นน่ะหรอ ใช่ ว่าแต่ทำไมมันมาเสนอหน้าที่ตึกนี้ล่ะ”
“จะไปรู้มั้ยละ คงมาเดินอ่อผู้ชายล่ะมั้ง”
“เหอะ แรดซะไม่มี”
สองสาวนั่นนินทาเสร็จก็เดินจากไปได้แต่ทิ้งปมความสงสัยให้ไทม์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“มึงกำลังสงสัยใช่มั้ยว่าสองคนนั่นกำลังนินทาใครอยู่”
ติมพูดขึ้นขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับเกมส์ในมือถือ
“มึงรู้ได้ไงอ่ะ” ทั้งที่มันกำลังรวมสมาธิไปที่เกมส์ในมือถือแท้ๆ แถมยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยแต่กลับมารู้ความคิดของเขาเฉย
“หน้ามึงมันบอกไง”
“หน้ากูหรอ” ผมยกมือจับหน้าไปพลาง
“เออ”
“งั้นมึงรู้หรอว่าสองคนนั้นนินทาใคร”
“มึงกวาดสายตามองดิ แค่นี้ก็น่าจะรู้แล้ว”
หัวคิ้วขมวดปมก่อนจะทำการกวาดสายตาไปรอบๆ ตามที่ติมบอกอยู่สองสามรอบ
“ใครอ่ะ”
พอไทม์ตอบไอติมก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นพร้อมกับทำหน้าราวกับกำลังด่าว่า นี่มึงยังไม่รู้อีกเรอะ
ก็เขาไม่รู้จริงๆ นี่
“เมื่อกี้สองคนนั่นมองไปทางไหน”
“ตรงโน้น” ไทม์พูดพร้อมกับชี้ไปบริเวณด้านหน้า “แล้วตรงนั้นมันมีผู้หญิงกี่คน”
ไทม์หันไปมองอีกรอบพบว่าบริเวณตรงที่เขาชี้มีผู้หญิงเพียงแค่คนเดียวคือพี่สาวผมบลอนด์ที่ช่วยเขาในห้องสมุดเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
อย่าบอกนะว่าคนที่สองคนนั้นนินทาคือพี่สาวคนนั้นน่ะ
“ก็ตามนั้นแหละ”
“แล้วทำไมต้องนินทาพี่สาวคนนั้นด้วยอ่ะ”
“มีสองอย่าง สิ่งพูดเป็นจริงยอมรับไม่ได้เลยนินทากับสอง แค่เขาสวยกว่าเด่นกว่ามองแล้วขัดใจก็เลยนินทา”
แค่เนี้ยะนะ
“งั้นพี่สาวคนนั้นก็ไม่ได้ผิดน่ะสิ”
“อืม”
และดูเหมือนมันจะยังไม่จบเริ่มมีเสียงซุบซิบของกลุ่มผู้หญิงที่ถัดจากโต๊ะของพวกเขาไม่ไกลพูดถึงพี่สาวคนนั้นในทางที่ไม่ดี
ขมวดคิ้วของเขาเริ่มเป็นปมอีกครั้ง แค่เธอเด่นกว่ามันต้องขนาดนี้กันเลยหรอ อยากจะรู้จริงๆ ว่าพี่สาวคนนั้นทำอะไรผิดทำไมถึงต้องนินทากันขนาดนี้ด้วย
“มึงกำลังสงสัยอยู่ใช่มั้ยว่าทำไมพี่สาวคนนั้นถึงโดนนินทา” มันรู้ความคิดผมอีกแล้ว
“ใช่”
“ก่อนมึงจะไปสงสัยเรื่องเขามึงสงสัยเรื่องตัวเองก่อนว่าเมื่อไหร่งานมึงจะเสร็จ เอาแต่เสือกเรื่องชาวบ้านอยู่นั่นแหละงานการไม่เดินสักที”
“แหะๆ ลืมเลย”
ไทม์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อนคนข้างๆ ยุ่งเรื่องชาวบ้านเพลินไปหน่อย
สายตาทอดมองแผ่นหลังเล็กที่อยู่ไกลๆ ที่กำลังเดินออกจากตึกนี้ ถ้าเป็นเขาแล้วต้องทนอยู่กับเสียงนินทาพวกนี้ทุกวันคงไม่ไหวหรอก อึดอัดแย่
แรงสั่นที่เอวเรียกความสนใจมือเรียวสวยหยิบมือถือที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมาก่อนจะกดรับเมื่อเห็นว่าชื่อบนหน้าจอเป็นเพื่อนสนิท
“ว่า…”
[ไอ้ลู! ไปห้องสมุดหรือไปขี้เนี่ย นานแท้] ยังไม่ทันที่จะพูดเสร็จเสียงของคนปลายสายก็ตะโกนลั่นออกมาจนหญิงสาวต้องยกมือถือออกห่างจากหู
“เฮ้อ เจออุบัติเหตุนิดหน่อย”
[อุบัติเหตุอะไรวะ แล้วเป็นอะไรรึเปล่า โอ๊ย!] น้ำเสียงห้าวของเบลล์อ่อนลงพร้อมกับเสียงดังตึงและเสียงร้องคงน่าจะลุกแล้วชนโต๊ะเหมือนๆ เคยนั่นแหละ
“เปล่า แค่เข้าไปช่วยคนเฉยๆ” ระหว่างคุยลูซี่ก็เดินไปตามซอกซอยชั้นหนังสือพลางกวาดสายตาหาหนังสือที่ต้องการ
[อ่อ แล้วหาหนังสือเจอยังอ่ะ] สองขาหยุดเดินอยู่ที่ซอยชั้นหนังสือที่อยู่ด้านในสุดก่อนจะหันไปหยิบเก้าอี้สำหรับปีนมาใช้ในการหยิบหนังสือที่อยู่ชั้นที่สี่
“เจอแล้ว ทำไม”
[ฝากซื้อโกโก้หน่อยดิ เหมือนเดิมนะ]
“อือ”
หลังจากที่คุยกับเบลล์เสร็จก็รีบจัดการยืมหนังสือให้เรียบร้อย นี่ก็กินเวลามากแล้วยังไม่ได้เริ่มงานสักที ลูซี่เดินออกจากห้องสมุดตรงไปเรื่อยๆ ยังคาเฟ่ที่อยู่ห่างจากห้องสมุดประมาณ 200 เมตร เอาจริงๆ มันก็ถือว่าไกลอยู่แหละแต่ก็ไม่ไกลมากจนเดินไม่ไหว
“โกโก้หวานเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์กับคาปูชิโน่อย่างละแก้วค่ะ”
“ทั้งหมดเก้าสิบห้าบาทค่ะ” หยิบมือถือขึ้นมาสแกนจ่ายพร้อมกับหันหน้าจอสลิปให้พนักงานดู
“เรียบร้อยค่ะ เดี๋ยวรบกวนรอสักครู่นะคะ” ขณะที่กำลังนั่งรอลูซี่ก็กวาดสายตามองรอบๆ จนไปหยุดกับทาร์ตไข่ในตู้กระจกก่อนจะนึกได้ว่าทาร์ตไข่เป็นของโปรดเบลล์ ว่าแล้วก็ซื้อไปให้เธอสักหน่อยดีกว่า
ระหว่างรอก็หยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปพลางแต่ก็เล่นได้แค่แปปเดียวก็ต้องยกมือถือลงเพราะเสียงจากด้านนอกทำให้ฉันต้องหันไปมอง นักศึกษากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งหรือจะเรียกสาขาหนึ่งก็ว่าได้กำลังเดินจับมือกันเป็นแถวๆ เดินผ่านร้านโดยมีรุ่นพี่ปีอื่นเดินคุมอยู่จนไปหยุดที่เด็กปีหนึ่งคนหนึ่งที่เกือบปลายแถว
เด็กปีหนึ่งที่เธอเจอในห้องสมุดคนที่ทำหนังสือกว่ายี่สิบหล่นใส่หัวเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา เด็กปีหนึ่งหน้าหวานที่มีแว่นทรงกลมประดับอยู่บนหน้าริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่เห็นแล้วก็รู้ว่าคงเป็นคนที่ดูแลสุขภาพได้ดีมาก
ไม่นานเสียงเรียกจากพนักงานก็ดังขึ้นให้ลูซี่ต้องละสายตาจากนอกกระจก ก่อนจะเดินไปรับเครื่องดื่มที่เหลือแล้วเดินออกจากคาเฟ่เพื่อที่จะตรงดิ่งไปยังตึกคณะบริหาร
หยุดยืนหน้าคาเฟ่มองไปทางกลุ่มนักศึกษานั้นที่กำลังยืนเรียงแถวเพื่อกำลังไหว้ศาลเจ้าพ่อสรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมหาวิทยาลัย เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าเธอกำลังมองเขาอยู่ หนุ่มแว่นหันซ้ายหันขวาก่อนจะหันาทางหญิงสาว เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแห้งพลางส่ายสายตาที่เลิ่กลั่กแล้วหันกลับไป
“หึ” ความเด๋อด๋าของเขาทำเธอเผลอหัวเราะออกมาก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น
ให้ตายเถอะคนอะไรจะเด๋อด๋าได้ขนาดนี้ แต่ก็นะ น่าสนใจจริงๆ
เดินจนมาถึงตึกคณะทันทีที่วางของลงบนโต๊ะหินอ่อนเบลล์ที่นอนฟุบอยู่ก็ตื่นขึ้นมาทันทีราวกับกำลังรอเธออยู่
“โกโก้มาแล้ว” เบลล์บิดขี้เกียจพร้อมกับเอื้อมมือมาคว้าแก้วโกโก้ไปดื่มในทันที “อร่อย”
เบลล์ดูดเสร็จก็เอ่ยออกมาพร้อมกับทำแก้มกลมตามสไตล์ของเธอ ลูซี่ส่ายหัวกับความเด็กน้อยของเพื่อนสาว เบลล์เธอก็มีนิสัยอย่างนี้แหละอายุเท่ากันแต่นิสัยไม่ต่างกับเด็กสามขวบเลย
“อ๊ะนี่ ทาร์ตไข่” ลูซี่ส่งถุงทาร์ตไข่วางลงหน้าอีกคนเบลล์ที่เห็นก็ถึงกับตาวาวทันทีก่อนจะรับไปเปิดเช็ค “ซื้อให้หรอ ขอบคุณน้า” ลูซี่ยกมือดันหน้าเบลล์ที่พุ่งตัวมากอด
“ขอบคุณอย่างเดียวก็ได้ไม่ต้องกอด”
“งั้นหอมก็ได้ จุ๊บ”
เบลล์เอื้อมมือมาจับแก้มพร้อมกับกดจมูกลงที่แก้มหนักๆ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดีแต่ก็เอาเถอะ เพราะเธอน่ารักถึงได้ยอม
สองสาวนั่งทำงานพลางนั่งกินขนมไปกันไปพลางก่อนจะเหลือบมองเวลาที่มุมล่างจอโน้ตบุ๊คพบว่าตอนนี้เวลาบ่ายสองแล้ว
“ไงสองสาว ยังไม่กลับกันอีกหรอ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยทำให้พวกเธอหันไปมอง
เจเจเดือนคณะมนุษย์ศาสตร์สาขาภาษาจีนเพื่อนสมัยเด็กของลูซี่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นกับสนิทหรอกก็พอคุยกันได้
“ยังอ่ะ กะจะทำงานให้เสร็จก่อนน่ะ” เบลล์ตอบพลางเคี้ยวทาร์ตไข่เต็มปาก
“โห ขยันกันจริง” เจเจนั่งลงตรงที่ว่างระหว่างลูซี่กับเบลล์
ยอมรับว่าเจเจเป็นคนเข้าถึง ง่าย ใจดี หน้าตาก็ดีด้วย สูงร้อยแปดสิบกว่าๆ หุ่นนายแบบ ฐานะก็ดีมีหน้ามีตาในสังคม แถมยังเก่งรอบด้านจนเรียกได้ว่าเป็นผู้ชาย ที่แสนจะเพอร์เฟคเลยก็ว่าได้ ผู้ชายแบบเขาใครๆ ก็หมายปองอยากจะเป็นแฟนเขาทั้งนั้น
“แล้วนายไม่กลับหรอ”
“อ๋อ เรารอเรียนบ่ายน่ะ” นั่งทำงานเงียบๆ ฟังพวกเขานั่งคุยกัน ขณะที่กำลังคุยกันอยู่จู่ๆ ก็มีลมแรงพัดมาจนข้าวของที่อยู่บนโต๊ะเกือบปลิว
“อ๊ากลม!” เบลล์กรีดร้องพร้อมกับเอี้ยวตัวมาจับพวกแก้วพวกถุงขนมกับแก้วน้ำที่ว่างเปล่าแต่เหมือนถุงทาร์ตไข่มันไม่รักดีมันปลิวออกจากอ้อมกอดของเบลล์ก่อนที่กล่องทาร์ตไข่จะร่วงหล่นใส่หัวของลูซี่เต็มๆ
เมื่อลมแรงหยุดพัดเธอเอื้อมมือไปหยิบกล่องทาร์ตไข่ที่อยู่บนหัวออก
“ลูซี่เศษขนมหล่นเต็มหัวเลย” ลูซี่ปั้นหน้าคิ้วขมวดพลางเอื้อมมือไปปัดเศษบนหัว เจเจที่เห็นว่าเธอยังปัดไม่หมดเขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับวิสาสะเอื้อมมือมาปัดเศษขนมที่อยู่บนหัวให้เบาๆ “อ่ะ หมดแล้ว”
“ขอบใจ” เธอหันไปขอบคุณเขา เวรชิบ ไอ้ลมบ้าแกทำให้ฉันดูแย่
เสียงแจ้งข้อความจากมือถือของเจเจดังขึ้นเขาหยิบมันออกจากกระเป๋าเป้ขึ้นมาดู “เพื่อนเราเรียกแล้ว เดี่ยวเราขอตัวก่อนนะ”
“อ่าว จะไปแล้วหรอ”
“อือ เห็นว่าที่สาขามีปัญหาน่ะ เลยเรียกรวม”
“อ๋อ งั้นเจอกัน” เจเจหยิบกระเป๋าลุกจากเก้าอี้โดยไม่ลืมที่จะหันมาโบกมือลา พวกเธอมองตามแผ่นหลังของเจเจจนเขาลับสายตาไปก่อนที่จะหันกลับมาสนใจงานตรงหน้าต่อ
“ดูท่าทางหมอนั่นจะยังไม่ตัดใจจากลูนะ”
“อืม คงงั้น”
เธอตอบเบลล์ไปโดยที่สายตายังคงจดจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊คอยู่ ดูจากอากัปกิริยากับสายตาของเจเจเมื่อกี้ก็พอจะรู้อยู่แหละว่าขายังคงชอบลูซี่อยู่ทั้งที่ก็เคยปฏิเสธไปรอบนึงแล้วแต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า
‘ตอนนี้เธอยังไม่มีใครเราขอโอกาสเธออีกครั้งได้มั้ย เราสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธอรำคาญใจ’ ก็นั่นแหละมันเลยเป็นอย่างที่เห็น
“หมอนั่นนี่สุดๆ เลยนะ โดนปฏิเสธไปตั้งขนาดนั้นยังมีคววามพยายามอยู่อีก เป็นฉันนี่ยอมแพ้ตั้งแต่โดนปฏิเสธละ”
“ก็นะ” ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ซึ่งลูซี่ก็ไม่ได้อะไรนะก็ปล่อยให้เขาทำแบบนั้นต่อไป ไม่ใช่ว่าที่ปล่อยให้เขาตามจีบต่อเพราะเธอมีใจ แต่เขาเลือกเองว่าจะยังจีบต่อ อีกอย่างเขาบอกเองว่าจะไม่ทำให้รำคาญ ซึ่งเธอก็ขัดอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ปล่อยไปตามนั้น
“เดินไปอย่าแตกแถวกันนะครับ จับมือกันดีๆ!”
“อะไรนั่นน่ะ”
เสียงคนตะโกนจากทางฟุตบาทจากหน้าคณะมันดังมากจนสองสาวถึงกับต้องหันไปมอง กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่คุ้นตาเหมือนจะเป็นพวกเด็กสาขาหนึ่งที่เจอเมื่อตอนกลางวันแถวคาเฟ่ กลุ่มคนค่อยๆ ดินผ่านไปจนสายตาไปหยุดที่ผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีที่กำลังเดินจับมือเพื่อนๆ พลางยกขาเตะคนข้างหน้าด้วยท่าทางเด๋อด๋า จู่ ๆ มุมปากก็ยกขึ้นอัตโนมัติพร้อมกับแค่นหัวเราะเล็กน้อย
“หัวเราะอะไรอ่ะลู” เบลล์ถามขณะที่ยังเคี้ยวทาร์ตไข่อยู่เต็มปาก “ไม่มีอะไร เลิกกินแล้วมาช่วยกันทำงานได้แล้ว”
ลูซี่เอื้อมมือหมายจะยึดทาร์ตไข่ในมืออีกคนแต่เบลล์ก็เลือกที่จะยัดมันเข้าปากไปทั้งหมด
“อู้แอ้ว (รู้แล้ว) ”
ไดแต่ส่ายหัวเนือยๆ กับนิสัยเด็กของเพื่อนสนิทตรงหน้าก่อนจะเหลือบสายตามองเด็กแว่นที่ใกล้จะลับสายไปอีกครั้งพลางคิดอะไรบางอย่างในหัว
“น้องแว่นคนนั้นใช่มั้ย” เบลล์บุ้ยปากไปทางผู้ชายใส่แว่นคนนึงในกลุ่มปีหนึ่งที่พึ่งเดินผ่านไป
“อะไร”
“ไม่ต้องมาอะไรเลย รู้นะว่ามองน้องคนนั้นอยู่”
“แล้ว?”
“ไม่ปฏิเสธด้วยนะ”
“แล้วทำไมต้องปฏิเสธ”
“ฮั่นแน่~ ร้ายกาจนักน้า~” จะปฏิเสธทำไมล่ะในเมื่อเธอมองเด็กคนนั้นจริงๆ “แล้วรู้ชื่อเขาปะ”
“รู้”
“เขาบอกหรอ”
“ป่าว อ่านป้ายชื่อเอา” ปากตอบแต่สายตายังคงจดจ้องเด็กคนนั้นอยู่ จนเขาค่อยๆ เดินละจากสายตาไป
“มองขนาดนั้นเดินเข้าไปขอไลน์เขาเลยมั้ย” เบนสายตามาหาเพื่อนสาวที่กำลังเท้าคางมอง “ได้หรอ”
“ล้อเล่นมั้ยล่ะ”
“อ่าวหรอ แต่ก็น่าลองขอจริงๆ นะ” เบลล์เอื้อมมือมาจับแขนพร้อมกับส่ายหน้าราวกับกำลังห้าม “ใจเย็นสาว รู้ว่าอยากคุยกับเขามากแต่ช่วยยับชั่งใจบ้าง”
“หึ ก็ได้ๆ” ยกมือทำท่ายอมแพ้ก่อนจะกลับไปสนใจตรงหน้าต่อ ทำกันไปสักพักระหว่างรอทำงานต่อจากเบลล์เธอก็นั่งเล่นโซเชียลไปพลาง ขณะนั้นเองก็เลื่อนไปหยุดกับโพสต์ๆ หนึ่ง
‘ggg4478 share scient computer 62 page รับน้องวันแรก ไหว้ศาลพระพิฆเนศ รูปภาพ 25+’
กดเข้าที่รูปภาพก่อนจะหยุดที่รูปรวมหนึ่ง สายตาสะดุดกับชายใส่แว่นตั้งแต่แรกก่อนมุมปากจะยกยิ้ม นิ้วเรียวกดเซฟรูปนั้นก่อนจะทำการตัดส่วนที่ไม่ใช้ออกทั้งหมดจนเหลือแค่ส่วนเดียวก่อนจะทำการเซฟมันลงเครื่อง
เสียงโหวกเหวกจากทางด้านหลังเรียกความสนใจให้หันไปมองพบว่าเป็นกลุ่มนักศึกษาสองกลุ่ม กลุ่มนึงเหมือนจะเป็นคณะมนุษย์ฯ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นสาขาวิทย์ฯ คอมฯ ที่เดินผ่านไปก่อนหน้า
สายตามองไปที่เด็กแว่นคนหนึ่งแต่เหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้เขาหันมาสบตาครู่หนึ่งพร้อมกับสะดุ้งไปหนึ่งทีก่อนจะทำสายตาเลิ่กลั่กแล้วยิ้มให้และก้มหัวเล็กน้อยแล้วเบนสายตาออกไป
มุมปากยกยิ้มอัตโนมัติก่อนจะส่ายหัวเบาๆ “เลิกยิ้มแล้วมาช่วยงานได้แล้ว”
“รู้แล้วน่า” หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาทำงานต่อจากคนขี้บ่นพลางพูดหนึ่งประโยคอยู่ในใจ
หวังว่าอนาคตอันใกล้เราจะได้เจอกัน
ไทม์
“มึง กูหนีกลับบ้านทันป่ะวะ” ติมพูดขึ้นพลางเอนตัวยืนพิงกับกำแพงห้องน้ำด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“ทำไมวะ แล้วทำไมทำหน้าอาลัยตายอยากขนาดนั้นน่ะ” ไทม์หันไปถามเพื่อนตัวดีอย่างอดห่วงไม่ได้
“ก็เมื่อวานกูซ้อมบอลกลับดึกมันล้าไปทั้งตัว เลยไม่อยากเข้ารับน้องอ่ะ”
ติมมันเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัยช่วงนี้อยู่ในช่วงคัดตัวเข้าทีมเลยต้องไปฝึกหลังเลิกกิจกรรมทุกวันเลยไม่แปลกที่มันจะเหนื่อยล้าขนาดนั้น
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องเข้า ลาพี่เขาเอาก็ได้” เสียงตะโกนของบูมดังออกมาจากห้องน้ำ
“ก็ถ้าไม่ติดว่าวันนี้พี่เขาบอกว่าห้ามขาดกูก็คงลาหรอก”
เมื่อวานช่วงเย็นประธานรุ่นส่งข้อความเข้ากลุ่มว่าวันนี้ปีหนึ่งต้องเข้าทุกคนห้ามขาดเพราะเห็นว่าจะคุยเรื่องกิจกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ “เสร็จแล้ว ป่ะ”
พวกไทม์ลงจากตึกคณะตรงไปยังลานข้างตึกที่ที่ใช้ทำกิจกรรมรับน้องของสาขาวิทย์ฯ คอมฯ ทันทีที่พวกเขามาถึงก็จัดการวางกระเป๋าบนโต๊ะหินอ่อนพร้อมกับนั่งลงเพื่อรอทำกิจกรรม
“พวกนาย อย่าลืมจ่ายค่าห้องนะ” พวกเขาที่นั่งคุยกันอยู่หันไปมองเพื่อนผู้หญิงในสาขาคนหนึ่งพร้อมกับทำหน้าสงสัย “ค่าห้องอะไรอ่ะ”
“ก็ค่าห้องที่ต้องเก็บคนละเก้าร้อยไง เงินส่วนกลางสำหรับใช้ในกิจกรรมอ่ะ” พอเธออธิบายพวกเขาก็ร้องอ๋อทันที เกือบลืมไปเลยนะเนี่ยว่าต้องจ่ายด้วย
“โอเคๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้จ่ายนะ” ตอบเออออไปก่อนจ่ายมั้ยไม่รู้ค่อยคิดอีกที
“มึงกูสงสัยอ่ะ ทำไมต้องเก็บค่าห้องด้วยวะ” บูมถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว
“เมื่อกี้เขาก็บอกไงว่าเอาไว้ในกิจกรรมอ่ะ”
“นี่มันมหาลัยแล้วนะยังต้องเก็บอีกหรอ แถมตั้งเก้าร้อยเลยนะนั่น อีกอย่างเก็บตอนนี้จะได้ใช้รึเปล่าวะ”
เขาเห็นด้วยกับที่ติมพูด พวกกิจกรรมของปีหนึ่งอย่างเช่นกีฬาสีหรือกิจกรรมอื่นๆที่มันต้องใช้เงินส่วนรวมมันก็ไม่ได้บ่อยขนาดนั้น อีกอย่างถ้าจะต้องเก็บเงินจริงๆ ก็ไปเก็บเอาตอนวันที่จะใช้ก็ได้ แล้วอีกอย่างเงินตั้ง 900 คูณกับจำนวนคนในสาขา 85 คนรวมกันก็เงินเป็นกว่า 76,500 ตั้งเกือบแสนมันไม่มีทางที่จะใช้หมดภายในปีสองปีอย่างแน่นอน
“แล้วมึงจะจ่ายป่ะ” ไทม์กับติมส่ายหน้า ใครจะไปจ่ายล่ะเงินเยอะตั้งขนาดนั้นพวกเขาไม่ได้กลัวเพื่อนทำเงินหายนะแต่กลัวว่าจะเพื่อนจะแอบเอาไปใช้เองซะมากกว่า
หลังจากนั่งคุยเล่นกันไปสักพักพวกรุ่นพี่ก็เริ่มทยอยกันมา
“ปีหนึ่งรวม!!” เสียงตะโกนของรุ่นพี่ทำเด็กปีหนึ่งทุกคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่รีบกุลีกุจอวิ่งมาเข้าแถวภายในไม่กี่วินาที
“นับตลอดนับ!”
“หนึ่ง! สอง! สาม!…” เสียงนับตลอดดังฟังชัดไปเรื่อย ๆจนคนสุดท้าย “สาขามีกี่คนครับ!” พี่ประธานรุ่นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดังแต่ก็ไม่มีใครตอบเลยสักคน
“ถามทำไมไม่ตอบครับ!! ปากเป็นอะไรกัน!!” เสียงของพี่ว๊ากทำเอาพวกปีหนึ่งพากันสะดุ้งเฮือก “แปดสิบห้าคนครับ!!” หนึ่งในเพื่อนตะโกนตอบ
“เมื่อวานผมบอกว่าไงครับ ผมบอกว่าห้ามขาดไม่ใช่หรอ แล้วทำไมวันนี้ถึงมาแค่แปดสิบคน! ตอบ!” ไม่มีเสียงตอบรับ ไทม์แอบเหลือบสายตามองเพื่อนพบว่าทุกคนต่างก้มหน้ากันทั้งนั้น
“ใครจะไปรู้วะว่ามันจะหยุดกัน” ติมแอบบ่นเบาๆแต่เหมือนพี่ว๊ากจะได้ยิน
“คุยอะไรกัน!!! ผมสั่งให้พวกคุณคุยรึไง!!” เสียงของพี่ว๊ากทำเอาพวกเขาสะดุ้งโหยงก่อนที่จะเหลือบมองคนข้างๆพบว่าติมมองบนพร้อมกับเบะปากอยู่
ไทม์หลุดขำเล็กน้อยก่อนจะเม้มปากกลั้น “ปีหนึ่ง!! กอดคอ!!”
ปีหนึ่งพร้อมใจกันกอดคอจะเรียกว่าพร้อมใจก็ไม่ได้เพราะคงไม่ได้มีใครอยากทำแบบนั้น
“ลุกนั่งห้าสิบครั้ง ปฏิบัติ!!” สิ้นเสียงคำสั่งปีหนึ่งเริ่มลุกนั่งพร้อมกับเสียงนับที่ดังลั่นแต่ไม่มีความพร้อมกันเลยสักนิด “หยุด! หยุด!! เอาใหม่ ลุกนั่งห้าสิบครั้ง ปฏิบัติ!!”
“ฮึ่ม!” เสียงถอนหายใจแรงจากคนข้างๆ ดังขึ้นที่ข้างหู ไม่ใช่แค่ติมหรอกเขาก็ด้วย เข้าใจนะว่าช่วงนี้มันยังไม่ปลดระเบียบ เด็กปีหนึ่งจะต้องเชื่อฟังรุ่นพี่ทุกอย่างห้ามขัดแต่แค่เพื่อนมาไม่ครบก็ไม่ถึงกับต้องสั่งลงโทษขนาดนี้ก็ได้มั้ง “หนึ่ง!! สอง!! สาม!!…”
หลังจากลุกนั่งจนครบพวกรุ่นพี่ก็ปล่อยให้ปี 1 นั่งพักกันอยู่ครู่ ไทม์รับน้ำจากรุ่นพี่คนหนึ่งมาดื่มพร้อมกับสูดหายใจลึก
“ปีหนึ่งลุก!! เรียงแถว เดี๋ยวจะให้ซ้อมบูมกัน” พี่ประธานรุ่นจัดการแบ่งเป็นกลุ่มๆ หลังจากถูกจับแยกเป็นกลุ่มบูม ไทม์ ติมและเพื่อนอีกเจ็ดแปดคนคนก็เริ่มซ้อมบูมโดยมีรุ่นพี่สองสามคนคอยกำกับ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงซ้อมไปพักไป ไทม์หย่อนตัวนั่งลงที่ขอบปูนใกล้ๆ พลางใช้มือนวดขาที่ปวดเมื่อย บูมหย่อนตัวลงข้างๆ เอื้อมมือแตะที่บ่าด้วยความเป็นห่วง
“มึงไหวมั้ยเนี่ย” พยักหน้าตอบเนือยๆ
“มึงแน่นะ”
“เออ ไหวๆ” อยากจะบอกว่าไม่ไหวนะแต่กลัวจะเป็นตัวถ่วงเพื่อนเลยตอบแบบนั้นไป
“ปีหนึ่งรวม!!” เสียงเรียกรวมทำเอาเด็กปีหนึ่งกุลีกุจอวิ่งรวมแถวภายในไม่กี่นาที
“จัดแถวเลยเดี๋ยวจะบูมกัน ผู้ชายมาอยู่ข้างหน้าผู้หญิงไปอยู่ข้างหลัง”
เดินอ้อมไปด้านหน้าจัดแถวตามพี่ประธานสั่งโชคดีที่ไม่ได้อยู่แถวหน้าสุด ไม่อยากเด่น เดี๋ยวผิดขึ้นมาเดี๋ยวขายหน้าแย่
“กอดคอ!! พร้อม!!” เสียงแขนที่กระทบกับเนื้อผ้าพร้อมกับเสียงเท้าก้าวขาไปข้างหน้าเพื่อตั้งท่าพร้อมบูม
“บูม!!!” เสียงบูมประสานดังก้องไปทั่วบริเวณโดยมีสายตาของรุ่นพี่คอยดู
“อีกรอบนะ กอดคอ!! พร้อม!! บูม!!!” บูมกันอีกครั้งจนเสร็จ เงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึกแต่ก็ต้องหรี่ตาเพราะจู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็เบลอขึ้นมากระทันหัน พยายามหรี่ตากวาดมองไปรอบๆ ก็พบว่ารอบๆ ด้านภาพก็เบลอเหมือนกัน
“ไอ้ไทม์ แว่นมึงตก”
“ห๊ะ? ไหน ๆ”
ไทม์ก้มมองหาแว่นรอบๆ แต่ด้วยภาพทุกอย่างมันเบลอไปหมดทำให้มองอะไรแทบไม่เห็นเลย
“อยู่นี่ๆ มึงอย่าขยับดิเดี๋ยวเหยียบ” พยายามขยับขาเพื่อจะหลบให้ติมหยิบแว่นให้แต่ด้วยสายตาที่เบลอจัดทำให้รู้สึกมึนหัวทรงตัวไม่ค่อยอยู่
แกร๊บ
“ไอ้ไทม์ มึงเหยียบแว่นแล้ว”
“ห๊ะ? จริงดิ” พยายามก้มมองเท้าเพื่อหาแว่นตัวเองแต่เหมือนยิ่งขยับตัวก็ยิ่งเหยียบแว่น
“ไอ้ไทม์มึงยกขาดิ” บูมตีขาข้างขวาให้ยกขึ้น เขาพยายามหรี่ตามองคนข้างๆ ที่ก้มๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“เอ้า สภาพเละเทะเลย” ไทม์รับแว่นมาใส่พลางกระพริบตาปรับภาพตรงหน้าจนมันเหมือนจะเริ่มชัดขึ้นแต่มันก็ไม่ชัดขนาดจนเหมือนปกติแถมยังมีแต่รอยแตกกับคราบดินที่เกาะและยังเช็ดออกไม่หมดอีก
“มึงมีอันสำรองมั้ย” ได้แต่ส่ายหน้า ราคาแว่นสายตามันค่อนข้างจะแพงเลยไม่ได้ซื้ออันสำรองเก็บไว้ ตอนแรกก็คิดว่ากะจะใช้อันนี้ไปสักช่วงปีสองปีสามแล้วค่อยเปลี่ยนนั่นแหละแต่ดันมาแตกเอาซะก่อน
“สงสัยคงต้องตัดใหม่แล้วล่ะ”
“ก็ต้องตัดใหม่แหละ หรือมึงจะใส่ต่อก็ได้นะไม่มีใครว่า” เขามองค้อนติมก่อนจะเอื้อมมือฟาดแขนไปทีนึงแต่ก็ต้องวืดเพราะติมดันลุกหนีซะก่อน
“แถวข้างมอมันมีร้านตัดแว่นอยู่ลองไปดูดิ น่าจะไม่แพงหรอกมั้ง”
“จริงหรอ เออๆ เดี๋ยวไปดู”
ทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงห้าโมงเย็นเป็นเวลาเลิกพอดี ตอนแรกบูมก็กะจะมาเป็นเพื่อนแต่มีธุระด่วนเลยต้องกลับก่อน ส่วนติมก็มีซ้อมฟุตบอลเลยเป็นผลให้เขาต้องมาคนเดียว
ไทม์เดินไปตามฟุตบาทข้างมหาวิทยาลัยพลางกวาดสายตามองหาร้านตัดแว่นที่เพื่อนบอก แต่ด้วยสภาพการมองเห็นมีแต่รอยแตกของแว่นเต็มไปหมดทำให้เดินลำบากกว่าปกติ
สายตาหยุดไปที่ร้านหนึ่งที่มีป้ายหน้าร้านใหญ่มากมีตัวหนังสือสีฟ้าเด่นหราอยู่ด้านบนร้าน ‘แว่นสวยรวยตา’ ไทม์หยุดมองซ้ายมองขวาดูรถเพื่อจะข้ามถนน ยานพาหนะสารพัดชนิดขับผ่านหน้าไปหลายนาทีตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข้ามสักที
รออยู่กว่าเกือบยี่สิบนาทีในที่สุดเขาก็ได้ข้าม ไทม์รีบวิ่งจากอีกฝั่งมาถึงอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัย เดินต่อมาอีกนิดจนมาหยุดยืนที่หน้าร้าน พยายามหรี่ตามองชะเง้อด้านในก่อนจะเอื้อมมือไปจับประตูแต่ก็ต้องชะงักก่อนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นป้ายหน้าร้านที่โชว์ว่า ‘close’
“ไม่นะ”
ได้แต่ยืนมองป้ายอย่างหมดอาลัยอาวรณ์พลางถอนหายใจก่อนจะเดินออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อุตส่าห์ไปกดตังค์มาเพื่อตัดแว่นแท้ๆ แต่ร้านดันมาปิดซะงั้น แต่เอาจริงๆร้านก็ไม่ได้ผิดหรอกนะถ้าจะผิดก็ผิดที่เขาที่ไม่เช็คเวลาเปิดปิดของร้านให้ดี
ไทม์เดินเอื่อยไปตามริมถนนพลางถอดแว่นที่แตกออกมาเช็ด ขณะนี้เองจู่ๆ ก็ไดัยินเสียงแตรรถจากด้านหลัง เขาหันไปมองด้วยภาพทุกอย่างมันเบลอไปหมดจากการถอดแว่นก่อนจะโดนมือของใครบางคนกระชากแขนอย่างแรงจนหงายหลังไปกับพื้น
“โอ๊ย” ความเจ็บแล่นแปล่บที่ขาพลางกวาดมือไปตามพื้นเพื่อหาแว่นของตัวเอง “โทษทีที่ดึงแรง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เสียงคุ้นเคยให้หันไปมองแต่ด้วยภาพที่เบลอจนแทบจะปวดหัว ไทม์หรี่ตามองคนหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืนโดยมีคนตรงหน้าช่วยพยุง พอยืนขึ้นเต็มตัวก็เห็นร่างของคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน เป็นผู้หญิงผมสีบลอนด์กับรูปร่างที่ได้สัดส่วนเดาได้ทันทีว่าเธอต้องเป็นคนที่สวยมากแน่ๆ
“นี่! เจ็บตรงไหนรึเปล่า” เสียงเรียกของเธอทำเขาหลุดออกจากภวังค์
“ครับๆ! ไม่เป็นไรครับ! ผมสบายดีครับ!” เสียงหัวเราะเยาะจากคนตรงหน้าทำเขาถึงกับขมวดคิ้ว
“ค่ะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แต่ที่น้องคุยมันคือกรวยนะคะ”
คำตอบของเธอทำเขาถึงกับเงยหน้าทันที ไทม์พยายามหรี่ตามองพบว่าไอ้ที่เขาคุยอยู่มันคืออะไรบางอย่างรูปทรงกรวยสีแดงจริงๆ ไทม์หันขวาเล็กน้อยเห็นว่าเธอยืนถัดจากกรวยแค่นิดเดียวก่อนจะหันไปยิ้มแห้งให้เธอพร้อมกับก้มหัวขอโทษ
“ขอโทษด้วยครับ ผมมองไม่ค่อยเห็น”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วนี่…แว่นตาเธอ”
รับแว่นตามาไว้ในมือพร้อมกับคลำๆ เพื่อสำรวจสภาพของแว่นก่อนใส่ แต่ก็ต้องคิ้วขมวดเพราะดูเหมือนว่ากระจกแว่นจะแตกจนเหลือแต่กรอบแล้ว
“พี่ขอโทษนะที่ทำแว่นของเราแตก แต่เมื่อกี้รถมอไซค์จะขับชนเราพี่เลยต้องดึงเธอเข้ามาก่อน” พอรู้เหตุผลของเธอก็แทบอยากจะก้มขอบคุณเธอโดยทันที
“ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณและขอโทษพี่มากกว่าทั้งที่รู้อยู่ว่าตัวเองสายตาสั้นก็ยังไม่ระวังตัวเอง”
เม้มปากแน่นพร้อมกับพูดขอโทษ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสายตาสั้นมากและรู้ว่าแถวนี้รถเยอะก็ยังจะไม่ระวังตัวเอง นี่ถ้าเกิดเธอไม่ดึงเอาไว้ป่านนี้คงไปนอนเจาะน้ำเกลือแล้ว
“แล้วนี่เธอกำลังจะไปไหนหรอ”
“ผมมาตัดใหม่แว่นที่ร้านนี้อ่ะครับ แต่ร้านมันปิดผมเลยจะไปหาร้านที่ห้างแทนน่ะครับ”
“สภาพนี้น่ะนะ?”
“ครับ”
สภาพนี้ของเธอคงหมายถึงเขาในตอนนี้ที่ไร้แว่นตาช่วยในการมองเห็น ก็อยากจะกลับบ้านเลยนะแต่แว่นมันแตกจนละเอียดไปแล้วถ้าไม่ไปตัดใหม่พรุ่งนี้ก็ไม่มีใช้ สายตาของไทม์สั้นกว่า 300 ถือว่าค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่ใส่แว่นภาพทุกอย่างจะเบลอไปหมดแทบไม่เห็นอะไรเลยความรู้สึกจะเหมือนหายตาไปข้างนึง
“เดี๋ยวพี่ส่งไปดีกว่า ให้เดินไปแบบนี้มันอันตราย”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจ อีกอย่างเราก็พึ่งรู้จักกันด้วยผมไม่อยากรบกวนน่ะครับ” จะให้เธอที่พึ่งจะเจอกันเป็นธุระพาไปตัดแว่นมันก็กะไรอยู่
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
ยกมือสวัสดีเธอก่อนจะเดินผละออกมาแต่ก็ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นจากตรงนั้นก็เท้าเจ้ากรรมก็ดันไปสะดุดอะไรบางอย่าง ทันทีที่รู้ว่ากำลังจะล้มลงพื้นผมหลับตาปี๋รับความเจ็บที่จะตามมาแต่ก็มีอะไรบางอย่างสอดเข้ามารับที่หน้าท้องทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย” เสียงนุ่มที่ข้างหูรู้ได้ทันทีว่าเป็นพี่คนสวยคนเมื่อกี้ เธอใช้มืออีกข้างจับหลังพร้อมกับค่อยๆ ดันตัวจนยืนตรงตามปกติ
“ขอบคุณครับ” หันไปขอบคุณ เธอช่วยไว้อีกแล้ว
“ให้พี่ไปส่งเถอะ เธอมองไม่เห็นแบบนี้เดินไปคนเดียวมันจะอันตรายนะ”
“แต่…”
“ไม่มีแต่ค่ะ ถ้ายังดื้อพี่จะทำโทษนะคะ” เสียงนุ่มที่กระซิบข้างหูทำเอาขนลุกซู่ ไปทั้งตัว
“งั้นพี่ไปเอารถก่อน รอตรงนี้นะคะ ห้ามไปไหน” ประโยคสุดท้ายทำเอาเขาถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกไม่กล้าปฏิเสธ ได้ยืนนิ่งรอเธอมาอย่างโดยดี
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!